แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มารู้จักตัวเองกันเถิดพวกเรา การที่จะมารู้มาเห็นตัวเอง คือต้องมีสติเป็นดวงตาภายใน ให้ดู ให้เห็น อย่าปิด เวลามันแสดงออกอะไรมา อย่าเป็นไปกับมัน ยิ่งจะเป็นการดู ตาภายในคือความรู้สึกตัว มีแล้ว อย่าหลับไว้ ลืมขึ้นมา ให้เห็น หาวิธีดูให้เห็น เห็น เห็นกาย เห็นกาย ไม่ใช่คิดเห็น การเห็นจริงๆ มันเป็นการสัมผัส เช่นคู้แขนเข้า เหยียดแขนออก เบื้องต้นการศึกษาชีวิตตามพระสิทธัตถะ ได้กระทำมาจนเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา ภายในคืนเดียว เพราะดู เพราะดูกายแล้วเห็นอะไรอีกมาก นอกจากเห็นกาย เห็นเป็นรูป แต่ก่อนก็เห็นเป็นกาย อะไรก็เป็นตัวเป็นตนได้ง่าย เห็นเป็นกายนี้ ร้อนคือกูหนาวคือกู หิวคือกู ปวดคือกู เจ็บคือกู ไม่รู้จักแยก ต่อมาเห็นบ่อยบ่อย เห็นบ่อยบ่อย เห็นลึกซึ้งลงไป ไม่ใช่กู กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฏธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของธรรมชาติของกาย มันต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครเป็นใหญ่กับมันได้ มีแต่ใช้ให้ถูกต้อง จึงจะเป็นประโยชน์ถ้าใช้ผิดก็เป็นโทษ อันเรื่องของกายนี้ การใช้ให้เป็นก็คือเห็น อย่าเป็น มันสุขอย่าเป็นสุข มันทุกข์อย่าเป็นทุกข์ มันร้อนอย่าเป็นผู้ร้อน มันปวดอย่าเป็นผู้ปวด มันหิวอย่าเป็นผู้หิว เรียกว่าดูให้เป็น ทำให้มันเป็น ถ้าเป็นไปกับมัน ก็เป็นภพเป็นชาติ สุขก็เป็นสุข ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ปวดก็เป็นปวด หิวก็เป็นหิว มันก็ไปไม่ถึงไหน เพราะว่าถูกมันยึดไว้ ถูกกายยึดไว้ กายก็ใช้ให้สุข กายใช้ให้ทุกข์ กายใช้ให้อะไรต่างๆมากมายเสียเวลาไปกับกาย รับใช้กาย ยิ่งถ้าไม่รู้มันก็เป็นภาระมาก ภารา หะเว ปัญจักขันธา หนักเข้าไป ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ เราจึงมาเห็นเนี่ย เห็นกายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา นั่น ไปแล้วหลุดไปแล้ว ผ่านไปแล้วถ้าเห็น ถ้าเป็นไม่ผ่าน เห็นมันจึงผ่านจึงเป็นทางไป ก็มันเห็นก็เป็นทาง ถ้าเป็น ไม่เป็นทางรกรุงรังแล้ว สุขก็รก ทุกข์ก็รก ไม่ผ่าน ในทางนี้ มรรคคือทาง มรรคคือหนทาง เส้นเดียว ที่จะผ่านได้ มีทางเส้นเดียวผ่าน ผ่านสุข ผ่านทุกข์ ผ่านความโลภ ความโกรธ ความหลง ผ่านเกิดแก่เจ็บตาย คือเห็น ให้ก้าวออกจากที่ ถ้าเป็นไม่ได้ก้าวซักก้าวเลย เป็นเห็นเป็นรูป เห็นกายเห็นเป็นรูป ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตน เห็นเป็นรูปทำ ที่มันทำดีทำชั่ว นั่งอยู่นี่เป็นรูป มันรู้และได้เป็นนาม เป็นธรรมชาติ เป็นกฏธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของธรรมชาติของรูป อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตน จึงเห็นรูปเห็นนาม ไม่เห็นกายก็เห็นนาม เห็นรูปเห็นนาม ถ้าเห็นเป็นกายมันจนง่าย สุขก็สุขไปเลย ทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย ถ้าเห็นรูปไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นอาการเท่านั้นเอง
ให้มารู้จักตัวเรา สุขทุกข์เป็นอาการ ความร้อนความหนาวเป็นอาการ ความหิวเป็นอาการ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เราก็ถูกอยู่ในวังวนนี้ ทั้งๆที่ไม่มีจริง เคยสุขอยู่ที่ไหนสุข เคยทุกข์อยู่ที่ไหนทุกข์ มันก็ไม่มีจริง ใครพอใจ ใครไม่พอใจมันอยู่ที่ไหน มันก็ไม่มีจริง มันเป็นอาคันตุกะ มันจรมาทำให้เราหลง มาทำให้เราหลง หลงสุขหลงทุกข์ หลงผิดหลงถูก หลงยากหลงง่าย หลงพอใจหลงไม่พอใจ มันก็ไปไม่ถึงไหน พอมาเห็นมันก็ผ่าน เห็นรูป อ้อฉลาด รูปมันบอก มันจะบอกว่านี่คือรูป ไม่ใช่ตัวใช่ตน ที่มันรู้แหล่ะได้เป็นนามธรรม มันก็เอารูปเอานามธรรม เกิดทุกข์เกิดโทษก็รู้นามธรรม เราจะใช้ให้มันทำ มันก็ทำดี ทำดีคือได้ให้รูปมันทำดี ความชั่วใช้ให้นามมันทำชั่ว ในนี้น่ะมี ความดีความชั่ว เราไม่ได้เป็นใหญ่ มันมีอะไรที่สั่งไป มันคือความหลง ความหลงใช้รูป ความหลงใช้นาม ไม่ใช่สติ ความหลงเป็นเจ้าของ กายก็เลยเถื่อนเป็นสุขเป็นทุกข์ ใจก็เลยเถื่อนเป็นสุขเป็นทุกข์ สำส่อน สุขก็มี ทุกข์ก็มี ที่เกิดกับกายกับใจ มันสำส่อน เรียกว่าความหลงมันใช้ผิด ถ้ามีสติเป็นเจ้าของก็ใช้ถูกต้อง มีสติเป็นเจ้าของก็ใช้ถูก พอมันหลงก็รู้ เป็นเจ้าของ พอมันสุขก็รู้ เป็นเจ้าของ ไม่ปล่อยให้สุขไม่ปล่อยให้ทุกข์ มีเจ้าของเหมือนพ่อแม่ไม่ปล่อยให้ลูกลำบาก เป็นอุปการะดูแลอยู่ ที่รูปนามมีเจ้าของก็ไม่ปล่อยให้รูปเป็นสุขเป็นทุกข์ ให้เห็น ง่ายๆ การเป็น มันยาก การเห็น มันง่าย ถ้าสุขเห็นสุขถ้าทุกข์เห็นทุกข์ มันน้อยๆมันจบ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ สุขเป็นสุข หลงเป็นหลง ไม่จบ ถ้าเห็น มันจบ มันจบไป มันจบไป มันหลง เห็น มันจบไปแล้วผ่านไปแล้ว มันรู้ เห็น มันผิด เห็น มันถูกเห็น ผ่านไปแล้ว เป็นมรรคแล้ว เข้าไปแล้ว เอาหลงไว้หลัง เอาสุขเอาทุกข์ไว้หลัง เรื่อยไป อะไรก็ตอบคำเดียวเห็น ไม่เป็น สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม ผ่านไปแล้ว ไกลออกไป เมื่อไม่เปรอะไม่เปื้อนความสุขความทุกข์ เห็นมันสุขมันทุกข์เห็นมันหลง เห็นทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ แปดหมื่นสี่พันอย่าง เห็นทุกอย่าง ความง่วงเหงาหาวนอนก็เห็น ความคิดฟุ้งซ่านก็เห็น ความลังเลสงสัยก็เห็น พยาบาทที่มันเกิดขึ้นก็เห็น กามราคะเกิดขึ้นก็เห็น มันมี มันเป็นคลื่นเหมือนน้ำ มีลมพัดก็เป็นคลื่น
อาการต่างๆเรียกว่าอารมณ์ ความโกรธเป็นอารมณ์เหมือนน้ำที่มีลมพัดน้ำ น้ำก็ยกคลื่นขึ้นมา มันคลื่นไม่ใช่น้ำ อารมณ์ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม มันเป็นอาการ พอเห็นมันก็มีอาการเหมือนกับน้ำในสระ เราโยนก้อนหินลงไป น้ำในสระก็กระเพื่อม แล้วแต่สิ่งที่โยนลงไปหนักเบา ถ้าน้ำไม่กระเพื่อมก็ไม่ใช่น้ำ ก็มันมีอย่างนั้น มีรูปมีนามก็เป็นอย่างนั้น ยุงกัดก็เจ็บ นั่งนานก็ปวดก็เมื่อย ไม่มีอะไรที่มาสัมผัสมันก็เกิดขึ้นได้ เพราะมันเป็นรูปเป็นนาม ไม่ใช่ก้อนอิฐก้อนหิน เป็นรูปธรรมนามธรรมมันเป็นอย่างนี้ การกระเพื่อมที่เป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นอาการ อย่าไปตู่เอาว่าเป็นเรา เราสุขเราทุกข์เราเจ็บเราปวดเราร้อนเราหนาวเราหิว เราแพ้เราชนะ เราผิดเราถูก ปฏิบัติไปบางทีมันหลงก็อย่านึกว่ามันผิด มันเป็นอาการ อย่าให้ผิดเป็นผิด ให้ผิดเป็นรู้ มันถูกก็อย่าให้เป็นผู้ถูก ให้ถูกเป็นรู้ ไม่ต้องไปเป็นอะไรกับอะไร แค่คนเดินทาง คนเดินทางต้องหลายอย่างที่มันเกิดขึ้น ที่เดิน ห้าสิบกม. ร้อยกม. สามร้อยกม. สี่ร้อยกม. มันก็ต้องมีอาการปวดเมื่อย บางทีอาจจะเท้าบวม ส้นขาแตก ปวดเนื้อปวดกายเมื่อยล้า คนเดินทางก็เป็นอย่างนั้น คนไม่เดินทางก็ไม่เป็น แต่มันไม่ไปถึงไหน คนที่เดินทางที่ตามมรรคก็ผ่านความถูก ความถูกก็มีรสชาติ ผ่านความผิดก็มีรสชาติ ผ่านสุขก็มีรสชาติ ผ่านทุกข์ก็มีรสชาติ รสชาติสุขทุกข์มันเป็นรสของโลก เป็นรสของโลก พอใจเป็นรสของโลก ไม่พอใจเป็นรสชาติของโลก มาเห็นโลกนี้ ให้มันเห็นอย่างแจ่มแจ้ง พระพุทธเจ้าว่ารู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง รู้แล้ว สุขก็รู้แล้ว ทุกข์ก็รู้แล้ว ผ่านมามากแล้วสุขทุกข์ ผิดถูกผ่านมามากแล้ว แก่กล้าขึ้นแล้ว ไม่เปราะบาง ถ้าสุขเป็นสุขมันอ่อนแอ ทุกข์เป็นทุกข์อ่อนแอ ผิดเป็นผิดก็อ่อนแอ เหมือนยอดไม้มันอ่อน มันก็ไม่ออกดอกออกผลออกลูกได้ ดูก็รู้ถ้าตกฤดูร้อน ต้นไม้ออกยอดแสดงว่าไม่มีลูกหรอกปีนี้ เสียเวลาไปแล้ว เช่นเมื่อเราปลูกมะม่วงถ้าตกเดือนมกรา กุมภา ยอดมะม่วงทู่ๆไม่มียอดนั่น ออกดอกแท้ ถ้าจบฤดูมกรา กุมภา มะม่วงออกยอดผลิใบออกมา ยอดอ่อนไม่มีทางจะเกิดลูกได้ ไม่แก่กล้า ชีวิตเราก็เหมือนกันถ้ามันอ่อนแอมันก็ไม่แก่กล้า ให้สมาธิเกิดดอกออกผล สุขเป็นสุขทุกข์เป็นทุกข์ เป็นความอ่อนแอ ถ้ามันเห็นสุขไม่เป็นสุขเห็นทุกข์ไม่เป็นทุกข์แก่กล้าขึ้น เมื่อแก่กล้าขึ้นก็ไม่เปรอะเปื้อนกลายเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา สุขเป็นปัญญา ทุกข์เป็นปัญญา ก็เลยได้ปัญญา ปัญญาเป็นผล ปัญญาน้อยๆเกิดเป็นศีล เกิดเป็นสมาธิ เกิดเป็นปัญญา ศีลก็กำจัดกิเลสอย่างหยาบๆได้ ปกติได้ ตาเห็นรูปปกติ หูได้ยินเสียงปกติ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสปกติไม่หวั่นไหว
นี่คือศีล ไม่ใช่สมาทาน ศีลสิกขา ศีลถลุง ศีลละกิเลส ศีลละเครื่องเศร้าหมอง ไม่ใช่ไปขอ ไม่ใช่เป็นพิธีกรรม เป็นการปฏิบัติ ในศาสนานี้มีศาสนพิธี ศาสนธรรม ศาสนพิธีมีแต่พิธีกรรม เป็นพหิทธา ธรรม ธรรมภายนอก มีแต่ภายนอก ถือบวชเป็นผ้าเหลืองถือบวชเป็นผ้าขาวภายนอก อัชฌัตตธรรมเป็นภายใน เว้น ภายในคือเห็น ไม่เป็น เนี่ยบวชแล้ว สุขไม่เป็นสุขไปแล้ว ทุกข์ไม่เป็นทุกข์ไปแล้ว ดำริออกไปแล้ว ออกไปแล้วโดยเนกขัมมะ ดำริออก ไป เห็นแล้วไม่เป็นเนี่ย ไปแล้ว เรียกว่า เนกขัมมะ ถือบวชเป็นอุบาย ภายในใครก็เป็นได้ เว้นชั่วทำดีได้ทุกคน มันหลง ไม่หลงก็ทำได้ไม่ต้องมีรูปแบบ นอกรูปแบบ จะเป็นเพศใด ลัทธิใด วัยไหน อันเดียวกัน มันเป็นอันเดียวกัน หลงก็คืออันเดียวกัน โกรธคืออันเดียวกัน สุขทุกข์อันเดียวกัน แต่บางคนเป็นหลง แต่บางคนความหลงของเขาไม่ใช่เป็นความหลงของเรา เราเป็นความรู้ของเรา บางคนเอาความหลงเป็นความหลง เอาความสุข เอาความทุกข์เป็นของตัวเอง แต่เราไม่เอาสุขเอาทุกข์ที่เขาเป็น มาเป็นตัวเราเป็นของเราเอง เราก็เห็นอย่างนี้ ก็ล่วงพ้นภาวะเก่า มาดูตัวเองอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม มีสิทธิเท่าเทียมกัน อย่าไปมีปมด้อย ท่านเป็นนักบวช เราเป็นฆราวาสไม่ต้องคิดแบบนั้น ท่านขาดี ฉันขามันขาดไม่ใช่คิดแบบนั้น มันเป็นรูปเป็นนามเหมือนกัน เป็นชาย เป็นหญิง ท่านเป็นคนหนุ่ม เราเป็นคนแก่ อย่าไปเอาแบบนั้นมาต่อรอง สิทธิของเราเวลาหลงเราไม่หลงได้ มีสิทธิเรื่องนี้ เวลามันโกรธเราไม่โกรธได้ เรามีสิทธิเรื่องนี้ ใช้สิทธิของเรา หรือว่าเห็นเนี่ย มันเป็นสากล เราจะบอกอย่างนี้ เราจะพูดให้ฟัง มันเป็นจริงอย่างนี้ มันหลงไม่หลงก็ได้ มันทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ มันโกรธไม่โกรธก็ได้ ให้เห็นอย่างนี้ ไปซะ พ้นไปซะ อย่าเป็นนี่ ขนส่งตัวเอง เห็นรูปเห็นนามตามความเป็นจริง เป็นอาการของรูปของนามตามความเป็นจริง เห็นรูปมันทำ นามมันทำ มันทำดี มันทำชั่ว ตามความเป็นจริงของการกระทำ การกระทำเป็นของจำแนกสัตว์ ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว ถ้าหลงก็ได้ความหลง ถ้ารู้ก็ได้ความรู้ ถ้าสุขก็ได้ความสุข ทุกข์ก็ได้ความทุกข์ ถ้าเห็นมันก็ไม่มีอะไร แค่พ้นไปแล้ว พูดเมื่อวานนี้ มรรคองค์สุดท้ายคือเห็น ละสุขละทุกข์เสียได้ จิตผุดขึ้น จิตเป็นเอก มีสติแล้วแลอยู่ ที่สุดมันเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้านิพพานที่ตรงนี้ ไม่มีสัญญา เวทนาก็ไม่มี สัญญาไม่มี เวทยิตนิโรธ ภาษาว่าอย่างนั้นคือ ไม่เป็นนี่แหล่ะคือ เวทยิทธิ สติที่มันไม่เป็นอะไรนี่ล่ะ เวทยิตนิโรธ นิโรธคือความหลุดพ้น เป็นที่สุดแห่งทุกข์แห่งภพแห่งชาติ สิ้นทุกข์ สิ้นภพ สิ้นชาติ ไม่เป็นน่ะมันสิ้นภาพสิ้นชาติ ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว มันเป็นทางไป การปฏิบัติธรรม การมาดูตัวเราได้บทเรียนจากตัวเรา เป็นพระสูตร พระสูตรคือกายคือใจเรานี้ เราได้ระเบียบแบบแผนจากกายจากใจนี้เรียกว่าวินัย เราได้ความจริงความเท็จจากกายจากใจเรานี้ เรียกว่า อภิธรรม ปรมัตถสภาวธรรม เจตสิก รูป นิพพาน นี่เป็นปรมัตถ์ มีจิตไหม มีรูปไหม จิตมันเจตสิก เจตสิกของจิตคืออะไร เหมือนฆ้อง มันอยู่เฉยมันก็ไม่ดัง เวลาเอาฆ้องไปตีมันจะดังไหม “แม่เพียร เอาค้อนตีฆ้องมันสิดังบ่?” ดัง บ่ดังจังใด๋ มันเปียงค่อยๆดัง “อธิบายความดังได้บ่?” “เพราะเอาค้อนไปตี” จิต เจตสิกคือมันคิดเป็น มันสุข มันทุกข์เป็น เรียกว่าเจตสิก กายมันร้อนมันหนาว เขาเรียกว่า อาการ เจตสิก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ปรมัตถสภาวธรรม เห็นเป็นธรรมชาติ เห็นเป็นอาการ ไม่ใช่ตัวใช่ตน เสียงดังของฆ้องไม่ใช่ฆ้อง เป็นอาการที่มันดังเกิดขึ้น คนที่เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นอาการ ไม่ใช่จิต ความดังไม่ใช่ฆ้อง เป็นอาการ มันมีจริงไหม ความดังอ่ะ มันจบเป็นไหม มันหาย เมื่อเช้าได้ยินไหม ตีสี่ได้ยินเสียงฆ้องไหม ได้ยินไหม? หลวงตาไม่ได้ยินเลย หูหนวก เดี๋ยวนี้มันดังไหม เสียงฆ้องน่ะ ดังไหม? ทำไมเสียงมันบ่ดังล่ะ? ก็บ่ตี ดังนั้นจิตเมื่อไม่คิดเมื่อไม่ใช้มัน ก็ไม่มีอะไร มันจะสุขจะทุกข์ก็เพราะมันมีอาการไปเคาะไปตีมัน สมมติอยู่ตรงนั้น
เมื่อตาเห็นรูปสมมติว่าชอบ เอ้า ดังขึ้นแล้ว ถ้าเห็นรูป สมมติว่าไม่ชอบ ดังขึ้นแล้ว มันก็หายไปอันความชอบความไม่ชอบน่ะ มันหายไปไม่ใช่ตัวใช่ตน เรานึกว่าเราชอบ บัญญัติ สมมติบัญญัติว่าชอบ สมมติบัญญัติว่าไม่ชอบ เมื่อสมมติบัญญัติว่าชอบว่าไม่ชอบ อุปาทานไปยึดเอา ว่าเราทำตามความชอบ ถ้าความรักเกิดขึ้นก็ทำตามความรัก ถ้าความโกรธเกิดขึ้นก็ทำตามความโกรธ เสียผู้เสียคนมามาก เช่นนางโมรารักโจร จันทโครพสามีตัวเองไม่รัก พอเห็นโจรสูงขาวกว่าจันทโครพ จันทโครพสู้กับโจร จนเหลือแต่หัวหน้าโจร นอกนั้นพ่ายแพ้ไปหมดแล้ว มาสู้กับหัวหน้าโจร โจรก็ล้มลง จันทโครพเหยียบไว้ ขอดาบจากนางโมรา คนสมัยก่อนเขาทำสงคราม เขาเอาดาบเอามีดออก ทำแต่ตัว พอโจรล้มลงจันทโครพขอดาบ เห็นว่าเป็นหัวหน้าโจรจะมาฟันคอโจรให้มันขาด ขอดาบจากนางโมรา นางโมราเห็นโจรสวยกว่าจันทโครพ สูงขาวเกิดรักโจรขึ้นมา คราวเดียวนั้น ตัดสินใจเลยยื่นดาบให้โจรเลย โจรก็ฟันจันทโครพตายไปเลย ทำไมถึงรักโจรทำไมไม่รักสามีของตนเพราะอะไร มันดังขึ้นมา เกิดความรัก นึกว่าเรา พอจันทโครพตายไป โมราก็ขอเป็นเมียของโจร โจรมันก็ด่าเอา อีชาติชั่ว ตั้งแต่ผัวมึงยังฆ่าได้ กูจะเอามึงเป็นเมียได้ไง ให้มึงตายอยู่ในดงในป่า นางโมราก็ตายอยู่ในป่าในดง จนตายกลายเป็นนางชะนี เท่าทุกวันนี้ เคยได้ยินเสียงชะนีร้องไหม สมัยบ้านเราอยู่ใหม่ๆ อู๊ด อู๊ด เสียงมันร้อง จันทโครพ จันทโครพ ตายลงในป่าเป็นนางชะนี ร้องไห้ตลอดภพตลอดชาติ เสียใจ จะเอาสามีคืนก็ไม่ได้แล้ว คอขาดเสียแล้ว ตัดสินใจทำตามความรัก ตัดสินใจทำตามความโกรธ เช่นก่องข้าวน้อยฆ่าแม่ หิวข้าว กินข้าวไม่อิ่ม แม่เอาก่องข้าวเล็กๆมาส่ง โกรธแม่ เพราะความหิวเกิดขึ้น อาจจะทำให้เกิดทุกข์เกิดโทษ ฆ่าแม่ตายไปเลย ฆ่าแม่ตายมากินข้าว ข้าวก็ไม่หมด พอกินข้าวไม่หมดเสียดายแม่ แม่ก็ตายไปแล้ว ถูกฆ่าไปแล้วเอาคืนไม่ได้ ไปดูจังหวัดยโสธร เห็นภาพก่องข้าวน้อยฆ่าแม่
นั้นล่ะเหมือนอะไร เราไปนึกว่าเราซะ เสียงฆ้องมันดังไปแล้ว มันก็จบไปแล้ว ไม่มี สมมติบัญญัติอุปาทานยึดเอา เมื่อเป็นอุปาทานก็ยึดมั่นถือมั่น ทำตามความยึดมั่นถือมั่น เป็นภพเป็นชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะทุกข์ เป็นภพ เป็นชาติหนึ่ง ตกนรกลงไป ร้อนใจลงไป เป็นทุกข์ลงไป ได้สวรรค์นิดหน่อยเป็นสุขขึ้นมาก็หายไปอีกแล้ว หมดไปอีกแล้ว มันอยู่ที่ไหนแน่ สุขทุกข์น่ะ มันไม่มี มันมีแต่ธรรมชาติเป็นอาการเท่านั้นเอง เป็นอาการของรูปของนาม ที่เห็นอย่างนี้เรียกว่าเห็นธรรม เรามาสอนกันแบบนี้มาศึกษาเรื่องนี้ต้องช่วยตัวเอง เนี่ยเห็นไหมอารมณ์นี่มันร้ายกว่าผี ร้ายกว่าเสือ เสือยังไม่เคยกินคนกัดคน แต่อารมณ์มันร้าย ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูก ฆ่ากันตาย อารมณ์เนี่ย อารมณ์ร้ายกว่าเสือ อาการเรียกว่า ธรรม เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เนี่ย หลักสูตรมันอยู่ตรงนี้ ไม่เห็นและก็ไม่เป็น ผ่านตรงนี้ ไขกุญแจแก้โซ่สี่ด่านนี้ให้ได้ มันจะไป เรียกว่าบวช เรียกว่า เนกขัมมะ ไปแล้ว พ้นไปแล้ว ออกไปแล้ว ขนส่งตัวเองไปแล้ว เป็นศาสนาแล้ว เป็นญาณแล้ว ปัญญาญาณแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแก่เรา จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ เราสวดธัมมจักร จักขุง อุทะปาทิ จักขุคือตาในเกิดขึ้น เห็นแล้ว จักขุคือดวงตา ตาในมาดูตัวเอง จักขุง อุทะปาทิ ดวงตาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญา อุทะปาทิ ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราไม่โง่แล้ว ได้ความสุข ความทุกข์เป็นปัญญา ความหลง ปัญหาเป็นปัญญา ไม่ใช่ปัญหาเป็นปัญหา ปัญหาเป็นปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา รู้แจ้ง อาโลโก อุทะปาทิ ความรู้แจ้งแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราไม่มืด เราไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยเห็นมาก่อน ท้าทายปัญจวัคคีย์ ในการเทศนาเรื่อง ธัมมจักกับปวัตตนสูตร พูดเรื่องนี้ เขาก็มาทำกันเรื่องนี้ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่เป็นไร เราไม่พูดให้ท่านมากราบไหว้เรา เราจะบอกอย่างนี้ พูดแล้วทิ้งเราหนีไปเลย เราไม่ต้องอะไรก็ได้ เราจะบอกอย่างนี้ ชีวิตเกิดมาร่วมโลกคนหนึ่ง ถือว่าบวชในพุทธศาสนา ศึกษาเรื่องนี้ อุทิศเรื่องนี้มา ทิ้งลูกทิ้งเมียมา คุ้มค่าไหม ไม่เสียเวลานะ จนบอกแม่เลยว่า แม่เลี้ยงลูกไม่เสียค่าน้ำนมหรอก เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงบอกเรื่องนี้ กระตือรือร้นมาก และไม่ยอมแก่ บอกเรื่องนี้ จะพูดให้ฟังแบบนี้ ทำช่วยอะไรก็ไม่ได้ เพียงแต่พูดให้ฟัง ให้ไปทำเอา สอนให้ทำเอา ไม่ได้สอนให้ท่านรู้นะ ใครก็รู้ได้ อย่ามาจำเอา อย่ามาศรัทธาอย่ามากราบมาไหว้อะไร มาอยู่นี้ก็มาอยู่เลย จะอยู่ที่ไหนก็อยู่กันไป จะกินข้าวก็ไปกินที่โน่น ถ้าไม่มีข้าวกินถาม อ.ตุ้ม อ.โน้ส อย่ามาถามหลวงตา ถามแม่ชีก็ได้ มีไหมข้าวมีกินไหมแม่ชี วันนี้จะมีไหม เขาก็ว่ามีอยู่เหรอ ไปคิดอะไร จะอยู่อย่างไร จะนอนอย่างไร ไม่ต้องคิด มาแต่มาทำให้เราพอใจแล้ว ที่ให้มีอย่างนี้ขึ้นมา ก็ต้องการอย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากมีที่นั่งแบบนี้ อยากให้คนมานั่งแบบนี้ อยากจะพูดแบบนี้ สุดความสามารถ สมปรารถนาของเราแล้ว เราอุตส่าห์อยู่ที่นี่มา รอคอยท่านทั้งหลายมาเกือบสี่สิบปี
แต่ก่อนเราอยู่คนเดียว เดี๋ยวนี้ก็มีผู้มาอยู่ ตายก็ไม่เสียดายชีวิต ได้บอกแล้วนะ ถ้าท่านทุกข์ก็ถือว่า ไม่ใช่ความผิดของเรานะ อย่าไปเว้าบุญไม่ช่วยเรา ศาสนาไม่ช่วยเรา พระสงฆ์ไม่ช่วยเรา อย่าไปคิดแบบนั้น ใครจะช่วยท่านได้ถ้าท่านไม่ช่วยตัวเองนะ ใครจะเก่งน่ะไม่มี มีแต่เรานี่แหล่ะ นี่เรานี่ ชี้มานี่ ถ้าเราหลง คนอื่นเขาไม่หลงหรือ ก็เราทุกข์คนอื่นเขาไม่ทุกข์หรือ ถ้าเราโกรธคนอื่นจะไม่โกรธหรือ อายไหม อายความหลงไหม ให้รู้จักอายความหลงบ้าง อย่าหน้าด้าน นั่งอยู่นี่ยังหลง คิดถึงลูกถึงเมีย คิดถึงคนเกลียดชัง คิดถึงคนรัก ไปโน้นอยู่ อายไหม ไม่ใช่ๆ สิทธัตถะนั่งอยู่ต้นศรีมหาโพธิ์ คิดถึงพิมพา เอ้าบ้านี่นา นี่มาบวชจนหัวโล้นแล้วมาคิดถึงลูกถึงเมียยังไง คิดลงไปในความมืดนี่ เมื่อความคิดมาปุ๊บ เห็นไหมพระพุทธรูป รู้สึกตัวขึ้นมา รู้ว่าอยู่นี่ คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก พอมันหลงปั๊บขึ้นมา ก็รู้ลึกซึ้งแล้วเรื่องนี้ ตรัสรู้กันมา ออกไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์รู้แล้ว ปางนี้มีไหม ศาลาหน้าไปดูปางนี้ อันปางนี้เป็นพระพุทธเจ้า ปางนี้สอนคนอื่นรู้เรื่อง ปางนี้เป็นพระพุทธเจ้า ปางทำอย่างนี้เป็นสัมมาสัมพุทโธ เรียกว่าแน่นอนแล้ว การตรัสรู้ของเรามีพระธรรมคำสอนเป็นไปเพื่อออกจากทุกข์ ปัญจวัคคีย์เป็นเชลยก็ห้าคนเรานี้ แน่นอนแล้ว เหมือนคนจีนมาพูดเรื่องสุคะโต แน่นอนแล้ว คนจีนเมื่อกลับไปบ้านมีคนถามว่า เป็นไงอยู่สุคะโต นี่อะไรก็ไม่รู้ เขาว่าอย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้า ไปดู พระพุทธรูปปางนี้อยู่ที่ศาลาหน้า หน้าปางนี้ ชนะมาร หน้าปางนี้ตรัสรู้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มีไหม มีเขียนไหม รู้สึกไหม รู้สึกไหม รู้สึกไหม รู้ไหม รู้ทุกคน ต้องขอใครไหม รู้นี่ ขอความรู้ หลวงตาเอามาให้ฉันด้วย ไม่มีทาง มีแต่ทำเอาเอง รู้เอง ไปหลงอยู่ที่ไหนกัน เวลามันหลงรู้ขึ้นมา มีสติ เรียกว่า ปฏิบัติธรรม บอกแล้วนะ ถ้าท่านทุกข์ไม่ทุกข์นะ ถ้าท่านโกรธไม่โกรธนะ ถ้าท่านหลงไม่หลงนะ อย่าทุกข์เพราะความทุกข์ อย่าหลงเพราะความหลง อย่าโกรธเพราะความโกรธ เปลี่ยนได้เนี่ย จนไม่มีเลย ไม่ได้แก่เพราะความแก่ ไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บ ไม่ได้ตายเพราะความตาย นี่คือชีวิตของเรา ชีวิตของเราคือไม่เป็นอะไร ถ้าเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่มีชีวิตเลย ชีวิตไปห้อยไปแขวนอยู่กับสุขกับทุกข์ ไม่ได้ ชีวิตต้องเป็นชีวิต นี่คือชีวิตชีวา มีชีวิตชีวา ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันตาย ชีวิตแบบนี้ มีสิทธิทุกคน เราจะไปเสียเวลาที่ไหน มาเถอะมาอยู่นี่ มาศึกษาแล้วนี่ แล้วไปบอกกัน เยอะแยะ
เรามีพี่ มีน้อง มีพ่อแม่ มีภรรยา มีสามี มีลูกมีหลาน ไปบอกเขา เวลาคนผิดอย่าไปเกลียดเขา ให้สงสารคนที่ผิด สงสารคนหลง เขาหลงเขาจึงทำไม่ดี ถ้าสอนให้เขาไม่หลง จะดีมาก เป็นบุญนะ ทำบุญแบบนี้พวกเรา เราไม่มีเงินมีทองไปสร้างโน่นสร้างนี่ หลวงตาถ้ามีเงินจะสร้างโรงพยาบาลที่นี่ ไม่มีเงินไปสร้าง ขอสร้างบุญเรื่องนี้ ถ้าท่านหลงขออย่าหลง ถ้าท่านโกรธไม่ต้องโกรธ เปลี่ยนความร้ายเป็นความดี เรียกว่าบุญแล้ว เปลี่ยนความทุกข์เป็นไม่ทุกข์เป็นบุญแล้ว เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธเป็นบุญแล้ว นี่ขอทำนี่ ถ้ามีบุญตรงนี้ ก็มีบุญเรื่อยไป สมัยหนึ่งกำลังจะได้โรงพยาบาลแล้ว สามสิบล้าน แต่ว่าตกไปซับใหญ่ แข่งกันสมัยก่อน ท่ามะไฟกับซับใหญ่ เราได้กิ่งก่อนซับใหญ่ ชัยภูมินี่ ท่ามะไฟเราเลยไม่ได้ มัวแต่ทะเลาะกันอยู่ ท่าหินโงมก็จะเอา บ้านเก่าก็จะเอา ท่ามะไฟก็จะเอา แย่งกันอยู่เลยไม่ได้อะไรเลย สมน้ำหน้ามันแย่งกัน เหมือนหญ้าสองกอง กองหนึ่งอยู่ทางนี้ กองหนึ่งอยู่ทางนี้ แต่ควายสองตัวผูกติดกัน ดันกัน ใช่ไหม ผูกคอติดกัน ตัวหนึ่งจะดันไปกินกองนี้ ตัวหนึ่งดันไปกินกองนี้ หญ้าก็อยู่ ดันไม่ถึง ดันกันอยู่ ใช่ไหม ทำอย่างไรจึงจะได้กินหญ้า จะทำไงถึงจะกินหญ้ากองนี้ได้ กินหญ้ากองนี้ได้ ควายสองตัวผู้ติดกันนี่มันดันกันยังไง ไม่มีทางได้กิน แต่ทำไงควายจะกินหญ้าได้ ควายสองตัว นี้ ดันจนเชือกขาดเลย มันไม่ขาดนะเชือก เชือกไนล่อนอย่างดี ถ้าดันมากจมูกมันจะขาดก่อน จะทำยังไง ควายจึงจะกินหญ้าสองกองได้ ควายสองตัวก็ไปด้วยกัน ไปกินกองนี้หมดแล้ว ก็มาด้วยกันมากินกองนี้ สามัคคีๆ ถ้าดันกันอยู่ก็ทะเลาะกันเพราะความดันกัน อย่าให้ความโกรธทะเลาะกัน ให้ความโกรธ โอยมันเสียใจนะ สองคนเดินทางไปชนกันปั๊บ ล้มลง ล้มลงลุกขึ้นมาต่อยกันเลย มึงกูทำมึง มึงกู มึงกู มึงผิดกูถูก มึงผิดกูถูก มึงผิดกูถูก มันไม่ได้ ลงไม่ได้ แต่ถ้าสองคนเดินไปชนกัน ล้มลงลุกขึ้นมา ขอโทษครับ ขอโทษครับ ผมผิดครับ ผมผิด ผมผิด ไม่ใช่คุณน่ะถูกผมผิด แย่งกันเป็นคนผิด ขอโทษกัน เจ็บไหมท่าน นิดหน่อย ท่านเจ็บมากไหม ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ดีด้วยกันไป ถ้ามึงผิดกูถูกมึงผิด ตีกันเลย ควายสองตัวแย่งกันถ้าอยู่ช่วยกันมีไหมทะเลาะกันเพราะความโกรธ แล้วเราอยู่ร่วมกันมีแต่ห่าแต่ผี ให้ตายไปแล้วมีแต่ของดีๆ มันแก้ไม่ได้ ไปด้วยกันไปด้วยกันสามัคคีกัน ไปนิพพานได้