แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรม ขอมีส่วนร่วมกับพวกเราปฏิบัติธรรม ก็จะเป็นมิตรเป็นเพื่อนได้ ขอแสดงความเห็นโดยการพูดการบอก เวลานี้เรามาทำกรรมฐานคืองานของชีวิต สร้างชีวิตใหม่ เราได้ชีวิตได้กายได้ใจมาแล้ว เอากายเอาใจของเรานี้มาสร้างอีกให้ได้ชีวิตจริงๆ กายใจมันเกิดแก่เจ็บตาย มันก็เป็นอย่างนั้น มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวตน มันอยู่ในโลก มีความร้อน ความหนาว ความปวด ความเมื่อย ความหิวอะไรหลายอย่าง มันมีรสชาติของรูปของนาม ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลงโกรธเป็นโกรธ นี่รูปนามเป็นอย่างนี้ เราจะมีชีวิตแค่นี้มันไม่ได้แล้ว เกิดมาเพื่อมีลักษณะอย่างนี้ แล้วก็เกิดแก่เจ็บตายไป อะไรที่มันมีค่ากว่านี้ ตอบให้ได้ ให้พบให้เห็น โดยการปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ พระองค์สมัยเป็นเจ้าฟ้าชายก็ถือว่าเป็นการบ้านอันหนึ่งซึ่งไม่ยอม คนมีสติปัญญาจะไม่ยอม จะหาคำตอบให้มันดีกว่านี้ จึงแสวงหา ก็ได้พบเห็น วิธีการแสวงหาอันนี้ก็ ในที่สุดก็มีสติไปในกาย อันอื่นทำมาเกือบหมด ก็มีความรู้มากมาย เรียนจบสิบเจ็ดศาสตร์ตามภาษาของโลกสมัยสองพันกว่าปี ขนาดไหน คนที่เรียนจบสูงๆแล้วก็ไม่จำนน รู้อะไรมา เป็นยังไงความรู้ที่รู้มา เกี่ยวกับอะไร แล้วก็มันใช้ได้ไหม อันไหนที่ยังไม่รู้ในชีวิตเราเมื่อมีสติปัญญาก็ต้องไม่จำนนต่ออะไรง่ายๆ แม้ไปศึกษากับครูอาจารย์อุทกดาบส อาฬารดาบส แล้วก็สอนให้จนจบ ยังไม่เป็นที่พอใจ คนมีปัญญาต้องมีอะไรดีกว่านี้ ออกบวชแล้วไม่อยู่นิ่ง ศึกษาหมด ใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้จนหกปี จนปีที่หกจึงมาอาศัยตัวเอง มีสติไปในกาย ตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน แล้วเราก็เอามาทำอยู่ อันเดียวกัน กายก็อันเดียวกับพระพุทธเจ้า ความหลง ความโกรธ ความทุกข์อะไรต่างๆเหมือนกันหมด แต่มาศึกษาไม่ให้มันเป็นใหญ่ มีสติเป็นใหญ่กว่า ดูมัน เห็นมัน มันคิดเห็นมันคิด มันร้อนมันหนาวเห็นมันร้อนมันหนาว มันแสดงออก เรื่องของกายของใจมันแสดงออก มันเคยแสดง พอเรามาดูมันแล้ว ไม่ต้องทำตามมันทุกอย่างเสมอไป ตัวคิดก็คิด อันชื่อว่าคิดก็คือความคิด เคยคิดมาแล้ว ชื่อว่าทุกข์คือความทุกข์ ชื่อโกรธคือความโกรธ ชื่อว่ากิเลสตัณหาก็คือกิเลสตัณหา เคยเป็นมาแล้ว เคยใช้มาแล้ว หลงก็เป็นหลงมาแล้ว โกรธเป็นโกรธมาแล้ว มันก็เคยชินมาแล้ว แต่ก็ไม่ยอมจำนนมัน มันคิดถึงพิมพา เอ้า!มันคิด เราเห็นมันคิด มันร้อนมันหนาวมันทำท่าจะเป็นไข้ นั่งอยู่ต้นไม้ ร่มต้นไม้ ฝนตกแดดออก ยุงกัด เหลือบกัด ยุงกัด ทำท่าจะไข้เป็นอะไรอีก อ้าว!ดูมันอีก อะไรที่มันเกิดขึ้นขณะที่ปฏิบัติธรรมขณะที่มีสติ มันก็แสดงหมดทุกเรื่องทุกราวที่มีอยู่กับกายกับใจ จนได้คำตอบ เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา สมัยก่อนเห็นเป็นตัวเป็นตน เป็นกู กูร้อน กูหนาว กูปวด กูเมื่อย กูหิว กูเจ็บ กูอะไรต่างๆ แล้วก็กูพอใจ กูไม่พอใจ อันโน้นดีกว่า อันนี้ดีกว่า ก็ไม่ไป อันดีไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เราจะรู้ แม้มันจะมีหลายซ้อนเกิดขึ้น ความคิด เกิดเป็นความสุข ความพอใจก็รู้มัน รัก ดูมัน มันสุขมันทุกข์เห็นมัน สุขทุกข์ไม่ใช่ตัวใช่ตน พอใจไม่พอใจไม่ใช่ตัวใช่ตน เห็น ที่มันคิดไป ก็เห็นคิด ก็สักว่าคิด ไม่ใช่เรามีตัวมีตนอยู่ในความคิด ถ้าคิด ไหลเป็นไปตามความคิด ไม่ไป เป็นหลัก ยืนหลักอยู่ตรงนี้ มันเกิดอะไรขึ้น มันออกมา เราจะดูมัน เราจะไม่เป็นไปกับมัน ก็ทำอย่างนี้
ดูไปดูมา มันก็ไม่ได้แสดงเต็มที่ มันก็เกิดอาการต่างๆทางกายทางใจ เรียกว่าเกิดธรรม บางทีมันก็สงบ บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีก็ลังเลสงสัย บางทีก็มีกามราคะ ปฏิฆะ บางทีก็ง่วงหงาวหาวนอน อ้าว! เห็นมัน มันรวมกันทั้งสองอัน ทั้งรูปทั้งนาม ทั้งกายทั้งใจ รวมกันเข้าเป็นตัวเป็นตนให้ได้ มันจะหอบหิ้วอะไรไป ไม่ไป ตายเป็นตาย ก็ได้ตัดสินใจแล้วแน่นอนที่สุด
คนที่มีความแกร่งกล้ามีศรัทธาถลามาก กระโดดได้ ไม่เหมือนคนธรรมดา ผู้บุกเบิก ก็สู้ อะไรเกิดขึ้นก็สู้ ตายเป็นตาย ความตายไม่มีค่า ความชนะคือจุดหมาย เห็นอะไรก็ไม่เป็นกับมัน มีจุดหมายที่ตั้งเอาไว้ ชนะคือจุดหมาย ความตายไม่มีค่า ความเจ็บไม่มีค่า สุขทุกข์ไม่มีค่า มีแต่เห็นมัน ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้เมื่อตอนย่ำค่ำ เราจะนั่งที่นี่ที่เดียวจะไม่ลุกอีก เมื่อไม่เกิดอะไรขึ้น เราจะทำเรื่องนี้ เลือดเนื้อเอ็นกระดูกจะผุพังไปก็ตาม ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่รู้แจ้งเรื่องกายเรื่องใจ ตายลงตรงนี้ ตัดสินใจไม่หวั่นไหว เข้มแข็งมาก มีสติเข้าไปอีก
ในความอ่อนแอมันมีความเข้มแข็ง ในความสุขมันก็ไม่มีสุขคือเข้มแข็ง ในความทุกข์มันก็ไม่มีทุกข์คือเข้มแข็ง ทำดูแล้วมันเป็นอย่างนี้ ในสุขไม่เป็นสุข ในทุกข์ไม่เป็นทุกข์ ในหลงไม่เป็นหลง มันผิดไม่เป็นผิด มันถูกไม่เป็นถูก มีแต่เห็น ทางมันก็บอกเป็นยังไง ภาวะที่เห็น ไม่เป็นมันเป็นยังไง ต่างกับภาวะที่เป็นไหม แต่ก่อนสุขเป็นสุข บัดนี้เห็นมันสุข ไม่เป็นผู้สุข มันจะต่างกันไหม เป็นวิทยาศาสตร์ในระหว่างสองอย่าง เป็นสิ่งเปรียบเทียบ ความหลงไม่หลง ไม่เป็นผู้หลง ความโกรธเห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ มันคิดเห็นมันคิด ไม่เป็นผู้คิด เป็นวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ จากผู้ที่ได้สัมผัส เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ต้องมี เรามาทำอยู่ขณะนี้ก็เป็นเหมือนแบบนั้น
การที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในพระสูตร สติปัฏฐานสูตร เป็นทางอันเดียวกันสายเดียวกันเช่นเดียวกัน ใครเดินทางตรงนี้ต้องเจอเรื่องนี้แน่นอน แต่เดินน่ะเดินได้ แต่ว่าสิ่งแวดล้อมมันจะต่างกัน กับผู้ที่ถึงจุดหมายปลายทาง บางคนมันยากก็เป็นยากอยู่เช่นนั้น เลยไปไม่ได้ ผิดก็เป็นผิดอยู่เช่นนั้น ไปไม่ได้ ให้ผิดเป็นผิด ให้ถูกเป็นถูก ให้ได้เป็นได้ ให้เสียเป็นเสีย ไม่ได้ก็ไม่ได้ บางทีตั้งไว้ผิด เราจึงคล้ายๆว่าหลีกทางหรือสะดุดไปไม่ได้ เอาความยากพาหยุด ให้ความง่ายพาทำ ให้ความผิดเป็นสิ่งไม่ได้ ให้ความถูกเป็นสิ่งได้ มันก็ไม่ใช่แบบนั้น ผิดถูกไม่เป็นไร รักชังไม่เป็นไร ล้างจิตไม่ได้ ทำไปแบบนี้ โสตาย จะยากขนาดไหน ลองมามโนภาพเอาดูซิ นั่งอยู่ต้นศรีมหาโพธิ์ ไม่มีคนสักคนเดียว พวกเรานั่งอยู่นี่ยังมีเพื่อนมีมิตร มีเครื่องใช้มีอะไรที่อาศัยได้ มีปัจจัยอาศัยได้ แต่พระองค์นี่อยู่ลำพังองค์เดียว ที่นั่งก็หญ้าคาห้ากำมือ โสตถิยะพราหมณ์ ให้ถือมาระหว่างข้ามแม่น้ำเนรัญชรา มีหญ้าคากำมือเดียวแล้วมาปูนั่ง เรานี่ไม่เป็นอย่างนั้น ขนาดที่เราเมื่อยขนาดนั้น ก็ยังถือว่าไม่สะดวก หาความสะดวกในการใช้ชีวิต พระองค์ไม่ได้มีสักเล็กน้อยเลยความสะดวกในการใช้ชีวิตเนี่ย เอาความสะดวกในการสัมผัสกับการปฏิบัติ มันหลงเห็นมันหลงไม่เป็นผู้หลง สะดวก มันคิดเห็นมันคิด ไม่เป็นผู้คิด สะดวกกว่า อันอื่นทำให้ไม่ได้ วัตถุสิ่งของช่วยไม่ได้ เป็นการปฏิบัติลงไป มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ สะดวกที่สุด ผ่านได้ ถ้าทุกข์เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ ผ่านแล้ว มันโกรธเห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ ผ่านแล้ว มันจะมีกี่ครั้งกี่หนก็ผ่านได้ทุกครั้ง จนประสบการณ์สร้างมาจากบทเรียนที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ใช่บทเรียนจากทัสสนานุตริยะแบบภาษาโลกๆ ทัสสนานุตริยะก็เห็นเรื่องนี้ เรียกว่าทัสสนานุตริยะ เห็นมันทุกข์ เห็นแล้ว ไม่เป็นผู้ทุกข์ ปฏิปทานุตริยะ พ้นจากทุกข์ วิมุตตานุตริยะ นี่คือทัศนาในชีวิตจริงๆ ทัสสนานุตริยะ เห็น ปฏิปทานุตริยะไม่เป็น วิมุตตานุตริยะหลุดพ้นแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นพ้นทุกอย่าง มันก็เกิดชำนิชำนาญ อะไรที่ทำบ่อยๆ ชำนาญขึ้นๆ เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย เรื่องหนักกลายเป็นเรื่องเบา เกิดกายลหุตา เบากาย จิตตลหุตา เบาจิต ชีวิตไม่ได้ใช้อะไร คิดเป็นความคิด สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ มันใช้หนัก ใช้งานหนัก วางลงไม่เป็นอะไร วางลง ไม่ได้ใช้ เหมือนกับลดลงมา ทีแรกก็หนักเต็ม ประสาทเต็มหัว ภาวะเห็นก็ไม่หนัก ลดลงมา ลดลงมา อยู่ที่หน้าอก ลดลงมา ลดลงมา น้ำหนักไม่มีที่จะให้เป็น เลยเบา ภาวะที่เบามันไม่ใช้พลังงาน สามารถนั่งได้ เดินได้ ถ้าทำน้ำหนัก อะไรก็หนัก ทำอะไรก็ยาก นั่งก็ไม่ได้นาน เดินก็ไม่ได้นานมันไม่เบา พอเหนื่อยก็เป็นเหนื่อย มันก็หนัก เห็นมันเหนื่อย ไม่เป็นผู้เหนื่อย มันจะลดภาวะ ลดน้ำหนักลงๆ เบา กายลหุตา เบากาย จิตตลหุตาเบาจิต มันเบาได้
ของยากกลายเป็นของง่าย ของหนักกลายเป็นของเบา เหมือนกลิ้งครกลงเขา ทำใหม่ๆเหมือนกลิ้งครกขึ้นเขา ง่ายที่จะหลง ทำไปๆ ง่ายที่จะรู้ นิดหน่อยก็รู้ได้ เพราะมีสติ มันก็มาก ทำแล้วมันมาก มันไม่ได้อะไร ไม่ได้อะไร ไม่ใช่ไม่ได้อะไร ทันที เป็นปัจจัตตังทันที ยิ่งกว่าทำอันอื่น ปลูกข้าวต้องเป็นปีจึงได้กินเก็บผล ปลูกพริกปลูกผักต้องเดือนสองเดือนจึงได้เก็บผล แต่มีสตินี่ทันที ทันทีเลยทีเดียว หลวงพ่อขยันแล้วนะ ศรัทธามาก ทำอย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ ก็เกิดความขยันขึ้นมา ปรารภความเพียร ประคองตั้งไว้เสมอ ภาวะที่รู้ ภาวะที่รู้ มันก็ไม่ได้รู้เฉยๆ มันมีอะไรที่ผ่านไป มันก็ไม่หลง เหมือนแสงตะเกียง มันมีแสงสว่าง มันก็ไหม้สิ่งที่มันไม่สว่าง มันก็บังคับให้หมดไปๆ ความมืดหมดไป ความหลงไม่หลง ความรู้มากขึ้น มากขึ้น เห็นอะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ที่มันเป็นภพเป็นชาติเป็นภูมิ มันก็ผ่านได้ ไม่มีภพ ไม่มีภาวะ
แต่ก่อนมันมีอวิชชา มันเกิดสังขารปรุงแต่งไป บัดนี้มันมีวิชชามันก็เกิดวิสังขาร ไม่ปรุง ถ้าไม่รู้ก็ปรุง ถ้ารู้ก็ไม่ปรุง อวิชชาคือไม่รู้ ไม่รู้เรื่องชีวิตจริงๆ ไม่รู้กาย ไม่รู้สุขทุกข์ ไม่รู้จิตที่มันคิด ไม่รู้ธรรมที่มันเกิดขึ้น เรียกว่าอวิชชา โกรธเป็นโกรธ หลงเป็นหลง อวิชชา ไม่ใช่ปริญญาที่เรียนมาสิบเจ็ดศาสตร์ ยังโกรธอยู่ ยังหลงอยู่ ยังทุกข์อยู่ วิชชาที่มันเกิดกับชีวิตจริงๆ มันไม่ใช่วิชาแบบนั้น มันเป็นวิชชา หลงไม่เป็นหลง คนละอันกัน มันหลงมันก็มี ไม่หลงก็มี นี่วิชชา สังขารมี มันปรุง ไม่ปรุงก็มี เรียกว่าวิชชา สังขารเป็นอวิชชา วิสังขารเป็นวิชชา สังขารคือปรุง วิสังขารคือหยุด ทุกข์คือเป็นสังขาร ไม่ทุกข์คือวิสังขาร โกรธเป็นสังขาร ไม่โกรธเป็นวิสังขาร เหมือนหน้ามือหลังมือ มันง่าย ทำไปทำมา มันง่าย สนุก ไม่ใช่ยาก มันขยัน มีความเพียรแน่วแน่ นี่มันเป็นอย่างนี้ ผ่านไป คือข้ามไปๆๆๆๆๆ พอเกิดอะไรขึ้นมา ชำนาญ ญาตปริญญา ชำนาญในการเห็น ตีรณปริญญา ชำนาญในการแจกแจงไม่ให้เป็นดุ้นเป็นก้อน ทะลุทะลวงมองอะไรทะลุทะลวง ปหานปริญญาทำให้หมดไป จึงมีปัญญา ปัญญาพุทธะไม่ใช่ปัญญาทางโลก เป็นศาสตร์อันหนึ่ง เป็นทั้งศิลป์ทั้งศาสตร์ ปฏิบัติธรรมเนี่ย มันมีหลักมีฐานไม่ใช่งมๆเซาๆ มันหลงก็มี ไม่หลงก็มี เปรียบเทียบดู มันหลงเป็นยังไง เป็นธรรมไหม ถูกต้องไหม ไม่หลงเป็นยังไง เป็นธรรมไหม ถูกต้องไหม ไม่มีใครตอบให้ มีแต่เราตอบเอง ไม่มีคำถาม คนอื่นถามตอบให้ไม่ได้ ไม่มีคำถาม พบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น เป็นการพบเห็นไม่ใช่คิดเห็น คิดเห็นมันไกล ถ้าพบเห็นมันเดี๋ยวนี้ การพบเห็นมันของจริงกว่า คิดเห็นไม่จริงทำอะไรไม่ได้ ถ้าพบเห็นมันทำได้ เห็นงูก็หลีกงูได้ เห็นหนามก็หลีกหนามได้ เรียกว่าพบเห็น
คนที่พบเห็น ชีวิตที่พบเห็น ชีวิตที่พบเห็นไม่ใช่ชีวิตที่คิดเห็น ชีวิตที่เกิดการพบเห็น 84,000อย่าง ที่เกิดกับกายกับใจ ตอบไม่ได้ นี่คือความไม่เที่ยง พบเห็นแล้ว นี่คือความเป็นทุกข์ พบเห็นแล้ว นี่คือความไม่ใช่ตัวตน พบเห็นแล้ว มันหลอกไม่ได้ ทำไมจึงมีความเป็นทุกข์ความไม่เที่ยง มันทุกข์ไม่ได้ ทำไมจึงเป็นทุกข์ความเป็นทุกข์ มันทุกข์ไม่ได้ ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยงไม่เป็นทุกข์ก็พบเห็นแล้ว ความทุกข์เป็นทุกข์ ความทุกข์มันไม่ทุกข์เมื่อพบเห็นแล้ว คนที่พบเห็นเป็นอย่างนี้ มันก็ยิ้มได้มันเป็นเรื่องง่ายๆ เส้นผมบังภูเขา มันก็มีพลังถลา ไม่มีอะไรรึงรัดรัดรึงได้ มีแต่หลุดพ้นๆ เป็นจุดหมาย ผ่านได้ๆๆ สะดวกๆๆ
ใครทำก็ได้ ว่าแต่มีรูปมีนาม ไม่เกี่ยวกับเพศ กับวัย กับลัทธินิกาย กับชาติ กับศาสนา ไม่เกี่ยว มันก็สากล สากลแห่งธรรมในโลกนี้ ชื่อว่ารูปนามอันเดียวกันหมด มีร้อนเหมือนกัน มีหนาวเหมือนกัน มีโกรธก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาก็เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ความไม่เที่ยงเหมือนกัน ความเป็นทุกข์ก็เหมือนกัน ความไม่ใช่ตัวตนก็เหมือนกัน เป็นสากลจึงเป็นสัจธรรม
จึงจัดเป็นสัจธรรม ไม่ใช่สมมติบัญญัติ เป็นปรมัติสัจจะ ความโกรธเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่โกรธเป็นปรมัติสัจจะ เราจะไปรับสมมติไม่ได้ ปรมัติมันมีอยู่ ข่มขืนไม่ได้ จะบังคับให้โกรธมันไม่ได้ มันเป็นสมมติ บัญญัติไม่มีแนวร่วม ปรมัติสัจจะมันเป็นจริง อันนี้เหนือสมมติเหนือบัญญัติ มันก็เข้าแถวให้เราดูทั้งหมด ในรูปในนาม อันที่มันเคยเกิด มันไม่เกิด มันไม่เกิด มันก็หมด มีโอกาสหมดไป เหมือนแสงสว่างเกิดขึ้นก็กำจัดความมืดฉันใด มันก็เปลี่ยนไป พ้นภาวะเก่าๆ ตามที่ได้พูดวันก่อนๆว่า เมื่อมันเดินทางอยู่อย่างนี้ มันชำนาญมาก ก็เกิดญาณขึ้นมา นั่น!ญาณคือล่วงข้าม บุพเพนิวาสานุสติญาณ มันต่างเก่าไหม เมื่อก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ต่างไหม มันก็ต่าง เปรียบเทียบยังไง มันก็ต่างอยู่ดีๆ จะทิ้งไปให้มันรัก มันก็ไม่เอา จะทิ้งไปให้มันโกรธ มันก็ไม่เอา มันสุขมันทุกข์ มันก็ไม่เอา มันเป็นไปได้ เหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ แต่ก่อนเป็นเด็กน้อยเห็นขี้โคลนก็ลงไปเล่นได้ พ่อแม่ดึงไว้ไม่อยู่ เดินลงไปเปียกขี้โคลน ต้องเอามาล้าง เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ใหญ่จะให้เล่นขี้โคลนไม่ได้ สิ่งสกปรก ความหลงสกปรกเปรอะเปื้อน ความทุกข์สกปรก ความโกรธ ความรัก ความชัง สกปรกไม่สะอาด
ไม่เป็นอะไรนี่คือยอดแห่งความ เมื่อไม่เป็นอะไรก็มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่ความเมตตากรุณามีโอกาสที่จะใช้ชีวิตได้มากที่สุด ทำประโยชน์ได้มากที่สุด ยิ่งใหญ่มหากรุณาธิคุณเกิดขึ้นพร้อมๆกันไป เป็นญาณเกิดขึ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ รำลึกถึงอดีต ปัจจุบัน จุตูปปาตญาณ อยู่ในฐานะแบบไหน ชีวิตอยู่ในฐานะแบบไหน เดี๋ยวนี้อยู่กันแบบไหน แต่ก่อนอยู่ยังไง เมื่อบังเกิดแบบนี้ ก็คิดอยากช่วยคน อาสวักขยญาณ ทำให้สิ้นไป อันเก่าสิ้นไป มีภพใหม่ขึ้นมา ชีวิตใหม่ขึ้นมา นวชีวิต ชีวิตขึ้นมาใหม่เอี่ยม เรียกว่า พรหมจรรย์ คือไม่เปรอะเปื้อนกับสิ่งใด เห็น ไม่เป็น คือพรหมจรรย์ ความสุขเห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุขคือพรหมจรรย์ มันทุกข์เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์คือพรหมจรรย์ มันโกรธเห็นมันโกรธไม่เป็นผู้โกรธคือพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง อะไรที่เคยเป็นมันไม่เป็น ได้สะอาด เรียกว่าพรหมจรรย์ ประกาศพรหมจรรย์ มีอรรถมีพยัญชนะพูดได้ บอกได้ สอนได้ มีจริง มีเท็จมีจริงอย่างนี้ อยากจะบอกความเท็จความจริงอย่างนี้
มันหลง ความไม่หลงก็มี ความทุกข์ ความไม่ทุกข์ก็มี มันโกรธ ความไม่โกรธก็มี อะไรมันมีคู่ มันก็ยังไป ไหลไป ไม่มีอะไรขวางกั้นได้ ก็เหมือนทะเลความลึกลงไป เหมือนทะเลลึกลงไปๆๆ ผลที่สุดก็เห็นภพ เห็นชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะทุกข์ แต่ก่อนเป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความเกิดเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความไม่สบายกายความไม่สบายใจความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์
รูปังอนิจจัง รูปไม่เที่ยง เคยเป็นทุกข์เพราะรูป ได้เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา เคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะสัญญา เคยเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะสังขาร เหมือนกับมันดื้อ รูปก็ดื้อ เวทนาก็ดื้อซุกซน สัญญาก็ดื้อ สังขารก็ดื้อ วิญญาณก็ดื้อ ดื้อ พยายามจะเอาให้ได้ ต่างกันต่างจะเอาเพื่อความอยู่ของเขา รูปก็จะเอารูปให้ได้ เวทนาก็จะเอาเวทนา สัญญาก็จะเอาสัญญาให้ได้ พยายามที่จะเก็บไว้ จนติดเป็นวิญญาณ วิญญาณคือมันติด ติดอะไร เพราะมันมีรูปเวทนาสัญญาสังขารเป็นทุกข์ รูปไม่เป็นทุกข์ เวทนาไม่เป็นทุกข์ สัญญาไม่เป็นทุกข์ สังขารไม่เป็นทุกข์ วิญญาณไม่เป็นทุกข์ สะอาดแล้ว ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ มันโชว์ ขันธ์ห้ามันโชว์ เป็นเรื่องง่ายไปแล้ว อะไรที่เป็นทุกข์มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์ มันเกิดอะไรเกิดขึ้นที่เป็นนามรูป ดับ ขันธ์ห้าเนี่ย!หยุด หยุด วางลง แล้วไม่เรียนภาษาบาลี ไม่เรียนภาษาขันธ์ อันสุขอันทุกข์นั่นแหละไม่มีค่า เหมือนกับทิ้ง ไม่กลิ้งเหมือนทิ้ง แต่ก่อนเป็นขอบกระด้ง ทิ้งไป มันกลิ้งไปจนสุดเหวี่ยงจึงล้มลง เดี๋ยวนี้มันตัดวัฏฏะนั้นออก เหมือนแบออก ทิ้งไปก็ตกที่เดียว สักแต่ว่าๆ ไม่เหมือนขอบกระด้ง สักแต่ว่า หยุด สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าสังขาร สักแต่ว่าวิญญาณ รู้แจ้งรู้ชัดหลอกไม่ได้ เกิดไม่เป็นทุกข์ แก่ไม่เป็นทุกข์ เจ็บไม่เป็นทุกข์ ตายไม่เป็นทุกข์ ไม่กำเริบ เหมือนพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้ตอนพระสูตร ปรินิพพานสูตร เป็นเรื่องของชีวิตเราที่ปฏิบัติธรรมเนี่ย แต่พระองค์เป็นศาสดา รู้วิธียิบเลย ลำดับลำนำสอน 45 ปี ชำนาญมาก ชำนาญในเรื่องการสอน ทุกรสทุกชาติ มุมไหนแง่ใด ชำนาญมาก มาสอนจนเป็นพระสูตร จนเป็นพระไตรปิฎก มีหลักมีฐานไม่เป็นเท็จ มีหลักมีฐานอยู่ในชีวิตเราเนี่ย ถือว่าพระไตรปิฎกก็ได้ กายใจเนี่ย รูปนามเนี่ย มีหมดทุกอย่าง ในรูปในนาม ในกายในใจเราเนี่ย มันก็ได้ชีวิตขึ้นมา เอาชีวิตที่ได้จากกายจากใจ มาสร้างชีวิตที่ไม่เป็นชีวิต ชีวิตที่มันได้คืออะไร มันหลงเห็นมันหลงไม่เป็นผู้หลง คือชีวิตแบบเนี่ย มันทุกข์เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์นี่คือชีวิต มันโกรธเห็นมันโกรธไม่เป็นผู้โกรธนี่คือชีวิต มันเกิดไม่เป็นผู้เกิดเห็นมันเกิดนี่คือชีวิต มันแก่เห็นมันแก่ไม่เป็นผู้แก่คือชีวิต มันเจ็บเห็นมันเจ็บไม่เป็นผู้เจ็บคือชีวิต มันตายเห็นมันตายไม่เป็นผู้ตาย ไม่มีใครตาย ความตาย ความไม่ตาย มันคนละอันกัน ไม่ได้ตายเพราะความตาย ไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บนี่ คือชีวิตจริงๆ
ชีวิตจริงๆมันไม่เป็นอะไร การเป็นอะไรไม่ใช่ชีวิต มันปลอม ถ้าเราเกิดมาแก่เจ็บตายเฉยๆ มันไม่ใช่ได้ชีวิต มันมีแต่มารอวันแก่วันเจ็บวันตาย แค่นี้หรือชีวิตของเรา เราจึงมาศึกษาดู เพราะว่าเป็นไปได้ ศาสนาพุทธในเมืองไทย ปฏิบัติธรรม ประเพณีของคนไทยพอเป็นไปได้ มีผู้บอกมีผู้สอนต่อกันมา ต่อกันมาถึงยุคนี้สมัยนี้อันเดียวกัน สิ่งที่เราสอนกัน สิ่งที่เราทำอยู่ ก็อันเดียวกันกับสมัยพระพุทธเจ้าอันเดียวกันหมด ไม่หนีไปไหน มรรคผลนิพพานไม่หนีไปไหน พระพุทธเจ้าเห็นธรรมแบบนี้จึงได้ชื่อพระพุทธเจ้า เห็นสิ่งเหล่านี้ชื่อว่าพระพุทธเจ้า ถ้าเห็นแล้วเป็นพระพุทธเจ้าเฉยๆไม่สอนคนไม่รู้ เพราะสอนคนรู้ตามเรียกว่าสัมมา สัมพุทโธ ในรูปเนี่ย ธรรมจักรเนี่ย ที่อยู่บนศีรษะเนี่ยเขาเอามาถวาย ตอนนั่งอยู่เนี่ย สี่ห้ารูปเนี่ยเป็นพระพุทธเจ้าเฉยๆ รูปที่มีธรรมจักรอยู่บนหัวเนี่ยเป็นสัมมาสัมพุทโธ เพราะสอนคนรู้ตามได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธ แน่นอนแล้ว การตรัสรู้ของเราไม่เป็นหมัน การตรัสรู้ของเราไม่เป็นหมันเปล่า มีผล ปัญจวัคคีย์รู้ตาม ยสกุลบุตรรู้ตาม ได้สาวกหกสิบรูปใช่ไหม สมัยแรกๆ ส่งไปประกาศพระศาสนา ต่อมาอีกสองสามร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงทำสังคยนาเสร็จแล้วส่งธรรมทูตไปเผยแผ่ศาสนา เข้าสายมาถึงเมืองไทย มีพระโสนะ พระอุตตระนำมา ประเทศไทยสุวรรณภูมิ เราก็ได้รับพระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยนั้น ศรีลังกาก็มาเห็นพระเถระ ก็มามีศาสนามีคำสอน จนมาถึงยุคที่มีการสอนชัดเจน พุทธทาส มาถึงยุคหลวงปู่เทียนมานี่ เป็นกรรมฐานล้วนๆหลวงพ่อเทียน ไม่ใช่นักวิชาการ อาจารย์พุทธทาสแตกฉานภาษา พูดได้หลายแง่หลายมุม หลวงพ่อเทียนมาสอนแต่ยกมือสร้างจังหวะ มันก็ตรงเท่านี้ก็พอแล้ว สุขวิปัสสโก ผู้ปฏิบัติกรรมฐานล้วนๆ ถือว่าเป็นอเสขะบุคคลได้ สุขวิปัสสโก ผู้บำเพ็ญกรรมฐานล้วนๆไม่ใช่อภิญญา ไม่ใช่อะไรแบบนั้น มีสิทธิเท่าเทียมกัน พวกเราก็เหมาะสมในสมัยนี้ มันเขย่า เรียกร้องความรู้สึกขึ้นมา เรียกร้องความรู้สึกขึ้นมาพอเพียงๆ มันหลง รู้ขึ้นมาหลายอย่าง ปัจจัยหลายอย่าง พลิกมือยกมือคว่ำมือเนี่ยเพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปแบกตำราอะไร มันมีอยู่เนี่ย เวลาเราปฏิบัติเหมือนเราอ่านตำรา เราไม่เห็นความโกรธพอเห็นความโกรธ ไม่เห็นความหลงพอเห็นความหลง จ๊ะเอ๋ จะเอ๋ความหลง จ๊ะเอ๋ ความคิด แต่ก่อนเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิด บัดนี้ไม่ต้องสุขต้องทุกข์เพราะความคิดเด็ดขาดในชาตินี้ เอาล่ะ!พอแล้วความคิดเนี่ย จะมาสั่งอะไรให้เราเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ได้ เราเป็นชีวิตเราเองไม่เป็นอะไรกับมันเลย นี่คือชีวิตไม่ใช่จิตไม่ใช่อะไรมาต่อรอง มันเป็นชีวิตล้วนๆ บริสุทธิ์แบบนี้ ถ้าเป็นจิตก็คืออันนี้แหละ ถ้าจิตที่มันคิดให้เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่เด็ดขาด จิตเป็นใหญ่ไม่ใช่ตัวนั้นเป็นใหญ่ จิตเป็นใหญ่คือภาวะอันนี้ไม่เป็นไรเนี่ย นี่คือปฏิบัติธรรม เป็นอย่างนี้ ให้พิสูจน์ลองดู อย่าไปเชื่อใคร เราจะเป็นมิตรเป็นเพื่อน แล้วรออยู่ที่นี่ เราก็อยู่กันได้นะ พอสมควรแก่เวลาบัดนี้ กราบพระพร้อมกัน