แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฝนตกดีนะ ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับวิชากรรมฐาน ฝนตกแดดออก จะเป็นกลางคืนกลางวัน เดือนไหนปีใด วันใดไม่เกี่ยว การฝึกสติฝึกหัดจิตใจไม่มีกาลไม่มีเวลา สามารถทำได้ทุกโอกาส ไม่มีสิ่งอ้างเพื่อไม่ทำกรรมฐาน ไม่มีในโลก การทำงานอาจจะอ้างได้ แต่การบำเพ็ญทางจิตไม่มีอะไรอ้างได้ เป็นการกระทำได้ทุกโอกาส มีความรู้ได้ทุกเวลา ยิ่งเวลาใดมันหลงยิ่งมีความรู้ เวลาใดมันทุกข์ก็ยิ่งมีความรู้สึกตัว เวลาใดที่มันมีปัญหาก็มีความรู้สึกตัว
นี่คือกรรมฐาน ให้มันคล่องแคล่วสะดวก ถ้าไม่ เวลามันหลง หลงไปไม่สะดวกเลย เป็นทุกขปฏิปทาปฏิบัติลำบาก แบบนั้นเนิ่นช้า เวลาใดมันทุกข์ ทุกข์เลย เนิ่นช้า เป็นทุกขาปฏิปทา ไม่มีโอกาสได้บรรลุธรรมเลย หลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธ เป็นทุกขาปฏิปทา แม้นว่าจะสะดวกทางใดก็ตาม ในหลักธรรมถือว่าเป็นทุกขาปฏิปทานะ ไม่มีโอกาสบรรลุธรรมก็ได้ อาจจะเนิ่นช้าก็ได้
แต่ถ้าหลง เห็นมันหลง อาจจะไม่เนิ่นช้า เป็นสุขาปฏิปทา รู้ได้ง่าย ถึงง่าย ลัดสั้น กวดวิชาไม่เนิ่นช้า ถ้ามันทุกข์เห็นมันทุกข์ โกรธเห็นมันโกรธ ไม่เนิ่นช้า เป็นสุขาปฏิปทา อย่าไปเอาการกระทำภายนอกเป็นเกณฑ์ชี้วัด เอาเกณฑ์ชี้วัดภายในคือจิตใจ เพราะการบำเพ็ญทางจิตจะมีมรรคมีผล มันหมายถึงจิตใจที่ฝึกหัดดีแล้ว ถ้าไม่หัดยังไม่ได้ประโยชน์จากจิตใจ อาจจะเป็นโทษได้ ความสะดวกความลำบากอย่าไปเอาเรื่องของกาย บางทีมีคนพูดว่า การมานั่งยกมือสร้างจังหวะมันเป็นทุกขาปฏิปทา มันไม่ใช่ การเดินจงกรมไม่หลับไม่นอนเป็นทุกขาปฏิปทา มันก็ไม่ใช่ เอาภายนอกเป็นสิ่งบ่งบอกว่าผิดว่าถูก ไม่ใช่เลย
อย่างเว่ยหล่างตำข้าวผ่าฟืน ไม่ค่อยได้นั่งฟังเทศน์ฟังธรรม ทำไมจึงได้เป็นพระสังฆราชองค์ที่หก ผู้ที่นั่งฟังเทศน์ฟังธรรม ผู้ที่ไม่ลำบากไม่ตำข้าว ทำไมไม่ได้บรรลุธรรม อะไรเป็นทุกขาปฏิปทา ลำบากแบบไหน อย่าเอาความลำบากความง่ายเรื่องของกาย เอาความลำบากเรื่องของจิตใจที่มันไม่หัด อันนั้นน่ะเป็นเกณฑ์ อย่าไปพูดว่าการยกมือสร้างจังหวะมันเป็นทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญาหรือว่าอะไรก็ไม่รู้ ทันธาภิญญารู้ธรรมได้ยาก ขิปปาภิญญารู้ธรรมได้ง่าย ถูกไหมท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย เราไม่ได้เรียนนะ แต่อยากพูดอ้างอิง (หัวเราะ) นักอ้างอิงนะ นี่คือเกณฑ์นะ
ที่นี่ เมื่อวานก็ได้พูดว่า ร่องรอยแห่งชีวิตมีกรรมพ้นกรรมได้อย่างไร คือระหว่างสุขเห็นมันสุข อาจจะลบรอยได้ง่าย เหมือนรอยที่พูดว่ารอยมีดขีดบนน้ำ รอยมีดขีดบนดิน รอยมีดขีดบนหิน อะไรที่มันลบง่าย ถ้ารอยมีดขีดบนหิน มันลบยากคืออะไร อุปมัยอุปมารอยมีดขีดบนหินคือสุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่ค่อยลบซักทีเลย ถ้ารอยมีดขีดบนดินคืออย่างไร คือเห็น เห็นสุขเห็นทุกข์ ถ้ารอยมีดขีดบนน้ำ ไม่เป็นผู้สุข ไม่เป็นผู้ทุกข์ นั่นแหละมันลบได้ง่าย ถ้ามีบาปมีกรรมก็ลบง่าย สิ้นกรรมก็สิ้นตรงนี้ ไม่ใช่สิ้นกรรมคือตาย ไม่ใช่แบบนั้น สิ้นกรรมพ้นกรรมคือมรรคผลนิพพานคือตาย ไม่ใช่แบบนั้น สิ้นกรรมคือสิ้นแบบนี้ ไม่มีภัยคือไม่มีแบบนี้ รอยมีดขีดบนน้ำคือเห็น ไม่เป็น มันทุกข์ เห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ มันสุข เห็นมันสุข ไม่เป็นผู้สุข มันโกรธ เห็นมันโกรธ ไม่เป็นผู้โกรธ อะไรมันตรงแบบนี้เรียกว่านิโรธในองค์มรรค
วิธีทำก็ทำแบบนี้นะ ไม่ใช่ไปเอาเกณฑ์อย่างอื่น ไปนั่งหลังขดหลังงอ ตั้งกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นเป็นรูปแบบ ฝึกกรรมฐานตีระฆัง ไปนั่งชั่วโมงหนึ่ง แปดชั่วโมง ออกจากท่านั่งเดินสาธิตจงกรม เรียกว่าเข้ากรรมฐานเข้ม อะไรเข้ม มันเข้มอยู่ที่ไหน จึงจะเรียกว่าเก็บอารมณ์กรรมฐานเข้ม เข้มคืออย่างนี้ คือเห็น ถ้าหย่อนยานคือเป็น เป็นสุข มันสุขเป็นสุข มันทุกข์เป็นทุกข์ หย่อน เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ ถ้าโกรธเป็นโกรธ ดีใจเสียใจเป็นไปน่ะ เป็นกามสุขัลลิกานุโยค ไม่มีโอกาสบรรลุธรรม หย่อน ไม่ใช่รูปแบบ ไม่ใช่รูปแบบเอาเป็นเกณฑ์กัน
กรรมฐานเข้มคืออะไร คือเห็น ไม่เป็น เข้ม มันเห็น มันมีทุกโอกาส ก็เห็นทุกโอกาส ไม่เป็นทุกโอกาส เรียกว่าเข้ม กรรมฐานเข้ม เรื่องอย่างนี้อะไรอยู่ที่ใหน อยู่ที่การกระทำ กรรมฐานคือการทำแบบนี้ ไม่ใช่รูปแบบยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง สติปัฏฐาน อาณาปานาสติ อันนั้นเป็นเกณฑ์เป็นสมมติบัญญัติ เหมือนกับการใช้ทำงานต่างๆ หามาใช้ เหมือนเราฝึกหัดวิชาชีพ ศาสตร์ต่างๆ หามาใช้ให้มันรู้จักทิศทางได้ง่าย ก็เป็นสูตรของแบบนั้น
พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย มีอย่างนั้นเพื่ออะไร ก็เพื่อความหลุดพ้น ทำไมจึงมีพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย เพราะมีคนเก้อ-ยาก ดื้อ เหมือนกับกฏหมายบ้านเมือง ถ้าไม่มีคนเก้อ-ยากไปดื้อ มันก็ไม่ต้องมีอะไรกฎหมาย ก็ไม่ต้องมี เป็นไปเองตามธรรมชาติ อยู่โดยชอบ อยู่โดยชอบ อยู่ที่ลุ่มอยู่ที่ดอน อยู่ที่น้ำ อยู่ที่ป่า อยู่ที่บ้านได้ทั้งนั้น การอยู่โดยชอบ
เราจึงรับมาตรงนี้หน่อย เห็น ไม่เป็น มันหลง เห็นหลง ไม่เป็นผู้หลง เหมือนลบรอย รอยกรรม เราก็มีรอยกันทั้งนั่นล่ะ มาซ่อม เหมือนรถมือสอง มาซ่อม มีรอยแห่งความสุข มีรอยแห่งความทุกข์ มีรอยแห่งความรักความชัง มีรอยแห่งความได้ความเสีย เคยผ่านมีแผลมาแล้ว สุขจนมาแล้ว เหมือนอู่ซ่อมแหละกรรมฐานนี่ ซ่อมตรงไหนล่ะ ชีวิตเรานั่นแหละเห็นไหม เวลามีความรู้ก็เป็นช่างแล้ว ซ่อมชีวิตของเรา ซ่อมกายซ่อมใจของเรา เวลามันหลง เห็นหลง ไม่เป็นผู้หลง มีสตินั่นแหละ ทำให้ดีขึ้น มีไหม มันหลงน่ะมีไหม ถ้ามันมี นั่นแหละงานของเรา ทำอย่างไร ทำอย่างไร ไม่ต้องมีคำถาม ไม่ต้องมีคำถาม จะทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ท่านก็ถามท่านเอง เป็นโจทก์เอง เป็นจำเลยเอง พิพากษาเองในตัวเสร็จ
มันหลง นั่นแหละงานของเราแล้ว ถ้ามันสุขมันทุกข์ งานของเรา มันผิดมันถูก งานของเรา มันพอใจไม่พอใจเป็นงานของเรา งานที่จะได้ชีวิตคืองานแบบนี้ ได้ชีวิตไม่ใช่ได้ร่างกาย เลือดเนื้อที่มันยืนเดินนั่งนอนนี่ ยังไม่ใช่ชีวิต ได้ชีวิตคือมาเห็น ถ้ามันหลง เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง มีชีวิตขึ้นมา อุบัติขึ้นมา โอปปาติกะขึ้นมาแล้ว กำเนิดเกิดขึ้นแล้ว พุทธะเกิดในลักษณะแบบนี้
ถ้ามันหลงน่ะ งานแล้ว มันสุข มันทุกข์ มันผิดมันถูก มีไหม นั่งอยู่สุคะโต มันไปไหน เวลานอน มันไปไหน มันนอนไหม ทำอะไร มันอยู่ตรงนั่นไหม เป็นปัจจัตตังไหม หรือมันวิ่งไปอดีตไปอนาคต ปัจจุบันอยู่ที่ใด สิ่งที่ทำได้ไม่มี มีแต่สิ่งทำไม่ได้ คว้าน้ำเหลว อดีตก็เป็นน้ำเหลว อนาคตก็เป็นน้ำเหลว น้ำเหลวไม่พอ เน่าด้วย ไม่มีประโยชน์ ชีวิตน้ำเน่าน้ำเหลว วิ่งไปอดีต วิ่งไปอนาคต
วิชากรรมฐานจึงเป็นวิชาที่ปัจจุบัน ตั้งให้อยู่ในปัจจุบัน ได้ยินไหมนี่ เสียงฝนตก หา (หัวเราะ) น่าสนุกนะ บรรลุธรรมตอนฝนตกก็ได้ หรือว่าไง ความยากมันจะง่ายขึ้นมา มันจะมีความง่ายเวลามันยาก มันจะมีความถูกเวลามันผิดนั่นแหละ ถือโอกาสแบบนี้ ใส่ใจตรงนี้ ทำในใจตรงนี้ ฝึกตนตรงนี้ ถ้าตรงที่มันมีปัญหาไม่มีปัญญา มันก็ไม่จบไม่สิ้นซักที ถ้าไม่ฝึกตรงนั้นน่ะ ทำอะไรไม่เป็น ไม่ทำเสียเลย มันก็ไม่เป็นซักที ถ้าทำแล้วมันผิด นั่นแหละคนทำงาน เห็นมันผิด ถูกแล้ว คนที่เห็นตัวเองว่าผิดน่ะเป็นบัณฑิตขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าเห็นคนอื่นผิดยังเป็นคนพาล ถ้าเห็นตนเองผิดเป็นบัณฑิต มองตนแล้ว มีการฝึกตนสอนตน ไม่มีกาลมีเวลา ไม่มีสิ่งอ้าง แก้ได้ทุกโอกาส ไม่มีฤดู เหมือนทำไร่ทำนา ได้ผลทุกโอกาส เป็นมรรคเป็นผลทุกโอกาส น่าจะง่ายนะ น่าจะกระตือรือร้น
ถ้ามาศึกษาตามร่องรอยพระยุคคลบาทพระพุทธเจ้าแล้ว เหมือนกับเห็นร่องรอยเห็นทิศทางไปเรื่อยๆ ถ้ามันหลงมันบอก ไม่หลง ถ้ามันผิดมันบอก ไม่ผิด เหมือนทางมิตรภาพ ไฮเวย์ โทลเวย์ ฮาฟเวย์ ฟรีเวย์ เวลาทางที่เขาทำเป็นทางหลวงที่มาตรฐาน ไม่กระโดกกระเดก ป้ายจราจรมันบอกแยกตรงใหน โค้งตรงใหน ถ้าอ่านออกดูลักษณะรูปแบบ ถ้าทางโค้ง เขาก็ทำเป็นลูกศรโค้งๆ ถ้าทางซิกแซกงอศอกก็ทำเป็นลูกศรงอๆ เป็นศอก เราก็สะดวก เราจะเดินไปยังไง เขาบอกแล้วน่ะ ผิด เขาบอกว่ามันผิด เราจะต้องเดินไปทางผิดหรือ ถ้าไม่ใช่ตกเหวตาย เป็นทุกข์ ผิดพาให้ผิด ทุกข์พาให้ทุกข์ มันไม่ใช่
ถ้านั่งรถเดินทางไกล ทางดี ทางมีป้ายจราจรสมบูรณ์แบบ มันจะบอกไปเลย ถึงจุดหมายปลายทาง มีปัญหาอะไร ก็ยิ่งบอก อย่างนั่งเครื่องบินไม่มี มันก็มีทางนะ เขาขีดไว้เหมือนกัน เวลามันมีคลื่นอยู่ที่ใด มันจะบอก อีกกี่นาทีให้ผู้โดยสารนั่งปรับเก้าอี้ให้ตรงรัดเข็มขัด มีเครื่องสอดเอาไว้ใต้โต๊ะที่นั่งให้เรียบร้อย เพราะจะเจอคลื่นอยู่ข้างหน้า นี่เขาบอก
นักเดินเรือทะเลเขาก็บอก ตอนอยู่ละงูท่าเรืออยู่ละงู เราจะไปเกาะตะรุเตา ไปที่ท่าเรือถามนายท่า เขาบอกว่ายังไปไม่ได้ มรสุมกำลังอยู่บนเกาะตะรุเตา เข้าฝั่งไม่ได้ แต่เขายืนไม่มีเครื่องมืออะไร ไม่มีกล้องอะไร นั่นหละเขาทำงาน อีกซักหน่อยถ้ามันเข้าได้จะบอก ก็นั่งอยู่ด้วยกันน่ะ ไม่ได้มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไร อีกซักหน่อยเขาก็บอกจริงๆ มา มา เข้าได้ เร็วซักหน่อย ช้ากว่านี้ไม่ได้ ลงเรือไป เขาพาวิ่งไปเกาะตะรุเตา พอเรือถึงเกาะ ขึ้นจอดฝั่งจอดท่าเรือได้ มรสุมซัดมาอีก เรายังไม่ได้ลงเรือหมดเลย เขาบอกว่าผมก็ว่าช้ากว่านี้ไม่ได้ เขาทำไมถึงรู้ เพราะเขาชำนาญในการเดินทางประจำ คำนวณฤกษ์คำนวณรหัสในชีวิตของเขา
มันก็มีรหัสนะ ชีวิตของเราน่ะ เช่น คนเฝ้าทรัพย์สมบัติ เฝ้าบ้าน เขาชำนาญในบ้านเรือนเขา มีรหัสแบบไหนกลางคืนเป็นรหัสแบบใด ถ้ารหัสผิดปกติแสดงว่าอะไรเกิดขี้น มีโจรผู้ร้าย อะไรมันบอกหลายอย่าง เขาก็กระอือกระแอมขึ้นมา เพื่อบอกว่า นี่ เจ้าของนี่ยังไม่นอน อยู่นี่
ชีวิตของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่รู้ ความหลงก็เป็นลิ่มเป็นก้อน ความโกรธก็เป็นลิ่มเป็นก้อน ความผิดความถูก ความพอใจความไม่พอใจ มันสัมผัสได้ มันต่างกันอยู่กับความไม่หลง เราก็ได้ฐานได้กรรม ได้หลักฐานแบบนี้ สัมผัสความหลงสัมผัสความไม่หลง เป็นอย่างไร มันก็มีอย่างนี้อยู่จริงๆ แหละ หรือว่าเราด้านไปเรื่องนี้แล้วหรือ เวลามันหลงก็หลง เวลามันสุขก็สุข มันด้านแล้วหรือ อาจจะด้านนะเพราะไม่เคยรู้นะ มาหัดรู้มันก็ต่างกันอยู่นะ เราเคยด้านเรื่องนี้มาเหมือนกันแหละ หลงอยู่ได้ ทุกข์อยู่ได้ โกรธอยู่ได้ ถ้าคิดถึงความรัก อิ่มใจไม่กินข้าวก็อิ่ม นึกถึงความทุกข์ก็เหือดแห้ง เศร้าหมอง ก็เคยแบบนั้น แล้วก็ยังยอมอยู่ในสภาพแบบนั้น มันไม่มีเหนือกว่านั้นหรือ
พอเรามาฝึกกรรมฐาน โอ๊ย กระตือรือร้นนะ พอมันคิดไปกลับมา เอากรรมฐานเป็นที่ตั้ง กรรมคือการกระทำ ฐานคือที่ตั้ง มันตั้งไว้ได้ กลับมาได้ มันคิดไป กลับมา มันสุข กลับมารู้ มันทุกข์ กลับมารู้ พอจะมีรหัสใหม่ๆ สัมผัสใหม่ๆ สัมผัสความหลง สัมผัสความไม่หลง ตรงกันใกล้ๆ กัน เปรียบเทียบกันได้ เหมือนของสองชิ้นเอามาเปรียบเทียบกันดู อันหนึ่งเป็นอย่างไร ลักษณะหนึ่งเป็นอย่างไร เราได้สัมผัส โดยเฉพาะจิตใจของเราได้สัมผัส ทางกายน่ะสัมผัสไม่เป็นหรอก ถ้าใจมันพาไปเป็นยังไง มันก็เป็นไปตามใจ กายน่ะ
ถ้าเอาใจสัมผัสเรียกว่ารสโลกรสธรรม มันจะต่างกันแบบไหน รสพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง กุศลอกุศลมันคนละแบบคนละมุมกัน เหมือนกับน้ำเหมือนกับบก ต่างกันอยู่ น้ำก็ต้องแหวกว่าย บกก็ขึ้นนั่งเฉยๆ ไม่ต้องแหวกต้องว่าย ขึ้นฝั่ง เราขึ้นนั่งอยู่บนฝั่ง เห็นคนที่แหวกว่ายอยู่ในห้วงน้ำจะรู้สึกยังไง เราจะต้องไปเห็นว่า การแหวกว่ายมันดีกว่านั่งบนฝั่ง กระโดดลงไป มันเป็นไปไม่ได้ เราเล่นขี้โคลน เราสะอาด เสื้อผ้าสะอาดยืนจกกระเป๋า มันก็ต่างกันอยู่ มันไม่เปรอะเปื้อนอะไร
รสพระธรรมเป็นอย่างนี้ สัมผัส สัมผัสแล้วทำให้เป็นด้วย มันเห็น มันไม่เป็นนั่นน่ะ มันมาด้วยกัน หลวงตาถึงบอกว่าเห็น ไม่เป็นนี่ มันจะลบกรรมได้ มันจะเหนือกรรม สิ้นกรรม ใครจะมีบาปมีกรรมแบบไหนมา ให้มาทำแบบนี้ เป็นสุขเดือดร้อนเรื่องอะไรมา ให้มาทำแบบนี้ ให้มาทำแบบนี้กัน จึงใช้ชีวิตเพื่อทำงานแบบนี้ แต่เหลือน้อยแล้ว เหลือน้อยเต็มทีแล้ว แล้วก็อยากจะบอกแบบนี้ แล้วก็มันเรื่องอะไร
เรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับใครที่ไหน เป็นเรื่องของเราแท้ๆ นะ ความหลงก็อันเดียวกัน ไม่ต่างกันความสุขความทุกข์อันเดียวกัน ไม่ต่างกัน ความไม่สุขไม่ทุกข์อันเดียวกัน มันไม่ใช่คนละเรื่องกัน รสชาติก็เหมือนกัน ถ้ารู้เรื่องเดียวกันก็เป็นคนๆ เดียวกันได้ เห็นอกเห็นใจกันได้ แล้วไม่เบียดเบียนกันได้ มีแต่ความเมตตากรุณาสงสารช่วยกันได้ ถ้ามันไม่เห็นอย่างเดียวกันก็ทะเลาะกันฆ่ากันได้ คนที่เป็นทุกข์ก็ต้องฆ่า ก็ทุกข์ ทุกข์ด้วยกัน โกรธ โกรธด้วยกัน ฆ่าทำลายกันเอง เหมือนระเบิด ระเบิดก็ทำลายตัวมันเอง ระเบิดลูกไหนก็ทำลายตัวมันก่อน จึงไปทำลายอันอื่น ถ้ามีความโกรธมันระเบิดจากตัวเราไปทำลายคนอื่นได้ ถ้าเราไม่มีความโกรธ มันก็จะช่วยกัน มันจะไม่อยู่เย็นเป็นสุขได้ไง ถ้าเรามีธรรมในหัวใจเราแล้ว มันก็เหมาะแก่การงานของชีวิตเราที่จะไปทำให้มันเกิดประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
จะว่ายังไง อะไรเล่าที่มันประเสริฐไปกว่าเรื่องนี้กัน ไปหลงไปเล่นไปมัวเมาที่ใด ทำไมไม่มาศึกษาเรื่องนี้ที่มันเป็นอริยทรัพย์ภายในของเราแท้ๆ มีความเย็น ทำไมยังร้อนอยู่ มีความเบา ทำไมยังพากันหนักอยู่ น่าจะเอามันใช้มันให้มันถึงจุดหมายปลายทางซะชีวิตเราน่ะ จึงจะคุ้มค่า ยากเหลือเกินที่จะเกิดมาเนี่ย ในวันเกิดของเรามีคนสองคนเสี่ยง เสี่ยงตาย มีแม่มีลูกอยู่ในครรภ์ เสี่ยงกันทั้งสองคน ต้องทะนุถนอมกันอย่างมาก เกิดออกมาแล้วก็ยังต้องดูแลกันอย่างอุทิศชีวิตให้เลย ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม กว่าที่เราจะมาเป็นอย่างนี้ได้
อะไรที่มันสมกับที่เราเกิดมา เคยไปพูดกับพ่อกับแม่บ้างไหมว่า มันคุ้มค่าไหม ลูกสาวของแม่นี้ ลูกชายของแม่นี้คุ้มค่าหรือยัง เคยไปบอกพ่อบอกแม่ไหม ถ้าพ่อแม่ไม่มี ก็บอกเดี๋ยวนี้ว่าลูกชายของแม่ ลูกชายของพ่อ ลูกสาวของพ่อของแม่อยู่นี่ แขนพ่อแขนแม่อยู่นี่ แม่ยังไม่ตาย พ่อยังไม่ตาย เราได้เลือดได้เนื้อได้ชีวิตจากพ่อจากแม่ จะทำอยู่นี่ มันจะไม่ประเสริฐยังไง มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐแบบนี้ ไม่ใช่เกิดมาตายไปเปล่าๆ คอยร้องห่มร้องไห้ คิดถึงอาลัยอาวรณ์ถึงกัน อันนั้นมันไม่มีประโยชน์
มาใช้ชีวิตที่เราได้มาให้มันคุ้มค่าอย่างนี้ ชีวิตหลวงตาก็เหลือน้อย มีอะไรก็เปิดเผยออกหมด บอกหมด โสตาย ผิด โสตาย เอาคอประกันว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าเป็นรอยขีดบนดินบนหินบนน้ำ ลบให้เรียบเลยนะ ใครมีรอยขีดสุขๆ ทุกข์ๆ แบบไหน ลบรอย ให้มันมีแต่สติ มีแต่ปัญญา ให้เรียบไปเลย ไม่มีคลื่น แผ่นดินเรียบไปเลยนะ ถ้ายังไม่มีรอยอะไรนะ สิ้นเวรสิ้นภัย ไม่มีภัยอะไรอีกแล้ว เรียกว่า อริยะ อริแปลว่า ข้าศึก ยะ แปลว่าไปแล้ว ไปจากข้าศึกแล้ว อย่างนี้นะ อย่ามาเชื่อเรานะ (หัวเราะ) ให้ทำเอานะ ให้ทำเอา
วันนี้หลวงตาจะไปได้ไหม ให้อาจารย์ทรงศิลป์เป็นหัวหน้าพาไป โน่น บุรีรัมย์นั่นล่ะ ไปสักวันเดียว กลับมาตอนเย็น ไปเช้าๆ ซักหน่อย ฉันเช้าที่โรงทาน มีคนจะยกที่ให้เป็นสำนักสาขาสุคะโต ให้อาจารย์ทรงศิลป์เป็นคนตัดสินใจ เราไม่มีปัญญาอีกแล้ว หมดสภาพแล้ว ขอตายแค่นี้ หมดแค่นี้นะ ไปเฉยๆ ไม่มีกำลังที่ตัดสินใจเรื่องใดได้ ไปรับที่มามากแล้ว แต่ไม่สำเร็จประโยชน์ คืนให้เขาก็มี ที่ระยอง เขาคอยเขาสร้างกุฏิให้เป็นหลายบาทศาลา ยกคืนให้เขา ไม่สามารถบริหารให้เป็นวัดได้ตามความประสงค์ของเจ้าภาพเขา ก็เลยไม่มีปัญญาดอกเรื่องนี้ ไม่ใช่ขวนขวาย ขวนขวายไว้แค่นี้ บอกผิดบอกถูกเท่านี้เอง
มานั่งอยู่ที่นี่เท่านั้น ตอนเช้ามานั่งพูด พอพูดได้มีเสียง ตอนเย็นไม่ค่อยมีเสียง หูก็หนวก เลยขอใช้ชีวิตแค่นี้เท่านั้นเอง อย่าหาประโยชน์จากเรา อย่าหวังเอาอะไรจากเรา อย่าหวังพึ่งเราอีกต่อไป ให้พึ่งตัวเองให้มากๆ ได้ยินไหม (หัวเราะ) สมควรแก่เวลา