แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ตอนเช้ารับรุ่งอรุณ หลังจากพวกเราได้พักผ่อนหลับนอนมา ก่อนที่จะรับศีลรับธรรมได้ จิตใจว่าง ๆ ถ้ายังไม่เปรอะเปื้อนอะไรก็เหมาะแก่การบรรลุธรรมได้ เหมือนพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายได้ตรัสรู้เวลาตี 4 ตี 5 รุ่งอรุณ จากการศึกษาสั่งสอนตัวเองมา ในวันตรัสรู้ ปรินิพพาน ประสูติ
ผ่านมา 3 – 4 เดือนเนี่ย หลวงตาก็ไปเฝ้ารับตรัสรู้พระพุทธเจ้าอยู่ที่วัดโมกข์ มีหลายชีวิตที่ไม่หลับไม่นอน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ที่นั่นก็มีผู้ที่มีศรัทธามาก เหมือนพวกเรามารับฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าในวันแสดงธรรม ในวันพระสงฆ์เกิดขึ้นในโลกเมื่อวานนี้ ในฐานะที่พวกเราเป็นหุ้นส่วน เรียกว่าบริษัท มีภิกษุ มีแม่ชี มีอุบาสก มีอุบาสิกา ลงทุนมา สร้างวัดสร้างวา อวดลูกอวดหลาน แห่กันมาจากไกล ๆ ทำบุญให้ทานรักษาศีล เสียสละมาถึงที่นี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน แม้แต่การถือบวชก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างนั้นเราจึงมีการลงทุนกันถึงปานนี้ อะไรที่เราควรจะเป็นผลประโยชน์ร่วมกันในทางธรรมะ ในทางพระศาสนา เราก็มีแล้วว่า พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ไหน หรือว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เท่านั้นหรือ
อย่างหลวงตาไปสอนธรรมที่ประเทศจีน บางคนเขามัวแต่ถาม บางคนน่ะ ทำอย่างนี้จะเข้าถึงสุขาวดีได้ไหม ทำอย่างนี้จะถึงอมิตาพุทธได้ไหม เมื่อวานก็มีคนหนุ่ม นั่งอยู่นี่หรือเปล่า(หัวเราะ) มาถามหลวงตาว่า หลวงตาจะสอนฌานให้ผมได้ไหม เขาสนใจเรื่องฌาน เรื่องอมิตาพุทธ เรื่องสุขาวดี มันเป็นเรื่องที่ใส่ใจเรื่องนั้นก็มีเหมือนกัน เราก็ตอบว่า แน่นอนที่สุด อะไรเป็นสุขาวดีของคุณ อะไรเป็นอมิตาพุทธของคุณ อะไรเป็นฌานของคุณ ฌานอย่างยิ่งคือยังไง เอาฌานแบบไหน พระตถาคตเจ้า พระสมณโคดมของเราไปศึกษากับอาจารย์ทั้งสอง อุทกดาบส และอาฬารดาบส อุทกดาบสได้ฌานสมาบัติ 7 ต่อไปถึงอาฬารดาบสได้ฌานสมาบัติ 8 จบทันที นั่นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเลย คุณจะชอบฌานแบบไหน ถ้าแบบนั้นก็นั่งสงบไม่ต้องทำอะไร บริกรรมพุทโธ พุทโธไป ไม่รับรู้อะไร แต่ฌานอย่างยิ่งคืออะไร คือมีสติแล้วแลอยู่ พระพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพานตรงนี้ ระหว่างฌานที่ 4 ฌานที่ 5 ไม่ใช่ฌานแบบไม่รู้อะไร ทำลายสังขารวิญญาณดับสนิท ไม่มีเวทนาในเวทนา ไม่มีจิตในจิต ไม่มีอะไรเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ มีสติแล้วแลอยู่ นี่เป็นฌานที่ทำให้ถึงมรรคถึงผล ไม่ใช่ฌานแบบนั่งหลับ
เราก็ไปสอนธรรมที่เมืองจีน เขาก็ถามว่า นั่งหลับตากับไม่หลับตามันดียังไง ก็ได้ทั้งสองอย่าง หลับตาก็ได้บางโอกาสไม่ใช่ตลอดไป ลืมตาก็ได้บางโอกาสไม่ใช่นั่งหลับตลอดไป ก็เลยให้อาจารย์โน๊สนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ ให้เขาสาธิต แล้วก็เอานาฬิกาไปวางไว้ข้าง ๆ ก็พออาจารย์โน๊สนั่งหลับตา ก็บอกพระจีนรูปหนึ่งลุกขึ้นไป ไปหยิบนาฬิกาหนี อาจารย์โน๊สก็นั่งหลับตาอยู่ พอลืมตาขึ้นมาอาจารย์โน๊สก็มองหานาฬิกาไม่เห็น ไม่รู้ใครเอาไปไหน ถ้าเราลืมตาจะเห็นไหมว่า เขามาลักนาฬิกาไป (หัวเราะ) เราจะเห็นไหม บางทีรักษาตัวไม่ได้ถ้านั่งหลับตา
หลวงตาเคยมีงูเห่าจะมานั่งอยู่ในตัก มันจะเลื้อยมา ถ้าหลับตาละก็แย่แล้ว เวลามันเลื้อยมาขึ้นเข่าเรา เราจะทำยังไง เราก็ไม่ได้รู้ กว่าจะไปตบงู งูก็กัดเอาตายไปแล้วป่านนี้ (หัวเราะ) เราก็ลืมตาเห็นมันอยู่ เอาไม้ขีดไฟโยนใส่หัวมัน มันก็จึงรู้ว่าเป็นเรา เราก็นั่งอยู่นิ่ง ๆ อย่างเนี้ย มันก็ชูคอขู่เรา กลัวว่ามันจะพ่นพิษน้ำลายออกมา ก็เลยเอาจีวรบังไว้อย่างนี้ ถ้ามันพ่นพิษมา ก็จะให้มันไม่ถูกตา(หัวเราะ) ถ้ามันโกรธมาก็จะเอาจีวรคลุมหัวมัน จีวรป้องกันอะไร ป้องกันเหลือบยุง ลมแดด และสัตว์เลื้อยคลาน เอาปกหัวงูเห่าก็ได้ ไม่กัดเราได้ (หัวเราะ) อันนี้ก็ลืมตา ถ้าหลับตาก็ไม่ดีแล้ว บางโอกาส ควรจะเลือกเอาเอง ไม่ใช่ผิดไม่ใช่ถูก
มัวแต่คิดกันทำไม หา มาเข้าทางเสียเถิดเรา เอาอะไรมาต่อรองกับการทำความดี ถ้าทำดีต้องได้ไม่ได้ ไม่ใช่แล้ว เป็นผู้ผิดเป็นผู้ถูก ไม่ใช่แล้ว เป็นผู้ได้เป็นผู้ไม่ได้ ไม่ใช่แล้ว ต้องเห็นนี่คือทาง เวลามันเกิดอะไรขึ้น เห็นเนี่ย เห็นคือดูเนี่ย เป็นมรรคที่สุดเลย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอริยมรรค อย่างที่เราสวดเมื่อกี้นี้ อริยมรรค อริยมรรคคือดูคือทาง ไม่ใช่ทางเหมือนเราเดินบนดินในโลก มันเป็นทางเดินทางจิตใจ คือดูเข้าไป ลืมตาขึ้นมา มีสติ มีสัมปชัญญะ เห็น ถ้าเห็นแล้วมันจะมีความรู้สึกตัว มันจะเห็นแม้กระทั่งความหลง เห็นมันหลงไม่ใช่เป็นผู้หลง นี่คือมันก็ไปแล้ว พาเราไปแล้ว พ้นจากความหลงไปแล้ว เห็นมันผิดไม่ใช่เป็นผู้ผิด มันก็ผ่านความผิดไปแล้ว เห็นมันถูกไม่ใช่เป็นผู้ถูก มันก็ผ่านความถูกไปแล้ว เห็นมันสุขไม่ใช่เป็นผู้สุข มันก็ผ่านความสุขไปแล้ว เห็นมันทุกข์ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ มันก็ผ่านความทุกข์ไปแล้ว เห็นมันทุกอย่าง ถ้าเป็นแล้วมันหยุดนะ ถ้าเห็นแล้วไปตะพึดตะพือเลย นี่มรรคคือทางไป ไกลไปเรื่อย ไกลไปเรื่อยนะ เอาความหลงไว้หลัง เอาอะไรไว้หลัง เหมือนการเดินทางแท้ ๆ มันมีมรรคมีผลอย่างนี้ ความหลงพาให้เราหลุดพ้นได้ ความทุกข์ ความโกรธ ความวิตกกังวล เศร้าหมอง ที่มันเกิดขึ้นมีกันทุกคน ไม่ใช่ฟรีเลย เห็นทุกคน ว่าแต่เห็นแล้วก็มีสติคือดูมัน ไม่ใช่ไปจ้องดู เราก็มีวิธีที่จะกลับมาเคลื่อนไหวมืออย่างที่คุณหมอทำอยู่นี้ นี่คือทางของเรา อริยมรรคของเรา มาเข้าทางนี้ มันจะไปสู่มรรคสู่ผล มันหลงรู้ ความหลงเป็นมรรค ความรู้เป็นผล เป็นมรรคเป็นผลไปในตัวเสียเลย เป็นทั้งศีล เป็นทั้งสมาธิ เป็นทั้งปัญญาไปเลยทีเดียว เป็นทั้งละความชั่ว เป็นทั้งทำความดี ทำให้จิตบริสุทธิ์ไปเลยทีเดียว ความถูกต้องทั้งหลายไปเป็นพวงเลย มันไม่ยากถ้าทำให้ถูก เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก เป็นผู้สุข เป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้ได้ เป็นผู้เสีย เหมือนกลิ้งครกขึ้นเขามันก็ยาก ถ้าเราเห็นมันง่าย ๆ เหมือนกลิ้งครกลงเขา
การปฏิบัติธรรมเนี่ย ทุกขาปฏิปทา เอาความยากความง่ายมาต่อรอง จะเอาสุขาวดีให้ได้ จะเอาอมิตาพุทธให้ได้ จะเอาฌานให้ได้ มุ่งอย่างนั้นนะ มันไม่ใช่ ไม่ต้องการอะไร เราจะดูวันนี้มันจะมีอะไร นี่คือทาง เรียกว่ามรรคคือทาง คือดู คือเห็น ไม่เป็นอะไรกับอะไรอย่างนี้ เป็นทางด่วน ๆ นะทางสายนี้ freeway เหมือนทางที่บ้านคุณหมอพงษ์ศักดิ์ เขาเรียกว่า freeway ใช่ไหม (หัวเราะ) บ้านเราไม่มีนะ freeway เนี่ย คุณหมอพาไปเที่ยวไปทั่วไ เขาพาไปถ้ำเสือร้ายปล้นรถไฟ freeway คืออะไร ผ่านตะพึดตะพือ freeway มีแต่รถนั่งนะ ไม่มีรถบรรทุก ไม่มีรถโดยสาร ใช่ไหมคุณนพ มีแต่รถนั่ง เขากำหนดได้จากบ้านไปที่ทำงานวิ่งรถไปประมาณ 10 นาที 20 นาที 40 นาทีได้ ไม่มีเสียเวลา รถไม่ติด เขาเรียกว่า freeway บ้านเรามี highway มีอะไร ไม่รู้ (หัวเราะ) มีทางด่วนก็ยังติดนะ ของเขามี freeway ไม่มีติดเลย วิ่งได้ทั่วประเทศเขา บ้านคุณหมอพงษ์ศักดิ์นี่ ทางนี้มันมี freeway จริง ๆ นะ เห็นแล้วไม่เป็น freeway ไปแล้ว ผ่านไปแล้ว อะไรที่มันเกิดในนี้ 84,000 อย่าง เกิดกับกายกับใจ มีแต่เห็น นี่คือทาง มันไม่ยาก
พระพุทธเจ้าจึงสอนในสิ่งที่ทำได้ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จะต่อก็ไม่ได้ จะตัดก็ไม่ได้ เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาจะต้องศึกษาด้วยตนเอง อาศัยใครไม่ได้ จึงมีรูปแบบอย่างนี้ ไม่มีวิธีใดที่ช่วยกันได้ จึงมาเป็นเพื่อนกัน กัลยาณมิตรกัน ให้เป็นสิ่งแวดล้อมอย่างนี้ เหมือนเราสวด กัลยาณมิตรนี้ ไม่ใช่จะมีความสุขเหมือนพระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่เฉพาะเรื่องนั้น ทั้งหมดของพรหมจรรย์เลย นี่คือเรามาเป็นมิตรเป็นอันเดียวกัน ศึกษาเรื่องเดียวกัน ต่างคนต่างมีความรู้ ถ้าทุกชีวิตมีความรู้ มันก็ละความชั่วทำความดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย
หลวงตาลงไปวัดโมกข์เมื่อวานนี้ พูดกับพระสงฆ์ทั้งหลายเนี่ยว่า ที่นี่ไม่ใช่นักปกครองนะ เราไม่ปกครองใคร (หัวเราะ)ไม่ใช่นักปกครอง ให้ท่านปกครองตัวเองคือปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมคือดูแลตัวเองให้มันคุ้ม มันก็มีกายมีใจนี่ปัญหาเกิดขึ้นที่กายที่ใจเรานี่ ปัญญาก็เกิดขึ้นที่กายที่ใจเราเนี่ย เราจึงมีการศึกษาที่นี่กัน เพราะฉะนั้นปฏิบัติธรรมนี้มันก็ไปมี ไปในการปกครองตัวเอง ดูแลตัวเองอย่างยอดเยี่ยมที่สุดเลย ไม่มีคำถามผู้ใด มันหลงไม่มีใครรู้ความหลงของตัวเอง มันผิดมีใครเห็นผิดที่เรา มันถูกมีใครเห็นถูกที่เรา มันทุกข์มีใครเห็นกับเราบ้าง มันก็ต้องเห็นเรื่อยไป เปลี่ยนเรื่อยไป มาถึงภาวะที่รู้ ความหลงแท้ ๆ ทำให้เกิดความรู้ได้ ความผิดทำให้เกิดความรู้ได้ ความถูกทำให้เกิดความรู้ได้ ความสุขความทุกข์ทำให้เกิดความรู้ได้ ปัญหาทำให้เกิดปัญญาได้ นี่คือปฏิบัติธรรม มันทำได้อย่างนี้ ต้องทำด้วยตนเอง และเกิดผลได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล มันหลงทีไรก็รู้ได้ เกิดผลทันที ความหลงมาด้วยกันกับความรู้ มีเหตุมันเกิดที่เหตุ แก้ที่เหตุ มันแก้กันได้อยู่ มองเป็นสองมุมสองด้าน
พระพุทธเจ้าสมัยเป็นสิทธัตถะมองชีวิตแบบสองมุม เห็น ประพาส(ในเมือง)กบิลพัสดุ์ เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย คนตายก็พากันร้องไห้เศร้าหมอง เห็นการเกิดก็พากันช่วยกัน แสดงว่าเห็นการเจ็บก็โอ ทรมาน เห็นการแก่งก ๆ เงิ่น ๆ เหมือนหลวงตานี่ ไปทางไหนต้องมีไม้เท้า ยืนถอดรองเท้าขาเดียวไม่ได้ นพ ใส่รองเท้าขาเดียวไม่ได้ (หัวเราะ) ขนาดนั้น เจ้าชายสิทธัตถะอายุเพียง 16 พรรษา เห็นเรื่องนี้ มองแบบไม่ยอม ถามพระเจ้าปู่พระเจ้าย่า พระเจ้าตาพระเจ้ายาย ไม่มีใครตอบได้เลย จึงเป็นการบ้านของสิทธัตถะในฐานะที่เป็นเจ้าฟ้าชาย ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ให้ได้ จนถึงพระชนมายุ 29 พรรษา หาศึกษาเรื่องนี้ลองดู เห็นสมณะ เออ! พอมีทางที่ศึกษาได้ เป็นชีวิตส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่ราหุลเกิดได้เพียง 7 วัน รอไม่ได้แล้ว รีบวิ่งเสียแล้ว เหมือนทางที่ต้องวิ่งให้เร็วที่สุด รอไม่ได้ ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม ที่สุดพระองค์ก็ไม่ยอม เมื่อมีเกิดต้องมีไม่เกิด เมื่อมีแก่ต้องมีไม่แก่ เมื่อมีเจ็บต้องมีไม่เจ็บ เมื่อมีตายก็ต้องมีไม่ตายแน่นอน เพราะมันมีเรื่องตรงกันข้าม เหมือนกับมีความมืดมีแสงสว่าง มีร้อนต้องมีหนาว มองเป็นคู่อย่างนี้ ไม่ยอม ศึกษาเรื่องนี้ จึงเอาชีวิตเป็นตำราไปเลย ไม่มีใครเป็นครู ดั้นด้นไปตั้ง 6 ปี จนที่สุด ความจนในทางที่จะศึกษาเรื่องนี้ จ๊น จน นั่นแหละมีปัญญามาก ผิดก็ได้บทเรียน ถูกก็ได้บทเรียน ทุกข์ก็ได้บทเรียน สุขก็ได้บทเรียน แต่ไม่ยอม ไม่ยอมสุขไม่ยอมทุกข์เพราะชีวิตของวัฒนะ วัฒนา มันเปลี่ยน
หัดเปลี่ยนบ้างเรา เอาอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ทำได้จริง ๆ เวลามันหลงรู้สึกตัว เวลามันโกรธรู้สึกตัว เวลามันทุกข์รู้สึกตัว เอ้า! มันทำได้นะ เมื่อมันทำได้อย่างนี้ ก็เห็นช่องเห็นทางเป็นกระแสไป ไม่ยอม ไม่ใช่เป็นนะ เห็นแล้ว จึงประกาศท้าทายเหมือนกับคนทำรนา เหมือนกับเราทำนา ชาวนาชาวไร่ ไร่ที่เรา ไร่พ่อทายกจงเป็นร้อยไร่ปลูกอ้อย ปลูกไปแล้ววันนี้ปลูก 2 ไร่ 3 ไร่ 3 วันก็ 20 ไร่ 30 ไร่ 50 ไร่ 80 ไร่ 90 ไร่ เหลืออยู่ไร่เดียว มันก็ท้าทายได้ เหมือนเราทำนาใกล้เสร็จหรือยัง อีก 2 - 3 วันเสร็จ มันก็มั่นใจอย่างนี้ มันก็อะไรมันผ่านไปก็ผ่านไปจริง ๆ เหมือนพระอานนท์ ใกล้จะสังคายนา เขาให้พระอานนท์นี่เป็นพหูสูต ผู้ที่ได้สดับรับฟังมามากจากพระพุทธเจ้า ขาดพระอานนท์ไม่ได้ ขณะนั้นพระอานนท์เป็นปุถุชนอยู่ แต่รู้มาก พระมหากัสสปะจึงให้พระอานนท์ต้องรีบบำเพ็ญเพียรให้ไวที่สุด เพราะต้องทำสังคายนาแล้ว พระอานนท์ก็ทำ มั่นใจ คนมีความรู้ จนไม่หลับไม่นอน เพราะมันเห็น เหมือนเรามีความรู้เนี่ย เหมือนคุณหมอมีความรู้ ส่อง ให้คีโมหลวงตาเนี่ย จนมั่นใจอย่างนี้ ข้าพเจ้าปฏิเสธวิธีการรักษาอื่นใด อันนี้คนมีความรู้ (หัวเราะ) อานนท์มั่นใจว่า เอาแล้ว เอาแล้ว เหมือนกับแสงเงินแสงทอง เอาล่ะ! ไปทางนี้แน่นอน ไม่หลับไม่นอน จนแสงทองขึ้น โอ๊ย! ตลอดคืนหนอเราไม่ได้พักผ่อน งีบสักหน่อยเถอะนะ อันคำว่างีบสักหน่อยเพื่ออะไร เพื่อต่อสู้นะ ไม่ใช่ขี้เกียจนะ (หัวเราะ) เหมือนเราใช่ไหม พวกเราง่วงก็เอาเลยให้ความง่วงพานอน แต่พระอานนท์นอนไม่ใช่นอนเพราะสังขารปรุงแต่ง แต่จะพักผ่อนเพื่อต่อสู้กัน หัวเอนลงคือขณะนั้นวางใจทุกอย่างแล้ว ไม่ฟุ้งเกินไป เอนหัวลงยังไม่ถึงหมอนเลย ได้บรรลุธรรมทันที (หัวเราะ) ก็นั่นแหละ บางทีก็ต้องหยุด เหมือนใช่ไหม เหมือนที่หลวงตาพูดเมื่อวาน ต้องหยุดบ้าง อย่ารีบอย่าร้อนจนเกินไป น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย เป็นไปได้ บางทีเราวางใจสู่ปกติได้ มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
เหมือนบางคน ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนเก็บฝ้ายในไร่ ไม่อยู่ในรูปแบบนะ เก็บฝ้ายอยู่ในต้น จะมาใส่พกผ้า รู้สึกตัว รู้ตัว ได้บรรลุธรรมก็มี เขาเป็นอาจารย์ของเรา รุ่นแรก ๆ นะ ส่วนมากจะเป็นโยม หลวงพ่อเทียนก็เป็นโยม สอนธรรมะทีแรกไม่ใช่เป็นพระแบบนี้นะ ท่านบวชเป็นพระมาสอนทีแรกก็มีรุ่นหลวงตาเนี่ยเป็นรุ่นแรก นอกนั้นมีแต่โยมนะ(หัวเราะ) คือไม่ถนัด จะให้โยมมาสอนพระบางทีมันไม่ถนัดใช่ไหม มันก็มีอุปาทานแบบเลือดเนื้อเชื้อไข พอหลวงพ่อเทียนบวชพวกเราเป็นรุ่นแรก ส่วนมากเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็มีพี่เขยหลวงพ่อเทียน พ่อหนอม เราเคยไปสัมผัสกับคนพวกนี้มา ปี พ.ศ. 2510 เป็นโยม ไม่ได้บวชเลย เพราะฉะนั้นเนี่ย ไม่ใช่อยู่ในรูปแบบเสมอไป ความรู้สึกตัวก็ดี ความหลงก็ดี เวลาสร้างจังหวะไม่ใช่ว่าจะเห็นความหลงในโอกาสนี้ เดินจงกรมจึงจะเห็นความหลง เห็นความสุข ความทุกข์ ไม่ใช่เลย ทุกกรณี เราก็ปฏิบัติทุกกรณีได้ นอกรูปแบบก็ได้ เพราะมันอยู่ในเราแล้วความรู้สึกตัวเนี่ย อาศัยใครไม่ได้ เวลาเราหลงก็ต่างวาระกัน ไม่ใช่ตีฆ้องร้องเปล่า คนนั้นหลงคนนี้หลง ไม่ใช่เลย รู้เป็นส่วนตัว
จึงชวนมาดู เอหิปัสสิโก มาดู มาดูเรื่องนี้กัน จึงมีสำนักสุคะโตขึ้นมา เพื่อพิสูจน์เพื่อท้าทายเรื่องอย่างนี้กัน ไม่ใช่เพื่อเป็นบริวารพวกพ้อง ไม่ใช่เลยทีเดียว ต้องการให้มาพิสูจน์ร่วมกันดู โอปะนะยิโก น้อมมาดู เวลามันหลงน้อมความรู้มาใส่ เวลามันสุข น้อมความรู้มา น้อมเข้ามา ไม่ใช่อ้อนวอน มันก็มีอยู่แล้ว ยกมือขึ้นรู้สึกตัว เดินก็รู้สึกตัว หายใจก็รู้สึกตัวได้ น้อมมา แล้วก็เป็นปัจจัตตังทันที เวลามันหลงรู้ได้ทันที ความหลงก็หมดไปทันที เปลี่ยนเป็นความรู้ได้ทันที อะไรที่มันเกิดกับกายกับใจเปลี่ยนเป็นตัวรู้ได้ทั้งหมด สภาวะที่รู้ เป็นสภาวะที่เฉลยชีวิตของเราได้ทั้งหมด ไม่ต้องไปหา ณ ที่ใด ตามที่หลวงตาบอกว่า มันเป็นเรื่องที่จะต้องศึกษา ตัวเทคนิคหรือว่าอะไรต่าง ๆ ไม่ต้องไปหาที่ใด เรียนที่ใด เอาหลักในกายในใจเรานี้ เนื้อตัว เนื้อมันในมัน มันมีอยู่แล้ว มันมีความหลงก็มีความรู้คู่กันอยู่ มันมีความทุกข์ก็มีความรู้คู่กันอยู่ เห็นไปเห็นมา เห็นจนไม่เป็นอะไร มีแต่เห็นเรื่อยไป หลวงตาเลยไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยพูดแบบบ้า ๆ บอ ๆ หลวงตาองค์นั่นนะ ได้ยินนะ ไม่มีไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย ใช่ไหม ไม่มีใครเข้าใจ อ้าว! บ้าแล้วเนี่ย (หัวเราะ) นี่ดูดี ๆ ไม่มีไม่เป็นอะไร มันไม่ใช่เรื่องคำพูด แต่เป็นเรื่องที่ชีวิตของเราได้จริง ๆ
เหมือนที่หลวงตาไปสอนคนจีน เขาบอกว่าเว่ยหล่างมีอยู่ 2 รูปในโลกนี้ อยู่ในกวางตุ้งรูปหนึ่ง คนหนึ่ง ชีวิตหนึ่ง อยู่ในเมืองไทยชีวิตหนึ่ง อยู่ในเมืองไทยคือใคร คือหลวงพ่อเทียน เขาพูดขึ้นมา (หัวเราะ) เขาว่าหลวงพ่อเทียนเป็นเว่ยหล่างของเมืองไทย เว่ยหล่างหลวงพ่อเทียนก็นี่ละ คือ ท่านสอนว่าเห็นนะ อย่าเป็นนะ หลวงตามีความสุขมากปฏิบัติธรรม รู้จักรูปรู้จักนามเนี่ย หลวงพ่อเทียนมาบอกว่าเห็น มีอะไร รู้อะไรบ้าง รู้ครับ รู้อะไรล่ะ รู้จักรูปรู้จักนาม อ้าว! คนไม่รู้จักรูปนามก็คนบ้าแล้วเว้ย(หัวเราะ) ครับผมเป็นบ้าครับ สมัยก่อนเนอะ เดี๋ยวนี้ผมไม่เป็นบ้าเสียแล้ว ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้จักรูปนาม ทดไว้นั่นแหละ ยังเถียงอีกนะ มีสิครับหลวงพ่อ มีประโยชน์มาก ความทุกข์ของผมมันลดไปหมด มันมีความสุขมาแทน ความสุขก็แบบกบโคก รู้จักกบโคกไหม กบโคกตะเกียกตะกายมา มาเจอบ่อน้ำน้อย ๆ ร้องลั่นไปเลย(หัวเราะ) ไม่รู้ว่าหนองบึงมันมีใหญ่กว่านี้ กบโคก หลวงตาเป็นกบโคก สุขก็สุขแบบกบโคก รู้หรือเปล่าว่ามีหนองมีบึงอยู่ข้างหน้า เยอะแยะไปเลย อดย้าวในใจ หลวงพ่อเทียนด่าเรา ลึก ๆ หนอ แต่ก็พอสุขก็อย่าเป็นผู้สุข ให้เห็นมันสุข อย่าเข้าไปอยู่ในความสุข ถ้าเป็นผู้สุขเราไปไม่ได้นะ ตันไปแล้ว สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ติดสุข ติดสงบ พระกรรมฐานทั้งหลายตายอยู่ในความสงบนี้เท่าไร เท่าไร ไม่รู้ในประเทศไทย ไปติดความสงบ ติดสุข พอนั่งปั๊บก็เอาเลยสงบนิ่งไม่รู้แล้ว
สมัยสร้างพระใจสิงห์รุ่นแรกในประเทศไทย หลวงตาเป็นหัวหน้าด้วยกันกับอาจารย์ทองใบ นำพระใจสิงห์รุ่นแรก 70 รูป พาไปนั่งอยู่ที่ไหนก็นั่งหลับตา คนมา ได้ทราบว่าพระใจสิงห์มา คนมาทำบุญตลอด ไปนั่งหลับตาให้คนเห็น ไม่ใช่หลับเฉย ๆ นะ นั่งสัปหงก บางรูปน้ำลายไหล(หัวเราะ) เราก็เดินดูเพื่อน มาพูดมาสอนไม่อยากให้นั่งหลับตาให้คนเห็น มันไม่ใช่นั่งหลับเฉย ๆ มันน้ำลายไหล มันอ้าปาก สัปหงกอยู่ เขาเคยชินไปแล้ว ให้มารู้สึกตัวเอง ไปพูดทีไรทีไรเขาโกรธเราเลย พูดขึ้นมาทีไรเขาก็ว่าแต่นั่งหลับตา หลับตา(หัวเราะ) อ้าวมันติดนะ มันติดกัน ต้องลืมตาดูบ้าง เคลื่อนไหวดูบ้าง มันก็มีรสชาตินะความสงบเนี่ย เพราะฉะนั้นจึงฝึกตนสอนตน หลวงพ่อเทียนบอกว่าอย่าไปติดสุข เห็นมันสุข อย่าเป็นผู้สุข มันทุกข์เห็นมันทุกข์อย่าเป็นผู้ทุกข์ ให้เห็น ให้เห็นมันไป ไม่เปรอะเปื้อนกับสิ่งใด การไม่เปรอะเปื้อนกับความสุขความทุกข์นี้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ทั้งกายทั้งใจของเรา เดี๋ยวนี้เราเปรอะเปื้อนอะไรมาบ้าง เหอ เอาความสุขมาด้วย เอาความทุกข์มาด้วย เอาความรักมาด้วย ความชังมาด้วย มันเปื้อนมา
หลวงตาก็บวชพระเมื่อวานนี้ มาอยู่ในโบสถ์แล้ว อย่าเอาอันเก่ามา เคยมีแฟนเคยมีอะไร ความสุขความทุกข์เอาทิ้งไปข้างนอกก่อน เดี๋ยวนี้เรามาประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ มีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ใช่มาห่มผ้าเหลืองเฉย ๆ ชำระจิตใจออกไป เคยมีครอบมีครัว ผัวเมีย มาแล้วมาคิดถึงลูกถึงเมียไม่ได้นะ คิดก็ไม่ต้องคิดนะ เรามามีเพศสมณะแล้ว อาการใดของสมณะต้องทำอาการเช่นนั้น ต้องสงบต้องเย็น นี่คือเห็นมัน ต้องเปลี่ยนแปลง อย่าให้เปรอะเปื้อนเกินไป บางทีเราเอาความรักมาด้วย เอาความชังมาด้วย เอาความห่วงเอาความอาลัยอาวรณ์มาด้วย มันก็เป็นปลิโพธ ไปไม่ได้หรอก จึงเสียสละบ้าง เวลานี้เรามาเห็นมัน อะไรมันเกิดขึ้น เห็นมัน เห็นมัน เห็นมัน ไม่เป็นกับอะไรเลย นี่เว่ยหล่างหลวงพ่อเทียนสอนเรา เราก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยพูดว่า ไม่มี ไม่เป็นอะไร กับอะไรในโลกนี้ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มีแต่เห็นมัน นี่ยอดเยี่ยมนะนี่ มาตรฐานนะ มาตรฐานในชีวิตของเราทุกคน ถ้ายังเป็นอยู่เรียกว่ายังเปรอะเปื้อนอยู่ เป็นผู้สุขเป็นผู้ทุกข์อยู่
มาฝึกตรงนี้ มีสติ แต่ไม่มามุ่งเรื่องนี้อย่างเดียว แต่ต้องฝึกนะ การฝึกนี่ ทำให้เป็นนะ ไม่ใช่รู้นะ กรรมฐานไม่ใช่สอนให้รู้นะนพ สอนให้เป็น สอนให้ทำ การสอนให้รู้นะ นพก็จบมาแล้วจนไปทำงานต่างประเทศ เป็นอาชีพอย่างสบายเลย ทั้งผัวทั้งเมียนะ(หัวเราะ) เป็นคนอเมริกันแล้ว มันเก่งขนาดไหน คุณหมอจนเป็นศาสตราจารย์ไปแล้ว เก่งมาแล้วทุกคนนั่งอยู่เนี่ย อันนั้นเป็นความรู้ การทำให้เป็นนี่ ไม่ใช่ความรู้ ทำให้มันเป็น เวลามันหลงเรารู้สึกตัว ทำเป็นหรือเปล่า เวลามันโกรธรู้สึกตัว ทำเป็นไหม เวลามันทุกข์รู้สึกตัว ทำเป็นไหม หรือว่าความโกรธเป็นความโกรธ ความทุกข์เป็นความทุกข์ ติดตามชีวิตเรามาถึงป่านนี้ หลงจนตาย โกรธจนตาย ทุกข์จนตาย ไม่ใช่รู้สิ่งเหล่านี้ มันทำเป็นอย่างนี้ มันเป็นครั้งสุดท้าย พูดแล้วพูดอีกนะ ความหลงเป็นครั้งสุดท้ายได้ ความทุกข์เป็นครั้งสุดท้ายได้ ความโกรธเป็นครั้งสุดท้ายได้ ให้มันจบสิ้นไปเสีย จบกันตรงนี้กัน เรียกว่าสถาบันคือชีวิตเราเนี่ย อาจารย์ทรงศิลป์ขึ้นป้ายไว้ว่าสถาบันเลยทีเดียว สถาบันสติปัฏฐาน เพราะมันต้องจบที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม ที่รูปธรรมนามธรรม เห็นความไม่เที่ยง จบแล้ว เอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ทำไม เอาความไม่เที่ยงมาเป็นปัญญา เป็นมรรคเป็นผลไปแล้ว
ปุถุชนเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ แต่พระอริยเจ้าเอาความไม่เที่ยงมาเป็นมรรคผล ปุถุชนเอาความทุกข์มาเป็นทุกข์ต่อไปเรื่อย ๆ ไป แต่พระพุทธเจ้า เอาความทุกข์มาเป็นมรรคผลนิพพาน มันเปลี่ยนได้อย่างนี้นะ มันเปลี่ยนได้เนี่ย ปฏิบัติธรรมเรียกว่าทำอย่างนี้ ไม่ใช่จะมานั่งหลับหูหลับตา ยกมือสร้างจังหวะอย่างเดียว เป็นส่วนประกอบ ในวิชา ในรูปแบบ
เหมือนเราจะหล่อเสาอย่างนี้ ต้องเข้ากรอบเสียก่อน เพื่อให้มันเป็นแบบของเสา แบบของพระก็มีธรรมวินัย ธรรมวินัยมีศีลมีธรรมเนี่ย มันเป็นแบบช่วยได้ รูปแบบที่เป็นผ้าจีวรโกนผม ผ้าขาวโกนผม มันเป็นรูปแบบที่มันช่วยได้ เวลาไปบิณฑบาตคนเขาใส่บาตร มันซึ้งหัวใจเรา สมควรจะรับบาตรไหม สมควรจะรับทานชาวบ้านหรือเปล่า มันก็มองตัวเอง มันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เรียกว่ากาสาวพัสตร์นี้ พ่อก็กราบ แม่ก็กราบ พระเจ้าแผ่นดินก็กราบ เรายังเป็นคนชั่วเลวทราม จิตใจต่ำทรามอยู่ไม่ได้ ต้องพัฒนาตนเองประมาทไม่ได้ ถ้าขี้เกียจขี้คร้านมาบวช ถือขาวถือเหลืองไม่ได้นะ (หัวเราะ) จะมานอนกลางวันอยู่ คุยกันโอ้เอ้ (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าด่านะ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอคุยกันอย่างนี้ ไปนอนดีกว่า ทั้งที่การนอนก็เป็นการเลวทรามอยู่แล้ว ถ้าเธอมาคุยกันอยู่เนี่ย มั่วกันอยู่เนี่ย พากันไปนอนดีกว่า เพราะจิตใจจะไม่ฟุ้งซ่าน ได้พักผ่อนดีกว่า ทั้ง ๆ ที่การนอนก็เป็นความเกียจคร้าน เรียกว่าชาคริยานุโยค อย่าเห็นแก่นอนมากนัก อย่าเห็นแก่กินมากนัก เรียกว่ามันเป็นทางขวางกั้นในพรหมจรรย์ของเรา ฉะนั้นเราถือจีวรไปบิณฑบาต ข้าวตกบาตร นั่งอยู่เขาก็มากราบมาไหว้เรา มันเจ็บใจนะ ถ้าเราไม่มีศีลมีธรรม เป็นบุคคลเน่าในเปียกแฉะใช่ไหม (หัวเราะ) เน่าในเปียกแฉะเหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอย ปกปิดซ่อนเร้น ไม่ใช่นักบวช ก็ถือว่าตัวเป็นนักบวช ไม่ใช่พรหมจรรย์ก็ถือว่าเป็นพรหมจรรย์ เป็นมดเท็จโกหกมดเท็จ มือเปื้อนคูต พระพุทธเจ้าด่านะ โอ้! ดีมากเลยนะ ไม่ใช่ยกย่องนะ มีแต่ขนาบนะพระพุทธเจ้านะ ขี้โทษนะ ไม่ใช่ทำง่าย ๆ อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี เราจะทำกับพวกเธออย่างไม่ทนุถนอม เหมือนช่างหม้อทำกับหม้อยังเปียกยังดิบอยู่ ตี ตับ ๆ ๆ ๆ เพื่ออะไร ทำไมจึงตี เพราะให้มันเนื้อดี ขี้โทษเนี่ย เป็นเรื่องดี ธรรมวินัยนี่ ขี้โทษเราเยอะ เมื่อวานเราก็ฟังปาติโมกข์กัน เสมือนว่าเรานั่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ พระองค์แสดงสอนเรา มีขี้ทูโทษ ระวังตรงนี้ ระวังตรงนี้ ระวังตรงนี้ อันนี้ก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี เราก็ฟังเอา อันนี้แหละมันตกแต่งเรา เป็นผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา
แต่พระพุทธเจ้าที่เป็นตัวเป็นตนไม่มีแล้ว แต่ยังมีธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าอยู่ ยังอยู่กับพวกเรา ทำดีก็ดีทันที ทำชั่วก็ชั่วทันที นี่คือของจริง ถ้ามันหลงก็รู้ ถ้ามันทุกข์ก็รู้นี่ ให้เราทำอย่างนี้ เรียกว่าปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าเส้นเข้าทางกัน จะไม่เสียเวลา แล้วไม่ใช่อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหนก็ได้ เอาไปใช้ในชีวิตของเราได้เลย เวลาใดก็ได้ ขับรถอยู่บนถนน ทำงานอยู่บนโต๊ะทำงาน อาบเหงื่อตากแดด ความทุกข์ความยากนั่นแหละ
เห็นไหมเว่ยหล่างนะ เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์ ตำข้าวผ่าฟืน ไม่ได้พักผ่อนเลย ไม่ได้มานั่งฟังเทศน์เหมือนพวกเรานี้ มัวแต่ตำข้าวอยู่โน้น ผ่าฟืนอยู่โน้น ทำอาหารให้คนกิน ไม่เคยมานั่งฟังธรรมเลย แต่เป็นผู้บรรลุธรรมก่อนหมู่ ในสังฆปรินายกองค์ที่ 5 จะถ่ายทอดให้องค์ที่ 6 ต่อไป เป็นผู้นำหมู่คณะของสงฆ์ต่อไป ให้เขียนโศลกเพื่อจะได้คัดเลือก เขาไม่ได้เลือกเอาตามชั้นวรรณะเหมือนเมืองไทยเรา เมืองไทยเราต้องมีระดับคุณวุฒิ วัยวุฒิ เจ้าคุณชั้นไหน ชั้นสามัญ ชั้นราช ชั้นธรรม ชั้นเทพ จนถึงชั้นสมเด็จ คือไปเรื่อย ๆ ไป องค์ไหนอาวุโสก็รับไป รับไปตามคิว(หัวเราะ) แต่ว่ามหายานเขาจะต้องเอาคุณธรรม เขียนโศลกดูสิ โศลกยังไง ลูกศิษย์ผู้ใกล้อาจารย์ขึ้นเขียนเลย ชีวิตเหมือนกระจกเงา หมั่นเช็ดหมั่นถูอยู่เสมอ อย่าให้เศร้าหมองได้ ขึ้นกระดานไว้ 7 วัน ประกาศให้ลูกศิษย์ทั้งหลายมาเขียนกระดาน จนถึงวันที่ 7 เว่ยหล่าง มัวแต่ตำข้าวอยู่นั่น โอ้ย! ไปดูเขาเสียหน่อย อาบน้ำ ออกมาก็มาดู ชวนเพื่อนมา พาไปดูสิเขาเขียนยังไง อ่านหนังสือไม่ออกเลย เพื่อนก็พามาดู ชีวิตเหมือนกระจกเงา หมั่นเช็ดหมั่นถูอยู่เสมอ อย่าให้ฝุ่นธุลีมาเกาะได้ เว่ยหล่างเขียนหนังสือไม่เป็นนะ เขียนให้สักหน่อยได้ไหม เขียนข้างล่างลงมานี้ เขียนว่ายังไง อ่ะ เมื่อไม่มีกระจก ฝุ่นจะมาเกาะที่ใด ต่อจากวันที่ 7 มา (หัวเราะ) อาจารย์มาแล้วมาอ่านดู มี 2 คนที่มาเขียนโศลกขึ้นป้าย อาจารย์สังฆราชองค์ที่ 5 ก็มาดู อันนี้ของใครเนี่ย เมื่อไม่มีกระจก ฝุ่นจะมาเกาะที่ใด เป็นของเว่ยหล่าง เว่ยหล่างอยู่ที่ไหนละ เขาทำข้าวผ่าฟืนอยู่นั่น(หัวเราะ) ไปเรียกมาหาสักหน่อย ตี 1 ตี 2 เรียกมาพบกับเราเสียหน่อย พอเว่ยหล่างมาก็มอมแมม ลุกลุ่ย รูปลุกหลุ่ย ลุกหลุ่ยเหมือนแร้งเสพ สัตว์ตาย กายสุยเฉียดคลุ้งนาทีที่ แต่จิตนั้นมุ่งสู่มรรคผลนิพพาน ใช่ไหม งามแต่ใจไม่งามก็มี เว่ยหล่างไม่งามเลย ลุกหลุ่ยเหมือนแร้ง มาดูคนผ่าฟืนทำข้าว มือนี้โอ้ย เว่ยหล่างนะ เอ้า! เอาบาตรเอาจีวรไป ต่อไปเป็นสังฆราชองค์ที่ 6 นะ ดูแลสงฆ์ทั้งหลายเหล่านี้ รีบออกจากวัดตั้งแต่เช้ามืด อย่าให้ใครเห็นนะ อาจารย์ก็ลบโศลกทั้งสองลง พระในวัด ลูกศิษย์ในวัดเป็นร้อย ๆ ไม่เห็นมีใครได้รับเป็นสังฆราชองค์ต่อไป ถามใครก็ยังอยู่ แล้วใครไม่อยู่ในวัดนี่ ไม่เห็นเว่ยหล่าง เว่ยหล่างหายไปไหน ไปเสียแล้ว ได้เป็นสังฆราชแล้ว ถ้าอยู่นั่นกลัวจะเป็นอันตราย อาจารย์สั่งให้ออกจากวัดไป(หัวเราะ) นี่แหละสังฆราชเป็นคนผ่าฟืน
เมื่อวานหลวงตาขึ้นไปโรงทาน แม่ออก โอ้ย! ไม่ได้ไปฟังเทศน์หลวงพ่อ มัวแต่ทำอาหาร นั่นแหละเป็นเว่ยหล่างนะ ทำดี ๆ ละ อย่าไปกลัว เข้าครัวตำน้ำพริกรู้ได้ไหมหา โอ้ย ๆ ซอยผักรู้ (หัวเราะ) โอ้ย ๆ ไม่ใช่ยาก ไม่มีใครช่วย ไม่ใช่ว่า โอ๊ยยากนะ ไม่มีใครช่วย ไม่ใช่นะ สนุกไปกับการงาน มันเข้มแข็งนะ ความยากลำบากทำให้เราเข้มแข็งนะ อันงานนี่ถูกหล่อหลอมมากับความทุกข์ความยาก 100 เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่กับหลวงพ่อเทียนนี่ ไม่เคยรู้จักโอวัลติน ไม่เคยรู้จักไมโล ไม่เคยเห็นมาม่า ปี พ.ศ. 2510 เนี่ยไม่เคยมาม่านะคุณหมอ เขาใส่บาตรมา นี่อะไรหรือ อะไรหนอ มาเปิดดู ถามใครก็ไม่มีใครรู้ ไม่เคยมีใครใส่บาตรมาม่าเลย วันนั้นเดินตามถนนหนทางไป มีรถมาจอด เอามาม่ามาใส่บาตรให้ อะไรหนอ ไม่กล้ากิน ถามใครไม่รู้เลย หลวงพ่อเทียนก็ไม่รู้ (หัวเราะ) จึงความทุกข์แท้ ๆ หล่อหลอมเรามา กุฏิก็หลังคารั่ว ๆ เวลาไปบิณฑบาตได้ถุงพลาสติกมาเนี่ย จะไม่ทิ้งเลย จะล้างไว้ เอาไปเสียบไว้จนเราสอดเข้าไปได้ยาก เพื่อปิดรั่ว ไม่ให้รั่ว ไม่ใช่เรื่องสนุกสนาน มันสร้างสรรค์ชีวิตของเรา
ในความอ่อนแอทำให้เราเข้มแข็ง ในความทุกข์ความยากทำให้เรามั่งมีได้ เศรษฐีบางคนเนี่ย มั่งมีเป็นเศรษฐีเพราะความทุกข์ความยาก ความจน คนรวยทำให้เป็นคนยากจนก็ได้ถ้าประมาท เพราะฉะนั้น เราอย่าไปรังเกียจความทุกข์ความยาก สู้นะ เวลามันโกรธ เราอย่าพูด มองไป มองด้วยความลึกซึ้ง มองถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าจะพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ อยู่อย่างนี้ ขึ้นมา ตึ๊ง! ขึ้นมา โอ เราคนหนึ่ง มั่นใจในชีวิตของเรา อย่าอ่อนแอ
เหมือนคนในสมัยก่อนต้น ๆ พุทธกาล เด็กน้อยไปเล่นถามกันเลย มีสติหรือเปล่า มี เออ! ชวนกันไปเที่ยวได้ พอใครตอบว่าไม่มีสติเลย ต้องระวังให้ดี มันจะหลงนะ มีรัตนตรัยหรือเปล่า มี เด็กน้อยอายุ 7 ขวบ 8 ขวบพูดกัน คุณมีรัตนตรัยอายุเท่าไร มีอายุ 6 เดือน อ้าว! 6 เดือนคุณยังอยู่ในครรภ์มารดา นั่นแหละ! เรามีตั้งแต่อายุ 6 เดือนแล้ว คุณมีได้อย่างไรอายุ 6 เดือน เมื่อนั้นเราอยู่ในครรภ์มารดา มารดาของเราพาไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า มารดาของเราฟังเทศน์ เราก็พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ศรัทธา ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งแต่นี้ต่อไปจนถึงตลอดชีวิต แม้แต่ลูกที่เกิดเพียง 6 เดือนในครรภ์ของข้าพเจ้า ก็ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พอเราเกิดมาแม่ก็บอกว่า ลูกเอ๋ย! ลูกมีพระรัตนตรัยตั้งแต่อายุ 6 เดือนอยู่ในครรภ์ของแม่แล้วนะ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจแล้วนะ เป็นการประกวดชนะหมู่เลย โอ้ย! เขาเก่งมาก เพราะมีรัตนตรัยตั้งแต่อายุ 6 เดือน พวกเราเพิ่งมาขอบวชใช่ไหม เมื่อไม่กี่วันมานี่ ขอให้ถึงพระรัตนตรัยตลอดชาติ มาอายุก็ 30 ปีแล้ว สู้เด็กน้อยอินเดียไม่ได้นะ เขามีพระรัตนตรัยตั้งแต่อายุ 6 เดือนแล้ว อย่าทิ้งนะ ในหัวใจเราอย่าแยกเลย อยู่ที่ไหนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ตรงนั้น นั่งอยู่นี่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพาให้เราเป็นคนดี ครูบาอาจารย์พาให้เราเป็นคนดี บิดามารดาพาให้เราเป็นคนดี อย่าทอดทิ้งนะ อย่าว่าเราดีกว่าคนทั้งหลาย เราเก่งไม่ใช่นะ ผู้ที่พาเราเก่งคือพ่อแม่ของเรา ครูอาจารย์ของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันมีที่พึ่งอย่างนี้ ไม่ต้องหลุดไปไม่ต้องตกไปในที่ชั่วได้ พอโกรธขึ้นมาก็เห็นพ่อเห็นแม่ พ่อแม่ไม่อยากให้เราทุกข์ ไม่อยากให้เราโกรธ เห็นใจพ่อแม่ ยังอยู่กับเรานี้ มีพ่อมีแม่ไหม มีไหม เดี๋ยวนี้หลวงตาก็ไม่มีพ่อแม่ แต่ยังมีอยู่ในนี้ อยู่ในหัวใจเรานี้ มีหลวงพ่อเทียนอยู่ในหัวใจ แม้หลวงพ่อเทียนไม่มีแล้ว แต่ปฏิเสธหลวงพ่อเทียนไม่ได้ ยังอยู่ในนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยังอยู่ในหัวใจเรานี้