แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ มีผู้พูด มีผู้ฟัง ฟังธรรมตามกาลตามเวลาเป็นมงคลอันสูงสุด สนทนาธรรม สอบถามอะไรที่มีความข้องใจเรียกว่าธัมมัสสากัจฉา มีผู้ถาม มีผู้แก้ ก็เป็นมงคลอันสูงสุด มีความสงสัยลังเลเรื่องใด ในโลกนี้มันมีคนสองคนคือครูกับอาจารย์ คุณครูกับลูกศิษย์ ครูกับศิษย์ มีคนสองคน มีครูมีศิษย์ มีอาจารย์มีลูกศิษย์ อย่านึกว่าเราอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย เราก็มีครูมาแล้วคือพ่อแม่เป็นครูคนแรกของโลกสั่งสอนเรามา ก็ยังมีครูอาจารย์อีกที่แนะนำพร่ำสอนให้เราได้ศึกษาได้เรียนรู้อะไรต่างๆ พระพุทธเจ้าเป็นบรมครูของเรา เป็นศิษย์มีครู อย่านึกว่าเราเก่งที่สุด ให้เราถือว่าเราเป็นศิษย์ที่ต้องมีครู บอกผิดบอกถูก เราจึงต้องปฏิเสธไม่ได้เรื่องนี้ อย่าให้โกรธคนเดียว อย่าทุกข์คนเดียว เวลาทุกข์ก็อย่าไปทุกข์ อมทุกข์คนเดียว เวลาโกรธก็อย่าโกรธคนเดียว อย่าตัดสินคนเดียว คิดหาครูบ้าง ครูเคยสอนเรื่องใดเอามาทำดูบ้าง เอามาฝึกดูบ้าง บรมครูของเราคือพระพุทธเจ้าเราเคยได้ยินได้ฟัง เคยไหว้พระ เคยสวดมนต์ เคยสมาทานศีล อย่างที่เราฟังเมื่อกี้นี้ เทวดา มนุษย์ทั้งหลายมากราบทูลถามพระพุทธเจ้า จะทำยังไงจึงเป็นมงคลอันสูงสุดแก่พวกเทวดาและมนุษย์ เพราะพวกเทวดาและมนุษย์นี้ไม่มีเวลาศึกษา มีแต่ประกอบการงานอาชีพ ปกครองบ้านเมือง พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมอันเป็นมงคล 38 ข้อ เราได้ยินเมื่อกี้นี้ อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต คนพาลในตัวนอกตัว คนพาลในตัวก็มีความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทุกข์ ความอิจฉาเบียดเบียน ความเศร้าหมอง เป็นคนพาลในตัวเราก็อย่าไปคบสิ่งเหล่านั้น เวลามันหลงก็อย่าหลง เวลามันโกรธก็อย่าโกรธ เปลี่ยน ให้คบบัณฑิต ในความหลงเป็นคนพาล ไม่หลงในความหลงเป็นบัณฑิต เวลามันทุกข์ที่เกิดขึ้น ความทุกข์เกิดขึ้นกับจิตกลายเป็นพาล เราก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นไม่ทุกข์ก็เป็นบัณฑิต บัณฑิตในตัว คนพาลในตัว เป็นมิตรกับตัวเองให้ได้ หัดทำตามนี้ให้เป็น พระพุทธเจ้าบอกแล้วให้เรามาทำ ไม่ใช่คนพาลที่เป็นนาย ก นาย ข อันนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แต่อันนั้นก็ไม่ค่อยมีโอกาสพบกันเท่าไร นาน ๆ อาจจะมีบ้าง แต่ว่าคนพาลในตัวเรานี้อยู่ในกายวาจาใจเรานี้ที่ทำผิด พูดผิด คิดผิด ให้เป็นทุกข์เป็นโทษ บัณฑิตก็คือในตัวเรานี้ ในความหลงมีความไม่หลงคู่กันอยู่ มันมีคู่ ในส่วนนั้นมันมีคู่ ไม่ใช่มีคี่ ในความแก่ก็มีความไม่แก่ ในความเจ็บก็มีความไม่เจ็บ ในความตายก็มีความไม่ตาย มันมีคู่อย่างนี้ อย่าจน มันมีฝั่งซ้ายฝั่งขวาชีวิตของเรานี้ มีฝั่งนี้มีฝั่งโน้น ฝั่งที่มีน้ำ ฝั่งที่ไม่มีน้ำ พระพุทธเจ้าบอกว่าจงมาถึงที่ไม่มีน้ำจากที่มีน้ำ อย่าไปมุดอยู่ในความโกรธ โลภ หลง สุข ทุกข์อะไรต่างๆ อิจฉา เบียดเบียน มันมีน้ำ อย่าไปมุด ขึ้นฝั่งซะ ๓๘ ข้อพอที่จะจำได้บ้างอะไรที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่มีทางจนเลย มีศิลปวิทยา มีศีล เวลามันหลง มันหลงมันผิดศีล มีความรู้สึกตัว รักษาศีลแล้ว เวลามันโกรธ ผิดศีลแล้ว เปลี่ยนความโกรธ ให้มีความรู้สึกตัว รักษาศีลแล้ว ศีลไม่ใช่คำพูด เป็นการปฏิบัติ มีเจตนา สิ่งที่มันไม่ดีอย่าไปพูด อย่าไปคิด อย่าไปทำ สติเป็นตัวรักษาศีล เป็นที่เก็บของศีล เป็นรักษาศีลที่เก็บไว้ไม่ให้หลุดออกไป ไม่ใช่คำพูด พูดศีลได้แต่ว่าไม่มีศีล
ก็มีเรื่องเขาเล่าว่านานมาแล้ว มีชาวบ้านก็รักษาศีลเข้าวัด ปวดท้องไปว่าศีลตั้งแต่ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้ามีเจตนางดเว้นจากการฆ่า อทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้ามีเจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ มีคนๆหนึ่งเป็นโยมผู้หญิง เรียนไม่ได้เลย ใครสอนก็เบื่อ ไปหาคนนั้นคนนี้ให้สอนให้พาว่าเพราะอ่านหนังสือไม่ได้ ว่าก็ไม่ได้ จำก็ไม่ได้ ไม่ได้สักข้อเลย จากคำพูดการเรียนการสอนการจำนะ จำไม่ได้เลย ในวันหนึ่งนั้นก็ได้ชวนกันเก็บผักในหนอง ที่วัดมันมีหนองน้ำมีผักตบชวา ไปเก็บผักมาใส่เพล มาเลี้ยงหลวงตา พอดีมีปลาช่อนตัวหนึ่งกระโดดขึ้นมาในเรือ โยมที่ว่าศีลได้ “เอาไม้พายตี เอาไม้พายตี เอาไปแกงใส่เพล” คนที่ว่าศีลไม่ได้ห้ามเพื่อนบอก “หยุด หยุด หยุด อย่าตี อย่าตี” เอามือจับปลาโยนลงน้ำ นี่อะไรใครเป็นผู้มีศีล เจตนาที่จะไม่ฆ่านั่นแหละเป็นศีล ไม่ใช่ว่าได้ เพราะศีลมันเป็นการเขียนเอา ศีลไม่ทำผิดไม่ให้ใครเดือดร้อนจากกายวาจาใจเรา ไม่คิดประทุษร้ายเขา ไม่ปองร้าย ไม่พยาบาท ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่ผิดศีลผิดธรรม มันเป็นศีลอย่างนี้ ถ้าสติที่มันยับยั้งชั่งจิต ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ต้องผ่านสติเสียก่อนก็จะไม่ผิดศีล เราจึงหัดให้มีสติ การฝึกให้ตัวเองมีสตินี้เป็นศีลแล้ว ถ้าคิดไปก็กลับมา มันสุขก็เห็นมันสุข มันทุกข์ก็เห็นมันทุกข์ นี่สิรักษาศีล ถ้าศีลบริสุทธิ์มันก็เป็นสุขไม่เป็นทุกข์ มีศีลก็มีทรัพย์ภายนอกภายใน ถ้ามีศีลไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ ไม่ลักไม่ขโมย ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ใช้จ่ายไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย สีเลนะ โภคสัมปทา เป็นผู้มีทรัพย์สมบัติ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ผู้มีศีลก็ไปนิพพานได้ ใจมันดี ไม่มีอะไรที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ศีลตัวจริงจึงเป็นสติที่รักษาจริงๆ เวลามันหลงให้รู้สึกตัว เวลามันสุขมันทุกข์ให้รู้สึกตัว เวลาอะไรเกิดขึ้นที่กายที่ใจให้รู้สึกตัว อย่าเป็นไปตามมัน ให้เห็นมัน เห็นแล้วอย่าเข้าไปเป็นกับมัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น นี่คือรักษาศีล สมาทานศีล ตั้งใจ สมาทานคือตั้งใจ ตั้งใจไว้ที่ใดก็สำเร็จที่นั้น วันหนึ่งคืนหนึ่งใส่ใจดู โดยเฉพาะกรรมฐานเป็นกระดองที่อยู่ของการฝึกหัด เวลามันมีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ เป็นนายทวารบาลสตินี้ มันจะคิดก็รู้ มันจะพูดก็รู้ มันจะทำก็รู้ รักษาได้ คุ้มครองได้ มีสตินี้เป็นนายทวารบาลผู้เฝ้าประตู ต้องหัดให้มีสติโดยเฉพาะวิชากรรมฐาน คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก
พระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นมาในโลกไม่เคยรับศีลกับใครเลย ไม่มีใครให้ศีลเลย จากการฝึกหัดกรรมฐาน นั่งคู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ไปคิดถึงพิมพาก็กลับมา คิดราหุลก็กลับมา คิดอะไรเกิดขึ้นมาก็กลับมา นั่นละรักษาศีล ไม่ปล่อยให้จิตที่มันคิดไป ไปย้อมไปปรุงอะไร กลับมาปฏิบัติ ให้กลับมารู้สึกตัว คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ไม่เคยสมาทานศีลกับใครเลย ต่อมาจึงมีเกิดขึ้นทีหลังจากผู้ที่มาฟังเทศน์ เมื่อได้ฟังเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วเกิดศรัทธาก็สมาทานเอง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ ข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ พูดถึงกับว่า ข้าพเจ้ามีเจตนางดเว้นจากการฆ่า ข้าพเจ้ามีเจตนางดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เจตนาไปเลย มั่นใจ เกิดขึ้นทีหลัง แม้บางคนมีครรภ์ตั้งครรภ์ อยู่ในครรภ์มีลูกเกิดอยู่ ๖ เดือนในครรภ์ก็ยังบอกถึงว่า แม้แต่ลูกอยู่ในครรภ์ของข้าพเจ้าขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตลอดชีวิต เห็นว่ามันดีมันถูกต้อง บอกให้ลูกที่อยู่ในครรภ์ขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต เกิดศรัทธาอย่างนี้ แน่วแน่อย่างนี้ ลูกเกิดมาแล้วพอสอนได้ก็บอกว่าลูกมีพระรัตนตรัยแล้วตั้งแต่อายุอยู่ในครรภ์แม่ ๖ เดือน ลูกก็หัดว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ มาจากตั้งใจ จากเจตนา ไม่ใช่ทำกันเล่นๆ โดยเฉพาะชีวิตจิตใจของเรานี้มันหัดได้ เป็นสัตว์ประเสริฐมันหัดได้ รีบหัดเข้า เวลามันหลงให้รู้เนี่ย หัดไปอย่างนี้ มันคิดไปไหนก็ให้รู้ หัดอย่างนี้ สอนมันอยู่ทุกอย่างที่มันไม่ใช่ตัวรู้ หนึ่งวันกับหนึ่งคืนนี้ให้สอนอย่างนี้จะได้มีที่พึ่ง จะได้มีหลักมีฐานมีที่ตั้ง ต้องมีหลักชีวิตเราไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด คราวแก่คราวเจ็บคราวตายทำอย่างไรถ้าเราไม่ฝึกไว้ ความไม่เที่ยงก็มีอยู่ตลอดเวลา ก็มันทุกข์ก็แสดงให้เห็นอยู่ เอาความไม่เที่ยง เอาความเป็นทุกข์ เอาความไม่ใช่ตัวตนมาเป็นทุกข์ มีอยู่ ทั้งๆที่มันบอกว่ามันไม่เที่ยงก็ยังทุกข์กับมันก็มีอยู่ ทำใจไม่เป็น เวลามันเจ็บก็เจ็บ เวลามันทุกข์ก็ทุกข์ ไม่ได้ฝึกตนสอนตนก็เป็นคนอาภัพได้ ปิดสวรรค์นิพพานได้ถ้าเราไม่หัด ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ปล่อยให้มันทุกข์ ปล่อยให้มันหลง มันไปไกลนะ มันบาป แม้แต่น้อยก็อย่าประมาท มันมีมากได้ เราจึงหัดให้เคยชินไว้สักหน่อย
เคยมาอยู่วัดในช่วงฤดูไตรมาสเข้าพรรษาเพื่อมาฝึกหัด 3 เดือนให้ฝึกหัดเดือนละ 4 วันฝึกหัดจะได้เอาไปใช้ในยามจน ถ้าไม่เคยหัดมืดแปดด้าน ถ้าหัดแล้วมันก็คิดถึงได้ระลึกได้ ระลึกได้ขึ้นมาอาจจะได้ประโยชน์ตอนนั้น มีค่ามากตอนนั้น เคยทำอย่างนี้ เคยทำอย่างนี้ ในคราวมันจนมาก็มีประโยชน์ พอรู้จักทิศทาง จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องหัดตัวเราเองเพราะว่าชีวิตของเรานี้ถ้าไม่หัดมันก็มากมายเหมือนดงเกิดให้เราเห็นอยู่เสมอ นอกจากตัวเราก็มี นอกตัวเราอีกที่ทำให้เราหลง เราทุกข์ เราสุข บางทีก็เอาอันอื่นเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งอื่น ให้สิ่งอื่นพาเป็นสุข ให้สิ่งอื่นพาเป็นทุกข์ก็มี ชีวิตไปแขวนไว้ห้อยไว้ ยิ่งเอามาแขวนไว้กับกายกับใจ ถ้าใจพาให้สุขก็สุข ถ้าใจพาให้ทุกข์ก็ทุกข์ ถ้ากายพาให้สุขก็สุข ถ้ากายพาให้ทุกข์ก็ทุกข์ ก็ยิ่งอันตราย ให้เห็นมัน มันสุขมันทุกข์ให้เห็นมัน เห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุข เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ ให้เห็นอย่างนี้ หัดไว้อย่างนี้จึงจะหลุดพ้น จึงจะเป็นการได้ประโยชน์ ได้ประโยชน์จากกายจากใจ ได้เห็นมันแล้ว เรียนรู้แล้ว นี่คือทุกข์ นี่คือสุข นี่คือโกรธ นี่คือหลง นี่คือพอใจไม่พอใจ ขนออกมา มีสติให้รู้สึกตัวซะ เปลี่ยนอะไรที่มันเกิดกับกายกับใจนี้ให้รู้สึกตัว รู้สึกตัว การเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดีให้มันรู้สึกตัวนี้เรียกว่าการปฏิบัติธรรม มันจะเจริญงอกงามก้าวหน้า เป็นนิสัยเป็นปัจจัย ต่อไปก็ไม่ต้องฝึกมันเป็นไปเอง มันเป็นไปเอง ที่สุดก็เป็นใหญ่ได้ มีสิทธิ มีชีวิตที่เป็นธรรม ชีวิตที่เป็นธรรม มีแต่ความเป็นธรรมเกิดขึ้นที่กายที่ใจเรานี้ เมื่อมีความเป็นธรรมเกิดขึ้นที่ตัวเราแล้วก็มีเป็นความเป็นธรรมเกิดขึ้นต่อคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น ต่อโลก จากคนๆหนึ่ง เหมือนพระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นเพียงพระองค์เดียวจนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ ในตัวเราก็มีเครื่องรับอยู่ มีกายเหมือนกัน มีใจเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า เป็นสามัญชนเหมือนกัน มีสุขมีทุกข์เหมือนกัน เอาเลย เอาเลย อย่าท้อถอย ได้เครื่องมือแล้ว ได้กายได้ใจมาแล้ว มีสติแล้ว คำว่ายกมือขึ้นก็รู้สึกตัวนั่นแหละ หน่อโพธิ หน่อพุทธะ หน่อพระธรรม หน่อพระสงฆ์ อยู่ที่นั่น ปฏิบัติดีอยู่ที่นั่น ที่กายที่ใจเรานี้ ตั้งลงไปให้มันเกิดความดีในกายในใจ คิดดี พูดดี ทำดี ละชั่ว ไม่ทำให้เกิดขึ้นกับกายกับใจเรา มันก็จะมีมากขึ้น พึ่งพาอาศัยเป็นที่พึ่งได้ถ้าเราหัดตัวเราอย่างนี้ วันนี้ก็วันศีลดับของเดือน ๙ ก็อนุโมทนากับญาติโยมที่มีศรัทธาพากันมาตั้งแต่เช้ามืด สมาทานศีล เอาสมาทานศีลซะ ได้เวลา