แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่ออีก ให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติ ทั้งได้ทำทั้งได้ยิน ถ้าจะให้สะดวกในการกระทำของเรา เรามาฝึกกรรมฐาน เหมือนกับมาลงสนามกีฬา เอากายเป็นสนาม เอาสติเป็นที่เล่นสนาม ให้รู้ไปในกาย วิธีใดที่จะรู้ไปในกาย มีเจตนา มีศรัทธา สร้างขึ้นมา มีความเพียรประกอบขึ้นมา มีสติรู้ไปตาม เรียกว่าเป็นทีม 14 จังหวะ 14 รู้ ให้มันคล่องตัวชำนาญ มันจะรู้ทุกอิริยาบถไหมที่เราเจตนาสร้างตามรูปแบบของกรรมฐาน โดยเฉพาะกายานุปัสสนาเนี่ย มันหยาบๆ ไม่น่าจะหลง ไม่เหมือนอานาปานาสติ ลมหายใจ ลมหายใจมันละเอียดกว่ากาย คนอื่นไม่ค่อยจะเห็น ถ้ากายเคลื่อนไหว คนอื่นเห็น มันหยาบ สัมผัสได้ มันมีกาย มันมีการเคลื่อนไหว ให้สัมผัสให้รู้ไปตามการเคลื่อนไหว 14 จังหวะ 14 รู้ ให้มันคล่องแคล่วชำนาญ ระหว่างดูกายเคลื่อนไหวมีสติเล่นกีฬาตรงนี้ มันจะมีอันอื่นทำให้เราหลงได้ นอกจากเจตนาจะรู้กาย มีเรื่องที่จะหลงแทรกซ้อน ทางซ้ายทางขวา ตรงหน้าข้างหลัง มันเกี่ยวข้องกับอะไรหลายอย่าง ไม่ใช่กายอันเดียว มันมีเวทนา มีสุขมีทุกข์ มันจะแสดงออกมา มันสุขมันทุกข์เกิดกับกายที่มันเคลื่อนไหวต้องมีแน่ๆ ความปวดความเมื่อย ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นี่เป็นเรื่องของกาย
เรื่องของจิตที่มันคิดก็มีเหมือนกัน เพราะมันเคย เคยเป็นอย่างนั้น เรามาหัดอย่างนี้ มันก็จะแส่ มันเคยชิน นั่นน่ะมันจะหลงไป ถ้าหลงไป ไม่ใช่มารู้เรื่องกาย แสดงว่ามันก็ไม่ชำนาญไม่เป็นนักกีฬา เราจึงหัดตัวเอง ถ้าพูดถึงการเล่นก็เล่นคนเดียว จะแพ้ก็แพ้คนเดียวชนะคนเดียว ถ้ามันหลงก็แสดงว่าแพ้ ถ้ามันรู้ก็แสดงว่าชนะ เล่นเป็น
อะไรที่มันเกิดขึ้นนอกจากกาย รู้ กลับมาเล่นที่กายต่อ เอากายเป็นที่ตั้ง เอากายเป็นหลัก เอากายเป็นที่ฝึก เป็นนิมิตเป็นเครื่องหมาย แม้อย่างอื่นมันจะเกิดขึ้นมา ก็รู้ ไม่ไปกับเขา เรามีหลักเราเล่นอยู่นี้ก่อน นานเท่าไหร่อย่าไปกำหนด มันจะมีอะไรที่เกิดขึ้น คิดจะหยุด คิดจะทำ คิดจะเดินไปไหนมาไหน ก็อย่าให้มันยิ่งใหญ่จนมันลากเราไป ให้เราไปของเราเอง มีสตินำไป ไม่ใช่ให้ความคิด ความหลง ความสุข ความทุกข์ นำไป มันเคยจูงเราไปมา มันเคยจูงเราไปเรามา อะไรต่างๆ นานแล้ว บัดนี้เราจะใช้ชีวิตของเราให้เป็นส่วนตัว จะไม่ไปตามอะไรทั้งหมด จะไปของเราเอง มีสติพาไป เราก็ฝึกอย่างนี้ให้มันคล่องแคล่ว อะไรที่มันชวนให้หลงนอกจากกาย รู้หมด กลับมาให้เป็น มาตั้งไว้ที่เดิมให้เป็น สนุกดี ของเท็จของจริง มันบอก
ความหลงมันก็ไม่จริง แต่มันมีอยู่ แต่มันไม่จริง ความรู้สึกตัวมันจริง ความสุขความทุกข์มันก็ไม่จริง ความรู้สึกตัวนี่มันจริง สัมผัสดู ถ้าหากว่าเล่นเป็นมันจะรู้ทุกอย่าง มันจะไม่เป็น มันสุขก็ไม่เป็นสุขเห็นมันสุข แต่ก่อนมันเป็นสุข มันทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ แต่ก่อนมันเป็นทุกข์ มันพอใจ มันไม่พอใจ ก็เป็น เป็นตามความพอใจตามความไม่พอใจ บัดนี้เราเห็น เราไม่เป็นไปอย่างนั้น ภาวะที่รู้ มันจะเห็น เห็นแล้วก็ไม่เป็นไปกับอาการต่างๆ สิ่งที่มันชวนให้หลง เรารู้ หลายมุมหลายแง่ มันก็ดีได้ประโยชน์จากความหลง ได้เกิดความรู้ ถ้าเราไม่ฝึก ความหลงทำให้หลง ความทุกข์ทำให้ทุกข์ ความสุขทำให้สุข ความรักทำให้รัก ความเกลียดชังทำให้เกิดความเกลียดชัง ความพอใจทำให้เกิดความพอใจ ความไม่พอใจทำให้เกิดความไม่พอใจ มันเป็นวัฏฏะ เรื่องเก่าเรื่องอะไรเกิดอยู่บ่อยๆ ไม่ผ่านสักที ยิ่งเป็นดินพอกหางหมูเพิ่มขึ้น
บัดนี้เรามารู้ เรามารู้ เรามีกรรมแบบใหม่ แต่ก่อนมันไม่มีกรรม มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นวิบาก อะไรเกิดขึ้นก็ไปตามอาการต่างๆ เกิดอยู่ในกายในใจเรานี้ บัดนี้เราเห็น เรียกว่าพ้นเวรพ้นกรรม เราไม่เป็น ถ้าเป็นเรียกว่ามีกรรม ถ้าไม่เป็นเรียกว่าไม่มีกรรม มีแต่กรรมที่เป็นกุศล ไม่ใช่กรรมที่เป็นอกุศล เปลี่ยนอกุศลเป็นกุศล เปลี่ยนเป็น เป็นไม่เป็น เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เปลี่ยนอะไรต่างๆ ที่มันเป็นทั้งหลาย ทั้งหลายเนี่ย มาเห็นไม่เป็น มันก็จะค่อยเป็นอิสระขึ้น เห็น เห็นทุกข์มันจึงพ้นจากทุกข์ เห็นหลงจึงพ้นจากหลง ถ้าไม่หัดมันไม่พ้น มันมีแต่เข้าไปเป็น นี่เรียกว่ากรรมฐาน มันศักดิ์สิทธิ์ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ
แต่ก่อนเป็นสาธารณะ ชีวิตของเราอะไรหอบหิ้วไปไหนก็ไป บัดนี้มันเป็นส่วนตัว มันเป็นส่วนตัว ชีวิตมันมีสองอย่าง ชีวิตที่ได้จากกายจากใจ หายใจได้ กินได้ นอนได้ ถ่ายได้ พูดได้ ทำอะไรได้ ทำดีได้ทำชั่วได้ นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงๆ เป็นกรรมที่รับใช้สิ่งต่างๆ ชีวิตส่วนที่เป็นชีวิตจริงๆ มันเห็น มันเห็น นี่คือชีวิต ถ้าชีวิตที่เป็นกายเป็นใจนั่นน่ะ เป็นสุขเป็นทุกข์นั่นน่ะ มันมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตอันนั้นน่ะ ชีวิตที่มันเห็นเนี่ย มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไปกับอะไรต่างๆ เราจึงมาดูมาเห็น ให้มันเหนือ การเห็นมันเหนือ การเป็นมันต่ำต้อย
ถ้าเราฝึกไป ๆ เห็นทุกเรื่อง เห็นทุกอย่าง เห็นทุกข์ อะไรต่างๆ หลายอย่างที่เกิดกับกายกับใจเนี่ย ถ้ามาแปดหมื่นสี่พันอย่าง เข้าแถวมาให้ดูหมด เหมือนกับเรามีเรดาร์ หรือมีอะไร คอมพิวเตอร์ มีอะไรที่ดูโลก ย่อมาดูหน้าจอ เราได้ศึกษามัน น่าศึกษาชีวิตของเราเนี่ย มันแตกฉาน มันจบเป็น ถ้าเราได้เห็นแล้ว หลงก็จบ ทุกข์ก็จบ โกรธก็จบ โลภก็จบ จบไปหลายอย่าง จบแม้กระทั่งเกิดแก่เจ็บตาย จบไปเลย ตั้งแต่ชีวิตน้อยๆ ไม่ใช่ไปเห็นแก่เมื่อมันแก่ ไม่ใช่ไปเห็นเจ็บเมื่อมันเจ็บ ไม่ใช่ไปเห็นตายเมื่อมันตาย ไม่ใช่ เห็นมันเดี๋ยวนี้ มันเกิดดับ เกิดดับอยู่เนี่ย เป็นภพเป็นชาติอยู่เนี่ย เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่เนี่ย เป็นสุขก็เกิดแก่เจ็บตายในความสุข เป็นทุกข์ก็เกิดแก่เจ็บตายในความทุกข์ เป็นความพอใจไม่พอใจเกิดแก่เจ็บตายในความพอใจความไม่พอใจ มีอาการเกิดดับ เรียกว่าวัฏฏะ
บางทีเราสร้างขึ้นมา มันไม่มี เป็นวัฏฏะ เช่น อะไร เช่นสูบบุหรี่ พอสูบเป็นกรรม ติดเป็นกิเลส อยากเป็นวิบาก สร้างขึ้นใหม่ อะไรก็ตามมันอยู่ในลักษณะแบบนี้ อันสุขอันทุกข์ก็มันไปติด มันติดได้ มันเป็นวิญญาณ เป็นขันธ์ห้าที่เป็นอุปาทาน เรียกว่ารูปขันธ์ รูป มันเป็นรูปนาม มันติดได้ ใช้ให้มันทำอะไรมันก็ติดเรื่องนั้น สุขมันก็ติด ทุกข์มันก็ติด โกรธโลภหลงมันติด กิเลสตัณหามันติด เป็นจริต ราคะจริต ปรุงแต่ง โทสะจริต ปรุงแต่ง โมหะจริต ปรุงแต่งไปติดเป็นจริต แต่ละชีวิตที่ดื้อด้าน ไม่สอนตัวเอง ดื้อ ก็ยังรับใช้มันอยู่ โทสะจริต มีความโกรธออกหน้า รับใช้ความโกรธ โมหะจริต มีความหลงออกหน้า รับใช้ความหลง ไม่หลงก็พยายามสร้างให้มันหลง ราคะจริต ราคะออกหน้า สร้างให้มันเกิดราคะ ความกำหนัดรักใคร่ยินดี พอใจจนเหนียวแน่นติด ซ่อกๆ ซ่อกๆ สรรหา ไม่ได้หลับได้นอนก็มี เพลิดเพลินที่ใดไปที่นั่น ดีดสีตีเป่าที่ไหนไปที่นั่น เพลงที่ไหนไปที่นั่น รำที่ไหนไปที่นั่น เล่นที่ไหนไปที่นั่น มีอะไรที่หลอกให้หลง หลงตะพึดตะพือไป ในรูปในรสในกลิ่นในเสียง เป็นราคะจริต ซื้อเอา ปล้นเอา ข่มขืนเอา จนทำให้เดือดร้อนทั่วบ้านทั่วเมือง มันเป็นจริตของเราที่เป็นคนดื้อ ไม่ฝึก
ให้มันฝึก ฝึกไป แล้วมันจะเป็นพุทธจริต รู้ตื่นเบิกบาน ไม่เป็นอะไรกับอะไร มันจะ ชีวิตจะเป็นอิสระ นี่กรรมฐานน่ะ เราจะรู้ว่าเราแพ้เราชนะ แพ้คนเดียวชนะคนเดียว มันสุขเห็นมันสุข ชนะ มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ชนะ มันหลงเห็นมันหลง ชนะ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ เห็น ไม่เป็น ไม่ต้องไปหาไม่มีคำถาม นะ ฝึกกรรมฐานเนี่ย มันน่าจะขยัน ของเท็จของจริงมาให้ดู สัมผัสได้
ความหลงความไม่หลง ความทุกข์ความไม่ทุกข์ ความโกรธความไม่โกรธ ความพอใจความไม่พอใจ อยู่เนี่ย ต้องมีแน่นอน เห็น เห็นธรรม ป๊าบลงไปเห็นเลย ไม่ฟรี เห็นกายเคลื่อนไหว มีจริงๆ เห็นใจมันคิด มีจริงๆ เห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ มีจริงๆ แบบที่เรามีสติเนี่ย ว่าแต่ให้มีกรรมที่ตั้งเอาไว้ อย่าหลุดไปง่ายๆ เอากายเป็นมิตรตั้งไว้ก่อน ถ้าทำเป็นแล้ว ก็ไม่ต้องหัด เมื่อไรทำยังไม่เป็นต้องหัด เอ้าใคร ใครจะบอกเรา เราบอกเราเอง ใครจะรู้เรา เรารู้เอง อะไรที่ทำยังไม่เป็น เราก็จะรู้ อะไรที่เราทำได้แล้ว เราก็จะรู้ จับมันมาใช้ ให้มันอยู่นี่ลองดู แล้วเราไม่หัด มันก็กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝันกลางวันก็ว่าคิด ไปเรื่อย
ชีวิตนี่ วัฏฏะ วนเวียน เราเลยหอบหิ้วไป อันนั้นเรียกว่าไม่ได้ใช้ชีวิต ไม่มีชีวิต ชีวิตอันอื่นเอาไปใช้หมด บางทีต้องรับใช้มัน ถามทางความโกรธ ให้ความโกรธทำให้เกิดการแตกแยก ทำลายล้างซึ่งกันและกันได้ ความโกรธ มันร้ายขนาดนั้นก็ยังไปรับใช้มันอยู่ มันก็พึ่งกันไม่ได้ ถ้ามาเห็นซะแล้ว ไม่เป็นไปกับอาการดังกล่าว จะเกิดกัลยาณมิตรในชีวิตขึ้นมา สงสาร สงสารตัวเอง เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายความหลง เบื่อหน่ายความโกรธ เบื่อหน่ายความทุกข์ เบื่อหน่ายอะไรต่างๆ ที่มันพาให้เป็นกรรมรับใช้มัน เบื่อหน่าย เรียกว่า วิราคะจางคลาย นี่คือ มันจะเห็นธรรม เห็นธรรม เห็นเป็นคู่ มีสุขก็ไม่มีสุข มีทุกข์ก็ไม่มีทุกข์ มีเกิดก็ไม่มีเกิด มีแก่ก็ไม่มีแก่ มีเจ็บก็ไม่มีเจ็บ มีตายก็ไม่มีตาย มีหลงก็ไม่มีหลง มีอะไรต่างๆ เป็นคู่ จะเป็นกัลยาณมิตรกับตัวเองได้ เป็นกัลยาณมิตรกับคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่นได้ ผู้ที่เข้าถึงธรรมแบบนี้ จะไม่ค่อยทะเลาะกับใคร ไม่ค่อยทะเลาะกับตัวเอง ไม่ขัดแย้งกับตัวเอง เข้าใจชีวิตตัวเอง มันก็เหมือนกันหมด
ชีวิตของคนเรา ถ้าเข้าใจชีวิตของตัวเองแล้ว เข้าใจชีวิตคนอื่น รู้จักช่วยคนอื่น เหมือนกับเราสาธยายพระสูตร ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คนผู้นั้นจะถึงฝั่งพระนิพพาน ถ้ามนุษย์ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะถึงเป็นพราหมณ์มีน้อยนัก อยู่ตรงไหนล่ะ คือไม่เปลี่ยนน่ะ ปฏิบัติตามธรรม ให้มีความรู้สึกตัวไป มันหลงรู้ไป ปฏิบัติตามธรรม อย่าปฏิบัติตามอธรรม ความหลงไม่ใช่ธรรม ความไม่หลงนี่คือเป็นธรรม ถ้าถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน อันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยาก โลกมันดูด มันมีรสชาด มันดูด ข้ามได้ยาก ถ้าไม่ใส่ใจไม่มีศรัทธา เปลี่ยนหลงเป็นรู้เนี่ย ก็ได้ยาก มันมีรสนะความหลงเนี่ย ความโกรธก็มีรส ทำตามความโกรธมากเท่าไหร่ ฆ่ากัน ทำลายล้างกันเพราะความโกรธ แตกร้าวสามัคคีกันเพราะความโกรธ มันมีรสชาติ “ถ้าได้โกรธ ไม่ลืม” มันก็ห้ามได้ยาก ถ้าไม่มีศรัทธา
ถ้าเป็นทีมนะ เหมือนเล่นกีฬา ทีมของนักกีฬาคือตัวบุคคล เป็นคู่ ส่งให้กัน ทีมของกีฬาคือกรรมฐานเนี่ย ไม่มีตัวบุคคล มีศรัทธา นี่เป็นทีมของเรา มีความเพียร ทีมของเรา มีสติเป็นทีมของเรา มีสมาธิเป็นทีมของเรา มีปัญญาเป็นทีมของเรา ไม่ใช่เราคนเดียว เวลาเราทำกรรมฐานนี่เยอะแยะ ศรัทธาเชื่อว่าทำดี มันต้องดี ทำชั่วต้องชั่ว มีคนอื่นทำได้มากแล้ว สองพันกว่าปีมาแล้ว จนมาถึงรุ่นพวกเราทุกวันนี้ พอจะเห็นร่องรอยครูอาจารย์ของพวกเรา มีคนผ่านตรงนี้มาแล้ว เรียกว่าเราก็ศรัทธา
ใครก็เคยหลง จึงมาสอนเรื่องหลง เป็นอกุศลแน่ๆ ไม่ดีสักหน่อยเลย ความไม่หลงเป็นกุศลแน่ๆ ดี เราก็ได้ยินมา มาสัมผัสดู โอ้ย พระพุทธเจ้าผ่านตรงนี้ เหยียบตรงนี้ไปแล้ว ครูอาจารย์ของเราผ่านตรงนี้ เหยียบตรงนี้ไปแล้ว นี่คือศรัทธา ไม่ใช่หลงเราจะเสมอภาค ไม่ใช่ คนที่ไม่หลงก็มีในเรื่องเราหลง ที่เราโกรธตรงที่เราโกรธ คนอื่นไม่โกรธก็มีมาก ศรัทธาบ้าง ไม่ใช่เราอย่าไปเหมา เหมาธรรม ไม่ใช่ อายนะ ก็ไม่หลง ก็ไม่โกรธตรงนี้ เราจะมาโง่เง่าอยู่ทำไม เป็นมนุษย์ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน สอนไม่ได้ สัตว์น่ะ หรือเราจะเป็นสัตว์เดรัจฉานเหรอ มาดูตัวเองมันก็ไม่ใช่ มันไม่มีหางเหมือนหมา มันเป็นคน มันเปลี่ยนได้อยู่ เนี่ยเราเป็นมนุษย์เนี่ย เราจะไปโง่อยู่อย่างนั้น ไม่เอา สอนไม่ได้ สัตว์เดรัจฉาน ฝึกได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ศรัทธา นี่เรียกว่าทีมของเรา มีสติเข้าไปอีกเนี่ยยิ่งแน่นอน ป๊าบขึ้นมา รู้สึกตัว ล้างสะอาด ไม่เป็นเนี่ย สะอ้าด สะอาด ไม่เปรอะเปื้อน มันจะเปื้อน ล้างขึ้นมา เหมือนเรามีน้ำอาบ ตื่นขึ้นมาแปรงฟัน ล้างหน้า ไปดูต่อหน้าใครก็ได้ มั่นใจเลย เราได้แปรงฟัน ล้างหน้าแล้ว มันก็สะอาด สะอาดกายด้วยน้ำ สะอาดใจด้วยสติด้วยกรรมฐาน มันทำได้นะ มั่นใจ จะไม่เบียดเบียนตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์ จะไม่เบียดเบียนคนอื่นร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเกิดกัลยาณมิตรขึ้นมา
มีสติ มีปัญญา มีสมาธิ เชื่อมั่น แน่วแน่ หลงไม่ถูกต้อง ไม่หลงถูกต้อง ความโกรธไม่ถูกต้อง ความไม่โกรธถูกต้อง ที่สุดเลยในโลก ความทุกข์ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์ถูกต้อง มันก็ไปแล้วบัดนี้ ทะลุทะลวงไปแล้วบัดนี้ บางอย่างมันพังออกก่อน เหมือนประตูเปิดให้ อย่างเราไปบิ๊กซี อะไร โลตัสเหรอ (หัวเราะ)ไปสนามบิน พอเดินไปประตูมันเปิดพริ้วเลย ไปโรงพยาบาลจุฬา อาจารย์ตุ้มพาเดินออกหน้า ประตูเปิดชั้บให้เลย เอ้าเนี่ย ธรรมะเป็นอย่างนี้เหรอ เกิดขึ้นแล้ว มันเปิดมันบอก ผิดมันบอกถูกมันบอก ถ้ามันปิดแสดงว่าไปไม่ได้ สิ่งไหนไปไม่ได้ ไม่ใช่ประตู ความหลงไม่ใช่มันปิด มันเปิดได้ไม่หลง ประตู อยู่ตรงนั้น ออกไปตรงนั้น มันทุกข์เปิดออกไม่ทุกข์ เปิดออกไป จึงจะเรียกว่าเป็นทาง
บางทีเราขวางทางตัวเอง ไปทางขวาง เรียกว่าเดรัจฉาน ถ้าใครไปทางขวางเรียกว่าเดรัจฉาน ไปทางขวางแบบไหน ทำไม่ได้ มันโกรธ อย่าโกรธเถอะน้อง ไม่ได้ ๆ เดรัจฉาน ไปทางขวาง ขวางตัวเองเอาไว้ นั่นแหละ ไม่ต้องไปค้านเหมือนหมา เป็นเดรัจฉาน ถ้าไม่เอาชนะความชั่วด้วยความดี มนุษย์ มนุษย์ เดรัจฉานออก หน้าตาเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นเดรัจฉาน เนี่ย เห็นแล้ว โอ้ย ปัทโธ่ สามสิบปี เป็นทุกอย่าง เป็นทั้งเปรต เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน สัมผัสกับความเป็นพระ ประเสริฐ ไม่เปรอะไม่เปื้อนขึ้นมา เป็นภพใหม่ ชีวิตใหม่ นวชีวัน ชีวิตใหม่ขึ้นมา ต้องเป็นอย่างนี้ กรรมฐาน จึงจะเรียกว่าล่วงพ้นภาวะเก่า ล่วงพ้นภาวะเดิมๆ เปลี่ยนภาวะเดิม มาเป็นภาวะใหม่ ไม่ใช่เปลี่ยนกาย เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตา เปลี่ยนในด้านจิตใจ หรือชีวิตจิตใจ ที่ใช้อะไรเป็นประโยชน์กว่าเก่า
แต่ก่อนเป็นโทษ มีใจก็ไม่มั่นใจตัวเอง บัดนี้ ฝึกไปฝึกไป ก็เห็นหลักฐาน เห็นกายเห็นใจ เห็นเป็นรูปเห็นเป็นนาม ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม แตกฉานตรงนี้ รูปมันบอก นามมันบอก ความสุขความทุกข์เกิดจากรูปจากนาม เป็นอาการ แต่ก่อนเป็นกายเป็นใจ เรียกว่าสุขว่าทุกข์ พอมาเห็นเป็นรูปนามแล้ว มันเห็นเป็นอาการ นิดหน่อย จิ๊บจ๊อย เบาๆ บางๆ ไม่แน่นหนา เหมือนทะลุทะลวง คนมีความรู้ มองอะไรทะลุทะลวง เป็นอาการ สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ถ้าเห็นเป็นรูปเป็นนามแล้ว เป็นอาการ ถ้าเป็นกายเป็นใจ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นร้อนเป็นหนาว เป็นหิวเป็นปวดเป็นเมื่อย ถ้าเห็นเป็นรูปธรรมนามธรรม เป็นอาการ ไม่ต้องเรียกหรอกว่าสุขว่าทุกข์ อาการเท่ากันเหมือนกันหมด สุขก็คืออาการ ทุกข์ก็คืออาการ ความโกรธ ความโลภ ความหลงก็คืออาการ ความร้อนความหนาวคืออาการ ความหิว ความเจ็บป่วย คืออาการของรูปของนาม ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ เลยไม่สูญเสีย เพราะมันเห็นแจ้ง
วิปัสสนาญาณ เห็นแจ้งตามความเป็นจริง มันหลงก็เห็นมันเป็นอาการ มันรู้เห็นเป็นอาการ มันผิดก็เป็นอาการ มันถูกก็เป็นอาการ ไม่เรียกว่าชอบไม่ชอบ ไม่มีแล้ว พอใจไม่พอใจ ไม่มี ในอาการต่างๆ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายในอาการต่างๆ เนี่ยนะ เห็นอะไรเข้าไปซ่อนอยู่ ก็ล้างบาง เห็นสมมุติ เห็นสัมผัส เห็นสมมุติ เห็นบัญญัติ เห็นวัตถุ เห็นอาการที่เขาแสดง ตาเห็นรูป เรียกว่าสัมผัส ระหว่างเห็น มีสติ รู้แจ้ง ถ้าไม่มีสติ ไม่เห็น ไปเป็นก็มี สมมุติขึ้นมา ชอบ มีบัญญัติขึ้นมา ชอบ ไม่ชอบ ถ้าไม่มีสตินะ ถ้าเป็นแล้ว ชอบไม่ชอบ มีสมมุติมีบัญญัติ สมมุติไม่ใช่ ไม่จริง ปรมัตถ์จริง ความโกรธเป็นสมมุติ ไม่ใช่ปรมัตถ์ ความไม่โกรธเป็นปรมัตถ์ ความทุกข์เป็นสมมุติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัตถ์ ปรมัตถะสภาวะธรรม นี่คือเห็นธรรม มีบัญญัติ มีวัตถุ มีอาการ มันก็ต้องมีอาการมีวัตถุ เพราะมีตา มีรูป มีหู มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัส อะไรต่างๆ แตกฉานเลยตอนนี้ เข้าแถวมา พังพินาศไปเลย ทะลุทะลวงไปเลย เปิด ไม่ปิด มองอะไรไม่มีอันปิด สะดวก
ชีวิตสะดวก ไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ติดเหมือนจราจร แต่ก่อนจราจรชีวิตเราติดขัดมาก บัดนี้ มันเป็นชีวิตที่ฟรีเวย์ สะดวกที่สุด นะ มันก็เลยได้ ถึงกับภาวะการเกิดแก่เจ็บตาย เป็นการสะดวก ไม่มีจริงๆ ที่ว่าทุกข์น่ะ เสียเปรียบมันทำไม
เนี่ย ให้มันพบธรรมตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นน้อย มันจะมีชีวิตสะดวกไปยาวนาน นอกจากชีวิตเราสะดวก คนอื่นก็สะดวก สิ่งอื่นก็สะดวก อะไรก็สะดวก ไม่มีการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน น่าอยู่โลกนี้อ่ะ มองอะไรเป็นมรรคเป็นผลไปหมด ถึงจุดหมายปลายทางหมด ไม่มี ไม่มีภพมีภูมิอะไร เป็นจุดหมายปลายทาง ที่สุดของชีวิตของคน ถึงตรงนั้น และขอบอกว่า ไม่เป็นอะไรกับอะไร ในชีวิตเนี่ย คำว่าไม่เป็นอะไรกับอะไร ที่มันเรื่องของกายของใจ ไม่เป็นอะไร อะไรกับมันเลย มีแต่เห็น จบง่ายๆ อะไรก็จบไปแล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว รู้เห็นแล้ว ไม่เอะใจ อะไรที่มันมาก็ผ่านมาแล้ว ผ่านทุกข์จึงพ้นทุกข์ ผ่านทุกอย่างจึงพ้นมา ผ่านมาอย่างโชกโชน เนี่ยเราฝึกกรรมฐาน ยิ่งเราเป็นเรียกว่าผู้ครองบ้านครองเรือน มีร่องรอยแห่งภพภูมิต่างๆ ยิ่งรื้อถอนได้สนุก นะ รื้อถอนได้สนุก สิ้นเวรสิ้นกรรม เคยโกรธ เคยทุกข์ สิ้นทุกข์ สิ้นโกรธ ยิ่งมีภพภูมิบ้าง ยิ่ง ยิ่ง ยิ่งมีรสชาติ ถ้าใครมีเรียบๆ ไปสะดวกดี เหมือนพระอรหันต์บางรูป เป็นอยู่อย่าง นะ อะไร.. หา (หัวเราะ)รู้ง่ายๆ รู้ธรรมโดยง่าย พอฟังปั๊บ รู้ทันที ทะลุทะลวงเลย เพราะไม่มีอะไร เหมือนทะลุไปแล้ว พอมีแยกให้ ไปได้เลย เหมือนคนเรียนหนังสือไอคิวดี นี่คน บางคนไม่มีร่องรอย เราเนี่ยมีร่องรอยมาก เหมือนชีวิตเดินทางมาไกล ได้เห็นอะไรต่างๆ อันเดียวกันหมด เราก็เหมือนเขา เขาก็เหมือนเรา หัวอกเดียวกัน เปลี่ยนแปลง นี่คือปฏิบัติธรรมนะ มันถึงจุดหมายปลายทาง คือไม่เป็นอะไรกับอะไร เพราะมันเห็นแล้วจึงไม่เป็น ถ้ายังไม่เห็น ไม่เป็นเลย ไม่ได้
เหมือนเราเห็นคนตกน้ำจะไม่ช่วย ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เป็นคือว่าไม่ช่วยแบบนั้น ช่วย ช่วยไม่ได้ ช่วยเต็มที มันก็ไม่ได้ เห็นคนโกรธ เราก็ช่วย ไม่ใช่ ไม่รู้ไม่ชี้อะไร คือทำแล้วจึงไม่เป็น ไม่ใช่ไม่ทำอะไรแล้วจึงมาปฏิเสธ ไม่ใช่ ทำแล้ว อันเรื่องของเรานะ ปฏิเสธนะ คนอื่นไม่ใช่ปฏิเสธ ช่วยจนสุดความสามารถ สิ่งอื่นวัตถุอื่น ไฟไหม้ป่า ไม่ดับไฟ มันก็ไม่ใช่ ดับ คนที่ไม่เป็นอะไรเลย ดับ ไม่มีอะไรที่ต้องไปขวางกั้นการทำความดี การดับไฟมันเป็นความดี การปลูกป่าเป็นความดี การช่วยคนเป็นความดี ทำให้เขาพ้นจากความไม่ดี แต่ตัวเรานี้ไม่ทำ ไม่ทำอะไรที่มันทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ไม่เป็นอะไรที่ไม่ให้ตัวเองเป็นทุกข์เป็นโทษ เคยเป็นทุกข์เป็นโทษโกรธตัวเอง บัดนี้ไม่ทำอะไรที่เป็นทุกข์เป็นโทษนั้น เรียกว่าบริสุทธิ์ เนี่ยชีวิตของเรา มันน่าจะถึงตรงนี้ง่ายๆ ถ้าชำนาญแล้วไม่ต้องไปเรียน นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้
บรรลุธรรมคือไม่เป็นอะไร ทำได้เลย มันสุขไม่เป็นสุข มันทุกข์ไม่เป็นทุกข์ อันนี้ช่วยไปก็ได้ มีการกระทำเข้าไปอีกยิ่งชัดเจน นะ เขาบอกอย่างเนี่ย พูดให้ฟังแบบเนี่ย ทำไปได้เลย กรรมฐาน การกระทำ ถ้ามันจะหลง ไม่หลง ถ้ามันจะทุกข์ ไม่ทุกข์ นั่งอยู่ นอนอยู่ ไม่ทุกข์ ไม่หลง ไม่โกรธ ไม่ปรุง ไม่แต่ง หยุด เวลานอนก็หยุด นอน เวลาตื่น ก็หยุด ปรุงแต่ง นี่คือกรรมฐาน ให้เป็นกรรมฐานเต็มบ้านเต็มเมือง หนุ่มสาวกรรมฐาน เพื่อน เป็นเพื่อนกรรมฐาน การงานกรรมฐาน พยาบาลกรรมฐาน นายแพทย์กรรมฐาน แม่บ้านกรรมฐาน ครูกรรมฐาน พ่อบ้านกรรมฐาน มีกรรมฐานเต็มบ้านเต็มเมือง ที่ตั้งแห่งการกระทำทั้งหมด ทำดี ละชั่ว ทำดี นะ เท่านี้ก็พอ พอนะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน