แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นะมาฟังธรรมกัน ก็พูดแต่เรื่องเรานี่แหละ พูดแต่เรื่องกายเรื่องใจ เรื่องการเจริญสติ มีสติไปในกาย การปฏิบัติ การฝึกหัด ถ้าใหม่ๆมันยังไม่เป็นมันก็หลายอย่าง ถ้าทำเป็นแล้วมันก็ไม่มีอะไร ทำใหม่ๆนี่ก็หลง ก็เป็นหลงหลายรอบหลายครั้งหลายหน ยากเพราะความหลง ยากเพราะความคิด อยากให้มันผิดไม่อยากให้มันผิดมันก็ผิด อยากให้มันถูกมันก็ไม่ถูก อยากให้มันสงบมันก็ไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน ก็นั่นแหละทำใหม่ๆมักจะเป็นอย่างนั้นกันทุกคน บางทีก็เกียจคร้าน บางทีก็ขยัน บางทีก็เบื่อหน่าย คิดหน้าคิดหลัง อะไรผิดอะไรถูก ทำไม ทำไม จึงเป็นอย่างนั้น บางทีก็คิดหาเรื่องหาสิ่งโน้นสิ่งนี้เปรียบเทียบ บางทีก็ง่วงหงาวหาวนอน ยากความง่วง อันนั้นยากหลายอย่าง พะรุงพรัง ถ้าทำเป็นแล้วไม่มีอะไร มีแต่รู้มีแต่เห็น รู้เห็นพบเห็นง่ายๆ อะไรก็เห็นเป็นหน้ารอบไม่ได้หา ไม่ลึกลับเป็นความลึกซึ้ง รู้ก็รู้ซื่อ เวลาอะไรมันเกิดขึ้นที่ไม่ใช่ความรู้ ก็รู้ซื่อๆไม่ใช่ความผิด ไม่ใช่ไปถูกเนี่ย ก็เลยง่ายเลยสะดวก เหมือนคนทำงาน ทำแล้วมือมันพาไป มือมันพาไป หัดใหม่ๆต้องใช้สมองใช้ตา บางทีก็ไม่เป็น ทำเท่าไหร่ก็ไม่เป็น ก็เลยเป็นเรื่องยาก เมื่อเป็นเรื่องยากก็ท้อถอยไม่เอาการเอางาน เลยทำอะไรไม่เป็น ท่องหนังสือหลายเที่ยวหลายรอบก็ไม่ติด หลงมากกว่ารู้ เวลาท่องหนังสือก็หลง เอายากเป็นง่าย อยากให้มันติดมันก็ไม่ติด ท่องอะไรแล้วก็ลืมอย่างนี้ เมื่อยังไม่เป็น มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ลองท่องธรรมจักร ท่องอะไรท่องหลักสูตรนักธรรมตรี โท เอก ให้ได้กับปากให้มันติดปาก ถ้าติดแล้วก็ไม่ยาก หมวดหนึ่งหมวดสองเกี่ยวกับอะไร มีคนถามก็เห็นได้ ตอบได้ทันที เช่นปฏิบัติไม่ผิดคือปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติไม่ผิดคือทำอย่างไร ศีลสำรวมกายวาจาให้เรียบร้อย ในเวลาเห็นรูปฟังเสียงดมกลิ่นลิ้มรสถูกต้องโผฏฐัพพะ อารมณ์ที่ครอบงำสำรวมลง นี่ปฏิบัติไม่ผิด ชาคริยานุโยค ความเพียรอย่าเห็นแก่นอนมากนัก ข้อที่สองข้อที่สาม โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการบริโภคอาหารตามสมควร ถ้าปฏิบัติสามอย่างนี้ถือว่าปฏิบัติไม่ผิดสามอย่าง ถ้ามันโต้ตอบได้ก็มันติดปากมา ห้าหกสิบปีแล้ว สติยิ่งกว่านั้น ไม่มีคำพูด เห็น มันเห็น อะไรที่มันเกิดกับตากับใจเห็นทุกอย่าง เห็นแล้วก็หลุดพ้นทุกอย่าง พ้นทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็นภาระเป็นปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจไม่เหมือนสิ่งภายนอก ภายนอกไฟไหม้ป่าต้องไปดับไฟจนจะตาย ก็ยังทำได้ ป่ามันไม่มี ฉันปลูกป่า มันก็ยังทำได้ มันภายนอก แล้วมาคิดดูแล้วภายในมันไม่ยากปานนั้น เมื่อเป็นแต่เพียงทำความเห็นให้ถูกต้อง ทำความเห็นให้ถูกต้อง มันเห็นอะไร มันมีอะไร มันเห็นทุกข์ ความทุกข์ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์ถูกต้อง เนี่ยทำความเห็นให้ถูกต้อง ไม่ได้เอามือไปไล่ ไม่ได้อาบเหงื่ออาบไคลอะไร มันสุขทำความเห็นสุขให้ถูกต้อง อะไรที่เกิดกับกายกับใจทำความเห็นให้ถูกต้อง เรียกว่าสัมมาทิฐิ คือบุกเบิกไปได้เลย เป็นทางเซอร์เวย์ไปได้เลย ผิดมันก็บอกผิดถูกมันก็บอกถูก เป็นการสัมผัสไม่ใช่ความคิด ชีวิตทั้งกายทั้งใจสัมผัสสิ่งที่มันเป็นธรรมไม่เป็นธรรม มันของจริงแท้ๆการปฏิบัติธรรม ได้พบเห็นของเท็จของจริง ของที่มันไม่จริงมันก็อยู่ไม่ได้ ของที่มันจริงก็ใช้ได้ จะไปหาอะไรที่ไหนพวกเราเนี่ย แล้วหลงเพราะของไม่จริง เสียเวลาเพราะของไม่จริงเป็นของเท็จ เช่นความทุกข์อย่างเนี้ย มันไม่จริง ไปทุกข์กับมันทำไม สิ่งที่มันทำให้เกิดทุกข์มันก็ไม่จริง มันไม่มีบางที เพราะเราไป คว้าน้ำเหลวๆ เฉย ๆ มันไม่มีจริง ๆ ไปยึดเอาว่าตัวว่าตนของเรา ก็ยังเสียเปรียบความไม่จริงอยู่ เสียเวลา บางทีก็สมมุติบัญญัติ ก็ยังหลงในสมมุติบัญญัติ บัญญัติเอาในรูปในรสในกลิ่นในรสในอารมณ์ ว่าชอบว่าไม่ชอบ ทำตามความชอบทำตามความไม่ชอบ ความเห็นไม่ถูก ให้เกิดความเห็นผิด อยู่เฉยๆ ก็บัญญัติเอาว่าชอบว่าไม่ชอบ อยู่เฉยๆก็ปรุงแต่งไป เพราะไม่เห็นของเท็จของจริง โดยเฉพาะเห็นความคิดเนี่ย ต้นตอที่สุดเลยนี่ มีสติอย่างเต็มที่อะไรก็ผ่านมาหมด เหลืออยู่อันเดียวคือความคิด มันไม่เหมือนตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสกายสัมผัสอารมณ์ที่เกิดกับจิตใจ มันเป็นอารมณ์แล้ว ตอนที่มันคิด ที่มันเป็นสมุทัย เป็นสังขารที่มันคิดขึ้นมา จิตสังขารนี่ มันออกง่ายมันเข้าง่าย ถ้าไม่มีสติ สติไม่เป็นอินทรีย์ล่ะไม่ทันมัน พอไม่ทันมันก็ดึงเราไป เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้าง เป็นอะไรได้หลายอย่างเกิดจากความคิด จึงว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นหัวหน้าสำเร็จที่จิต ถ้าจิตชั่วแล้วพูดอยู่ก็ทำ ทำอยู่ก็ตาม ก็ย่อมเป็นไปตามความคิดที่มันไม่ถูกต้อง เรามีปัญหากับความคิด กลางคืนว่าฝันกลางวันว่าคิด หมกมุ่นครุ่นคิด หุนหันพลันแล่นเพราะความคิด หลงก็หลงเพราะความคิด ตายก็ตายเพราะความคิด เจ็บก็เจ็บเพราะความคิด ทุกข์ก็ทุกข์เพราะความคิด สุขก็สุขเพราะความคิด
แต่พอมาเห็น สติมันแก่กล้าขึ้นมานี่ มันมีพลังเพียงพอที่จะฟัดเหวี่ยงคิดไล่กัน เราก็เปรียบเทียบอันนี้แหละ สติมันเปรียบเทียบ เทียบไหล่ของความคิดนี่ ครั้งสุดท้ายแล้วไป ขอเทียบไหล่ลองดู มันไม่มีอะไรจะทำแล้ว กายเคลื่อนไหวอยู่ แต่ว่ามันไม่เอาจริงกับกายเคลื่อนไหวหรอก เป็นส่วนเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้ไปเพ่งไม่ได้จ้องกับมัน เดินจงกรมก็เดินไปธรรมดา แต่พอมันเอาจริงๆมันเห็นคิดโน่นน่ะ ปั๊บขึ้นมา ทันทีหละ แม้แต่กายเคลื่อนไหวอยู่ ก็เกิดจากความคิดที่มันพาให้ผิดให้ถูก ก็จ๊ะเอ๋ หลวงพ่อพูดว่าจ๊ะเอ๋กัน ต่อหน้าต่อตา จับได้ไล่ทัน คาหนังคาเขาเหมือนกับจับโจรผู้ร้าย สารภาพหมดเปลือก จับไล่ตามทัน เหมือนกรรมตามทัน เป็นอุปปีฬกรรมเข้า เป็นกรรมที่จำนนเป็นกรรมที่รับสารภาพ สิ้นกรรมก็สิ้นตรงนี้ หมดกรรมก็หมดตรงนี้
แต่ว่า ก่อนที่จะไปรู้เรื่องนี้ มันก็ต้องมีฐาน มีที่อาศัยเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง รู้สึกตัวที่กาย อริยบทที่กายเคลื่อนไหวเป็นฐานที่ตั้ง เหมือนเราจะฟันต้นไม้ ต้องยืนให้แน่น มันจึงจะมีแรง ถ้าไม่ที่ยืนทำอะไรก็ไม่ได้เพราะไม่มีฐาน แม้จะขึ้นที่สูงก็ต้องมีที่ยืน มีนั่งร้านมีเครนขึ้นไป จะไปนอนไม่ยืนมันก็ทำไม่ได้ ต้องยืน หนักแน่น กำลังขา กำลังเอว กำลังแขน กำลังแรงเหวี่ยง มันก็ได้ กรรมฐานเนี่ยมันดี้ดีนะ มันให้เราใช้จริงๆนะ กายเนี่ย ให้เราใช้ได้ ทำจากหนักๆเป็นร้อยเป็นพันกิโลก็ทำได้ ทำของที่มันไม่มี เช่น ความทุก์ความหลงอยู่นี่ แต่มันไม่มีแต่ว่ามันใหญ่ ดีสุดแล้ว ภาวะที่ไม่เป็นไรมันก็แข็งแกร่ง เหมือนน้ำที่มันคมกว่าทุกอย่างในโลก มันเจาะหินเจาะเหล็กได้น้ำ แม้มันอ่อนมันก็เข้มแข็ง ภาวะความรู้สึกมันเอง มันนิ่มนวลนะ แต่มันชนะอะไรทั้งหลายทั้งปวงได้ มีความรู้สึกตัว กิเลสจะพันห้า ตัณหาจะร้อยแปด ก็ไม่ต้องกลัวถ้ามีสติรู้สึก ซื่อๆ เนี่ย ภาวะซื่อๆ เนี่ย อันภาวะซื่อๆ เหมือนน้ำ แม่น้ำมันคด แต่น้ำมันไม่ได้คดมันก็ไหลไปซื่อๆ ของมันเอง น้ำพอง น้ำชี น้ำมูล น้ำโขง น้ำเจ้าพระยามันคด แต่น้ำไม่คต ไหลไปตรงที่มันไหลตลอดเวลา มันควรที่จะไหลไป มันก็ไหลไปตรงๆ อย่างนั้นนะ มันไม่คดไปกับพื้นดินวัตถุ ความรู้สึกตัวเนี่ย มันไม่คดไปกับวัตถุอาการต่างๆ ความโลภ ความหลง ความเกิดแก่เจ็บตาย มันคด ความพอใจความไม่พอใจมันคดโค้ง แต่ความรู้ก็รู้ไปซื่อๆ ไปอย่างนี้ มันก็ซื่อๆไปอย่างเนี่ย มันรู้ไปเนี่ย มันก็เลยสำเร็จ สำเร็จไปกับความซื่อของน้ำ ไหลไปที่ใดก็คือน้ำ ไม่เป็นอันอื่น มันสุขก็รู้ซื่อๆ เป็นความรู้ ไม่ใช่สุขเสียแล้ว มันทุกข์ก็รู้ซื่อๆ ไม่ใช่ทุกข์เสียแล้ว เป็นความซื่อของสติ ไม่มีอะไรที่จะซื่อสัตย์เท่ากับสติที่เอาไปใช้งานใช้การกับอะไร มันสุขมันทุกข์รู้ซื่อๆเข้าไป สุขทุกข์ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าหนักเป็นภาระอะไร ถ้าสุขเป็นสุขเป็นภาระแล้ว มีงานเกิดขึ้นแล้ว ทุกข์เป็นทุกข์เป็นภาระแล้ว ต้องเป็นกรรมเกิดขึ้นแล้ว เมื่อมีกรรมก็มีกิเลส เมื่อมีกิเลสก็มีวิบากเกิดขึ้นแล้ว กรรม กิเลส วิบาก ไม่ซื่อเสียแล้ววนอยู่ตรงนั้น กิเลสกรรมวิบาก กรรมเป็นต้นเหตุ ถ้าหลงเป็นหลง เรียกว่ามีกรรม หลงเป็นต้นเหตุ เมื่อมีกรรมก็มีกิเลสติด บางทีก็ติดสุข ติดทุกข์ ติดโกรธ ติดโลภ ติดหลง ติดความคิด ติดสมมุติ ติดบัญญัติ ก็เป็นกิเลส เมื่อติดเราก็มีวิบาก สุขก็เป็นสุขไป ทุกข์ก็เป็นทุกข์ไป วิบากกรรม รักก็เป็นรัก เกลียดก็เป็นเกลียดไป ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวมีตนอะไร เป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมา สมมุติอุปโลกขึ้นมา หาเหาใส่หัวตัวเองขึ้นมา อยู่เฉยๆอยู่ซื่อๆไม่เอา ชอบลุกลี้ลุกลนจับโน่นจับนี่ ดื้อๆไม่ซื่อไม่ตรงต่อชีวิตของตนเอง เลยไม่มีชีวิต
ชีวิตมันไม่เป็นอะไร มันไม่เป็นอะไรกับอะไร มันสุขก็ไม่สุขกับความสุข มันก็รู้ซื่อๆ ได้ยินไหม มีเสียงไหม (หัวเราะ) มันทุกข์มันก็ทุกข์ซื่อๆ ไม่ได้มีรสชาติ นี่คือชีวิต ไม่ได้ทุกข์ไม่ได้สุขกับเขา ได้ชีวิตแล้วบัดนี้ รู้ซื่อๆเข้าไป เห็นอะไรก็รู้ซื่อๆเข้าไป มันได้ความซื่อๆจากกายจากใจ มีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ มีรูป มีรส มีกลิ่น มีเสียง ได้ความซื่อๆจากนี้ ไม่ได้จากที่อื่น ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็อาจจะไม่มีละ ชีวิตอ่ะ มันสุขมันทุกข์มันได้ชีวิตตรงนี้นะ มันจะมีชีวิตชีวาตรงนี้ เลยพูดว่า เห็นไม่เป็น เห็นนะสติจะเห็นนะ เห็นนะสติจริงๆ มันใช้งานได้คือเห็น รู้เห็น สติจะเห็นเป็นหน้ารอบ ไม่เหมือนหน้าเนื้อ หน้ารอบๆ รอบรู้ในกองสังขารทั้งหลาย สังขารคือมันปรุง อะไรปรุงตรงไหน รอบรู้ ไม่ปกติ เหมือนกับน้ำที่มันนิ่ง มันกระเพื่อมตรงไหนรู้ เพราะนิ่งไม่เหมือนกระเพื่อม ถ้ามีสติมันจะเป็นอย่างนั้น มันไม่เป็นอะไร แล้วสิ่งที่มันกระเพื่อม คำว่าน้ำมันไม่มี คำว่ากระเพื่อมเป็นคลื่นไม่ใช่น้ำ มันเป็นคลื่นต่างหาก น้ำมันไม่มีคลื่น สุขมันไม่ใช่ชีวิต ทุกข์มันไม่ใช่ชีวิต คิดมีชีวิตมันไม่เป็นอะไร อันที่มันสุขมันทุกข์มันไม่ใช่ชีวิตมันเป็นอันอื่น มีเหตุ เหมือนกับน้ำที่อยู่เฉยๆมันกระเพื่อมมันต้องมีอะไร สัมผัสกับมัน แล้วเลยรู้จักว่าอันนั้นไม่ใช่ชีวิต มีเท่าไหร่เท่าไหร่ก็เป็นอย่างนี้ จะได้ปัญญาจากสิ่งเหล่านั้น นั่นไม่ใช่มันไม่เป็นอะไรกับสิ่งเหล่านั้น จนถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันก็ไม่เป็นอะไรกับสิ่งเหล่านั้น อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ชีวิตมันเป็นส่วนหนึ่ง ไม่ไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งที่มันเป็น ไปอยู่กับสิ่งภาวะที่ไม่เป็น ตรงกันข้ามอย่างนี้ อันหนึ่งเป็นอันหนึ่งไม่เป็น สุขมันก็เป็นซะ มันไม่เป็นสุขไปกับความสุข ไม่เป็นทุกข์ไปกับความทุกข์ มีอะไรเก็บให้หมดเลย เกลี้ยง นาทีที่ 22.54 ..โบราณท่านว่า มันเกลี้ยง มันจบมันหมดมันสิ้น เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสจากพระโอษฐ์ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว ไม่กำเนิดอีกแล้ว สิ่งที่ดับให้สิ่งต่างๆ ไม่เหลือมีอยู่ เราได้ทำแล้ว ทำได้แล้ว แล้วแล้ว งานมันแล้ว จะให้ทำอะไร ไม่มีอะไรจะต้องทำ เหมือนคนทำนา ทำนาแปลงใหญ่มันก็แล้วทุกแง่ทุกมุม มานั่งเป่าขลุ่ยบนเถียงนาก็ได้ ควายมันหมดพยศแล้ว นั่งขี่หลังควายเป่าขลุ่ยก็ได้ แต่ก่อนถูกดึงหน้าดึงหลัง พอมาสอนไปสอนมาก็ไม่ต้องดึงมัน วางเชือก ไปไหนมันก็ตามเราไป เรานั่งมันก็นั่งด้วย เรานอนก็นอนด้วย เอาไปเอามาหายทั้งเราทั้งควายไม่มีอะไรเลย เพราะมันไม่เป็นอะไร เหมือนจิตที่ฝึกดีแล้ว นอนก็นอน นั่งก็นั่ง ยืนก็ยืน เดินก็เดินไปมา ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร
นี่ชีวิตของเราแล้วเนี่ย มีโอกาสเต็มที่แล้วเรา ถ้ามีกายมีใจ ถ้ามีหลงนั่นแหละดีแล้ว งาน จะได้ทำงาน เกี่ยวมันซะ ถ้าเข้าก็เกี่ยวมันซะ ตัดซะ รู้แล้ว ซ้ำแล้ว ความหลงหมดไปแล้ว หลงอีกรู้อีกเท่านี้เอง ปฏิบัติธรรม เปลี่ยนผิดเป็นถูกเปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เปลี่ยนร้ายเป็นดี ปฏิบัติธรรม มีเท่าไหร่เปลี่ยนได้ ไม่มีกาลไม่มีเวลา นั่งอยู่นอนอยู่ อยู่ในกองเพลิงก็ยังทำได้ อยู่ในน้ำใต้น้ำก็ทำได้ แม้แต่หายใจไม่ได้ก็ยังทำได้ พิชิตกับความตายยิ่งมีสง่าราศี หายใจไม่ได้น้ำลายฟูมปาก ตาก็หลับไม่ลง แหม (คำอุทาน)มันก็ไม่มีจริงๆ คำว่าทุกข์นี่ มันเห็น เห็นเช่นนั่นไม่ใช่ชีวิต อันที่มันไม่เป็นไม่เป็นกับสิ่งเหล่านั้นคือชีวิต โอ้ กรรมฐาน ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกจะเป็นยังไง ไม่เคยมีกรรมฐานไม่มีที่ ทำไม่เป็นกับสภาวะเช่นนั้นจะทำยังไง เพียงแต่ความหลง เพียงแต่ความโกรธความทุกข์ก็ โอ้ยเปลือกกล้วย เหมือนกับเปลือก เหมือนกับกระพี้เปลือกกล้วย ปอกเปลือกกล้วยกิน ง่ายๆ มันทุกข์มันโกรธเนี่ย ไม่น่าจะยาก อันภาวะที่เจ็บตายแล้วนี่ มันต้องมีความเก่งกล้าไปจากปฏิบัติ คือเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเนี่ย ถ้ามันมีเปลี่ยนไม่หลงเปลี่ยนด๊ายได้ ง๊ายง่าย หลงไม่หลงเนี่ย รู้สึกตัวเนี่ย ยิ่งเรามีกรรมฐานมีนิมิตที่เกาะได้ ยิ่งมั่นคง มีมือเคลื่อนไหว เดินจงกรม
การเคลื่อนไหวกายตามรูปแบบสติปฐานสี่ ยกมือแล้วเคลื่อนมือเข้าเคลื่อนมือออก คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก ยิ่งมาทำเป็นจังหวะนี่ ได้ทั้งสติได้ทั้งพลังงาน บริหารร่างกายเจ้าของ แม้ลมหายใจเราหายใจทิ้ง มากำหนดมันดูสิ หายใจยาวๆ สิบรอบยี่สิบรอบ หายใจเข้าหายใจออก สูดลมเข้ายาวๆสุดสะดือ เอาลมออกยาวๆสุดสะดือ ที่สุดที่สุดมันก็ได้กำลังปอด ได้กำลังปอด ได้ความเข้มแข็งจากการเดิน เดินจงกรม เวลานี้หลวงตามไม่เดินจงกรมย่องๆเหมือนหมู่นะ วิ่งเอานะ วิ่ง วิ่งเอา ซอก ๆๆๆ (หัวเราะ) ไม่เห็นในที่มืด ไม่ทำให้คนเห็นนะ เรามันแก่ บางทีวิ่งอยู่นี่ แกว่งแขนวิ่งอีก เดินอย่างนี้ วิ่งอย่างนี้สามสิบนาที แกว่งแขนสามสิบนาที ก็ได้สว่าง พอเกิดแสงสว่างคนเห็นแล้วก็หยุด เหมาะจริงๆ ในป่า เหมาะสำหรับฝึกตน เหมือนช้างฝึกช้าง ควาญช้างฝึกช้าง เต็มที่เลย ไม่ได้คับแคบไม่ได้รบกวนใครไปอยู่ที่ไหนก็ได้ จึงเป็นสนาม เป็นเวที ฝึกพวกเรา ให้มาใช้เพื่อฝึกตน จริงๆ ไม่ใช่เพื่อมาหลบลี้อะไร อยู่คนเดียวเพื่ออะไร เพื่อจะนอนเหรอ ไม่ใช่ เพื่อฝึกตนเอง นอนก็ได้ ก็ฝึกนอนนั่นแหละ ก็นอนให้อิ่มกินให้อิ่ม ให้ช่วยกัน พอจะช่วยกันสิ่งใด อำนวยความสะดวกสิ่งไหนให้เกิดมีโอกาสได้รู้สึกตัวเนี่ย ให้ช่วยกัน มีน้ำใจ มีน้ำใจ แล้วก็ มันก็ ลาดไปจากนี้แหละ ปฏิบัติธรรมนะ มันลาดไปจากน้ำใจ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เห็นใครที่ไหนก็มีน้ำใจต่อกัน คิดจะช่วยเหลือ แม้ไม่ได้ทำก็ยังคิดจะช่วย แล้วก็ช่วยกันได้ก็เป็นประโยชน์จริงๆ ทำได้แล้ว อย่างอายุ วรรณะ สุขะ พละ เกิดจากการช่วยอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักกราบไหว้เคารพผู้น้อยกว่าเราที่ช่วยตัวเองไม่ได้ มีน้ำใจ ความสามัคคีของหมู่คณะ ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะ อย่างนี้ มันเป็นที่ลาดทำให้เราได้ขึ้นสู่มรรคผลนิพพานได้ เหมือนทางลงที่มันลาดทางขึ้นที่มันลาด มันลาดไปจากนี้ไม่ใช่หักด้ามพร้าด้วยเข่า ลาดๆไปใจดีๆเอาไว้ ไม่เป็นไรเอาไว้ อย่าไปเอาผิดเอาถูก บางทีเคี่ยนตัวเองเกินไป ไม่หลับไม่นอนไม่ดีแล้ว ให้รู้จักใช้ชีวิตของตนเองให้เหมาะให้สม ตั้งใจไว้ดีๆ ตั้งกายไว้ดีๆ เราไม่เอาอะไรไม่เป็นไร เราจะทำซื่อๆนี่แหละ รู้สึกตัวไป เล่นไป อมยิ้มไว้ในใจไป เอาอย่างพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทำอย่างนี้แหละ พระสาวกทั้งหลายทำอย่างนี้ ทำตามนี้ไม่ใช่เราบ้าบออะไร มีกายมีใจมีความรู้สึกตัวไปในกายในใจ ผิดตรงไหนมันไม่ผิดเหมือนความหลง มีความรู้สึกตัวไปในใจ เห็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ เป็นสุขเป็นทุกข์ มันก็ได้งานได้การทำกับเขา ทำกับงานเหล่านั้น มันหลงก็ไม่หลง ได้งานจากความหลงมันสุขก็ไม่สุข มีความรู้ ได้งานจากความสุขความทุกข์ มีแต่ได้ไม่มีเสีย มองให้ดีๆ ถ้ามองไม่ดีนี่ก็ผิดๆถูกๆ ก็ไปไม่ถึงไหน
เนี่ย ปฏิบัติธรรมลองดูแยบคายในความผิด มันก็แยบคาย ถ้าเห็นความผิดมันก็สดชื่นนะ เห็นความสุขก็สดชื่น เห็นความทุกข์ก็สดชื่น เห็นอะไรที่มันไม่ใช่ความรู้มันสดชื่น ขยันตรงนั้น เกิดความขยันตรงนั้น เกิดความพากเพียรตรงนั้น ไม่ทอดไม่ทิ้ง ไม่ทอดไม่ทิ้ง ไม่ให้สุขเป็นสุขทิ้งเอาไว้ ไม่ให้ทุกข์เป็นทุกข์ทิ้งเอาไว้ ไม่ให้โกรธให้โลภให้หลงทิ้งเอาไว้ ขยันตรงนั้นนะ เอาให้แล้ว ให้มันแล้ว แล้วไปแล้วความหลงนะ ได้ความรู้แล้ว ถ้ามีความรู้ไปกำกับความหลง เป็นความรู้เรียกว่าแล้วไปแล้ว ชอบแล้ว ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติออกจากทุกข์แล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว เราก็ทำอย่างนี้ เท่าไหร่งานที่มันได้ทำ เราอยู่นี่ ใช้ชีวิตแบบนี้มันทำงานเพื่อโลกนะ มันทำงานระดับโลกนะ เราไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน สิ่งอื่นเดือดร้อน เราก็ทำประโยชน์ด้วยนะ รู้จักประหยัด รู้จัก ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ใช้ชีวิตเรียบง่าย อย่างนี้น่ะ ไม่น่าจะขี้เกียจไม่น่าจะเบื่อหน่าย ก็ไม่ได้ทรมานอะไร ไม่ได้ลำบากอะไร เรานั่งอยู่นี่ก็เท่ากับว่าก็ช่วยโลกก็ว่าได้ ช่วยแต่เราก็ช่วยโลก ไม่ทำให้มีปัญหาเกิดขึ้นต่อไลก ถ้าเราพอที่จะบอกพอพอที่จะช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป ตำน้ำพริกให้ฉันให้กินก็ดี หุงข้าวให้กินทำกับข้าวให้กินก็ดี บอกทางกัน อยู่ที่ไหนให้ความยิ้มแก่กันและกันก็ดี ให้ความเป็นมิตรเป็นเพื่อนกัน ให้เกิดความสะดวก สิ่งเหล่านี้เป็นมิตรแท้ให้แต่ความสงบร่มเย็น สิ่งแวดล้อมทำให้เปลี่ยนแปลงไปก็ได้ มาอาศัยพวกเราทุกชีวิตที่มาอยู่ร่วมกัน แล้วก็ได้จากธรรมชาติ ธรรมชาติมีแต่มิตรแท้ให้แต่ความสงบร่มเย็น แล้วก็เป็นมิตรกันเข้าไปอีก ไม่มีใครเป็นศัตรูคู่อริกัน ฝากผีฝากไข้ต่อกัน พี่รู้สองน้องรู้หนึ่ง มีอะไรก็ไถ่ถามกัน ไม่เปลี่ยวเดียวดาย อาจารย์ทรงศิลป์ วัฒนชัย อาจารย์ตุ้ม อาจารย์อะไรเพื่อนของเราเยอะแยะเลย มือห้านิ้ว สิบนิ้ว บางชีวิตก็มีสมอง มีกำลังมากช่วยเราได้จริง ๆ อะไรที่มันมีปัญหา ที่ทำไม่ได้ด้วยสติปัญญาอะไร ก็ถามกัน เราก็ไม่ใช่ตาสีตาสาเท่าไรอยู่นี่ ก็มีแต่ปัญญาชน ไม่ใช้ไร้ที่รา คาที่พึ่ง ลองดูพิสูจน์กันดูก็ได้ ว่าถ้าเรามีสติ มีกายมีสติ มีใจมีสติเนี่ย มันจะเป็นอย่างไร เอากรรมจำแนกไป เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงเนี่ย มันก็อุ่นใจแล้ว ท่านทั้งหลายจะอุ่นใจเหมือนหลวงตาหรือปล่าว
เวลานี้เราหวังพึ่งท่านจริงๆ พอทำอะไรไม่ค่อยได้ก็เห็นท่านเดินจงกรมก็อุ่นใจนะ มีชีวิตชีวา อยู่ที่โน่นไม่ค่อยเห็นคนเดินจงกรม มาอยู่นี่ได้เห็นคนเดินจงกรม เห็นญาติเห็นโยมก็รู้สึกมีบรรยากาศมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้เราอุ่นอกอุ่นใจ เออ ศาสนานี้คงอยู่ได้ ถ้ามีผู้ปฏิบัติธรรมอยู่นี้ ถ้าไปที่ไหนมีแต่คุยกันสูบบุหรี่อะไร คุยกันเล่น ก็ไม่รู้จะพึ่งใคร หมดโอกาสไปแล้ว ขอพึ่งพวกเราทั้งหลาย ให้ช่วยกันมีสติ เปลี่ยนความหลงเป็นความไม่หลง ให้ท่านเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงจะเป็นที่พึ่งของเรา เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธจะเป็นที่พึ่งของเรา เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์จะเป็นที่พึ่งของเรา พึ่งสิ่งอื่นวัตถุอื่นจะพึ่งเราได้ในโลกนี้ แม้แต่เม็ดดิน เม็ดหิน เม็ดทราย สัตว์สาราสิ่งจะพึ่งเราได้ถ้าเราเปลี่ยนร้ายเป็นดีนี่ โลกก็จะอยู่ได้นาน ถ้าไม่มีอย่างนี้ก็ ไม่มี ไม่เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ไม่เปลี่ยนร้ายเป็นดี โลกาจะพินาศ เราก็จะเดือดร้อนกัน อะ เอาหละวันนี้ก็สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน