แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ใส่ใจสักหน่อย เรามีงานมีการ แล้วก็มีการกระทำงานนั้นโดยความใส่ใจ งานก็สำเร็จ ถ้าไม่ใส่ใจ มีงานไม่ทำ มันก็งานค้างคาอยู่ แทนที่มันจะมีอันเดียวก็มีหลายอย่าง งานของเราคือกรรมฐาน มีความรู้สึกตัวเป็นงาน มีความหลงเป็นงาน ความรู้สึกตัวไปทำความหลงให้เป็นความไม่หลง เรียกว่างานของเรา ถ้ามันหลง ไม่ทำให้มันรู้ งานค้าง มันจะมีภาระอีกหลายอย่าง ถ้าปล่อยให้งานค้างจะเป็นภาระไปถึงการเกิดแก่เจ็บตาย มีความรู้สึกตัวไม่ใช้ ก็เรียกว่าไม่ปฏิบัติหน้าที่ ผิด ไม่สมกับเกิดมาเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตไปทำอย่างอื่น สิ่งที่ควรทำ ไม่ทำ สิ่งที่ควรไม่ทำ ไปทำ ผิดฝาผิดหนังไป ถ้ามีความรู้สึกตัว ทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันไม่มี แล้วมันก็มีอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้ใช้ ไปใช้อย่างอื่นซะ ไปใช้ความหลง ไปใช้ความพอใจ ใช้ความไม่พอใจ ผิดฝาผิดหนัง
ชีวิตของเราเป็นเช่นไร ใช้แบบไหนการใช้ชีวิตนี้ ใช้เป็นหรือเปล่า ถ้าใช้ไม่เป็นก็เป็นทุกข์เป็นโทษ ถ้าใช้เป็น ก็เป็นประโยชน์นะ ให้มันชัดตรงนี้ตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อมันชัดตั้งแต่เริ่มต้น จับงานได้อย่างนี้ก็คล่องตัว แม้ประกอบการงานอะไรก็ตาม จะเป็นผู้นำได้ เรียนจบได้ ถ้าไม่คล่องตัวก็นำอะไรไม่ได้ ตามเขาอยู่ ถ้าเริ่มต้นไม่ดี ท่ามกลางไม่ดี ที่สุดก็ไม่ดี ถ้าเริ่มต้นดี มันก็ไปได้ง่าย
ความหลงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ อย่านึกว่าเป็นของเล็กน้อย พาให้เกิดแก่เจ็บตายได้ ถ้ามีความหลงก็ไปถึงความเกิดแก่เจ็บตาย ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถ้ามีความรู้ก็ทำให้พ้นการเกิดแก่เจ็บตาย มันปานนี้นะ ระหว่างรู้ระหว่างหลงเนี่ย ถ้าเราหลง ปล่อยให้หลงก็แน่นอน ต้องมีการเกิดแก่เจ็บตายแน่นอน ไม่ต้องปรารถนาเรื่องใด ไม่ต้องขวนขวายอะไร ไม่คุ้มค่า ถ้าทำชีวิตแบบนั้นน่ะ
ความรู้สึกตัวก็เหนือการเกิดแก่เจ็บตายจริงๆ ได้ทำดูแล้วทำตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้ ตื่นนะ โอ๊ย เราหลุดพ้นเพราะเรื่องนี้นะ ทำเท่านี้นะ มันหลุดพ้นมาเนี่ย มันหลุดพ้นแล้วจึงเห็นคุณค่ามากมาย แต่ก่อนจะหลุดพ้นได้ ถ้าเราไม่ประกอบมันก็ไม่มี ไม่เห็นคุณค่าของความรู้สึกตัว เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีค่าสำหรับชีวิตบางชีวิต ถ้ามีความหลงแสดงว่าไม่มีชีวิต จะต้องมีความเกิดแก่เจ็บตาย ไม่ได้ชีวิตอะไรเลย ใช้ชีวิตผิดไปเสียแล้ว ถ้าได้ชีวิตก็คือไม่หลง เมื่อไม่หลงก็ไปไกล ไม่ทุกข์ ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่พอใจ ไม่ไม่พอใจ ไม่ได้เป็นสุข ไม่ได้เป็นทุกข์ นี่คือชีวิตจริงๆ
ชีวิตของเรา มันไม่เป็นอย่างนี้ถ้าเราไม่หัด ไม่ฝึกหัด มันมีให้เราฝึกหัด เราไม่ฝึกหัดก็ฟรีไป เคยไปพูดอยู่ที่ไต้หวัน 10 กว่าปีมาแล้ว พูดแรงๆ สักหน่อยเรื่องนี้ มีคนไต้หวันเขาพิมพ์เป็นชีทออกมา มีพระไทยไปอยู่ที่นั่น เขาก็อ่านภาษาจีนได้ เขาก็เลยมาบอกว่า หลวงพ่อพูดแรงเกินไป หลวงพ่อยังหนุ่มอยู่ ถ้า 70 ปีแล้วค่อยพูดเรื่องนี้จะดีมาก หลวงพ่อยังหนุ่ม ให้ 70 ปีแล้วพูดได้สบายเลย ทำไมเขาคิดอย่างนั้น เขากลัวเหรอ มันน่าจะพูดตั้งแต่หนุ่มๆ จึงจะดี ถ้า 70 ปีจึงจะให้พูดเรื่องนี้ คนที่ไม่ถึง 70 ปี จะรู้เรื่องนี้ก็รู้ไม่ได้หรือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อายุ 35 ปีเท่านั้นเอง ทำไมต้องถึง 70 ปีล่ะ สังกิจจสามเณร 7 ปีเท่านั้นนะ ได้รู้เรื่องนี้เข้า หลายชีวิตที่รู้เรื่องนี้ตั้งแต่น้อยๆ ถ้าเราจะรอ เมื่อไหร่ถึงจะให้ผ่านตรงนี้ได้
จากหลงเป็นรู้ ถ้ามีความทุกข์ ก็จากทุกข์เป็นรู้ ถ้ามีความโกรธ ความโลภ ความรัก ความชัง ก็ให้ถึงความรู้ มันถึงจะจบ มันจึงเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย อย่าไปทำเล่นๆ นะ มันจะด้าน หลงแล้วก็เฉย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะความหลง มันพอกพูนขึ้นเหมือนสิ่งเสพติดได้ เหมือนยาเสพติด (ถ้า)ด้านในความหลง อันอื่น(ก็)ง่าย เช่น ความโกรธง่ายๆ ถ้ามันด้านตรงนี้ มันก็โกรธง่าย ทุกข์ง่าย โลภง่าย พอใจไม่พอใจง่ายๆ ดียากชั่วง่ายไปเลยนะ ถ้ามันด้านตรงนี้แล้ว มีอย่างนี้กันทั่วๆ ไป คนในโลก ชีวิตในโลกนี้ มันจะต่างกันตรงนี้
การปฏิบัติธรรมให้ใส่ใจสักหน่อย ถ้าไม่ใส่ใจตรงนี้ มันจะพ่วงไปอีกเยอะแยะ เพราะชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับหลายอย่าง มีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง มีตา มีหู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพื่อรับใช้ในเรื่องกามคุณทั้งหลายในรสของโลก ให้ได้สัมผัสรสของโลกจะได้ติดบ่วงติดโลก มันเป็นอย่างนั้นนะ แล้วเราอยู่ในฐานะแบบไหนกัน จะต้องไปยอมร้องไห้หัวเราะ ไปรับใช้ภพชาติเวียนว่ายตายเกิด แทนที่จะสิ้นภพสิ้นชาติ ขึ้นฝั่งซะ ให้มันนั่งสบาย มองดูสัตว์โลกที่แหวกว่ายในวัฏฏะเกิดแก่เจ็บตาย
แทนที่จะได้ชีวิต เลยเอาชีวิตไปใช้เพื่อเสียชีวิต ได้มาเสียไป มีแล้วเสียไป มีแล้วหายไป อย่างที่เราสาธยายอนัตตลักขณสูตร สังขารคือร่างกาย จิตใจแลรูปธรรมนามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป เห็นกับหูกับตากันอยู่ สังขารคือมันสุขมันทุกข์ พอใจไม่พอใจ มีแล้วหายไป ถึงรับใช้พอใจไม่พอใจอยู่ รับใช้อยู่ พอใจไม่พอใจ หลายภพหลายชาติ เกิดดับๆๆ เกิดดับๆ น่าขนหัวลุกนะ
เนี่ย เรายังประมาท พอใจ พอใจที่จะหัวเราะ พอใจที่จะร้องไห้ พอใจที่เป็นสุขๆ ทุกข์ๆ ให้เป็นภาระต่อชีวิต ชีวิตที่ได้ชีวิตมันไม่เป็นเช่นนั้น มันไม่มีอะไรที่ใช้แบบนั้นอีกแล้ว มันจบเป็น มันจบเป็นนะ มีอย่างนี้นะ ชีวิตของเราเพื่อการนี้โดยตรง หลงเพื่อไม่หลงนะ ทุกข์เพื่อไม่ทุกข์ ถ้ามีต่อไป โกรธเพื่อไม่โกรธ เพื่อการนี้โดยตรง ถ้าหลงเพื่อหลง ไม่ใช่แล้ว ผิดฝาผิดหลังไปแล้ว อันหลงไม่หลงมันอยู่ที่ไหนเล่า เหตุอยู่ที่ใด ผลอยู่ที่นั่น ไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัยของเรา โดยตรงเรื่องนี้ ไม่ต้องพลาดแน่นอนตรงนี้ ไม่ต้องพลาด แม่นยำชัดเจน เรื่องอย่างนี้
ชีวิตแม่นยำชัดเจน ใช้อะไรก็ชัดเจนเรื่องนั้น ถ้าเป็นเรื่องกายเรื่องใจใช้ไม่ผิด ชัดเจน ถูกฝาถูกฝั่งได้ จุดหมายปลายทางได้ ให้เครื่องหมายถูกได้ พูดถูก คิดถูก ทำถูก การงานก็ชอบ ถูกไป วาจาก็ถูก อะไรก็ถูกไป เยอะแยะไปเลย ถ้าไม่ชัดเจนตั้งแต่ทีแรก ก็ผิด ตามไม่ทัน เรียนไม่ทัน เขาไปก่อน สังขารเก่งกว่าวิสังขาร สังขารคือไปทางปรุงแต่ง หลงๆ ลืมๆ วิสังขารหยุดการปรุงแต่ง รู้เรื่องชัดเจน แต่ว่าวิสังขารไม่ทันไม่พัฒนา หันไปพัฒนาสังขาร ใส่ใจ แม้แต่ความทุกข์ก็ยังใส่ใจ ความโกรธก็ใส่ใจ ใส่ใจเพื่อจะให้มันปรุงเป็นสังขาร ใช้วัตถุที่มีให้เกิดการปรุง ตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง เพื่อจะให้ได้รูป ได้รส ได้กลิ่น ได้เสียงตามความต้องการของสังขาร ป้อนมันลงไป ซอกๆๆๆ หามา ใช้ไปแล้วก็หาอีกๆๆ รับใช้มันจนแก่จนเฒ่า รับใช้สังขาร เป็นทาสของสังขาร แทนที่จะเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวิสังขารซะ เสียชาติเปล่าๆ
ผู้ที่มีสติ ผู้ที่ฝึกสติ เมื่อมีสติใช้ ได้เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องทิ้งไม่ได้ เหมือนคูถมาเปรอะเปื้อนปนเปื้อนชีวิต รักษาอย่างแน่นอนไม่ให้ปนเปื้อน เหมือนหน้าตาของเรา อะไรมาเปื้อน ไม่ยอม เอาออกให้ได้ หน้าตาของชีวิตคือความบริสุทธิ์พรหมจรรย์ ไม่เป็นอะไร บริสุทธิ์ ถ้ามันเป็นอะไร ตรงไหน รู้ สิ่งที่มันเปื้อนออกได้ง่ายๆ ไม่ยาก มันหลง ไม่หลง ง่ายนิดเดียว ง่ายกว่าความหลง มันทุกข์ ไม่ทุกข์ ง่ายๆ ง่ายกว่าความทุกข์ มันโกรธ ไม่โกรธ ง่ายๆ ง่ายกว่าความโกรธ ความโกรธยังยาก ความทุกข์ยังยาก
ทำให้เพี้ยนๆ ไปหลายอย่างถ้าเกิดความโกรธ สภาพร่างกายก็เพี้ยน ตั้งแต่หัวใจเต้นเร็ว เลือดก็เพี้ยน เลือดที่มีอยู่ในร่างกาย ถ้าหัวใจเต้นอย่างไว ขาดเลือด ใช่ไหมคุณหมอ (หัวเราะ) กลายเป็นโรคกระเพาะได้ ลองดูสิ ถ้าโกรธ ข้าวกินไม่ลงเพราะเลือดมาเลี้ยงหัวใจ ทำงานหนัก เหมือนเครื่องยนต์ไปเลี้ยงลูกสูบน้ำมัน ลูกสูบวิ่งเร็วเท่าไหร่ กินน้ำมันมากเท่านั้น สิ้นเปลือง
คนขับรถ ถ้าขับไม่ดี ไม่ได้ลำดับลำนำดีๆ กินน้ำมัน ไม่ควรเร่งก็เร่ง ไม่จำเป็นที่เร่งก็เร่ง ก็ฟรีเปล่าๆ อย่างหลวงตานั่งรถในกรุงเทพฯ เนี่ย แค่สองเส้น เส้นเดียวก็วิ่งหัวปักหัวปำแล้ว วิ่งไปแล้วก็ไปจอด ใช่ไหม (หัวเราะ) เพราะจอดทำไม ไฟแดง พอเห็นไฟแดงอยู่โน่น พอเห็นไฟเขียวก็วิ่งไปสุด เขาวิ่งเพื่อจอดเพื่อเบรค ใช้เบรคเก่งกรุงเทพฯ น่ะ รถช้ำเพราะเบรค แต่บ้านนอกรถช้ำเพราะหลุมเพราะบ่อ ตกหลุมเบรค ตกหลุมพวงมาลัย ตกหลุมคันเร่ง หลายหลุมเหลือเกินในกรุงเทพฯ รถจึงโทรมมาก
ชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน ใช้แรงๆ แล้วไปหยุด มันหยุดไม่ได้ หัวปักหัวปำ เช่น โกรธ ให้มันโกรธเสียแล้ว หยุดความโกรธย้ากยาก หยุดไม่ได้เลย ต้องเอาสุดเหวี่ยงตกเหวไปก่อน หมดแรงแล้วจึงหยุดได้ เหมือนรถวิ่งอย่างแรงแล้วเบรคหัวปักไปเลย ตกแล้วชนแล้ว เสียหายแล้วจึงหยุดได้ ตายไปก็มี
เหมือนคนติดยา มาหาหลวงตา จะทำยังไงๆ กับผมหลวงพ่อ หลวงพ่อก็พูดแบบหักดิบเลย (หัวเราะ) บอกว่าหักดิบเลย หยุด ไม่ต้องกินเลย ช็อกไปเลย หน้าตาเหลือง พี่สาวโอบไว้ แล้วล้มพับเลย พอได้รู้สึกตัวขึ้นมา ยอมแล้ว ผมสู้ไม่ไหวหลวงพ่อ ผมสู้ไม่ไหว ไม่อยู่ๆ พี่สาวต้องส่งกลับบ้าน เพราะว่าหักดิบ ไม่ให้กินเลย แล้วนั่นเขาก็ช็อกไปเลย มันมาอย่างแรง มันจึงหยุดลำบาก ผลที่สุดก็ลงเลือดตายเลย
เคยไปช่วยยาเสพติดในค่ายตำรวจตชด.ภาคเหนือ เอาแบบหักดิบ บางคนก็ไปได้ หมั่นสร้างสติไว้ก่อน ทำใจไว้ก่อน อยู่ในกองร้อยนะ ฝึกสติไว้ก่อน พอถึงคราวหักดิบก็หัก เขาก็ทำใจได้ บางคนไม่ทำใจเลย ปล่อยตามปล่อย พอถึงคราวที่หักจริงๆ ทุกวัน ไปอยู่เดือนหนึ่งนะ ในวันสองวันก็ให้ยา หมอให้ยาบำบัด ถึงโอกาสก็เอาเลย หยุดเลย พอหยุดแล้วก็มีคนหนึ่งให้นั่งอยู่ในกองร้อย กองร้อยมีที่ตรงกลางเป็นที่ต่ำ สองข้างเป็นที่สูง หลวงตาก็เดินจงกรมอยู่ในร่องนะ เอาผ้าเต๊นท์กางไว้เป็นห้องๆ 40 กว่านาย อยู่คนเดียว เดินอยู่ เสียงเกากระดาน ก๊อดๆๆๆ เปิดไปดู กลางคืน เปิดเข้าไป ฉายไฟดู เลือดเต็มไปหมดเลย
โทรไปเอาหมอ เปิดไฟขึ้น ทำเป็นลับๆๆ ไม่ให้คนอยู่ข้างๆ ได้เสียกำลังใจ ไม่พูดกัน ดูกัน 2-3 คน หมอก็ให้เลือด เอาเลือดไปให้ ก็ให้เลือด ป๊อกลงทางสายยาง ป๊อกออกก้นไปเลย พอป๊อกตรงนี้ ก็ป๊อกออกโน่นเลย เจาะๆๆ ไป ให้เป็นขวดเท่าไหร่ ก็ป๊อกเท่านี้ ป๊อกออกข้าง คนเหลืองเข้าๆๆ หมอก็เลยบอกว่าคงไม่รอด ให้เลือดเท่าไหร่ก็ออกหมด หมอก็เลยให้อะไร ... ให้อะไร ให้โฟว์วิดเหรอ (น่าจะหมายถึงมอร์ฟีน) พอให้ปั๊บ ให้เฮโรอีน ไม่ใช่เฮโรอีน เขาเรียกว่าอะไร พอให้ลงไปปั๊บ แป๊บเดียวหยุดเลย หน้าค่อยแดงขึ้นมา
พอรุ่งเช้าขึ้นมาก็ออกไปพูดต่อผู้กำกับ ให้เขาตัดสินใจ จะตัดสินใจยังไง เขาก็สารภาพว่าเลิกไม่ได้ ทางผู้กำกับตชด. เขาบอกว่า รั้วของบ้านมันผุ ถ้าเลิกไม่ได้จำเป็นต้องเอาออก ถ้าไม่ออกไม่ต้องลา ถ้าจะออกก็เขียนใบลา ให้เวลาคิด 4-5 วัน แต่ต้องฉีดโฟว์วิดเหรอ (หัวเราะ) ไม่ใช่โฟว์วีลเหมือนรถยนต์นะ แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ได้ ขอลา เขียนใบลา มาลาหลวงตากลับ แล้วก็โทรเอาพ่อแม่มา มารับกลับบ้าน พ่อแม่ก็ร้องไห้เสียใจ อุตส่าห์ส่งลูกจนได้เป็นตำรวจ มาติดยาเสพติด ต้องส่งกันกลับบ้าน เอามันเอาไม่ได้นะ ปล่อยมันโกรธแล้ว ปล่อยมันทุกข์แล้ว ปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำย่ำยี เอาไม่ได้ ก็เป็น เนยยะ ปทปรมะ ไปเลย
เพราะฉะนั้น เราจึงเอาตั้งแต่ตอนต้นเนี่ย มันไม่มากหรอก มันมีหลงเท่านี้ล่ะ น้อยๆ เท่านี้ ก็จะไม่มีภพ ไม่มีชาติ มีเท่านี้ ก่อขึ้นมาคือภาวะที่หลงเนี่ย นะ เด็ดขาดเลย ไม่มีอะไร ศัตรูพิษตัวนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ถ้าไปถึง เห็นแล้ว โอ้ พิษมันอยู่ตรงนี้นะเนี่ย
เหมือนหลวงตาเห็นน้ำไหล ทำไมถนนสายนั้นจึงเสียหายมาก หนึ่ง ไปหาเหตุมัน คนไปขุดเอาหินที่หลวงตาวางไว้เป็นถนัดๆ ขวางไว้ให้มันระบายไปทางโน้น พอมันไหลลงมา ข้ามถนนไป ข้ามถนนไป คนขุดเอาหินออกไปทำอันอื่น มันก็ไหลสะดวกเลย ทับลงไปเลย เหตุมันอยู่ที่โน่น ทางสายนี้แม้จะใช้เท่าไหร่ก็ไม่เละ แต่พอน้ำมันไหลตามทางมา มันไม่เฉลี่ยไปทางอื่น ถ้าเอาหินไปใส่ มันก็จะไปขุดอีก จะเอาอะไรดี เอาดินเหรอ หรือเอาก้อนหินใหญ่ๆ ไปวางขวางไว้ๆ ก็ลองคิดกันอยู่
แต่เราก็หมดแรงแล้ว จะทำอะไรก็ต้องใช้คน การใช้คนก็เกรงใจ เราทำไม่ได้ จะใช้เขาก็ไม่ดี เมื่อวานเลยให้ความเห็นว่าทางสายนี้ไม่มีวิธีใดที่จะทำ เอารถมาเอาดินมาถมก็ไม่ได้ มันสูงเกินขอบเกินกำหนดแล้ว ต้องมีทางเดียวคือปั้นคันนา อาจารย์ตุ้มเลยบอกว่าเอาพวกช่างอยู่เนี่ย เอาสิ ก็เลยไปบอกเขาว่า เคยปั้นคันนาไหม คนหลังเขาไม่เคยทำนา ทำแต่ไร่ นุ่งกางเกงขายาวจะไปปั้นคันนาไม่ได้ ต้องถอดออก นุ่งกางเกงขาสั้นๆ แล้วก็ไปบอก เลยปั้นคันนาขึ้น ขุดดินขี้โคลนขึ้นมา จะปล่อยให้แห้ง ขุดไม่ได้ ดินเนี่ยมันเหนียวมาก ติดจอบ แทนที่จะใช้เวลาไม่น่ามาก ก็เลยใช้เวลามาก เอาโอกาสที่มันเละๆ เนี่ยปั้นคันนาขึ้นมา เลยหยุดให้รถวิ่งสายนี้สักระยะหนึ่งก่อน นี่คือเหตุมัน
เหตุที่มันเกิดจากความหลงไปไกลนะ เป็นภพเป็นชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถึงโน่นน่ะ ถ้าไม่หลง มีแต่รู้เข้าไปนะ หยุดแล้วบัดนี้ สิ้นภพสิ้นชาติ พระพุทธเจ้าได้ประกาศเด็ดขาดเรื่องนี้ ไม่กำเริบอีกแล้ว ชีวิตเราไม่กำเริบอีกแล้ว ดังเราสวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตรเนี่ย ไม่กำเริบอีก ไม่มีอีก ภพใหม่ไม่มีอีก คือไม่มีหลง มันจะมากไหมเนี่ย ลองเปลี่ยนดูสิ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ดูสิ ต้นๆ นี่แหละ เพียงกำมือเดียวเท่านี้ไปไกล ถ้าไม่เปลี่ยนหลงเป็นรู้ มันก็จะมีความโกรธ ความโลภ ความรัก ความชัง ไปโน่นน่ะ ติดไปเลย เหมือนเชื้อโรค ถ้าไม่รักษาให้วัคซีนเข้าไป ก็ไปไกลนะ ตายเลย เชื้อโรคน่ะถ้ารักษาก็หาย การที่รักษามันก็ยังไม่ปลอดภัย ถ้ามันเป็นแล้วค่อยรักษาเนี่ย การป้องกันนี่มันปลอดภัยกว่า
วิธีป้องกันชีวิตของเราจะไม่ให้เกิดแก่เจ็บตายอย่างไร สติ สติเนี่ย นี้เป็นการป้องกัน ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคตอยู่ที่นี่ อยู่ในกำมือเรานี่ ยกมือขึ้นๆ อดีตอยู่ที่นี่ ปัจจุบันอยู่ที่นี่ อนาคตอยู่ที่นี่ ทำไมปล่อยให้มันหลงเล่า มีอดีตอยู่โน้นยังมาเอา เมื่อวานนี้คืออดีต ปัจจุบันก็ไม่เห็น แต่อนาคตก็ยังจะเป็นไปอีก อยู่ไกลโน่น ถ้ามีสติเดี๋ยวนี้ มันก็อยู่เดี๋ยวนี้ รวมมาอยู่ในจอ อยู่ในเลนส์เลยทีเดียว เลนส์ในชีวิตเรา ถ่ายให้มันดี ถ่ายภาพ ภาพของชีวิตคือเนี่ย ให้มันเป็นธรรมได้ มันเป็นเลนส์ เป็นตา
ความรู้แบบนี้ ที่ทำเป็นแบบนี้ ไม่ลืม ไม่เหมือนการท่องจำ การจดการเขียนอันนั้นลืมได้ เมื่อมาเห็น มันไม่ลืมหรอก เห็นหลักเห็นฐาน พอมีความรู้ไปรู้หมด อะไรมันอยู่ตรงไหน รู้หมด ตั้งต้นจากความรู้ตามความเป็นจริง เรื่องรูปเรื่องนามที่มันเกิดอะไร จากรูปมีอะไรบ้าง เห็นหมดเข้าแถวสารภาพ สติ มหาสติ ยิ่งใหญ่ มาเข้าแถวมารับสารภาพ สติก็เป็นนายแล้วตอนนี้ แต่ก่อนความหลงเป็นนายเรา บอกหมดนี่คือความไม่เที่ยง นี่คือความเป็นทุกข์ นี่คือความไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ในตัวมันบอก สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นไม่ควรถือว่าตัวเรา ของเรา มันบอก สารภาพ เหมือนกับสิงโตเป็นราชาของสัตว์ สัตว์อื่นมาสารภาพ สติใหญ่เหมือนรอยเท้าของช้าง ใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์อื่น รอยเท้าของสัตว์อื่นมารวมลงที่รอยเท้าของช้างได้
ธรรมทั้งหลายมารวมลงที่นี่ สติ ปัญญาญาณรวมที่นี่ทั้งหมดเลย เวลาไหนที่เราทำนี่ ไม่มีกาลไม่มีเวลา ทำเรื่องนี้ไม่อ้าง อย่าเอาอะไรมาอ้าง เอาหนุ่มเอาแก่ เอาหญิงเอาชาย เอาเพศลัทธินิกาย ไม่ใช่ เป็นเรื่องอันเดียวกันทั้งหมดในโลก ถ้าเป็นชีวิตแบบมนุษย์หรือว่าคนเราน่ะ มีกายมีใจเป็นรูปนามเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรมอันเดียวกันหมด สากล แขนสองขาสอง มีคอมีหัวตั้งอยู่บนบ่า มีอวัยวะเหมือนกันหมด กิเลสตัณหาก็เหมือนกัน ความโกรธความโลภความหลงเหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายเหมือนกันหมด
มันไม่น่าจะยาก ทำคนเดียว รู้คนเดียว รู้ตัวเรา รู้คนทั้งโลก บอกกันได้ กล้า กล้าบอก กล้าพูด ไม่มีผิดอะไร กฎหมายก็ไม่จับผิด เป็นทุกข์เป็นโทษได้ บอกว่าความทุกข์ไม่ดี ความไม่ทุกข์มันดีกว่า ถูกต้อง ความหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้อง ตะโกนออกไป สี่แพร่งห้าแพร่ง สมัยพระพุทธเจ้าไปยืนอยู่ที่ไหน อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ขยัน พระพุทธเจ้าขยัน จนได้ 84,000 เรื่อง ในหนังสือพระไตรปิฎก คำสอนที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ไม่ใช่ขี้เกียจ แต่ผู้ฟังจะขี้เกียจไหม ผู้บอกก็บอกอย่างนี้ บอกอย่างนี้ ไปทำบ้างไหม หรือเป่าปี่ใส่หูควาย หรือเข้าหูซ้ายออกหูขวา ไปตามลมตามอากาศ เอาไปทำให้เป็นกอบเป็นกำขึ้นมาได้คำพูดเนี่ย
ถ้ามีความหลงก็มีความไม่หลง นั่นแหละงานของเรา นะ เราจะใช้เปลี่ยนตรงนี้ได้แล้ว ไปเปลี่ยนความโกรธความทุกข์ง่ายๆ ความเกิดแก่เจ็บตายง่ายๆ ถ้าเปลี่ยนภาวะที่หลงได้แล้ว ไม่ได้ไปทำอะไรมันเลย มันเป็นไปเสียแล้วนะ เมื่อมันแก่ก็ไม่ได้แก่ เมื่อมันเจ็บก็ไม่ได้เจ็บ เมื่อมันตายก็ไม่ได้ตาย มันเป็นไปแล้ว ล่วงหน้าไปแล้ว มันจบไปแล้ว ไม่ได้เป็นกับสิ่งเหล่านั้นแล้ว
นี่คือกรรมฐานนะ ไม่ใช่เรื่องล้าสมัยสำหรับคนแก่ ก็มาอยู่วัดสำหรับคนที่ไม่มีอะไรแล้ว หมดอาลัยตายอยาก ใช่ไหม (หัวเราะ) นี่แหละคนมีอะไรที่มันประเสริฐ เราก็เป็นกัลยาณมิตรกัน วันนี้เรามาอยู่ที่นี่ วันหน้าเรามาอยู่ที่นี่ ก็เป็นมิตรกันตลอดภพตลอดชาติ กี่ภพกี่ชาติก็ยังเป็นมิตรกันอยู่ในสภาวะธรรมนะ แม้เราจะมีสมมติบัญญัติเข้าพรรษาออกพรรษา สมมติบัญญัติเป็นศาสนพิธี ศาสนพิธีเอามาเป็นศาสนธรรม เปลี่ยนมาเป็นศาสนธรรมหมด ความไม่ถูกต้องเปลี่ยนมาเป็นความถูกต้องหมด สมมติเปลี่ยนมาเป็นปรมัติหมด
ความหลงเป็นสมมติ ความไม่หลงเป็นปรมัติได้อย่างนี้ ความโกรธเป็นสมมติ ความไม่โกรธเป็นปรมัติ ความทุกข์เป็นสมมติบัญญัติ ความไม่ทุกข์เป็นปรมัติสัจจะ พลิกศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลเข้ามาสู่ศาสนธรรมทั้งหมด อันเดียวกันแล้วบัดนี้ กำมือเดียวพับใส่กระเป๋ากลับบ้านได้แล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็ได้แล้ว
เอ้า สมควรแก่เวลาบัดนี้ กราบพระพร้อมกัน