แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มา ฟังธรรมนะ ขยันนะ การบอกความเท็จความจริงเนี่ย เป็นชีวิตชีวาจริง ๆ เนี่ย โลกเราจะมีชีวิตชีวาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่ามันมีสูตร สูตรของคนที่ต้องศึกษาให้มันจบ ถ้าไม่รู้จักสูตรของเราแล้ว มันก็มีปัญหาแน่นอน พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ค้นพบ อย่างพระสูตรที่เราสาธยาย สวดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น บทพิเศษอะไรบางอย่าง ล้วนแต่เป็นสูตรที่ค้านไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า ผู้นั้นเห็นพระธรรม เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผู้ใดเห็นพระธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค้านไม่ได้ มัดมือชกเลย ชีวิตของเรา ใครปฏิเสธเรื่องนี้ ถือว่าเถลไถล ใช้ไม่ได้
กว่าที่จะค้นพบเรื่องนี้ นานเท่าไหร่ จนถึงพิสูจน์อะไรหลายอย่าง เช่น ครูทั้งหก ปกุธกัจจายนะ เป็นครูคนหนึ่ง ที่หนึ่ง แล้วก็ค้นมา มักขลิโคศาล เป็นครูคนที่สอง เอ้อ อะไร สัญชัยเวลัฏฐบุตร อะไรล่ะ(นิครนถ)นาฏบุตรน่ะ หา (หัวเราะ) เนี่ย จนถึง อขิตเกสกัมพล ปกุธกัจจายนะ เป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อนาย เลิกทีหลัง ทำงานหลังนาย ลงทำงานก่อนนาย เก็บเอาของนายที่มอบให้ ทำงานโดยความใส่ใจ เบื่อหน่ายในการเป็นทาส หนีนายตามจับ วิ่งไล่จับเอาผ้า ผ้าหลุด แก้ผ้า วิ่งหนีไปเลย จนไม่นุ่งผ้า คนเห็นไม่นุ่งผ้า ก็เกิดศรัทธาก็มี เขาเข้าใจว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่ได้บรรลุธรรม ไม่ต้องอาศัยอะไร เขาก็มีศรัทธา มีศาสนิกมากมาย นี่คือปกุธกัจจายนะ อย่างน้อยก็มีก่อนพระพุทธเจ้า มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ใช่หรือไม่ คนบางคนไม่ยอม ต้องหาวิธีอื่น มักขลิโคศาล ขึ้นมาอีก เป็นลูกที่เกิดในคอกโค ประกาศตนเป็นศาสดา หมดกิเลส มีธรรมคำสอนมากมาย มีลูกศิษย์ลูกหามาก อะไรล่ะ (นิครนถ)นาฏบุตร จำบ่ได้ เป็นบุตรนายช่างฟ้อนรำ มีชื่อเสียง ประกาศตนเป็นศาสดา มีคำสอน เช่น นอนหนาม คนก็เชื่อ จนถึง สัญชัยเวลัฏฐบุตร เป็นบุตรของช่างจักสาน มีชื่อเสียง เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง ก็ประกาศตนเป็นศาสดา อขิตเกสกัมพล ครูอีกคนหนึ่ง นุ่งผมมนุษย์ มนุษย์ที่ตัดผมคนตาย ที่ตายไป ไปเอาผมมาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ไปที่ใด คนศรัทธา แปลกๆ มี ศาสนิกมากมาย แต่มีคนที่ไม่ยอมรับเช่น สิทธัตถะ ไม่ยอมรับ ไม่คัดค้าน ไม่ต่อต้าน หา ไม่ยอม ออกไปบวช ออกไปบวช เขาก็ท้าทาย เขามีครูทั้งหกอยู่แล้ว เขาสอนกันอยู่แล้ว ต้องแหวกลง พระองค์ก็พิสูจน์มามากมายหลายอย่าง ไม่ใช่ จนมามีกาย มีสติไปในกายเนี่ย มีสติไปในกาย เห็นกายอยู่เป็นประจำ เนี่ย สูตรมันแท้ๆ เนี่ย เราก็มีกาย เหมือนกับสูตรสำเร็จอันหนึ่ง เหมือนสูตรการแพทย์ สูตรกีฬา สูตรอะไรต่างๆ เขาก็มีสูตรของเขา ก็เล่นไปตามสูตร จะไม่พยายามที่จะแพ้เรื่องใด แต่ก็ยังแพ้ได้ มันก็ชนะได้ด้วยสูตร มีครู ศิษย์มีครู ทำอะไรก็มีสูตร จะเป็นหัตถกรรม นวกรรม ศิลปกรรม มันก็มีสูตร ขึ้นสูตรจักสาน มันก็มีสูตร เคยเรียนสูตรจักสาน ไก่ อีกา ข้ามมา ยกสอง ข้ามสาม ทุกที ที่ยกสองให้ยกสามข้าม ที่ยกสองให้ยกสี่ ข้ามสามทุกที ตรงที่ยกขึ้นสองเส้น ต่อไปยกสี่เส้น แต่ข้ามสามทุกที มันจะเป็นลาย แล้วก็สานเข้า ถ้ายกผิด สานไม่เข้า ตอกไม่เข้ากัน ห่าง ถ้าสานถูก มันถี่ นี่เป็นสูตร ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสานกระติบข้าว นับสาม คู่สาม ให้เศษสองเส้น หนึ่ง นับทีละสามเส้น ๆ นับไปแล้ว ด้าย จะเอาเล็กเอาใหญ่เท่าไหร่ แล้วให้เศษสองเส้น มันจะรวมกันเป็นลายไปเลย มันเข้ากันไปเลย เป็นวงกลมไปเลย นี่เป็นสูตร ตัดเสื้อตัดผ้าก็มีสูตร ตัดผมก็มีสูตร อะไรก็มีสูตร จึงใช้ได้ ถ้าไม่มีสูตร มันใช้ไม่ได้ ไม่สำเร็จ ไม่จบไม่สิ้น
การปฏิบัติธรรมก็มีสูตร เรียนรู้เรื่องชีวิตของเรานื่ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เพราะมันมีสูตร มันจึงมีศีล มีสมาธิก็ต้องมีสูตร ปัญญา ก็ต้องมีสูตร เป็นมรรคเป็นผล ต้องมีสูตร เป็นหลักสูตร มีเยอะแยะ ตั้งสองพันสองร้อยธรรมขันธ์ สองร้อยเรื่อง สูตรของธรรม สูตรของวินัย สองพันสองร้อยเรื่อง สูตรพระธรรม พระสูตร พระวินัย พระธรรมมาสน์ สี่หมื่นสองพันเรื่อง รวมแล้วเป็นแปดหมื่นสี่พันเรื่อง ได้ศึกษาสูตร มันแตกฉานไป ถ้าไม่มีสูตรมันไม่แตกฉาน เหมือนเราเรียนวิชาอะไรมันแตกฉานง่าย ๆ ถ้าได้สูตรแล้ว ไปเรียนบาลี เรียนนักธรรม มันจะถามอะไร มันก็ต้องถามในสูตร ถามนอกสูตร ไม่ใช่ เช่น เรียนคณิตศาสตร์ ไปถามเรื่องเกษตร มันไม่ใช่สูตรของวิทยาศาสตร์ สูตรชีวิตที่มันเรียนจบ เรียนจบสิ้น มันมีสูตรแบบนี้
มีสติไปในกายแบบนี้ มันจะเข้าแถวมาให้เราดู เราก็ ประสบการณ์เอา กาย ในกายเป็นประจำ มันมีอันเดียวที่แรก ต่อไปเวทนา ในเวทนาทั้งหลาย เป็นประจำ มันมีทั้งหลาย คำว่าเวทนาเนี่ย จิตก็มีจิต ประจำอันเดียว ถ้าธรรม มีธรรมทั้งหลาย อยู่เป็นประจำ เห็นธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เห็นจิตที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เห็นเวทนาทั้งหลายเกิดขึ้นเป็นประจำ เห็นกายในกายเป็นประจำ มันมีอันเดียว กายกับจิต แต่ถ้าแยกออกเป็นเวทนามีมาก เป็นธรรมก็มีมาก มันเกิดจากกาย จากจิตเราเนี่ย มันจะ เมื่อทำถูกมันจะกระจายออกไป เมื่อทำไม่ถูกก็ไม่กระจาย รื้อไม่ออก เหมือนรื้อบ้าน รื้อรถ เครื่องยนต์กลไก ถ้าไม่รู้จักตรงที่รื้อ มันก็ออกไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า สูตร เราจะปฏิเสธไม่ได้ มันใช้ได้จริง ๆ สูตรรื้อถอน สูตรประกอบ เพื่อจะใช้มัน ตามสมมุติบัญญัติ สูตรที่เป็นสมมุติเพื่อใช้ชั่วคราว สูตรที่เป็นสมมุติบัญญัติ สูตรที่เป็นปรมัตถสัจจะ ไม่ต้องมีสมมุติใช้ มันมีอยู่แล้ว แต่ต้องมีสมมุติ เป็นเปลือก เช่น ข้าวที่เราเอามากินนี่ ต้องมีข้าวเปลือก จะเก็บข้าวสารไว้ไม่ได้ มันสูญพันธุ์ ต้องมีข้าวเปลือกเก็บเป็นพันธุ์เอาไว้ แต่เราไม่ได้กินข้าวเปลือก เค้ากินข้าวสารกินข้าวสุก แต่จำเป็นต้องเก็บ หรือต้นไม้ ต้นไม้ต้นไหนไม่มีเปลือก ก็ไม่เจริญ เป็นต้นไม้ที่ตายไปแล้ว มันมีเปลือกมันจึงเจริญ ศาสนาก็เหมือนกัน มีสมมุติ มีบัญญัติ มีปรมัตถ์ อาศัยสมมุติ ใช้ได้ นี่เป็นพระสงฆ์ นั่นเป็นแม่ชี นั่นเป็นอุบาสก นั่นเป็นอุบาสิกา มีระเบียบ ของอะไรเป็นระเบียบ ไม่ใช่สมมุติ หลวงตาไปอบรมพยาบาลที่สระบุรี วิทยาลัยพยาบาลพุทธบาทกับอาจารย์สายหยุด ผอ.วิทยาลัยพยาบาล ฝึกพยาบาล เอากระโถนมาให้ใส่ข้าวให้กิน จะกินได้ไหม (หัวเราะ) กระโถนฉันเหรอ ใส่ของสกปรก ใส่คูถ สิ่งสกปรก แต่เอามาใส่ข้าวกิน พอพยาบาลเห็นกระโถนแล้วกินข้าวไม่ลง อย่างนั้นไม่ได้ ต้องให้รู้จักสมมุติ มันเป็นชื่อเฉย ๆ กระโถน แต่ไม่ได้ใส่อะไร มันใหม่อยู่ ถ้าเราเอากระโถนมาใส่ข้าวกินจะเป็นเรื่องแปลก สมมุติแบบนี้ใช้ไม่ได้ แม้กระโถนในท้องพระโรง อยู่ในท้องพระโรงก็ยังใส่ของสกปรก นี่ชื่อว่า กระโถน เอามาตั้งเป็นกระถางธูปไม่ได้ ลองเอากระโถนมาตั้งเป็นกระถางธูป เขาก็หาว่าเราบ้า นี่สมมุติบัญญัติ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ จริงแบบสมมุติ แต่ไม่จริงแบบปรมัตถ์ ภาษาที่เราใช้ สมมุติที่เราใช้ อย่างเนี่ย อย่าไปหลง แต่อย่าทิ้ง
เรามาเห็น เห็นทุกข์ เห็นความไม่ทุกข์ เห็นความดับทุกข์ อันนี้จึงเป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ เหมือนคนเป็นนักกีฬา แก้ให้ได้ ถ้าไม่แก้ รูปกาย ไม่มีชนะ มันก็แพ้ตลอดไป ถ้ามันหลง ไม่รู้ ก็แพ้ความหลง ปราชัย ต้องอาบัติ ปาราชิก ร้ายแรง ไม่เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ไม่มีโอกาสบรรลุธรรมได้ ไม่ถึงมรรค ถึงผล นี่คือ มันถูก มันผิด มันโกรธ ไม่แก้ ไม่เปลี่ยน ต้องปาราชิก ไม่ถึงมรรคถึงผล มันทุกข์ ไม่เปลี่ยน ไม่แก้ มันก็ขวางกั้นต้องปาราชิก พ่ายแพ้ ไม่ถึงมรรคถึงผล มันจะพ่ายแพ้ตรงนี้ก่อน จึงไปผิดปาราชิก สังฆาทิเสสอันต่อไป ก่อนเหตุมันจะแพ้ที่โน่น ต้องแพ้ตรงนี้ก่อน ถ้าเราไม่แพ้ตรงนี้ มันก็เลื่อนฐานะ เลื่อนชั้น ผ่าน เหมือนประถม มัธยม อุดม ได้ง่าย เหมือนนักกีฬาเขาฝึก เพื่อใช้ ไม่ใช่เป็นทุกขปฏิปทา เขาลงสนาม เขาฝึกเพื่อใช้ นักมวยเขาฝึกวิชามวยเพื่อเอาไปใช้ ป้องกันตัวเขา ถึงคราวที่จำเป็น หรือไปแข่งกีฬา ตามสมมุติของโลก ตามทีมต่าง ๆ ฟุตบอล เขามีฝึก เพื่อใช้ ถ้าเราไม่ฝึกอะไร ไม่มีอะไรใช้กับเขา จน เหมือนเราไม่มีอาชีพ ทำอะไรก็ไม่เป็น การฝึกเนี่ยไม่ถือว่าเป็นทุกขปฏิปทา บางคนเห็นเราฝึกวิชากรรมฐานแบบนี้ เขาว่า นี่ ทุกขปฏิปทา ดังๆ กันอยู่ทุกวันนี้ มีพระที่ไม่เห็นด้วยกับการเดินจงกรม นั่งเฉย ๆ ก็ได้ บรรลุธรรมได้ เขาหาว่าเป็นทุกขปฏิปทา เดี๋ยวนี้ก็ ถูกโจมตี อะไรก็จะให้บรรลุธรรมเพราะพระอาจารย์ช่วย ตัวเองไม่ต้องช่วยตัวเอง อาจารย์แบบนี้ก็มี แต่ถ้าจะได้บรรลุธรรม ต้องให้เราช่วย มาศรัทธาเรา ถ้าจะไปฌาน เราจะไปแทน เข้าฌานทีละเดือน ทีละอาทิตย์ สองอาทิตย์ คนอื่นทำไม่ได้ ทำได้เฉพาะอาจารย์ เมื่อไปดูแล้ว เห็นแล้ว มาเล่าให้ฟัง เกิดศรัทธา นั่นไม่ใช่ ถ้าทำ คิดคำสอนอะไร สอนให้ขอพึ่งคนอื่น สิ่งอื่น ใช้ไม่ได้ ไม่ใช่ปรมัตถ์ คำสอนอะไรที่สอนให้เขาพึ่งตัวเขา นั่นชื่อว่าเป็นปรมัตถสัจจะ
เพราะฉะนั้นวิธีใดที่เราสอนให้เขาพึ่งตัวเขาได้ กรรมฐานเนี่ย มันเป็นอย่างนั้น ยกมือขึ้นรู้ไหม ให้เขารู้เอง สอนให้เขาหัดตัวเอง ไม่ใช่มาให้เราหัดให้เขา ให้เราเอาบุญให้เขา เขาโกรธ เขาเป็นบาป เปลี่ยนโกรธเป็นความไม่โกรธ เขาจะทำบาปให้เป็นบุญ ให้เขาทำเอาเอง เขาทุกข์ เขาเปลี่ยน เราสอนเขา ทุกข์มันไม่ทุกข์ก็ได้ บอกเขาให้เขาเปลี่ยน
เวลานี้ก็มีโยมบ้านท่ามะไฟหวานเป็นทุกข์ มาหา ไม่สบายใจ มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อก็สอนเขาให้เขาเปลี่ยน ให้ความเห็นเขา ตอนนี้จะไปดูเขาสักหน่อย อยากจะช่วยคนที่มีทุกข์ อยากจะช่วยคนที่เจ็บที่ป่วยที่ตาย มันไม่ควรจะปล่อยกันทิ้ง เพราะเราจะไปสอนให้เขาช่วยเขา ให้เขาเป็น รู้จักช่วยเขาเอง จะเป็นอัตตาหิ อัตตโนนาโถ เขาเป็นที่พึ่งของเขาได้ นี่คือสัจธรรม ไม่ใช่อาจารย์เก่ง เราเก่งเหมือนอาจารย์ไม่ได้ ไม่ใช่ ถ้าไม่เช่นนั้น ไม่ได้มีพระสูตรว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า เนี่ย ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้า ผู้นั้นเห็นธรรม มันก็เราก็ทำได้เนี่ย ผู้ใดเห็นธรรม เห็นอะไร เห็นปฏิจจสมุปบาท เราก็เห็นได้ ปฏิจจสมุปบาท ไม่ใช่ไปแหวกเอาในตับ ในพุงของพระพุทธเจ้า คือธรรมคำสอน มันอยู่กับเรา อะไรที่เกิดขึ้น มันเกิดแต่เหตุ เช่น เป็นทุกข์ มันเกิดจากความหลง ความโกรธ เกิดจากความหลง ความหลงเป็นเหตุ ความหลงเป็นมารดาความชั่ว เป็นอกุศล เมื่อมีอกุศลเกิดขึ้น อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญมากขึ้น มันตั้งต้นจากอกุศล อกุศลคืออวิชชา กุศลคือวิชชา มันก็อยู่ที่นี่ เกิดที่เดียวกัน แต่เปลี่ยนทางกัน เปลี่ยนทางกัน แต่เกิดที่เดียวกัน เหมือนหน้ามือหลังมือ ทางหนึ่งเป็นกุศล คือไม่หลง เกิดที่ใจ ทางหนึ่งเป็นอกุศล คือหลง เกิดที่ใจของคน คนต้องเปลี่ยนเอาเอง ใจของเขา เขาต้องเปลี่ยนเอาเอง ถ้าเขาไม่เปลี่ยน จะขอของคนอื่นไม่ได้ บุญ ไม่ใช่ขอ ทำเอา อะไรก็เหมือนกัน ถ้าทำเอาได้ ก็แสดงว่าพึ่งตัวเองได้
อาชีพก็เหมือนกัน เลี้ยงไม่โต ให้พ่อให้แม่เลี้ยงดูอยู่ตลอด จนเฒ่าจนแก่ อันนี้มันก็เรียกว่า เลี้ยงไม่โต ถ้าลูกคนใด เอาตัวรอดได้ เลี้ยงโตแล้ว เขาเป็นคนโตแล้ว พ่อแม่ก็วางใจ ไม่ต้องเป็นภาระอะไร เดี๋ยวนี้เป็นภาระต่อมนุษย์ ต้องมีคุก มีตะราง มีตำรวจ มีทหาร มีตัวบทกฎหมาย คนชั่ว คนแก้ยาก บวชเข้ามาแล้วก็มีธรรมวินัย วินัยมีไว้เพื่ออะไร เพื่อแก้คนแก้ยาก ถ้าคนไม่แก้ยาก ไม่ต้องมี ต่างคนต่างปฏิบัติตัวเอง เหมือนกับกฎหมาย แต่บางคนมันก็ดื้อ มันก็ต้องมี ปล่อยไปไม่ได้ ต้องไปจับกุมคุมขังไว้ ถ้าปล่อยไว้เป็นอันตราย อันนี้ก็ เพราะมันเกิดที่คนเนี่ย ถ้าคนเราไม่เปลี่ยนแปลงละก็ ไม่จบไม่สิ้น มีปัญหาเรื่อยไป
มีปัญหาชวนกันให้ไปถึงมรรคถึงผลหมดซะ คนเนี่ย อ่ะ ทำไมไปไม่ได้ ถึงไม่ได้ มันหลงเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเนี่ย ถ้าเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ก็ไม่มีพิษมีภัยต่อใครแล้ว ไม่มีพิษมีภัยต่อตัวเองแล้ว เหมือนมีวิชชา มันก็จบ จบ จบไป ถ้ามีอวิชชา ก็ไป ไป ไป ไป วิชชา ก่อให้เกิดสังขาร ปรุงแต่ง สังขารก่อให้เกิดนามรูปปรุงแต่งเป็นภพ เป็นชาติ มีอายตนะ มีการสัมผัส เมื่อมีนามรูป มีอายตนะ อายตนะมีแล้วก็เกิดผัสสะ ผัสสะมีแล้วเกิดเวทนา เวทนามีแล้วเกิดตัณหา ตัณหามีแล้วเกิดอุปาทาน อุปาทานมีแล้วเกิดภพเกิดชาติ เมื่อมีภพมีชาติต้องมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เสร็จ ตายเลย ในภพในชาติของอวิชชา ถ้ามีวิชชา ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะไม่มี สังขารดับ วิญญาณดับ อายตนะดับ ภพ นามรูปดับ เพราะมีวิชชา ถอยกลับ อันหนึ่งมันไป อันหนึ่งมันถอยกลับ เหมือนธรรมจักร ธรรมจักรมันเหยียบไป แหลกไปแล้ว มันไม่กลับ
นี่ยังคิด ศิลาหลวงพ่อเทียน รำลึกครบร้อยปี ให้เป็นรูปธรรมจักรอยู่บนก้อนหินใหญ่ จะทำได้ไหม ให้อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์ตุ้ม(หัวเราะ) ออกแบบ เอาเหล็กมา ทุบลงเหมือนล้อ สิบสองซี่ กงวงแรกนี่สี่ซี่ ขยายออกไปสิบสองซี่ เป็นวงล้อ มีรูปพระผลักสองข้าง ให้กงธรรมจักรมันหมุน มีพระสองรูปผลักซี่ธรรมจักรไปคนละข้าง มีอุบาสิกานั่งคุกเข่า ดันธรรมจักร มีอุบาสกอยู่ข้างบน ดันให้หมุนไปข้างหน้า (หัวเราะ) จะทำได้ไหม ถ้าทำได้ก็ดีนะ ไม่ต้องมีพระพุทธรูป คนมาจากไหนจะเอาพระพุทธรูปมาให้ ก็มี ก็ไม่อยากได้ อยากได้ธรรมจักร เนี่ยว่า พรุ่งนี้จะไป จะไปดูปากช่อง ธรรมจักรที่เขาสกัดหิน จะหากล้องไปถ่ายเอา มาเป็นตัวอย่างให้ ฉลองร้อยปีหลวงพ่อเทียน ดีไหม (หัวเราะ) อะไรทำก็ไม่พอใจเท่ากับงานกรรมฐานเนี่ย นี่งานมรรคผลเนี่ย มันน่าจะทุ่มเทสักหน่อย มันสอนไม่ได้ ก็เอาปริศนาสอน มีประโยชน์นะ ปริศนาธรรม
เหมือนหลวงตาไปอยู่นิวยอร์ก อยู่ชิคาโก มีพยาบาลคนหนึ่ง พาไปเที่ยว ไปขึ้นตึกเซีย (SEARS) สูงที่สุดในโลก เขาขับรถพาไป ขับรถไปแล้วมี คนตาบอด ยืนอยู่กำแพง ดีดกีตาร์ ร้องเพลง หลวงพ่อเลยบอก พยาบาล หยุด ๆ ดูเขาสักหน่อยสิ เขาชื่อว่า เมาอะไร อ่อ ไม่ต้องออกชื่อก็ได้ ดูซิ เขาตาบอด ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใส แล้วอาจารย์ที่เป็นหมอทำไมหน้าบูด ๆ ไม่อายเขาเหรอ (หัวเราะ) ดูเขาซิ พยาบาลคนขับรถก็ อ้อ แปลก ยืนดีดกีตาร์ ร้องเพลงที่กำแพง มีกระเป๋า เปิดกระเป๋าไว้ คนก็เอาดอลลาร์ไปทิ้งให้ แต่เขาไม่สนใจ เดิน ร้องเพลง หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เปลี่ยนใจของพยาบาลได้ ปัดโถ เรามีรถเบนซ์ นั่งนะ ไม่เคยยิ้มแบบนี้ มีบ้านให้ฝรั่งเช่าตั้งสองสามหลัง ทำไมเราไม่มีความสุขเหมือนเขา ไม่เคยมีแบบนี้ คิดขึ้นมา เหมือนอาจารย์กำพล เป็นอุปกรณ์สอนธรรมะ ได้อย่างดี เคลื่อนไหวได้แต่คอ แต่ทำไม เขามีบุคลิกงดงาม เป็นปริศนา สอนใจของเราได้
อย่างเราเห็นพระพุทธรูปนี่ จะมาหน้าบูดหน้าบึ้งทำไม นั่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เห็นธรรม เห็นอาการที่มันเกิดขึ้นกับจิตกับใจของเรา เปลี่ยนมัน มันดี๊ดีนะ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนะ โอ๊ย มีชีวิตชีวา ถ้ามันมีทุกข์ เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์น่ะ มันมีชีวิตชีวาจริง ๆ นะ ทำไมจึงปล่อยทิ้งอย่างนี้ เรื่องของชีวิตเราแท้ ๆ ไม่เสียดายชีวิตหรือ มันที่มันตายไปเพราะความทุกข์น่ะ ชีวิตเราหมดไปแล้ว ตายไปแล้ว ไม่ทุกข์ มีชีวิต ไม่หลงคือชีวิต ไม่โกรธ ไม่พอใจ ไม่เสียใจ ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร คือชีวิต มันได้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปรอชาติไหน วันนี้ วินาทีนี้ เนี่ย ทำเอา ทำเอา ทำเอา มันยิ่งกว่าหาทรัพย์ หาเงิน เหมือนรวยทางลัดนะนี่ ปฏิบัติธรรมน่ะ ทำอันอื่น ไม่รวยทางลัดนะ เดี๋ยวนี้เขารวยทางลัด เล่นการพนัน มันฉิบหาย รวยทางลัด การปฏิบัติธรรม เปลี่ยนมาดูสิ มาได้เลย มันร้อนเย็นลง มันง่าย มันหลงไม่หลง มันโกรธไม่โกรธ มันทุกข์ไม่ทุกข์ เนี่ย มันทางลัดแท้ ๆ ลัดสั้น พระพุทธเจ้ายังลัด นิ้วมือเดียว เนี่ย แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ลัดนิ้วมือเดียว มันจะยากอะไร นะ ชีวิตชีวา มีแต่มรรคแต่ผล เต็มในตัวเราเนี่ย
มันก็สัมผัสได้จริง ๆ นะ มันร้อนสัมผัสความเย็น มันหนักสัมผัสความเบา ดูซิ ต่างกัน เคยหนักไหม ชีน้อย หาบแปดสิบกม.เคยหาบไหม หา ไม่เคยหาบ แบกข้าวกระสอบขึ้นมากินบนหลังเขา สี่สิบกิโลนะ แบกขึ้นเขา เคยไหม มีคนไปยกออกมา แบกขึ้นแทน เขาบอกว่า เขาเดินไม่เป็น มันเดินไม่เป็น พอบอกมันเป็นอะไร ฉันหนัก ใส่บ่า มันหนักเวลามันเดิน เวลาเบา ๆ เนี่ยนะ เขาบอก เดินต่างกัน หนักกับเบามันต่างกันนะ หลวงตาไปหาบหน่อไม้ บ้านธาตุเนี่ย อยู่บ้านหนองแกนะ หาบหน่อไม้ ฤดูทำนา เอาไปไว้กินในการทำนา โลภมาก ยัดเต็มตะกร้าเลย เผา ปอกเปลือกออก ยัดใส่ตะกร้า หาบไป ถึงบ้านหนองแก ไต่คันนา ฝนตก ๆ ไต่คันนา บางคนก็ล้ม ลื่นล้ม บางคนไม่ล้ม มีคนมารับหาบหน่อไม้ออกจากบ่า เขามารับ ชาวบ้านมารับ หาบออกจากบ่า ยกออกไป เราเดินตัวเบา เดินเซซัดเซโซเลย มันต่างกันกับหนักหรือเบาเนี่ย การหลงกับไม่หลงต่างกันมาก ๆ เลย หรือว่ามันด้านตรงนี้กัน มันทุกข์กับไม่ทุกข์น่ะ มันต่างกันมากนะ มันโกรธ ไม่โกรธ ต่างกันมากนะ ไม่สัมผัสดูอย่างลึกซึ้ง เขาเรียกว่า เรียกว่า เอ่อ ผุสดี ผุสดี ผัสสะอันเลอเลิศ ผุสดี เป็นมารดาของใคร หา ผุสดีเป็นมารดาของใคร (หัวเราะ) หา ชีน้อย ผุสดีเป็นมารดาของเวสสันดร มันเป็นธรรมนะ ผัสสะอันเลอเลิศ จึงมีเวสสันดร ในใจขึ้นมา มันสัมผัสกับรสพระธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง ผัสสะอันเลอเลิศ โอรสเหมือนโอชายอดโครส อย่างเราสวดธัมมปหัง พรหมจรรย์นี้ น่าดื่ม เหมือนมัณฑะ ยอดโอชาแห่งโครส ได้ยินไหม เราสวดธัมมปหัง มันเป็นผุสดี ผัสสะอันเลอเลิศ รสพระธรรม สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ รสพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง สพฺพรติ ธมฺมรติ ชินาติ เสียงธรรมย่อมชนะเสียงทั้งปวง หรือว่าเบื่อหน่าย ให้เขายกย่อง ให้เขาด่า ใส่ใจหรือ เขานินทา ใส่ใจ ใส่ใจเงี่ยหูฟัง เขาว่าอะไรเรา เขาว่าอะไรเรา เขาว่าอะไร คอยจะให้มันโกรธ ถ้าไม่โกรธ ไม่ยอม ฟัง เพื่อจะให้โกรธเกิดขึ้น เพื่อให้ความรักเกิดขึ้น ใส่ใจ เนี่ย บุรุษก็ใส่ใจสตรี ฟังเสียง สตรีก็ฟังเสียงบุรุษ แพ้เลย แพ้สงคราม มีเหมือนกันนะ
พระพุทธเจ้าเคยกล่าวเรื่องนี้ ภิกษุ เธอครุ่นคิด ในอารมณ์ที่ครุ่นคิด เธอเคยมองหน้ามาตุคาม ครุ่นคิดในการมองหน้า เธอเคยได้ยินเสียงมาตุคาม เธอครุ่นคิดในเสียงมาตุคาม ถือว่าศีลของเธอทะลุแล้ว ด่างแล้ว พร้อยแล้ว สตรีก็เหมือนกันนะ แม่ชีก็เหมือนกันนะ (หัวเราะ) คิดถึงกาลเก่า มาตุคาม ได้ยินเสียง มีนะ มีพระอรหันต์บางรูปอ่ะ หลวงพี่ เกิดมานี้ เสียงมาตุคาม เสียงสตรีนะ เกิดมานี้ไม่เคยได้ยินคำว่า ไม่มีอะไรที่บ้าน เกิดมาไม่เคยได้ยินว่า ไม่มีอะไรที่บ้าน ยังไม่มีแต่บุรุษผู้จะมีเป็นเจ้าของ ผู้จะมาเป็นเจ้าของ หลวงพี่พอจะเป็นเจ้าของได้ไหม เสียงสตรี จะว่ายังไง ท่านตุ้ย จะว่ายังไงฮ่ะ หลวงพี่ตุ้ย บ้านของหนูไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มีอะไร (หัวเราะ) ไม่มีอะไร เกิดมาไม่เคยได้ยิน แต่มันขาดอยู่ คือ จะมีบุรุษมาเป็นเจ้าของ หลวงพี่พอจะเป็นเจ้าของได้ไหม ภิกษุรูปนั้น ปึ้งขึ้นมา ชิตังเม ชิตังเม (หัวเราะ) เอวัง ก็มีประการฉะนี้