แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การฟังธรรมคือฟังเรื่องของเรานี่แหละ สนุกนะ สนุกรู้ สนุกเห็น ได้เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เนี่ย มันเป็นการงานชอบที่สุดเลย การเปลี่ยนหลงเป็นรู้นี่มันคือเรื่องอะไร เรื่องทั้งหมด เสมือนกับเราได้ช่วยตนเอง ได้ช่วยคนอื่น ได้ช่วยสิ่งอื่น ได้ช่วยวัตถุอื่น เป็นส่วนรวมเลยทีเดียว แต่ถ้าหลงเราไม่เปลี่ยนหลงให้เป็นรู้เนี่ย เท่ากับเราไม่รับผิดชอบอะไร มันเป็นการงานชอบ ยิ่งเวลามันทุกข์ก็ได้เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ มันเป็นการงานที่ลึกซึ้งมากนะ เป็นการเห็นของจริงอันประเสริฐ ต้นตอของปัญหา ได้เห็นต้นตอของปัญหาเอามาเป็นปัญญาได้ มันเป็นความมั่นใจชัดเจนแม่นยำที่สุดในโลกก็ว่าได้
นี่แหละ งานของพระอริยเจ้า เป็นการงานชอบ เป็นการกระทำที่ชอบ เป็นความอยู่ที่ชอบ เมื่อเราอยู่โดยชอบเช่นนี้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ คือผู้ไกลจากข้าศึก เพื่อได้อยู่ในโลกอย่างสง่างาม จะมีอะไรก็ตาม มันมาเป็นหน้าจอในภาวะที่รู้สึก ที่เห็นเนี่ยเป็นหลัก ถ้าเห็นแล้วก็ไม่เป็น พ้นจากภาวะที่เป็นได้ นั้นแหละงานชอบ มันแล้วมันเสร็จ ไม่มีอะไรที่จะให้ทำ เวลามันทุกข์แต่ก่อนมันก็มีให้ทำ ทีนี้ทุกข์ไม่มีให้ทำ มันหมดจริง ๆ คำว่าทุกข์นี้ หมดจริง ๆ
เราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว นี่คือพหุลานุสาสนีของพระพุทธเจ้าตักเตือนพวกเรา มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า อะไรคือทุกข์ เราก็เห็น เราปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใด มันได้สิ่งนั้นไม่เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจไม่เป็นทุกข์ ความเศร้าโศกร่ำไร ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจไม่เป็นทุกข์ จะให้ทำอะไรอีก อะไรที่เป็นทุกข์เป็นทุกข์ เราได้ทำให้เสร็จแล้ว งานนี้เราทำเสร็จได้แล้ว มันเป็นเรื่องอะไรที่ทำอย่างนี้ให้เสร็จไป มันเป็นอะไร มันก็เท่ากับว่าช่วยโลกทั้งโลกเลยทีเดียว
งานกรรมฐานเป็นงานที่ชอบที่สุดแล้วล่ะ จะได้ใช้ชีวิตแจกของส่องตะเกียงเลี้ยงคนทั้งโลก ก็มีชีวิตชีวาดี กระตือรือร้นไปบอกผู้บอกคน เวลามันหลง ไม่หลง บอกอย่างนี้ ให้มีภาวะที่รู้ เป็นหน้ารอบไว้ อะไรเกิดขึ้น ให้รู้ ให้เห็นให้ไม่เป็นกับสิ่งต่างๆ มันต้องมีแน่นอน มันมีวัตถุอากาศ มีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง มีตา มีหู ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ การเจ็บ การตาย เกิดจากครรภ์เกิดจากท้องเกิดครั้งเดียว แต่มันเกิดอีกในวัตถุอาการเหล่านี้ เป็นภพภูมิต่างๆ
สตินี้เป็นการคุมกำเนิดของการเกิด ในลักษณะที่มันการเกิดดับ อาการเกิดดับ มันดับ มันดับไม่เหลือ จึงเป็นการงานชอบ การงานที่ทำแล้วเสร็จ ได้ช่วยใส่ใจ เมื่อทำเสร็จแล้วกระตือรือร้นที่จะช่วยคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น ให้มาช่วยกันให้เป็นที่อาศัยของโลก เดี๋ยวนี้โลกไม่มีใครรับผิดชอบเพราะเราไม่รับผิดชอบตัวเอง ปล่อยตัวเองให้เป็นปัญหาต่อโลก บางทีเราก็ไม่ได้ทำให้มีปัญหาต่อโลกมากมาย แต่คนอื่นเพื่อนร่วมโลกยังมีอยู่ เราจะดีคนเดียวไม่ได้ มันจึงเป็นงานชอบของเรา
ดูอย่างพระพุทธเจ้าของเรา 45 พรรษา พระองค์ทรงชีวิตการสั่งสอนเรื่องนี้นานมาแล้ว ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่ได้มีการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา มันจะเป็นอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไร เหมือนคนป่าคนดง เหมือนสัตว์ก็ว่าได้ เดี๋ยวนี้นะ มันไปกันหมดเกือบจะหมดไปแล้ว อันเรื่องเหล่านี้ คำว่าบุญคุณนี่ มันไม่มีเสียแล้วในโลกนี้ มันหมดไปแล้ว อย่างหลวงตาก็เกิดมานานพอสมควร มันต่างเก่าจริงๆ คำว่าบุญคุณนี่แทบจะไม่มีในหัวใจของคนรุ่นใหม่รุ่นเด็กๆ มีแต่ใช้บริการ เอาบุญคุณมาเป็นการบริการชั้นต่ำๆ เช่น พ่อแม่ต้องบริการลูกให้ได้ ถ้าพ่อแม่คนใดบริการลูกไม่ได้ ลูกก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ต้องเรียกร้องให้พ่อแม่บริการมากที่สุด แล้วก็มีความหลง บางทีก็บริการลูกด้วยความหลงของเขา
อย่าง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ มีเด็กอยากได้มอเตอร์ไซต์ บอกพ่อบอกแม่ให้ซื้อให้ พ่อแม่บอกว่าไม่มีเงิน แต่ลูกมันเห็นควายอยู่ใต้ถุน ขายควาย ให้ขายควายไปซื้อให้ พ่อก็ไม่ขาย ควายเอาไว้ทำนา พอพ่อไม่ขายควาย มันก็เอาเชือกผูกคอตายอยู่บนเล้าข้าว พ่อก็มาเห็นทันได้ช่วยเหลือลูกไม่ให้ตาย ก็เลยขอยอมว่าจะขายควายซื้อรถมอเตอร์ไซต์ให้ ก็จำเป็นต้องขายควาย ต้องซื้อให้ มันก็ไม่ผูกคอตาย คนบ้านนี้ข้างต่ำนี่ ใกล้ ๆ นี้ นี่คำว่าบุญคุณมันคืออะไร มันเป็นการสั่งให้ทำตามความต้องการของเขา จึงเป็นงานของพวกเรา เป็นงานที่รีบรีบสักหน่อย แต่ช่วยกันสักหน่อย
โลกก็ร้อนเพิ่มขึ้น ร้อนจากผู้จากคน เพราะคนไม่รู้ คนไม่มีสติ ถ้ามีผลกระทบต่อเราอาจจะหนาวเพิ่มขึ้น อาจจะร้อนเพิ่มขึ้น อะไรก็จะหมดไปมากขึ้น ข้าวก็ไม่มีรสชาติมากขึ้น ต่อไปข้าวอาจจะเป็นพิษเป็นภัยมากขึ้น ดินก็เป็นพิษเป็นภัยมากขึ้น อากาศก็เป็นพิษเป็นภัยมากขึ้น อาหารก็เป็นภัยมากขึ้น เราก็มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ไต ปอด พังพืด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า แม้แต่เยื่อในกระโหลกศีรษะก็เป็นส่วนของโลก ถ้าสิ่งเหล่านั้นมันมีทุกข์มีโทษ มันก็มีผลกระทบต่อตับ ไต ไส้ พุงของคน มันเป็นเครื่องเล็กๆ น้อยๆ มันมีแต่โรค
อันที่เราว่าไปเมื่อกี้นี้ มันก็เป็นเชื้อโรคที่เกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอก วัตถุอาการต่างๆ แล้วก็จะตายเพราะสิ่งเหล่านี้แหละ แน่นอนที่สุด จงมาช่วยกัน งานเหล่านี้เป็นงานบุญ บุญคือ ทำคนที่หลงให้เป็นคนที่ไม่หลง ทำคนที่ทุกข์ให้เป็นคนที่ไม่ทุกข์ ทำคนที่โกรธให้เป็นคนที่ไม่โกรธ นี่คือการทำบุญ มีโอกาสมีตลาดแห่งบุญอยู่ทุกโอกาส
วันหนึ่งมีคนมาถามว่า หนูไปทำงานเกือบจะทะเลาะกับเพื่อน จะทะเลาะ เขาชวนทะเลาะ เขาว่าให้เราเสียใจ ทำให้เราได้เกิดความโกรธ เราหยุดความโกรธ มีสติขึ้นมา รู้จักร้อนวืบ มันก็ไม่โกรธ มันเป็นอย่างไรหลวงพ่อ ก็นั้นแหละธรรมะ เวลาคนจะโกรธ ไม่โกรธ เท่ากับเราช่วยคนสองคน ช่วยคนที่โกรธอยู่แล้ว ให้เขาไม่โกรธต่อไป ทางเราก็มีสติสงบอยู่ เพื่อนเราที่ควรจะโกรธ ทำให้ไม่โกรธ ถือว่าเราได้ช่วยคนทั้งสองฝ่าย เป็นการที่ชนะสงครามที่ชนะได้ยาก
พระพุทธเจ้าสรรเสริญ บุคคลผู้เอาชนะตน พระพุทธเจ้าสรรเสริญ อัตตา หะเว ชิตัง เสยโย ชนะตนนั้นแลเป็นเรื่องดี ชนะผู้อื่นร้อนครั้งพันหนไม่เท่าชนะตนแม้ครั้งเดียว ทำถูกแล้ว อยู่ในโลกทำอย่างนี้แหละ มันจะปลอดภัย เปรียบเหมือนเสือมันร้าย เราจะฆ่าเสือก็ไม่ได้ เราต้องดูแลตัวเอง อยู่ในที่เสือไม่กัดได้ คืออันนี้แหละ คือธรรมะเนี่ย ในเวลาความโกรธ ไม่โกรธ ในเวลาที่จะทุกข์ ไม่ทุกข์ เวลาที่จะหลง ไม่หลง มันมีได้จริงๆ ความเกิดเป็นทุกข์ ความเกิดไม่เป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความแก่ไม่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความเจ็บไม่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความตายไม่เป็นทุกข์ มันต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ไม่สุดทาง ชีวิตเดินไม่สุดทางไม่จบ ชีวิตเราเพื่อการนี้จะปล่อยทิ้งได้ยังไง
งานแบบนี้มันมีอยู่ในเราเนี่ย บางทีเราทำได้ตั้งแต่วันนี้วินาทีนี้ ไม่ใช่รอถึงชั่วโมงนั้นนาทีนั้น เหมือนกับเราเจ็บเอาปวดเอาทนเอา พอเราตายก็คิดคำนวณเอา ไม่ใช่อย่างนั้น มันทำเป็นแล้ว ตายเสียก่อนตาย เหมือนกับปริญญาสวนโมกข์ ที่เขียนไว้ในสวนโมกข์ ไชยา ปริญญาสวนโมกข์คือตายก่อนตาย เรียกว่าปริญญา ปหานปริญญา ปหานปริญญา ญาตปริญญา ตีรณปริญญา ปหานปริญญา เริ่มต้นจากญาตปริญญา ที่สองก็ตีรณปริญญา ที่สามก็ปหานปริญญา จบ จบเลย
ญาตปริญญา คือรู้แล้ว ญาต คือรู้ รู้แล้ว อะไรที่มันอยู่ในชีวิตเรา รู้แล้ว รู้ทั้งหมดเลย อัญญา อัญญา รู้แล้ว ญาตปริญญา หนีไม่พ้น ไม่พ้นดวงตาแห่งสติ ตีรณปริญญา แจกแจงแล้วไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ทำได้แล้ว ปหานปริญญา หมดไปแล้ว หมดไปแล้ว ภาวะที่เป็นหมดไปแล้ว มีแต่เห็น ไม่เป็น กลับมาแทนที่ สวนโมกข์จึงว่า เจ้าคุณพุทธทาสว่า ปริญญาสวนโมกข์ คือ ตายก่อนตาย
อ้าว ว่าไปอีก นิพานคือตายก่อนตาย อะไรมันตาย ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม มันตายไปก่อน รูปนามมันก็เป็นอยู่แล้ว เมื่อมีเกิดต้องมีตาย มันมีมาแล้วอย่างนั้น เราใช้มันให้มันจบซะ มันจึงไม่มีที่จะต้องให้มันเกิด ไม่มีต้องให้มันตาย มีแต่ใช้มัน นี่คือชีวิตเรา จึงจะได้ชีวิต ชีวิตไม่ใช่ฝากไว้กับรูปกับนาม กับกายกับใจ ร่างกายใจไม่มีแล้ว เขาเรียกว่าหมดชีวิต ไม่ใช่ ชีวิตคือมันไม่เป็นอะไร
ชีวิตคือมันไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ใช่ชีวิต ชีวิตมันเหนือกว่านั้น ชีวิตมันไม่เป็นอะไร มันเป็นอะไร มันก็ไม่เป็นอะไร มันหาคำพูดไม่ได้ มันมีอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว ถ้าจะพูดว่านิพพานเป็นเมืองแก้ว นิพพานเป็นของเรา ความว่างเป็นของเรา ความไม่เป็นไรเป็นของเรา ไม่ใช่ของใคร มันไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ชีวิตถึงความไม่เป็นอะไร มันจะเอาอะไรมาสมมุติบัญญัติ พูดไม่ได้ มีแต่เอาสมมุติมาพูดกันว่า นิพพานคืออะไร แปลว่าเย็นหรอ ของร้อนคือมันเย็น เย็นเป็นยังไง อธิบายไม่ได้ เหมือนอธิบายความเค็ม มันเป็นยังไงความเค็ม เผ็ดเป็นยังไง อิ่มเป็นยังไง หิวเป็นยังไง ถ้าคนเคยอิ่มก็คงจะตอบเองได้ ถ้าคนไม่เคยอิ่มคงตอบไม่ได้
ความเย็นที่เป็นวัตถุจะเปรียบเทียบความเย็นที่เป็นมรรคผลนิพพานก็ไม่ได้ แต่ว่าเอาอันนี้มาเป็นสิ่งเปรียบเทียบเฉยๆ แล้วพระพุทธเจ้าได้พบเห็น จึงได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้า ผู้ที่พบเห็นตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเรียกว่าสาวกคือพระสงฆ์ ผู้ใดพบเห็นเรียกว่าเป็นสงฆ์ สงฆ์พระรัตนตรัย ไม่ใช่สงฆ์สมมุติบัญญัติ เราอาจนุ่งเสื้อผ้า นุ่งกางเกง นุ่งอะไรก็ได้ เป็นสงฆ์ คุณธรรมโดยการศึกษาปฏิบัติ โดยการเจริญสติ ทำตามพุทธองค์ทรงสั่งสอนเนี่ย เหมือนกับพระพุทธเจ้าบอกให้เราเดินไป แต่การเดินต้องทำเอาเอง เดินเอง ปฏิบัติ ผู้ที่ศึกษาปฏิบัติจะต้องทำด้วยตนเอง ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรน้อมมาใส่ตัว เป็นสิ่งที่ควรประกาศให้คนมาดู เป็นปัจจัตตังของผู้กระทำ ของผู้ที่พบเห็น เป็นอย่างไร
มันไม่ใช่ของแบ่งปัน เกิดจากการกระทำของแต่ละชีวิต จะรักแสนรักกันก็ช่วยกันไม่ได้ มีแต่บอกว่าถ้ารักกันจริงหัวใจแห่งความรัก ไม่มีใครเป็นนักรักเท่ากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นยอดนักรักที่สุด คือไม่เป็นอะไรแล้ว แม้องคุลีมาลจับดาบไล่ฟันอยู่ ก็ยังรักองคุลีมาล ยังคิดจะช่วยอยู่ จนช่วยได้ จนช่วยได้ ประสาอะไรเราเนี่ย เขาทำให้เราเป็นทุกข์ ยังไม่รักตัวเอง รักจริงๆ มันรักตัวเอง รักตัวเองเป็นแล้วจึงรู้จักรักคนอื่น คนอื่นโกรธ เราเคยโกรธเป็นลักษณะยังไง ทำไมเราจะไม่รู้ เราจะต้องช่วยคนที่โกรธให้เขาไม่โกรธ คือความรัก ช่วยคนที่ทุกข์ให้เขาไม่ทุกข์ คือความรัก ไม่ใช่รักอยู่ด้วยการกอด การนอนอยู่ด้วยกัน กินอยู่ด้วยกันไม่ใช่ความรัก ความรักแบบนั้นอันตราย เป็นของตัวเอง เป็นของส่วนตัว เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ความรักไม่ใช่เป็นของส่วนตัว เป็นสาธารณะ ชีวิตเป็นสาธารณะ เพื่อช่วยคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น ช่วยสิ่งอื่นก็คือความรัก
อย่างที่เคยพูดว่า ป่าไม้ร้องไห้ แม่น้ำล้มป่วย แผ่นดินอัมพาต อากาศเป็นพิษ ช่วยป่าไม้ ช่วยแม่น้ำ ช่วยแผ่นดิน ช่วยอากาศก็เท่ากับช่วยคนอื่น ก็เท่ากับช่วยคนอื่น แต่คนอื่นไม่รู้ ต้องไปให้ช่วยกันจริงๆ จึงจะรู้ บัดนี้ มันเยอะแยะงานของพวกเรา มากมายจนทำไม่ทัน จนทำไม่ไหว ที่จะทำให้อะไรมันดีด้วยตัวคนเดียว จึงขอร้องให้มาช่วยกัน มาดู มาดู มันเป็นอย่างนี้
สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ วิจิตรตระการดุจราชรถที่คนหลงพากันอยู่ ส่วนผู้มีปัญญาไม่อยู่ที่นั้นแล้ว พระพุทธเจ้าถึงกับตะโกนบอก ตะโกนบอก ไม่ค่อยมีใครได้ยิน สูทั้งหลายจงมาดูโลก โลกคืออะไร รูป รส กลิ่น เสียง อะไรต่างๆ ราชรถมันตกแต่ง ตกแต่งให้คนหลง ดูซิ ทุกวันนี้มันคืออะไร เฉพาะใบหน้า เขาตั้งบริษัทเป็นร้อยๆ พันๆ บริษัท เส้นผมของเราเขาตั้งบริษัทเป็นพันๆ บริษัท ของไม่ดีเขาก็ขึ้นสไลด์ขึ้นฟ้าโน้นให้คนได้หลง ขายเหล้าขายบุหรี่ เครื่องอยู่เครื่องกิน แฮมเบอร์เกอร์ บางทีอาจจะไม่เป็นอาหารด้วยซ้ำไป บางทีเป็นของบำรุง เป็นของบำเรอเกินไป ฟุ่มเฟือยเกินไป ไม่พอใช้ ไม่พอจ่าย แต่ใครที่ชวนให้รู้ไม่ค่อยจะมี โสเภณีมากกว่าหมอ แหล่งการพนันมากกว่าโรงเรียน มันก็ไม่สมดุลกัน
เมื่อสองสามวันมานี้ เขาจับยาม้าได้หน้าสถานีตำรวจ บ้านท่ามะไฟหวาน ติดกันกับอบต. ศูนย์อบต.ท่ามะไฟหวาน แล้วคนที่ขายยาม้าก็คือครูพี่เลี้ยงที่มาสอนโรงเรียนอนุบาลเด็กน้อยที่อบต.ในศูนย์เลย โบราณท่านว่าเกลือเป็นหนอน มันเป็นอย่างนี้ คนเราไม่ค่อยรับผิดชอบ ขนาดเป็นครูพี่เลี้ยง สามีขาย โรงฆ่าสัตว์ บางทีหลวงตาเคยท้วงติงมา แต่ก่อนมาสอนอยู่ในวัดภูเขาทองนะ ไม่ต้องบันทึกเทปนะ (หัวเราะ) เขียนติดหน้ารถ ครูติ๋วเขียงเนื้อ เราว่าไม่เหมาะนะ ขี่รถยนต์เอามาจอดในโรงเรียนในวัดเนี่ย ครูติ๋วเขียงเนื้อ เหมือนกับวัดนี้ขายเนื้อฆ่าสัตว์ขาย ครูติ๋วเสียความเป็นครู เอาครูมาเป็นเขียงเนื้อนี่ มันเสียศักดิ์ศรี อีกหน่อยเขาก็หลงผอ.เขียงเนื้อไปเสียแล้ว เลยไม่เอารถเข้ามาในวัด ผลที่สุดก็ออกไปอยู่ศูนย์โน้น จับได้ 17 เม็ดยาบ้า รู้สึกว่ามันหลอกลวง หลอกลวงชุมชน เอาไม่อยู่
อยู่ในวัดก็มีนะบางที เมื่อวานนั่งคุยกับกำนัน ที่นี่ยังมีพระ พระรูปหนึ่งก็เคยเสพยาเสพติดมา มาบวชอยู่เนี่ย อยู่กับหลวงตาเนี่ย ลูกศิษย์หลวงตาคำเขียนขายยาม้า อีกไม่นานนะ จะได้ยินนะ มีนะ จะทำไงพวกเรา จะให้ปล่อยกันทิ้งอย่างนี้หรือ รีบบอก รีบสอนกันเถอะ เป็นตัวอย่างกันเถอะพวกเรา สักชีวิตสองชีวิตขึ้นมานี้ เรานั่งอยู่นี่ก็พอแล้วเนี่ย
เหมือนสาวกของพระพุทธเจ้าทีละ 5 คน ต่อมาก็ 45 คน กระจายกันไปจนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ เป็นงานชอบที่สุดเลย ไปบอกกันเถอะ ไม่บอกใคร ก็บอกเราให้มันได้ สงบอยู่นี่แหละพวกเรา ไม่ทำให้อะไรเป็นทุกข์เป็นโทษ ดูแลกันไป ไปไม่ไปที่ไหนก็นั่งอยู่ที่นี่ เต็มไปด้วยเมตตากรุณา ตื่นขึ้นมาก็มีแต่ชีวิตชีวาทะลุทะลวง ภูเขา แม่น้ำ ทะเลขวางกั้นความเมตตากรุณาในหัวใจเราไม่ได้ เราไม่ได้ไป นั่งอยู่นี่ แต่มันยิ่งใหญ่มากนะ คุณธรรมที่อยู่ในชีวิตของเรานี่มันยิ่งใหญ่
หนาวหรือ แค่นี้หนาวหรือเนี่ย หนาวกว่านี้ก็มีนะ ศูนย์ลบยี่สิบนะ หลวงตาไปเมืองจีนปีกลายนี้ ศูนย์ลบยี่สิบนะ น้ำไหลเลยนะ หนาวบ้านเรามันน้ำแห้งนะ หนาวบ้านเขามันน้ำไหลเลยนะ เป็นน้ำแข็งนะ จะมานั่งปล่อยตัว เห็นหัวเห็นผมอยู่นี่ไม่ได้นะเนี่ย ตายนะเนี่ย หลวงตานั่งเทศน์เหมือนเด็กนั่งในผ้าอ้อมนะ ห่มไม่หนาเท่าไหร่ เขาไม่ยอม เอาผ้าห่มมาคลุมให้ เห็นแต่ปากจ๋อหวอพูดอยู่นี่แหละ ปานนั้นก็ยังหนาวมากนะ จนจะเดินไม่เป็นนะ ตรงไหนน้ำไม่ไหลเป็นน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งอยู่ข้างบน ข้างล่างมันยังไหลได้ ข้างบนมันแข็ง ข้างล่างน้ำยังไหลอยู่
เพราะฉะนั้น อย่าอ้างว่าหนาวนัก หิวนัก ร้อนนัก เหนื่อยนัก ความรู้สึกตัวอ้างอย่างนั้นไม่ได้หรอก ไม่มีอะไรอ้างเลย แหลมคมมาก เหนือทุกอย่าง ความรู้สึกตัว ความไม่ทุกข์ ความไม่หลงน่ะ ไม่มีอะไรอ้างเลย เอาความหนาวมาอ้าง เอาความเจ็บมาอ้าง เอาความตายมาอ้าง ไม่มี ในความรู้สึกตัวเนี่ย ทะลุทะลวงหมดนะ มันจะไม่เหนือเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ยังไง สิ่งเหล่านี้มันจึงเหนือทุกอย่าง เหนือเกิด เหนือแก่ เหนือเจ็บ เหนือตาย เหนือร้อน เหนือหนาว เหนือหิว เหนือปวด เหนือเมื่อย เหนือทุกอย่าง
ให้เป็นสมบัติของเราเถิดเรื่องนี้นะ อย่าให้มันเสียไป ชีวิตยังทำได้อยู่ มันหลง เปลี่ยนไม่หลง ทำได้อยู่ มันทุกข์เปลี่ยนไม่ทุกข์ สมบัติของเราเนี่ยให้มีเอาไว้ เพื่ออะไร เพื่อมันจะไม่มี มันจะจน จนต่อ จริงๆ นะ จนจริงๆ นะ รูปกายของเรา สังขารคือร่างกาย จิตใจที่เป็นรูปธรรมนามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วเกิดแก่เจ็บตายไป มันเป็นจริงๆ แบบนั้นนะ
รูปนามมันไม่เที่ยงนะ ในความไม่เที่ยงนั้นปล่อยมันฟรีๆ หรือ รูปนามเป็นทุกข์นะ รูปนามไม่ใช่ตัวตนนะ เราอยู่ในรูป อยู่ในนาม อยู่ในความไม่เที่ยงอย่างไร อยู่ในความเป็นทุกข์อย่างไร อยู่ในภาวะความไม่เป็นตัวตนอย่างไร มันใช้ได้ไหม บางทีเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยงหรือ เป็นทุกข์เพราะเป็นทุกข์หรือ เป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตนหรือ ไม่ใช่เลย เราต้องเป็นพ่วงแพของเรา ขี่ข้างบ้าง เอาความไม่เที่ยงมาใช้ เอาความไม่ทุกข์มาใช้ เอาความไม่ใช่ตัวตนมาใช้ ให้มันเป็นมรรคเป็นผล ไม่ควรเอาความไม่เที่ยงมาเป็นทุกข์ ไม่ควรเอาความเป็นทุกข์มาเป็นทุกข์ ไม่ใช่เอาความไม่ใช่ตัวตนมาเป็นทุกข์ เอาเป็นมรรคเป็นผล สำเร็จประโยชน์
ในความหลงก็เป็นผลนะ แทนที่จะหลง เป็นรู้เสียแล้ว ในความทุกข์ก็เป็นผล แทนที่จะทุกข์ ไม่ทุกข์เสียแล้ว มันถึงจะเหนือกัน แทนที่จะเจ็บก็ไม่เจ็บเสียแล้ว แทนที่จะตาย มันก็ไม่ตายเสียแล้ว มันไปถึงสุดยอดมงกุฎธรรม คือไม่เป็นอะไรโน้น จากสติก้าวแรกตรงนี้แหละ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ มันไปไกลนะ สะดวก ชำนาญ ชำนาญในการมีความรู้สึกตัว สะดวกในความเป็นทุกข์ สะดวกในความหลง สะดวกในปัญหา เหมือนเรามีความรู้ สะดวกในปัญหา คนมีความรู้ ทำอะไรที่มันเป็นงานที่ทำไม่ได้ มันสะดวกในการกระทำ ความทุกข์ทำให้เราสะดวก เอ๊ะ!แปลกนะเนี่ย ความทุกข์ทำให้เราสะดวก มันเป็นอย่างนะ ธรรมะเนี่ย สะดวกในการทุกข์นี่เป็นสิ่งชี้วัด
เหมือนกับพระพุทธเจ้าว่า ทุกข์ไม่กำเริบแก่เราอีกแล้ว เราจึงชื่อว่าเป็นการตรัสรู้แล้ว มันไม่กำเริบ ทำได้แล้ว เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นคำว่าตรัสรู้ให้พระปัญจวัคคีย์ฟัง เราได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะหน้าแล้ว ดังที่เราได้สาธยายพระสูตร ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มันจึงเป็นการสะดวกนะ แต่ปุถุชนทุกข์เป็นการติดขัดมากที่สุด ไปไม่ได้ หนักอึ้ง แต่พระพุทธเจ้าสะดวก เอามาเป็นเรื่องสะดวกที่สุดเลย
ชีวิตเราควรจะเป็นอย่างนั้น หลงเฉยๆ ก็ข้องแวะ สุข ทุกข์ ข้องแวะ ไม่มีอะไรข้องแวะเลยชีวิตเราเนี่ย ปฏิบัติธรรมเนี่ย ทำตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเนี่ย มีสติเนี่ย อยู่ที่ไหนก็ได้ สติเนี่ยเอาลมหายใจมาลูบก็ได้ กระพริบตาก็ได้ เคลื่อนก็ได้ อยู่เฉยๆ ก็รู้ได้ หลับกับความรู้ ตื่นในความรู้ หัดไป อะไรก็ตาม มีแต่รู้ มีแต่รู้ มหารู้ หายใจก็รู้เสียแล้ว เคลื่อนไหวก็รู้แล้ว อะไรก็รู้ไปหมด ชีวิตทั้งชีวิตคือภาวะที่รู้ เพราะมันเป็น มันไม่ใช่ มันไม่ใช่รู้นะ มันเป็น ทำให้มันเป็น แต่ก่อนเราเคลื่อนไหวมือ ต่อไปมันต้องเคลื่อนไหวบ้างล่ะมือเนี่ย แต่ก่อนต้องเอาลมหายใจ ต่อไปไม่ต้องเอาลมหายใจเราล่ะ เอาชีวิตทั้งชีวิตเลย มันมีความรู้ มันเป็นไปแล้ว ไม่ได้หัด เหมือนกับเราเรียนหนังสือได้แล้ว จำเป็นต้องไปหัดขีดหัดเขียนทำไม ใช้ได้เลย
เหมือนคนมีปัญญา ไปเจอกับฝรั่ง ฝรั่งหนุ่ม มีเมียแล้ว มีลูกสาวคนหนึ่ง พามา พากันมาปฏิบัติ พ่อแม่มอบทรัพย์สมบัติให้ไม่เอา เสียภาษีสูง พ่อแม่ยกบ้านให้ก็ไม่เอา เสียภาษีมาก เขาสะดวกแบบไหน เขามีปากกาเล่มเดียว ไปกับลูกกับเมียเลย ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงาน เพราะมีปัญญา คนมีปัญญามีความรู้ ทำงานคนเขาชอบ ไปทำงานที่ไหน เขาก็บอกว่าคุณอยู่กับเรา คุณมีสิทธิ์ซื้อบ้านได้ คุณมีสิทธิ์มีรถยนต์ได้ คุณมีสิทธิ์ไม่อดไม่อยาก ถ้าทำงานอยู่กับเรา เพราะเขามีปัญญา เขาทำได้ เขาจึงไม่มีบ้านมีช่อง เขาไปทำงานทั่วๆ ไป ไปได้ นี่คนมีปัญญา ไม่พะรุงพะรัง แต่คนไม่มีปัญญา พะรุงพะรัง เป็นนายช่างต้องหอบเลื่อยหอบกบ ขายนุ่นขายปอ ขายอ้อย รถสิบล้อ
หลวงพ่อเทียนเคยพูดเรื่องนี้ หลวงพ่อเทียนบอกว่าเงินหมื่นเงินร้อยหายาก เงินหมื่นเงินพันหายาก แต่เงินแสนหาง่าย หายังไงหลวงพ่อ เงินแสนนี่หาง่าย ไปถามบ้านบุโฮม บ้านบุโฮมทำไร่ฝ้ายเกือบทุกหลังคาเรือน แล้วถามเขาว่า เขาซื้อเท่าไหร่ตอนนี้ ซื้อเท่านั้นบาท หมื่นละเท่านั้นบาท จะซื้อให้หมื่นละเท่านั้นบาท จะขายให้ไหม เขาบอกว่าขาย มีกี่หมื่น ฝ้ายมีกี่หมื่น บางคนก็มีร้อยหมื่น สองร้อยหมื่น ห้าสิบหมื่น หกสิบหมื่น ไปถามหมดทุกคน ถ้าขายหมื่นละเท่านั้น จะขายให้ ถ้าขายเท่านี้ก็ไปขายโรงงานเอา จะซื้อให้เท่านั้น เขาก็ซื้อ ถามหมดทุกคนในบ้านนั้น พอถามได้แล้ว ก็บอกว่าฝ้ายอยู่นั้นหมื่น เท่านั้นเท่านี้หมื่น เท่านี้หมื่น เป็นฝ้ายประมาณเท่านั้นหมื่น เป็นแสนหมื่นจะซื้อให้เท่าไหร่ ถ้ามันปริมาณมาก หมื่นละเท่านี้จะซื้อให้ไหม ถ้ามันจำนวนมากก็ซื้อ เอารถไปใส่ เอารถไปใส่ ชี้บอกเลย นั่นอยู่นั่นเท่านั้นๆ ชั่งเอา กินน้ำชาแก้วเดียว ได้เงินเป็นแสนๆ ล้านๆ อันนี้คนมีปัญญา
คนไม่มีปัญญาต้องเอารถสิบล้อบรรทุกอ้อย หลวงพ่อเทียนไม่มีรถแม้แต่คันเดียว เอาสมองไปเลย เป็นพ่อค้าใหญ่สมัยท่านเป็นโยมอยู่เมืองเลย อายุ 46 ปีเท่านั้น ศึกษาธรรมะ เข้าใจธรรมะแล้ว พ่อค้าก็ไม่จำกัดเพศวัย สอนพวกเรา พวกเราก็พอที่จะมี ประทับใจในสิ่งที่หลวงพ่อเทียนสอน ให้เห็น รู้ซื่อๆ ประทับใจตรงนี้ ให้รู้ซื่อๆ มันสุขก็อย่าให้มันสุข มันหลงก็อย่าให้มันหลง ไม่ได้ ให้รู้ซื่อๆ ให้รู้รูปรู้นาม ประทับใจตอนรู้รูปรู้นาม ประทับใจตอนรูปสมมุติ รูปปรมัตถ์ ประทับใจตอนที่หลวงพ่อเทียนสอนให้เราเห็นความคิด อย่าเข้าไปเป็นผู้คิด ประทับใจมากตรงนี้ จบตรงนี้นะ (หัวเราะ) จบตรงนี้แน่นอนนะ ปัดโธ่! คำว่าสุขว่าทุกข์ที่เกิดจากความคิดจะไม่มีอีกแล้ว จบไป อะไรเรื่อยเปื่อยนี่ ไม่มีอะไรแล้วบัดนี้
เมื่อก่อนเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนกับกายกับใจ บัดนี้ ไม่ได้มีแล้วนะ กายใจไม่ได้เป็นเรื่องทุกข์แล้วนะ มันจะเป็นอย่างไร กายใจนี่จะไม่ทุกข์เด็ดขาด ประทับใจหลวงพ่อเทียนตรงนี้ หลวงพ่อเทียน หลวงพ่อจะใช้ผมอะไร ทำไมผมปฏิบัติตามหลวงพ่อสอนผม มันหมดเนื้อหมดตัวแล้ว (หัวเราะ) ทำอะไร ก็ทำแบบนี้ล่ะ แล้วทำแบบนี้มันจริงหรือ กี่วันกี่เดือนกี่ปีทำแบบนี้ ผมก็ไม่ใช่คนมีความรู้สามารถ คนก็ไม่ค่อยขยัน ไม่ได้ไม่หลับไม่นอน ทำแบบนี้แหละ ก็ต้อง 2 ปีแล้วหลวงพ่อ ถ้าทำแบบนี้มันจริง ไม่ใช่อะไร ถ้ามันจริงก็ไปบอกคนอื่น ไปสอนคนอื่นช่วยกัน มันยังไม่มีใครอ่ะ
ก็ประทับใจหลวงพ่อเทียนตรงนี้แหละ ไม่ใช่ประทับใจเห็นรูปหลวงพ่อ ก็หลวงตาคนหนึ่งธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่หลวงพ่อเทียนนะ ชื่อนะ ชื่อพันธ์นะ หลวงพ่อพันธ์ จิตตสุโภนะ แต่ว่าหลวงพ่อเทียนเอาลูกชายคนโตไปเป็นชื่อ คนเมืองเลยเอาชื่อลูกชายคนโตเป็นชื่อ ผู้หญิงก็ชื่ออะไร ก็เอาลูกเป็นชื่อพ่อชื่อแม่ ถ้าเรียกชื่อจริงๆ ไม่เคารพกัน เขาเรียกพ่อนั้นแม่นี้ อันนี้ อันนั้นก็ประทับใจหลวงพ่อเทียนสอน รู้ซื่อๆ ให้เห็นรูปเห็นนาม ประทับใจเห็นสมมุติ เห็นปรมัตถ์ ประทับใจเห็นความคิด อย่าเข้าไปในความคิด เนี่ย สุดยอดเลยนะ ไม่มีใครสอนแบบนี้ เกิดมาพ่อแม่ไม่เคยสอน โอ๊ย! เป็นพ่อของเราคนหนึ่ง จึงถ้ามันจริงก็บอกกันล่ะมั้ง มาบอกอยู่ทุกวันนี้ 40-50 ปีแล้ว อยากจะทำก็ลองดู ถ้าไม่ทำ ก็จำเป็น ช่วยไม่ได้
เอ้า วันนี้ก็สมควรแก่เวลา