แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรม ขอชี้ขอนำ ถ้าไม่รู้ไม่ชี้ ก็มืดบอด ถ้ารู้แล้วไม่ชี้ ก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งรู้ทั้งชี้ ถูกต้อง ถ้าไม่รู้ไปชี้ มันก็ผิดได้ โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมเนี่ย มันเป็นการพบเห็น ไม่ใช่คิดเห็น สิ่งที่พบเห็นเป็นของจริง สิ่งที่คิดเห็น อาจจะไม่จริงเสมอไป การปฏิบัติธรรม การศึกษาชีวิตของเราล้วนๆ เอากายมาเป็นตำรา เอาใจมาเป็นตำรา มีสติเป็นการศึกษาให้เห็น อาจจะแสดงออก กายเป็นสูตร ใจเป็นสูตร ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย บางอย่างเป็นอาการที่เกิดขึ้น เช่น ความร้อน เมื่อกายถูกแสงแดด เป็นอาการที่เกิดความร้อน เป็นอาการไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์ ร่างกายสุขก็หวังผล คือ มันหนาว คืออาการของกาย ไม่ใช่เอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นจะเป็นสุขเป็นทุกข์ กลายเป็นเวทนา อย่าให้ถึงกับสุขกับทุกข์ ให้เป็นอาการเท่านั้น ของจริงเป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะอาการมันเป็นตัวเป็นตน อีกชั้นหนึ่ง เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ กายสักว่ากาย อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตน อันสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายนั้น เหมือนกายในกาย ในกรรมฐานให้ศึกษาแบบนี้กัน เวลาเรามาดูสูตร มันจะแสดงออกมาให้เราเห็น ว่าเราทำ เราทำเราเขย่าให้มันเกิดอะไรขี้นมา มีสติเข้าไปดู มีสติเข้าไปรู้ไปเห็น มันก็แสดงให้เราเห็น เห็นกายที่มันแสดง เราก็เห็นอย่าเป็นไปกับอาการที่มันเกิดขึ้น ใจมันแสดง มันสุข มันทุกข์ มันโกรธ มันโลภ มันหลง นั่นเป็นอาการของใจ อันโกรธ อันโลภ อันหลง ไม่ใช่ตัวใช่ตน อย่าไปเอามาเป็นตัวเป็นตน กูโกรธ กูทุกข์ กูพอใจ กูไม่พอใจ ความโกรธเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับจิตใจ ความพอใจ ความไม่พอใจ เป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจ จิตใจไม่เป็นอะไร เมื่อมันมีอะไรสัมผัสก็กระเพื่อมเป็นธรรมดาเหมือนน้ำ เวลาไม่มีอะไรสัมผัสมันนิ่ง ถ้าทิ้งก้อนกรวดก้อนดินลงไป ก็กระเพื่อม การกระเพื่อมของน้ำ เป็นอาการ ไม่ใช่น้ำ มันคลื่น ไม่ใช่น้ำ น้ำไม่ใช่คลื่น ความโกรธไม่ใช่ใจ อย่าเอามันเป็นตัวเป็นตน ก็เห็นจิตสักว่าจิต จิตนั้นมีอาการต่างๆ แน่นอนที่สุด
แต่ก่อนเอาอาการของจิตมาเป็นตัวเป็นตน กูโกรธ กูไม่ กูรัก กูชัง กูพอใจ กูไม่พอใจ มีบัญญัติเข้าไป มีสมมติเข้าไป มีอุปาทานเข้าไป ในจิตที่มันเกิดขึ้น มันเกิดที่จิตเป็นภพเป็นชาติ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉานได้ ในภพชาติของจิต เราจึงมาเห็นตามความเป็นจริง ขี้ขาดไปเลย จิตสักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ให้เห็นอย่างนี้ เรียกว่าวิชากรรมฐาน วิชาปฏิบัติ ถ้ามีสติมันจะเห็น ไม่เป็น มันกลับ มันหลงไม่หลง มันสุขไม่สุข มันทุกข์ไม่ทุกข์ มันโกรธไม่โกรธ มันพอใจมันไม่พอใจ มันตัดมันกลับ ความพอใจก็มีความไม่พอใจ ความหลงก็มีความไม่หลง ความสุขก็มีความไม่สุข ความทุกข์ก็มีความไม่ทุกข์ อะไรที่เกิดขึ้นกับใจ มันคนละมุม ตรงกันข้าม มันหลงไม่หลงก็อยู่ที่ใจ เรียกว่าปฏิบัติ ถ้าหลงเป็นหลง ไม่ได้ปฏิบัติ ปล่อยตามปล่อย ทอดธุระ ไม่ศึกษา ไม่แก้ไข ไม่พัฒนา ไม่เปลี่ยนแปลง มันก็หมักหมม ไปกันใหญ่ พอกพูนไปใหญ่ เป็นอวิชชาไป เป็นตัณหาไป เป็นอุปาทานไปเป็นภพเป็นชาติไป
ถ้าเรามาเห็น เราก็หยุด สติมันจะเป็นสิ่งคุมกำเนิดของภพของชาติ ที่เกิดกับกายกับใจ เราจะหยุด ถ้าไม่ให้มันหยุด มีแต่วิ่ง มันไม่ใช่ มันใช้ไม่ได้ เหมือนรถ ถ้ามันวิ่งมันต้องหยุดเป็น ถ้ามันหยุดไม่เป็น มันก็ไม่ใช่รถ มันใช้ไม่ได้ ถ้าโกรธเป็นโกรธ มันใช้ไม่ได้ สุขเป็นสุข มันใช้ไม่ได้ ทุกข์เป็นทุกข์ มันใช้ไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวใช่ตน ในความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ มันไม่ใช่ตัวใช่ตน มันเป็นความไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันเป็นตัวไม่ใช่ตน เอาเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ จะยึดไว้ไม่ได้ จึงจะเรียกว่าปฏิบัติ
ถ้าเรามาศึกษาเรื่องนี้ไป เห็น มันก็ใช้ได้ มันได้ชีวิต เอากายเอาใจมาเป็นสิ่งสัตว์ต่อชีวิต มาต่อยอด เรียกว่ารูปธรรมนามธรรมนี้มาต่อยอด เอาประโยชน์จากมัน ถ้ามันมีรูป มีนาม แล้วมาศึกษามัน มันก็เกิดแก่เจ็บตายไม่มีประโยชน์ ยิ่งจะมีทุกข์มีโทษ เกิดมาแก่มาเจ็บมาตายทิ้งไปเปล่าๆ พอจะเป็นทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ถ้าไม่รู้ ถ้าไม่รู้แจ้ง
สติจะรู้แจ้ง เห็นแจ้ง เห็นจริง การเห็นแจ้งเห็นจริงในกายในใจ เรียกว่า วิปัสสนา ได้คำตอบ มันจึงเป็น หน้าที่ของเรา ปฏิเสธไม่ได้ ทอดทิ้งไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ ถ้าเราศึกษารู้แจ้งเรื่องกาย เรื่องใจ เรื่องชีวิตจริงๆแล้ว มันก็ใช้ได้ เป็นมรรคเป็นผลได้ ได้ประโยชน์ นี่ลองมารู้แล้วบอกคนอื่น ได้ประโยชน์อีก ได้หลักชีวิตอีก มีประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น สิ่งอื่นวัตถุอื่นไป ถ้าเราไม่ศึกษาก็มีทุกข์ มีโทษต่อตัวเองและสิ่งอื่นวัตถุอื่น เราก็มีเห็นอยู่ เช่น มีตัวบทกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญ มีกองทัพ มีคุกมีตาราง เพราะคนไม่ศึกษา ถ้าเราศึกษามันก็จบ ทุกคนก็ดูแลตัวเองให้ดี เรียกว่าปฏิบัติธรรม มันจึงจะสงบร่มเย็นพึ่งพาอาศัยกันได้ ต้องตั้งต้นจากตัวเราก่อน นับหนึ่งจากตัวเรานี้ก่อน มันอันเดียวกันหมด ความหลงก็แบบเดียวกัน ความโกรธก็แบบเดียวกัน ความสุขความทุกข์อันเดียวกัน เจตนาอันเดียวกัน ทำอย่างเดียวกัน ศึกษาอย่างเดียวกัน ไม่ใช่คนละอย่าง ของจริงต้องเป็นอย่างเดียวกัน ของไม่จริงมันคนละอย่าง จริงแบบปรมัตถ์ มิใช่จริงแบบสมมติ จริงแบบปรมัตถสัจจะ ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง เป็นอันเดียวกัน ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันเป็นจริง เป็นอย่างเดียวกัน มีของจริงอยู่ แต่ไม่ค่อยใช้กัน มักใช้ของไม่จริง จึงมีปัญหา เคยพอใจ ในความพอใจที่เราบัญญัติเอา มันไม่จริง ในของในสิ่งที่เราพอใจ กับไม่พอใจก็มีเหมือนกัน คนที่เรารัก กลายเป็นคนที่เราเกลียดก็มี คนที่เรารัก เคยมีสุข กลายเป็นคนที่ทำให้เรามีทุกข์ก็มี มันสมมติบัญญัติ รักแบบสมมติ บัญญัติ ไม่ใช่รักแบบปรมัตถสัจจะ รักแบบปรมัตถสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรักที่สุดในโลก พระอรหันต์เป็นยอดนักรักที่สุดในโลก มันเป็นปรมัตถ
จึงมาศึกษากัน เราก็เคยมี เคยเป็นมาแล้ว เคยร้องไห้ เคยเสียใจ เคยรัก เคยเกลียด เคยชัง เคยสุข เคยทุกข์ มันจริงไหม มันอยู่ที่ไหน สุขอ่ะ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน มันคือเป็นสมมติบัญญัติ มันไม่มีจริงๆ มันมีจริงๆคือมันเหนือสุข เหนือทุกข์ คือมันไม่เป็นอะไร นี่คือชีวิต มีแต่เห็นมันเนี่ย เป็นเอกราช ประกาศความเป็นเอกราชของชีวิต ในความหลง ในความไม่หลง ไม่เป็นผู้หลง เป็นเอกราช ในความทุกข์ เห็นมันทุกข์ ไม่มีคู่ทุกข์ เป็นเอกราช มันเป็นเอกราชได้เพราะมันมีการไม่เป็นธรรม มีสิ่งเปรียบเทียบ ความหลงกับความไม่หลง เป็นสิ่งเปรียบเทียบ เราเห็นแจ้ง ว่าหลงเป็นยังไง ไม่หลงเป็นยังไง ให้สัมผัสเอา จึงมาสร้าง จึงมาประกอบ เรียกว่าวิชากรรมฐาน มาประกอบ มาสัมผัส ไม่ต้องถามใคร เวลาเราประกอบ มันก็มีจริง มีรู้ ทั้งพบเห็น ทั้งคิดเห็น เช่นเราเอามือวางไว้บนเข่า ก็ ก็รู้เห็น ไม่ใช่คิดเห็น รู้เห็น ต้องพบเห็น ของจริงไม่ต้องมีคำถามใคร มือเราอยู่ที่ไหน เรายกขึ้น เราก็เห็น พบเห็น ไม่ต้องมีถาม เวลาเราหลง ก็ไม่ต้องถามใคร เราก็ไม่หลง ทำเอาเอง เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเอาเอง หัดเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ทีแรกอาจจะหลงง่าย เพราะมันเคยชิน มาหัดใหม่ๆก็เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ถ้าไม่หลงก็รู้ไป รู้ไป ความไม่หลงก็หยั่งรากลึกลงไป งอกงามลงไป ต่อไปก็ง่ายที่จะไม่หลง มีภาวะที่รู้ เป็นเจ้าของ เป็นผู้ดู ภาวะที่รู้จะเป็นผู้ดู ผู้เห็น ถ้าเข้าถึงภาวะที่ดูแล้วจะสะดวก ยังไม่เห็นเนี่ยะมันจะไม่ ไม่รู้จักดู ถ้าเห็นแล้วดูออก ถ้าไม่เห็นดูไม่ออก มันมาให้เห็น ความหลงมาให้เห็นดูออก มันไม่จริงน่ะ ไม่ใช่คิดเห็น
เราจึงมาศึกษาแบบนี้ เรียกว่าวิชากรรมฐาน เป็นวิชาที่ศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนร้ายเป็นดีได้ เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ได้ ไม่มีวิชาไหนที่เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธ เอาเงินเอาทองเท่าไหร่ก็มาเปลี่ยนไม่ได้ ความทุกข์ความโกรธ ในชีวิตเราเนี่ย ซื้อเอาก็ไม่ได้ ซื้อเอาความไม่เป็นอะไรไม่ได้ มีแต่ซื้อเอาความเป็น อยากเป็นสุขก็ซื้อเอา ตามสมมติบัญญัติ อยากหลงก็ซื้อเอา ตามสมมติบัญญัติ ซื้อเหล้า ซื้อบุหรี่ ซื้อกัญชามาสูบ มากิน ก็หลงได้ ไม่อาย บางทีก็ชอบหลง ชอบประมาท ถ้าเราไม่หัด ความหลงก็ชอบ ถ้าได้หลงละก็ นอนก็ไม่หลับ ไหลอยู่เช่นนั้น เราเคยหลงมามากหลายชั่วโมง หลงในความคิดอ่ะ หลงจนถึงน้ำตาไหล จนถึงโกรธ จนถึงรัก จนถึงเกลียดชัง เป็นทุกข์ในความหลง เป็นสุขในความหลง เป็นความโกรธในความหลง เป็นความโลภในความหลง ไปไกล ถ้าหลงมันไปไกล ถ้ารู้มันหยุดไม่ไปที่ไหน มันหยุด มันจึงศักดิ์สิทธิ์แบบเนี่ยะ
กรรมฐานเป็นวิชาศักดิ์สิทธิ์แบบเนี่ยะ ไม่มีใครเอาให้กันแทนกันได้ จึงทำเอาเอง วิธีฝึกหัดก็มีแล้ว ตามแบบพระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนไว้ เป็นจริงตลอดเวลา จะเติมก็ไม่ได้ จะตัดก็ไม่ได้ ตรัสไว้ดีจริงๆ พระธรรมคำสอนเป็นสูตร กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่มีใครแย่งได้ เป็นวิทยาศาสตร์ที่สำเร็จกว่าวิทยาศาสตร์ใดๆในโลกนี้ วิทยาศาสตร์อันอื่นต้องศึกษาต้องเรียนรู้เรื่อยๆไป แต่ศาสตร์แห่งความเป็นพุทธะเนี่ยะ ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องเติม ตัดให้สำเร็จเสร็จสิ้นมาได้เลย อันชื่อว่าหลง ชื่อว่าไม่หลง ชื่อว่าทุกข์ ชื่อว่าไม่ทุกข์ กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เวทนาสักว่าเวทนา อันสุขอันทุกข์นั่นนะ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันไม่มีจริงๆ เราไปยึดไว้เป็นอุปาทาน ยึดว่าเราสุขเราทุกข์ สมมติบัญญัติต่างกัน บางคนทุกข์ ในความบัญญัติ แต่บางคนไม่มีบัญญัติแบบนั้น เลยไม่ต้องทุกข์ บางคนสุขในสมมติบัญญัติ บางคนไม่มีบัญญัติแบบนั้น ก็เลยไม่มีความสุข นั่นไม่ใช่เป็นสัจจะ มันเป็นสมมติ ต่างกัน ในโลกนี้จึงแย่งกัน จึงทะเลาะกัน เพราะสมมติบัญญัติ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นสมมติบัญญัติ เป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ ปรมัตถมันเหนือกว่านั้น ความโกรธเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถสัจจะ ความหลงเป็นสมมติบัญญัติ ความไม่หลงเป็นปรมัตถสัจจะ อันไม่หลงเหมือนกัน แต่หลงต่างกันเพราะสมมติเอา ความโกรธก็ต่างกันเพราะเค้าสมมติเอา ไม่น่าจะโกรธก็โกรธ นิดๆหน่อยๆก็โกรธ แค่นี้หรือ แค่นี้แหล่ะ เป็นเรื่องใหญ่ ไม้ขีดก้านเดียวไหม้เมืองทั้งเมืองได้เพราะความโกรธ ทำลายตนเองก็ได้ ทำลายคนอื่นก็ได้ ให้ความโกรธพาแสดงออก รับใช้ความโกรธ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น รับใช้ความโกรธ เมื่อความรักเกิดขึ้น รับใช้ความรัก เมื่อความพอใจเกิดขึ้นรับใช้ความพอใจ เมื่อความไม่พอใจเกิดขึ้น รับใช้ความไม่พอใจ มันก็ไม่จริง เราผ่านมาเท่าไหร่ ทำไมต้องให้หลอกอยู่เช่นนั้น ดีกว่านั้นไม่เป็นหรือชีวิตเรา แสวงหาสักหน่อย มีเหมือนกันหมด
มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้แสวงหาค้นพบและไม่โกรธใครในโลก เรียกว่าตรัสรู้เรื่องนี้จริงๆ และก็มีผู้ตาม จนมาถึงพวกเรารุ่นนี้ ยังมีผู้รู้อยู่ อย่านึกว่าเหมือนกันหมดนะ สิ่งที่เราหลงคนอื่นไม่หลงนะ สิ่งที่เราโกรธคนอื่นไม่โกรธนะ สิ่งที่เราทุกข์คนอื่นไม่ทุกข์นะ เราล้าสมัยนะถ้าเราหลงอ่ะ ยังล้าสมัยนพ ถ้ายังโกรธอยู่ถือว่าล้าสมัยนะ ถ้ายังทุกข์อยู่ถือว่าล้าสมัยนะ เค้าไปกันไกลแล้ว น่าอายนะ เดี๋ยวนี้เวลาโกรธไม่อาย ด่ากันได้หน้าบูดหนาบึ้งใส่กัน แสดงออกให้กันเห็น เค้าไปกันแล้ว เรายังมาโง่หลงงมงายทำไม
เราจึงมาเอาด่วนๆสักหน่อย รีบด่วนสักหน่อย อย่าประมาทในความหลง ในความหลงประมาทกับมันไม่ได้ เมื่อหลงบ่อยๆก็มากขึ้นๆ มาก ความชั่วนิดหน่อยก็อย่าไปทำอย่าไปคิด ความดีนิดหน่อยให้ทำไป มีประโยชน์ เรามาสร้างสตินี่ การยกมือเคลื่อนไหวรู้ 14 จังหวะ นับหนึ่งไป เงินบาทก็นับ เงินร้อย เงินหมื่น เงินแสน นับจากบาทเดียวไป ภาวิตา พหุลีกตา ขยันรู้ มันก็ทำได้นี่นะ ไม่ใช่ไม่ได้นะ ทำอันอื่นไม่ได้แบบนี้นะ ทำอะไรก็ไม่ทันใจเหมือนนี่ เป็นปัจจัตตังนะ รู้ว่าไม่หลง ถ้ามันรู้อยู่นี่ มันจะเป็นยังไง พิสูจน์กันดู 1 วัน 7 วัน จะเกิดอะไรขึ้น 1 เดือน 7 เดือน จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่มีที่อยู่ มาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องทำอะไร มาทำตรงนี้ มาทำกรรมฐานเนี่ยะ ในชาตินี้ลองดูซิ มีใครที่จะต้องพิสูจน์เรื่องนี้จริงๆน่ะ เข้มแข็งเหมือนพระพุทธเจ้าบ้างไม่ได้หรือ เราจะนั่งอยู่เนี่ย ถ้าไม่รู้อะไร จะไม่ลุกมันหละ ตายเป็นตาย กระดูกเลือดเนื้อ เหงื่อ เอ็น จะผุพัง จะพังไปก็ตาม จะไม่หนีไปไหน ภาษา(ลำพังแค่)ต้นโพธิ์เฉยๆ ยังตัดสินใจขนาดนั้นนะ อันนี้มีศาลา มีกุฏิ มีข้าวให้กิน มีอะไรให้ใช้นะ มันมีที่ไหนในโลกนี้ มีเนี่ยะ มีมรดกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระสงฆ์ มีพุทธบริษัท อุ่นใจ ขนาดพระสิทธัตถะ ต้นโพธิ์ หลวงตาก็ไปเห็นต้นโพธิ์น่ะ ยังสละชีวิตจะอยู่ที่นั่น จะไม่ลุกไปไหน ถ้าไม่รู้เรื่องนี้เข้าไป เมื่อใจมันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มันก็มีพลัง อันนี้เราทำอะไรเหยาะๆแหยะๆ ทำเล่นๆไป ลองดู ลองดูก่อน ว่าพอใจก็จะเอา ไม่พอใจก็หนีไป อีกหน่อยเกิดจับกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว ไม่เอา ไม่เอาแล้ว สู้สักหน่อย อย่าให้ความคิดมันใหญ่เกินไป อย่าให้กายเป็นใหญ่ ให้สติมันใหญ่ ถ้ากายถ้าใจเป็นใหญ่ มันแก่เจ็บตาย ถ้าสติเป็นใหญ่ มันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ในชีวิตเราเนี่ยะ อะไรเป็นใหญ่ อะไรมันเป็นใหญ่ มีอำนาจ ความคิด คิดขึ้นมาก็หอบหิ้วไปแล้ว เป็นสุขเป็นทุกข์ ความคิดเลย แค่นั่นหรือชีวิตเรา บอบบางแค่นั้นหรือ เป็นสุขเป็นทุกข์ความคิดอ่ะ เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะใจ นั่นไม่ใช่แล้ว มันมีอันที่สูงกว่านั้นอยู่ มีสูงกว่านั้นอยู่ ประเสริฐกว่านั้นมีนะ ไม่ต้องสุขต้องทุกข์เพราะกาย เพราะใจ ให้มันเป็นอันอื่น ถ้าเราอาศัยกาย อาศัยใจ มันตาย มันเจ็บ มันแก่ เราต้องแก่แน่นอน เราต้องเจ็บแน่นอน ต้องตายแน่นอน จะทำยังไง ให้กาย ให้ใจ พาแก่ พาเจ็บ พาตายหรือ มันอาศัยได้ไหม มันอะไรน่ะ มันดีกว่านี้นะ
จึงมามีสติ เห็นมัน มาเห็นมัน เห็นกาย เห็นใจ ตามความเป็นจริงน่ะ มันจะผิดหรือเนี่ย ถ้าปฏิเสธอย่างนี้ก็เท่ากับปฏิเสธตัวเองแล้ว ปฏิเสธตัวเอง มีสติเห็นกาย เห็นใจ เห็นธรรม เห็นความคิด มันมีเท่าเนี้ย มันจะหลงอยู่เป็นด่านเนี้ยะ แบกสักหน่อยไม่ได้เหรอ อะไรที่มันหลงกับใคร ไม่หลงไม่ได้เหรอ อะไรที่มันหลงกับสุขกับทุกข์ ไม่หลงไม่ได้เหรอ อะไรที่มันหลงกับจิตที่มันคิด ไม่หลงไม่ได้เหรอ อะไรที่มันหลงกับธรรม ที่มันเป็นสิ่งครอบงำ ความง่วงเหงาหาวนอน ความทุกข์คิดฟุ้งซ่าน ความลังเล สงสัย กามราคะ ปฏิฆะ มันหลงกับธรรม พ้นไปสักหน่อยไม่ได้เหรอ มันขี่ช้างขี่ม้ามาหรือ มันมีมีดดาบเหรอ มันมีอะไรมาเหรอ มันเกิดจากกาย จากใจ นิดๆหน่อยๆ ทำไมจึงยอมแพ้มันขนาดนั้น
ชีวิตเราประเสริฐตรงไหน มนุษย์ประเสริฐตรงไหน แพ้หรือ เรื่องกายก็แพ้แล้ว เรื่องความคิดก็แพ้แล้ว กูชอบ กูไม่ชอบ กูพอใจ กูไม่พอใจ มีใจก็ไม่มั่นใจตัวเอง พึ่งใจก็ไม่ได้ บางทีเอาใจมาลงโทษตัวเองด้วยซ้ำไป มีใจก็พึ่งใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ไม่มั่นใจตัวเอง ถ้ากูได้โกรธ ก็ไม่เหมือน ไม่เหมือนคนนี้นะ บอก บางทีก็ประกาศเลย มึงไม่รู้จักกูนะ มึงรู้จักกูน้อยเกินไปนะ ถ้ากูได้โกรธ ไม่เหมือนคนนี่นะ กลัวเลย โอ๊ยอย่าไปใกล้มัน ไอ้คนนั้น ถ้ามันได้โกรธล่ะ มันฆ่าคนได้ อยู่อย่างนี้ พึ่งก็ไม่ได้ บางทีผัวเมียพึ่งกันไม่ได้ ยังได้ยินนะ ผัวพูดเมีย โอ๊ยอยู่ไปงั้นแหละ หรือจะอยู่ไปได้ถึงวันไหน ถ้าจะหนีก็หนีไม่ได้ ห่วงลูก ก็อยู่ไปงั้นแหล่ะ ไม่รู้จะเป็นจะตายวันไหน บางทีก็มีอย่างนั้นนะ แค่นั้นหรือชีวิตเรา ก็มีข้าว กินเหล้าเมายา กินเหล้ามา ก็มาฆ่าเมียตีเมีย ลูกเมียฆ่าผัว ลูกผัวฆ่าเมีย พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พี่น้องฆ่ากัน คนในโลกฆ่ากันเพราะความคิด เพราะความโกรธ ออกจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ประสาความโกรธความหลงเฉยๆนะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น น่าเสียดาย ไอ้เราก็เสียเปรียบความโกรธความทุกข์มา เหมือนกันหมด ทำไมจึงไปยอมเสียเปรียบมัน ชนะสักหน่อย เห็น อย่าเป็น เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลง แค่นี่นะ เอาหนามยอกเอาหนามบ่ง เหตุมันเกิดที่ใด ดับที่นั่น แก้ที่นั่น เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ ทำอย่างเนี่ยะ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ พ้นจากความโกรธ ทำแค่เนี่ยะ นั่งอยู่อย่างนี้ก็ได้ แค่จะหายใจ มีสติกับลมหายใจ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ พ้นจากความโกรธ แค่ลัดนิ้วมือเดียว ไม่นาน หัดอย่างเนี่ยะ เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ เวลามันเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมา ไม่ใช่เป็นผู้มีกิเลสตัณหา พ้นจากมัน มีแต่เห็น ไม่ไปทางนี้ เดินถัด เดินถัด ขีดเส้น หัดขีดทางไว้ เมื่อมันหลง ไม่หลงก็ได้ เมื่อมันทุกข์ ไม่ทุกข์ก็ได้ เมื่อมันโกรธ ไม่โกรธก็ได้ หัดอย่างเนี่ยะ มันไม่ใช่ว่าได้เหงื่อไหล เหงื่อไม่ออก ทำความเห็นให้ถูกต้อง เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ เริ่มต้นด้วยความสติปัญญา ปัญญาขาดสติ ก็เฉโกนะ สติกับปัญญาต้องคู่กันเนี่ย
หัดตน สอนตน ฝึกตน ถ้าไม่ฝึกมันไม่เป็น สิ่งไหนไม่หัด มันก็ไม่เป็น เมื่อไม่เป็น ใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ชีวิตก็ใช้ไม่ได้ คุมร้ายคุ้มดี ฟูๆ แฟบๆ กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว มันอยู่กันยังไง น่าจะกระตือรือร้น น่าจะเงี่ยหูฟัง น่าจะใส่ใจ อยากจะประกาศเอกราชในชีวิตเนี่ย โอ้ ในโลกนี้ เราไม่เป็นอะไรกับอะไร มันขึ้นกับอะไร เราเป็นเอกราช แน่นอนชีวิตเรา อิสรภาพ นะ เป็นธรรมาธิปไตย สิทธิ ที่ว่าพิพากษาโลก ที่มีในชีวิตเราเนี่ยะ จนพ้น ไม่มีใครเรียกว่า อารยะบุคคล อริยเจ้า ไม่มีไปในชีวิตอีก จบ มีแต่ชีวิตล้วนๆไป แจกของ ส่องตะเกียง เลี้ยงคนทั้งโลก ยิ่งใหญ่นะชีวิตเนี่ย ถ้าเราไม่มีศึกษาก็ เป็นทุกข์เป็นโทษ โลกก็ร้อนเพิ่มขึ้น ฝีมือของคนเรา
ปีนี้สุคะโต จะเดินธรรมยาตรา 80 กม แต่ทุกปีก็เดินบนหลังเขา ปีนี้จะเดินตามไหล่เขา ข้างล่าง จากช่อระกาถึงบ้านธาตุทอง 80 กม. (หัวเราะ) เดินตามไหล่เขา รอบภูเขา โลกร้อน ทำให้โลกเย็น ให้มันตรงกันข้าม โลกมันร้อน ให้โลกมันเย็น คนมันโกรธ ให้คนหายโกรธ คนมันทุกข์ ให้คนไม่ทุกข์ เดิน 80 กม ทุกปีเดินบนหลังเขา ลุ่มน้ำลำธาร ปีนี้จะเดินอย่างน้อยต้อง 2 อาทิตย์นะ เตรียมไว้ (หัวเราะ) ชีน้อย เอ้า เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้