แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้ยินได้ฟังเอาไว้ รู้จักทิศทาง คนอื่นบอก เราเห็น สิ่งที่ผู้อื่นบอก เราเป็นผู้เห็น เหมือนผู้ที่บอกก็เห็นเช่นกัน เรียกว่าทาง ดั่งพระพุทธเจ้าสอนพวกเรามีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ กำหนดรู้อย่างนี้ ถ้ารูปมันไม่เที่ยง รูปคือกายนี้เป็นมหาภูตรูป รูปอันที่สองคือ อุปาทานรูป อุปาทานยึดในเสียงก็เป็นรูป ในรสก็เป็นรูป ในกลิ่นก็เป็นรูป อารมณ์ก็เป็นรูป แต่เป็นมหาภูตรูป จะเป็นอุปาทานรูป ก็ไม่เที่ยงทั้งนั้น รู้ไว้ รูปไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เป็นอย่างนั้น สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งใดไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ไม่ควรคิดว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา ให้รู้เอาไว้จะเจอจะเห็นเอาวันหนึ่ง ในวันใดวันหนึ่ง ชั่วโมงใดชั่วโมงหนึ่งก็ได้ ถ้าเราเจอเราเห็นเราก็รู้ล่วงหน้ามา โอ้ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมันก็ไม่เที่ยง อย่าไปยึดเอาว่าเป็นตัวเป็นตน เห็นทีไรก็ชี้หน้าลงไปว่า นี่คือความไม่เที่ยง นี่คือความไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ยิ่งไม่ใช่ตัวตน ชี้หน้าลงไปให้เห็น คนอื่นบอกเราเป็นผู้เห็น นี่คือการศึกษาเพื่อถลุง รู้แล้วรู้ล่วงหน้า ให้ตามมรรคผลนิพพานก็รู้ล่วงหน้า อารมณ์ก็รู้ล่วงหน้า สวรรค์ก็รู้ล่วงหน้าได้ อะไรที่เป็นความทุกข์ อะไรที่เป็นความร้อนนั่นเรียกว่า นะ ระ กะ นรก มาในรูป มาในเสียง มาในกลิ่น มาในรส มาในอารมณ์ อะไรที่มันทำให้ร้อนทำให้ทุกข์นั่นเรียกว่านรก จะเว้นได้ รับรองไม่ตกนรกได้ด้วยแล้ว อะไรที่เป็นทำให้เหตุเกิดทุกข์ รู้แม้กระทั่งเหตุมัน เกิดหลงนี่รู้ล่วงหน้า สวรรค์คืออารมณ์ สวรรค์คือความชอบความดีความสุข ในอารมณ์อายตนทั้งหก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาก็เห็นรูปที่บัญญัติว่าชอบ หูก็ได้ยินเสียงที่บัญญัติว่าชอบพอใจ จมูกลิ้นกายใจนั่น ให้รู้จักล่วงหน้า นี่แค่เป็นสุข อารมณ์ที่ชอบเป็นสุข รู้ไว้ก็ได้ อย่าหลง ถ้าหลงทุกข์มันก็หลงสุขด้วย เมื่อหลงสุขมันก็หลงทุกข์ด้วย
นี่มันตกอยู่ในความไม่เที่ยงเช่นกัน จะนิพพานก็เย็น เวลามันร้อนเย็นลง มันมีอยู่ความร้อนความเย็น ในโลกนี้มีแต่ความร้อน ถ้าไม่ร้อนก็เย็นเท่านั้นเอง ถ้าไม่เย็นมันก็ร้อนมีเท่านี้ ในโลกนี้อะไรก็เป็นคู่ ในความไม่เที่ยง อะไรวัตถุสิ่งของต่างๆในโลกนี้ตกอยู่ในความไม่เที่ยงทั้งนั้น รู้ล่วงหน้าให้ได้ เป็นเครื่องมือ รู้ล่วงหน้าความไม่เที่ยง เมื่อเกิดความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงเกิดขึ้นแก่เรา เรารู้มาก่อนนี้คือความไม่เที่ยงเป็นอย่างนี้ เราก็ละอะไรที่เรียกว่าของเรา ของที่เรารัก จะเป็นวัตถุก็ดี เป็นคนก็ดี เป็นรูปก็ดี เป็นนามก็ดี เมื่อมันตกอยู่ในความไม่เที่ยงแม้จะเป็นวัตถุสิ่งของ มันก็ไม่ใช่ของเรา มันมีได้เป็นได้ในความไม่เที่ยง เราก็รู้ล่วงหน้านั่นละมันไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงเป็นอย่างนั้น จากเราไปแล้วความเป็นทุกข์ ความเป็นทุกข์ก็มี ความไม่ใช่ตัวตนก็มี มาพร้อมกันหมดบอกหมด บอกเปรี้ยงที่สุดเลย ในความไม่เที่ยง ในความเป็นทุกข์ ในความไม่ใช่ตัวตนเป็นอันเดียวกัน พูดอันเดียวพอเห็นสิ่งทั้งสามนี้ก็อันเดียวกันหมด ตอบไปได้หมดเลย เป็นหมู่เป็นกลุ่มไป เรียกว่าสามัญลักษณะก็เหมือนกันหมดในความไม่เที่ยง ในความเป็นทุกข์ ในความไม่ใช่ตัวตนนี้ เหมือนกันหมดทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ จะเป็นภูเขา ต้นไม้ แม่น้ำ ดิน ฟ้า อากาศ เป็นโลก อากาศโลกคือแผ่นดิน แผ่นฟ้า อากาศ สังขารโลกคือสิ่งที่มันครอบงำในทุกอย่างอยู่ เป็นความไม่เที่ยงอยู่ ตกอยู่ในความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น อย่าหลงถ้าหลงจะเป็นทุกข์เป็นโทษ บางทีเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับความรัก ในความรักก็ไม่เที่ยง แม้แต่ไปรักอันอื่นสิ่งอื่นไปห้อยไปแขวนไว้กับวัตถุสิ่งอื่นผู้คนอื่นยิ่งมันไม่เที่ยง อย่าไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตนในความไม่เที่ยงนั้น รู้ล่วงหน้าแต่เกี่ยวกับความไม่เที่ยงให้ถูกต้องจะได้เป็นประโยชน์ เอาความไม่เที่ยงมาเป็นของที่การศึกษาทำประโยชน์ร่วมกันเช่นเรามีรูป อาศัยรูปที่มันไม่เที่ยงนี่แหละมาทำความดี มาละของชั่ว ให้มันใช้งานเพื่อการนี้ เรามีจิตใจที่แต่ก่อนมันไม่เที่ยงเมื่อฝึกหัดแล้วมันจะเห็น ภาวะที่เห็น ภาวะที่ไม่เป็นเนี่ย อันนี้มันก็เป็นธรรมชาติ กฏธรรมชาติ ในความเกิด ในความแก่ บางทีก็เอาความแก่มาเป็นทุกข์ มันก็ไม่ใช่อีก ความแก่ไม่เป็นทุกข์ ความเจ็บไม่เป็นทุกข์ ความตายไม่เป็นทุกข์นั่นคือศึกษาแล้ว รู้แล้ว แต่ถ้าเราไม่รู้จนเหมือนกัน ความแก่ จนความแก่ก็เป็นทุกข์ เมื่อจนความเจ็บก็เป็นทุกข์ เมื่อจนต่อความตายก็เป็นทุกข์ จงมีทางออกถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ซะ การเกิดแก่เจ็บตายนี่เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องที่ควรรีบด่วน ชีวิตของเราเนี่ยมันมีทาง แต่มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐให้เห็นแจ้ง หาคำตอบเฉลยได้
ดั่งพระสิทธัตถะเนี่ยพระชนมายุหนึ่งถึงสิบหกพระชนม์พรรษาเนี่ย พูดราชาศัพท์พูดไม่ค่อยถูก พูดภาษาบ้านเรากัน ตั้งแต่อายุหนึ่งปีถึงสิบหกปีไม่รู้เรื่องการแก่การเจ็บการตาย จนออกประพาสกรุงกบิลพัสดุ์ไปเห็นเรื่องนี้เข้า อยู่ในแต่ราชวังหนึ่งปีถึงสิบหกปีเนี่ยมีแต่ของดีดีอะไรก็งดงามไปหมดเลี่ยมระยุบระยับไปหมด ผู้คนก็มีแต่ของสวยสวยงามงามสนมกำนัลใน พอออกประพาสราชรถกรุงกบิลพัสดุ์เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นสมณะนี่ ก็เลยถือว่าเป็นการบ้านรีบด่วน หาคำตอบตรงนี้อันอื่นไม่เกี่ยวหาคำตอบตรงนี้ให้ได้ จนเห็นสมณะเห็นว่าเป็นทางหนึ่งที่จะต้องศึกษาเรื่องนี้ได้ ถ้าเป็นกษัตริย์ครองบ้านครองเมืองเนี่ยมันจะไม่โอกาสไปออก เอาแค่นักบวชเป็นอุบาย และก็ไม่ใช่เห็นเฉยๆ ทำลงไปจริงๆไปจนอายุยี่สิบเก้าพรรษา ตั้งแต่สิบหกพรรษาจนยี่สิบเก้าพรรษาเนี่ยคิดเรื่องนี้กัน จนรอไม่ได้แล้ว ราหุลเกิดมาก็ยิ่งหนักแน่นเข้าไป รักพิมพายังไม่พอ รักราหุลอีก มันข้องไปผูกมัดไป ก็เห็นตัวเองว่าต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน พิมพาก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ราหุลที่เกิดใหม่ๆก็ต้องแก่เจ็บตายเหมือนกัน ก็เลยรับผิดชอบอันนี้ออกบวชศึกษาเรื่องการเกิดแก่เจ็บตายเนี่ย ทิ้งพระราชทรัพย์สินศฤงคารออกจากพระราชวังปราสาทสามฤดู เพื่อเรื่องนี้ไม่ใช่เพื่ออวดอ้าง ไม่ใช่เพื่อพิธีรีตองอะไร เพื่อศึกษาเรื่องนี้กันการศึกษาเรื่องนี้มันก็ไม่ค่อยสะดวก สมัยก่อนมีเจ้าลัทธิ มีฤาษีชีไพร คิดถึงแต่เจ้าลัทธิอาจารย์อุทกดาบส ก็ไปเห็นเหมือนกับว่าลองดูเพราะว่าทำเรื่องนี้ อุทกดาบส อาฬารดาบส ไปเรียนศึกษาอยู่กับอาจารย์อุทกดาบสตามตำราบอกว่าได้ฌานสมาบัติเจ็ด ไม่พอใจ ฌานคือการเผาเพ่ง เพ่ง เพ่งเผา ฌาปนะ เพ่งเผา เพ่งเผาอะไร เราไปงานฌาปนกิจนี่เพ่งอะไรเผาอะไร ฌาปนะเผาอะไร งานฌาปนกิจในวันที่เท่านั้น คุณพ่อนั่น คุณแม่นั่น หลวงพ่อองค์นั้น ฌาปนะคือเพ่งเผา เขาก็เรียกว่าณาน ฌาปนะ มันมาจากคำว่าฌาน แต่ก่อนคือเผา ดาบส อุทกดาบสก็เผา หนุ่มหนุ่มสาวสาวไม่มีใครสอน เรียนรู้ด้วยตนเอง นิ่งได้กดทับไว้ไม่ให้มันกระดุกกระดิก ทนไว้อดไว้ อะไรที่มันเกิดขึ้นมา ไม่วิ่งตามมัน มีกิเลสตัณหาราคะโทสะไม่วิ่งตามมัน กดทับทับไว้นั่งทับไว้เหมือนก้อนหินทับหญ้าไว้ หญ้ามันก็ไม่เกิดจริง แต่ว่าความรู้สึกที่มันยังมีอยู่ ยังมีอยู่ ไม่พอใจ ไปหาอุทกดาบส อาฬารดาบสอีก อาจารย์ที่สอนได้ฌานสมาบัติแปดตั้งแต่วิตก วิจาร ปีติ สุขเอกัคคตา วางไปๆๆ
อันนี้เป็นคำพูดนะ หมายถึงมันอยู่ในจิตใจของผู้หนึ่งที่ต้องฝึกฝนตนเอง มีเหมือนกันแม้แต่เดี๋ยวนี้ก็มี วิตก ตรึง ขึง ตรึง ตก ตรอง คิดหาอะไรต่างๆ ท่องเที่ยวตก วิจารก็พิจารณาได้ปัญญาได้สติได้เห็นความหลงความรู้ได้เห็นความสุขความทุกข์ ท่องเที่ยวไปกับวิจารไป บางทีก็ได้เห็นในสิ่งที่เราได้ยินในขณะที่บำเพ็ญ ไปเห็นปีติ บางทีก็มีเหมือนกัน มีไหมปีติอิ่มใจสุขใจน้ำตาไหลซึมออกมา สงสารตัวเองบ้าง บางโอกาสที่ไม่ค่อยจะได้ช่วยตัวเอง เวลามันหลงปล่อยให้ตนหลง ปล่อยให้ความหลงครอบงำเรา พอมารู้สึกตัวโอ้ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ได้ก็มีปีติบ้าง มีผลงานบ้าง ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง บางทีก็ง่ายๆ บางทีก็ยาก อารมณ์เกิดขึ้นกับใจเรา มีสุขบ้าง มีปัญญาบ้าง จนในที่สุดไปถึงสมาบัติแปด เวทยิทนิโรธ ไม่ฟูอีกแล้ว ไม่ฟูอีกแล้ว แต่ที่จริงมันหลอกไปยินดีกับภาวะที่หลวงตาบอกว่าไม่มีไม่เป็น ไม่ใช่ให้ไปยินดีอยู่ตรงนั้นแต่ว่าไม่มีไม่เป็น ไม่เป็นอะไรกับอะไร ไม่ใช่ไปอยู่ตรงนั้น มันเห็นความไม่เป็นอะไรอะไรเข้าไปอีก ถ้าไม่เป็นอะไรไปอยู่ตรงนั้นเองก็ไม่ใช่ว่าเวทยิทนิโรธ มันต้องมีสติเสริมเข้าไปตรงนั้นด้วย สติที่ไปเสริมตรงนั้นมันไม่ใช่สติตั้งแต่ต้นนะ มันเป็นความคม มันเป็นความชัดเจน บัดนี้เพียงแต่เวทยิทนิโรธ นิ่งไปสงบไปเลย บางคนบางรูป พระบางองค์เป็นหกปีเจ็ดปีเจอลักษณะแบบนี้นึกว่าตนเองหมดกิเลสตัณหาเหมือนพระสมัยก่อนไปจำพรรษาในที่ แยกออกไปจากพระพุทธเจ้า ห้ารูปไปปฏิบัติธรรมในป่าในเขาไม่พูดไม่จากันเลยต่างคนต่างปฏิบัติธรรม ต่างคนต่างหมดกิเลส เงียบ ยิ้มกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ถามปัญหาต่างๆ ว่าไม่พูดไม่จากัน พากันอยู่ยังไงกัน อยู่กันก็ตัวใครตัวมัน ตอนนั้นเขาก็มีป่าช้าผีดิบเอาซากศพผู้หญิงสวยสวยมาทิ้งไว้เป็นป่าช้าผีดิบใหม่ๆ พากันไปป่าช้าไปดูศพผู้หญิงที่เขาเอามาพากันไปดู พอเห็นซากศพผู้หญิงสาวสดสดเกิดความตื่นขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็ไม่ทำอะไร ภิกษุ ดูมันเป็นไง บุรุษก็ต้องมีสตรี สตรีก็ต้องมีบุรุษ เป็นคู่กัน
เหมือนพระพุทธเจ้าว่า พะลัง จันโท พะลัง สุริโย.... พะลัง เวลาสมุทัสสะ พลาติพะละมิตถิโย พระอาทิตย์ พระจันทร์ กาลเวลา ฝั่งทะเลมีกำลังทั้งนั้น แต่สตรีที่ในคนในบุรุษย่อมมีกำลังยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้ บุรุษก็มีกำลังของสตรีมากกว่าพระอาทิตย์ พระจันทร์อีก พระห้ารูปที่ว่าตัวเองบรรลุพระอรหันต์นั้นจิ๊บจ้อยไปเลย เลยต้องไปปฏิบัติธรรมอีกต่อ ไปเห็นแล้วก็โอ้ยเหมือนศิลาทับหญ้าสมัยก่อน เรียกว่าฌาน ฌานปน แต่ฌานอันเผาศพนั้นไม่งอกนะ กระจุยไปเลยต้องเอาไปลอยอังคาร ฌานเนี่ยถ้าไหม้ เหนือเมฆยังมีเมฆ ต้องเหนือไปอีก พระพุทธเจ้าสิทธัตถะจึงหนีไป ขณะที่ไปอยู่กับอาจารย์ทั้งสอง ก็ยังมีคิดถึงพิมพาราหุล คิดถึงพระราชทรัพย์สินศฤงคาร ไม่พอใจ เอาตัวเองเป็นเกณฑ์เลยทีเดียว อะไรที่มันถูกต้องยังมี แก่ในความรัก แก่ในความชัง แก่ในความสุข ความทุกข์ ยังมีเกิดอยู่เกิดอยู่เกิดอยู่ อะไรที่มันจะเหนือการเกิดแก่เจ็บตายเป็นประเด็นเข้าไป เป็นโจทย์ท่องเข้าไป อันนี้หลวงตาพูดไปสามภาษา ไม่ได้ศึกษา พูดตามความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ ไปเป็นธุลี อยู่พระพุทธเจ้า เพียงธุลีเล็กๆอยู่ในหัวใจ พูดได้ ไม่ใช่ว่าจะไปรู้จริงเห็นจริงอะไรมาก เคยออกไปจากอาจารย์ทั้งสอง อาจารย์ทั้งสองขอร้องให้อยู่ด้วยเพื่อสอนคนอื่น ว่าเก่งแล้ว เรียนแพล๊บเดียว ไม่อยู่แล้ว จึงจากดงคสิริย้อนลงมา บ้านนางสุชาดา มาศรีมหาโพธิ์ มาบำเพ็ญทางจิต มันเหลืออยู่เนี่ย อะไรเหลืออยู่เนี่ย จิตเนี่ย เอาล่ะบัดนี้ ไม้หญ้าคาจากโสตถิยพราหมณ์มาปูนั่ง ตัดสินใจ ตายเป็นตาย จะไม่ลุก จะไม่หนีจากที่นี่เมื่อไม่ได้บรรลุธรรมที่พอใจจะไม่ลุกไม่หนีจากที่นี่ แม้ว่าเนื้อหนังกระดูกจะผุพังไปก็ตาม ขนาดไหน ตัดสินใจนั่งจะไม่ลุก ดูสิขนาดไหน พระโพธิสัตว์ต้องสละถึงปานนั้นนะ จริงใจจริงจังกับการกระทำของตนเองไม่ใช่ทำเล่นๆนะ เป็นความคิดที่แน่วแน่ ในคืนวันเพ็ญเดือนหกจนถึงจะสว่างแสงเงินแสงทอง เห็นเรื่องนี้ ทบทวนไปตั้งแต่มีสติเห็นกาย กายเฉพาะกายง่ายๆเพราะว่าผ่านมาแล้ว เวทนาเฉพาะเวทนา จิตเฉพาะจิต ธรรมเฉพาะธรรมไปเรื่อยๆไป อันนี้ก็เหมือนที่เราทำอยู่นี่ สูตรนี้ สูตรตรัสรู้นี่ไม่ใช่ของเล่นนะที่เราทำกันนี่ สูตรแห่งการตรัสรู้นะ เห็นกาย มาให้เห็น โชว์พรึบขึ้นมา เวทนาโชว์ขึ้นมา แต่ก่อนไม่มี จิตก็โชว์ขึ้นมา ธรรมก็โชว์ขึ้นมา เห็นแล้ว จนรู้ไป รู้ไป รู้ไป รู้ไป รู้ไปแล้วทวนกลับมา ทวนกลับมารู้ไปมันเชี่ยว มันเชี่ยวเหมือนเขาทำอะไรให้มันเสร็จแล้วก็ดูอีกรอบรอบ รอบรอบ รอบรอบ เหมือนช่างตัดผม สมัยก่อนหลวงตาเคยเป็นช่างตัดผม พอตัดผมตัดเสร็จแล้วก็ดูด้านข้างด้านหลังด้านหน้าดูข้างบน รับกับใบหน้า รับกับรูปของศรีษะ กับทรงของคน ตกแต่ง เอาหวีมาหวีลองดู ลูบยังไง เห็นไหมช่างตัดผมบางทีก็ลูบลงบางทีก็ลูบขึ้น เหมือนกับการแต่งตัวใช่ไหม อันนี้ก็เสริมสวยให้ อะไรที่มันดีกว่าเก่าชอบทำ แม้แต่นี่ก็ชอบทำ สุดท้ายคือจะตกแต่งเมื่อใจจะขาด ปานนั้นนะ ใจขาดแล้วจะตกแต่งอีกจะให้มองไม่น่าเกลียด ใบหน้า
เดี๋ยวนี้อันนี้คือทำให้ดีกว่าเก่า ตกแต่งได้จริงๆ บางคนปล่อยให้คนตายเนี่ยนอนท่าทางไม่ค่อยดี ใบหน้าก็ไม่สวย แต่งใบหน้าขณะที่ตายแล้ว มันแต่งได้นะ ดีกว่าที่ยังเป็นเป็นอยู่นะ เป็นเป็นอยู่มันมีบูดมีบึ้งได้นะบางทีเหงื่อไหลไคลย้อยออกมา แต่งเมื่อใจขาดแล้วนี่มันอยู่นิ่งเลยนะ ไม่ไป ให้เป็นยิ้มก็ยิ้มอยู่นั่นแต่เอาจับไว้สักหน่อย จับไว้สักหน่อย เอากระดาษทิชชู่จับไว้รีดไว้รีดไว้รีดไว้ ริมฝีปาก ปิดตาจับไว้ดีดีน้อยเดียว วางลงมันก็จะอยู่ คนเป็นเป็นมันไม่อยู่นะ คนตายมันไม่ไปนะ นี่ทำได้ บอกมาเถอะนะ อันนี้ก็อยากดูแลคนตาย คนเป็นไม่ให้เราดูแลมันวิ่งหนีจากเราไปแล้ว ประกาศสร้างวัดสุคะโตมาสี่สิบกว่าปีแล้ว ขณะนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนนะ สมัยก่อน โอ้ย หายาก เดี๋ยวนี้ไม่ยากนะ ขึ้นป้ายสถาบันสติปัฏฐานไปเลย มาเลย มีสิทธิอยู่นี่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีข้าวกินข้าวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ อยู่ที่นี่มีเพื่อนมีมิตร พระสงฆ์ก็นั่งอยู่นี่แม่ชีก็นั่งอยู่นี่ญาติโยมก็อยู่นี่ นี่ก็ที่นั่ง สมัยพระพุทธเจ้าบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้านะอยู่โคนไม้อยู่ในถ้ำดงคสิริ เคยไปดูนะไปดูถ้ำดงคสิริ เหนือแม่น้ำเนรัญชราขึ้นไปทางโน้น ถ้ำเล็กๆต้องหมอบเข้าไป นี่ไม่ต้องหมอบเดินขึ้นบันไดอย่างดีเลย กุฏิอาจารย์ตุ้มทำได้อย่างดีมีมุ้งลวด บางกุฏิมีน้ำอุ่นให้อาบ มีห้องน้ำให้ใช้ อย่างนั้นก็ยังไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้านะ สมัยนั้นพระอรหันต์มีแต่คนดังมาออกบวช สมัยคนดังออกบวช อุบาลี อานนท์ อนุรุทธ เทวทัต ห้ารูปใช่ไหม คนดังออกบวช คนไม่ดังมีคนเดียวคืออุบาลีเป็นลูกนายช่างกัลบก นายช่างตัดผม ส่วนอานนท์ อนุรุทธ เทวทัตเป็นคนดัง ไม่ดังคืออุบาลีเป็นลูกนายช่างกัลบก ไม่ใช่กษัตริย์นอกนั้นเป็นลูกกษัตริย์หมดเลย การบวชก็ห้าเจ้านาคปรึกษากันให้ใครบวชก่อน ใครบวชก่อนต้องเป็นอาวุโส อานนท์ อนุรุทธ เทวทัตก็เลยว่าให้อุบาลีบวชก่อน เราจะมีอุปาทานว่าเราเป็นกษัตริย์จะถืออาวุโสไว้ ขอเป็นน้อยให้อุบาลีบวชก่อนจะได้เป็นอาวุโส เราเป็นภันเต ให้อุบาลีบวชก่อน เทวทัตไปทางไหน อุบาลีเป็นไง อานนท์เป็นไง อนุรุทธเป็นไงเก่งทั้งนั้น แต่เทวทัตไม่เก่งนะเก่งแบบอิจฉา พยาบาทเก่ง แข่งขันกัน แข่งขันจะให้ดีกว่าพระพุทธเจ้า จะแข่งพระพุทธเจ้า ทำทุกอย่างทำทุกอย่างเทวทัตเนี่ยเป็นสังฆเภทไปเลย มีเหมือนกันนะดังแบบนั้น
แต่อานนท์ อุบาลี อนุรุทธยอดเยี่ยมเลยเป็นเอตทัคคะเลย อนิรุทธเอตทัคคะในทางฌานสมาบัติ พระอานนท์เนี่ยเอตทัคคะในทางพหูสูตร อุบาลีเอตทัคคะในทางพระวินัยบัญญัติ ยอดเยี่ยม เทวทัตชั่วฉิบหายแผ่นดินสูบเลย แผ่นดินสูบอยู่ทางตอนใต้ของเชตวันนะ ไปดูไปขึ้นวัดของทิเบต ทิเบตเขาไปสร้างวัดใส่ที่ตรงนั้นเราไปขึ้นหลังคาเพดานมองไปเห็นที่แผ่นดินสูบเทวทัตนะ ยังมีอยู่นะแต่ว่าเป็นรูปอยู่ เชตวันก็ยังมี ที่แผ่นดินสูบเทวทัตก็ยังมีใกล้ๆอยู่ในเมืองสาวัตถี อย่างนั้นก็ทุกวันนี้ไม่ยาก ไม่ยากเลยที่จะมาศึกษาเรื่องนี้พร้อมจะเป็นมิตรเป็นเพื่อน ใช้สูตรอันเดียวกันกับพระพุทธเจ้าสมัยพระองค์แสวงหาโมกขธรรม มีกายมีสติอันเดียว สติที่เรายกมืออยู่นี้กับสติที่อยู่กับพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน อันเดียวกันแท้ๆ เวลามันหลงก็อันเดียวกัน ความหลงเดี๋ยวนี้กับความหลงที่อยู่กับพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าเปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนอะไร เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นอะไรเปลี่ยนมาเป็นรู้ทั้งหมดเลย พระพุทธเจ้าเดินไปทางไหน คนละทาง ถ้าเหมือนกับหน้ามือกับหลังมือ เปลี่ยนอันนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม มีสิทธิทุกคนอันชื่อว่าคนแล้ว ไม่ใช่เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนเฒ่าคนแก่ บวชหรือไม่บวชไม่เกี่ยว นี่ละเป็นบัญญัติ สมมติบัญญัติ มีนักบวชเพื่อความสะดวก เราบวชมาเพื่อสะดวกในการปฏิบัติธรรมมันก็สะดวกจริงๆ จีวรก็คนหามาให้ ศาลาที่อยู่คนมาสร้างให้ อาหารก็มีคนมาทำให้ ยารักษาโรคมีผู้ให้โอกาส นี่คือนักบวชเมืองไทย ไม่มีประเทศไหนสะดวกเท่ากับเมืองไทยเรา แต่จะไปเกิดอยู่แผ่นดินไหนอยู่ที่โลกไหน นี่เมืองไทยนี่พุทธศาสนาในเมืองไทยนี่คือคนไทย น่าภูมิใจ นี่คือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ นี่คือไม่ลำบาก น่าจะศึกษาเรื่องนี้ก่อนอื่นใด หาคำตอบตรงนี้เฉลยให้ใด้ก่อนแล้วค่อยไป แต่ไปไหนมาไหนก็ไม่เป็นไรตามหน้าที่ของตนเอง ไปเป็นสามีภรรยาก็ได้น่าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลกต่อลูกต่อหลานไม่เป็นไร จะเป็นนักบวชก็ได้จะเป็นนักเรียนนักศึกษาเป็นเด็กเป็นเล็กก็ได้ นี่สมัยก่อน สังกิจจสามเณรนี่ตัวเล็กๆเป็นพระอรหันต์ ราหุลก็เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นเณร นี่คือชีวิตของคนสมัยครั้งสมัยพุทธกาลกับเดี๋ยวนี้อันเดียวกัน มีกายมีเวทนามีจิตมีธรรม มีรูปธรรมนามธรรมมีศีลสมาธิปัญญาอันเดียวกัน กุศลอันเดียวกันอกุศลก็อันเดียวกัน กุศลคือความดีอาศัยได้ อกุศลคือความชั่วอาศัยไม่ได้ มันยังมีอยู่นะเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเรามารู้เรื่องนี้เข้ามันจะไม่มีอกุศล มีกุศลเกิดขึ้นมาแทน เราก็อยู่กันด้วยความสงบร่มเย็น กายมันทุจริตทำชั่ว กายมันสุจริตทำดี มันก็มีอยู่ที่กาย วจีทุจริตพูดเท็จพูดชั่ว วจีสุจริตพูดสุภาษิตมีแต่ถูกต้อง มโนทุจริตใจมีแต่คิดชั่วพยาบาท ปองร้ายเขา เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม มโนสุจริตใจเป็นศีลเป็นธรรมเมตตากรุณาเต็มเปี่ยม มีอยู่ในคนน่ะเราจะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ยังไง มีสิทธิเวลามันหลง...รู้ หัดไปยังไงเรียกว่าปฏิบัติธรรม เวลามันโกรธ...รู้ มันมีมันมีเพื่อให้เราเปลี่ยนเป็นดี ไม่ใช่มีเพื่อให้มันมาลอยอยู่ในความชั่วของเรา มาพูดเท็จ มาพูดคำหยาบ มาเบียดเบียนกันเข่นฆ่ากัน มาคิดเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม มันก็อยู่ในโลกนี้
แต่ถ้าเรามาเปลี่ยนเสียนี่ มันจะเป็นไรไปก็เป็นความสงบต่อต่อกันไปแล้วเราก็เป็นสัตว์สังคมด้วย น่าจะทำเรื่องนี้ให้กระตือรือร้นสักหน่อย มีพ่อมีแม่ มีพ่อแม่ก็มีลูก มีผัวมีเมีย มีพี่มีน้องมันเป็นประโยชน์ต่อกันไม่ใช่เฉพาะต่อผู้คนหรอก ต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เหมือนกับเรากรวดน้ำ กรวดน้ำตอนทำวัตรเช้าเสร็จ อุทิศส่วนกุศล ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ ยานัญญานิ กะตานิ เม อุทิศไป ผู้มีคุณเช่นมารดาบิดาเป็นต้นว่าไปว่าไป สรรพสิ่งทั้งหลายมีขันธ์ห้าขันธ์มีขันธ์ขันธ์เดียว มีขันธ์สี่ขันธ์ กำลังท่องเที่ยวในภพน้อยภพใหญ่ นอกจากนี้ก็ยังมีเม็ดดิน เม็ดทรายอีก ทุกสรรพสิ่งมีภูมิทั้งสามกำเนิดทั้งสี่ รู้จักไหมภูมิทั้งสามกำเนิดทั้งสี่ ภูมิทั้งสามมีกำเนิดทั้งสี่มี กำเนิดทั้งสี่มีแมลงเม็ดดินเม็ดหินไป กำเนิดทั้งสี่ก็ชลาพุชะ ว่าได้ไหม ชลาพุชะ สังเสทชะ อัณฑชะ โอปปาติกะ อธิบายเอาต้องรู้หนา ไปเรียนแน๊ แหม๋เว๊ย สิมาอยู่โง่ๆเหง้าๆ (หัวเราะ) มีพระพุทธเจ้าเขียนไว้แล้วกำเนิดทั้งสี่ ภูมิทั้งสามก็คือกามภูมิ รูปภพ อรูปภพ ภูมิทั้งสาม กำเนิดทั้งสี่ก็เกิดในชลาพุชะ เกิดในเถ้าไคล เถ้าไคลก็อะไรมีเยอะแยะเลย อะไรที่มีไคลมีแผ่นดินมีหนองมีหนามมีสกปรกเป็นหนอนเป็นไส้เดือนเลย กำเนิดทั้งสี่มีขันธ์กำลังท่องเที่ยวไป....แผ่เมตตาไป เม็ดดินเม็ดหินไปหมดเลยนะ ฉันอยู่ด้วยกันแท้ๆทำไมมาโกรธมาเกลียดอิจฉาพยาบาทกันทำไม น่าเสียดาย ในหลงนี่ จะหลงทำไมไม่หลงก็ได้ ในชีวิตเราจะทุกข์ทำไม ไม่ทุกข์ก็ได้ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ มีเท่าเนี่ย รูป อุปทานในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อุปาทานยึดตัวเนี่ยว่าเป็นตัวเป็นตน วางเสียล่ะมันก็ไม่มีแล้ว จากร้อนก็เป็นเย็น จากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิทันทีเลย นี่พวกเราอยู่นี่สอนกันอย่างนี้ ศึกษาอย่างนี้กัน ไม่ต้องมาทำที่นี่ แบบอื่นมาศึกษาเรื่องนี้โดยตรงเอา พากันศึกษาเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวเกี่ยวกับอันอื่นอีกเยอะแยะเลย เราอยู่นี่พอจะศึกษาเรื่องนี้ เอาอะไรก็มีอีกเยอะแยะไป ปัญหาต่างๆเกิดขึ้นมาหลายอย่าง จากสิ่งแวดล้อมจากอะไรต่างๆมากมาย ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ศาสนธรรมคือการปฏิบัติโดยตรง ศาสน พิธีคือพิธีกรรมต่างๆ ญาติโยมก็ทำบุญทำทานญาติโยมก็นิมนต์ไปโน้นไปนี้ แล้วก็มีศาสนพิธีเกิดขึ้น คนตายก็เกี่ยวกับพระ คนเกิดก็เกี่ยวกับพระ คนเจ็บก็เกี่ยวกับพระ ศาสนพิธีไป ศาสนวัตถุก็มี กุฏิศาลาทรุดโทรมต้องซ่อมต้องแซม ถ้าไม่ซ่อมไม่แซมก็ผิดพระพุทธเจ้าบอก บอกเอาไว้ สอนเอาไว้ ตระกูลที่อยู่มั่นคงได้เพราะเหตุสี่สถาน ตระกูลที่มั่นคงอยู่ได้เพราะเหตุสี่สถาน หนึ่ง ว่ายังไงแม่ชี รู้จักซ่อมแซมพัสดุที่คร่ำคร่า สอง แสวงหาพัสดุที่หายไปแล้วคืนมา สาม แสวงหาพัสดุที่ยังไม่มีให้มีขึ้น สี่ บุรุษสตรีผู้เป็นพ่อบ้านแม่เรือนต้องเป็นคนมีศีล สี่อย่างนี่เจริญไม่เสื่อม ตรงกันข้ามกับความเสื่อม อะไรล่ะ ไม่ซ่อมแซมพัสดุที่คร่ำคร่า ปล่อยให้หลังคารั่วปล่อยให้บันไดผุพังเดี๋ยวก็ตกลงไปขาหัก ไม่แสวงหาพัสดุที่หายไปให้คืนมา มันก็หายหมดไปหมดไป ถ้าธูปเทียนไม่มีก็ไม่มีอยู่เรื่อยไป จนเรื่อยไปจนเรื่อยไป ต้องหามา กินเป็นต้องขยันทำงาน สมัยเป็นเด็กน่ะกินข้าวอิ่มแล้ว แซ่บบ่ บักหล้า แซ่บแล้วขี้คร้านเน้อ ไปเลี้ยงควายไปเลี้ยงวัวกินแซ่บแล้วขี้คร้าน เป็นคำพูดที่พ่อแม่จี้เลยให้ขยัน
พระพุทธเจ้าสอนนี่เราจึงมีศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล เกี่ยวกับคน คนหนึ่งก็จะเอาอันหนึ่ง คนหนึ่งก็จะเอาอันหนึ่ง คนหนึ่งก็จะเอาอันหนึ่ง ที่มาที่นี่มานี่ก็มาถามมาดูหมอมาให้ปลุกเสกเอาอะไรมาเอาเครื่องราชเอามาถวายให้หลวงตาเอาให้ ก็ต้องทำ มาให้เรา เราก็มอบเครื่องราชให้อีกทีหนึ่งเพื่อเป็นมงคล มาดูหมอ ศาสนบุคคลนะเห็นว่าเราเป็นพระ พระ จะขอดูหมอ ดูไม่เป็น ท่านบวชมากี่พรรษา บวชมาแล้วสิบกว่าพรรษา บวชมาสิบพรรษาดูหมอไม่เป็นเหรอ ก็ไม่ให้ค่าอะไรไปก็หนีไปอย่างไม่ให้อะไร เอาการที่เป็นพระเป็นสงฆ์ดูหมอปลุกเสก ใช้เราแบบนั้นให้เราไปสวดโน่นสวดนี่ เดี๋ยวนี้ญาติโยมใช้เรา เราไม่ใช่เป็นผู้นำของญาติโยม สมัยทุกวันนี้นะ เทียบกับคน เราไม่ค่อยทำให้ถูกใจคนเท่าไหร่ คนก็เลยไม่ค่อยชอบที่นี่ ถ้ามาดูหมอล่ะ รวย บอกเลขบอกหวยก็รวย นี่เราไม่บอก พอเขามาถาม ก็บอก บอกเอาไหมล่ะ เอาเอาเอาเอา อย่าเล่นไม่ต้องซื้อหวยเขาก็ไม่เอาแล้ว ก็บอกเหมือนกันใช่ไหมบอกว่าอย่าเล่น อย่าเล่นหวย อยากได้บุญไหม อยากได้อยากได้ จะบอกเอาไหม อย่าโกรธหนา อย่าโลภ อย่าหลงหนา ถ้าไม่โกรธไม่โลภไม่หลงก็เป็นบุญนะ จะหยุดโกรธได้ไหม โอ๊ย..ไม่ได้ไม่ได้ เนี่ยบอกบุญแท้ๆไม่เอา ถ้าบุญพิธีเอาอยู่ บอกไม่ให้โกรธไม่ให้หลงนี่ไม่ค่อยเอาหรอก ก็ใครจะทำล่ะบุญตัวนี้ เอาให้ได้ไหม ก็ต้องทำเอง หลวงตายะถาสัพพีมานี่สี่ห้าสิบปีแล้ว คนยังทะเลาะกันอยู่ ยะถาวารีวะหาปุลา... ห้วงน้ำที่เต็มย่อมยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์...มันเปลี่ยนไปเลย มันหลงรูปปั๊บ มันโกรธรูปมันทุกข์รูป อย่างเนี้ย ตัวนี้ ทำบุญทำบุญ ทำบุญในศาสนาคือทำบุญตรงนี้ที่กายที่ใจ ทำบุญนอกศาสนาก็เอาดีอันอื่น อัชฌัตตาธรรม พหิทธาธรรม พหิทธาธรรมทำดีภายนอก จัดดอกไม้ธูปเทียนสวยงามแต่ใจตนไม่ได้จัด ไม่เป็นระบียบเลย ซึ่งความวุ่นวายเลย อัชฌัตตาธรรม คือธรรมภายใน พหิทธาธรรมคือธรรมภายนอก ไปจัดภายนอก อัชฌัตตาธรรม จัดตัวเองให้งาม ใจงาม กายงาม มีศีล