แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การที่เรามาดูสิ่งเดียวกัน มาดูการแสดงโชว์ของชีวิตเรา มันโชว์หลายเรื่องหลายราวสารพัดอย่าง โชว์ความหลง โชว์ความสุข โชว์ความทุกข์ โชว์ความโกรธ กิเลสตัณหาต่างๆ สนุกดี สนุกทุกข์บ้าง สนุกหลงบ้าง มันหลงก็สนุกไป เห็นมัน โอ๊วๆ อื้อเอาๆๆ ก็เห็นของจริงอ่ะ
วันก่อนหลวงตาไปพูดถึงเรื่องลำดับการปฏิบัติธรรม มันโชว์ครั้งสุดท้ายคือ ขันธ์ห้า มันโชว์เหลือเกิน โชววว์ มันครองมา อย่างพระพุทธเจ้าทรงแสดงทรงสั่งสอน ให้สาวกกำหนด สาวกทั้งหลายกำหนดรู้อย่างนี้ นี่รูปเป็นไง เวทนาอนิจจา สัญญาอนิจจา สังขารอนิจจา วิญญาณอนิจจัง พระพุทธเจ้าทรงแสดงทรงสั่งสอนสาวกทั้งหลายเช่นนี้เป็นส่วนมาก สาวกของพระพุทธเจ้าก็รู้เรื่องนี้เป็นส่วนมาก อาตมาเห็นว่ารูปมัน มันแสดงออกมาเหมือนกับคนห้าคน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของกันและกัน แสดงมีบทบาทต่างกัน รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี นี่เป็นภาษาบาลี
รูปคือการสัมผัส รูปอันหนึ่งคือการฉิบหายเพราะร้อนเพราะหนาว รูปอันหนึ่งคือมันเกิดมันดับ ให้ทุกภพทุกชาติมาเป็นตัวตั้งตัวตี เวทนาคือการแสดงรสชาติ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง มีรสชาติ สัญญาคือเก็บงำเอามา มันไปแสดงอะไรก็ติดเรื่องนั้น สังขารก็เอามาลำดับลำนำอยู่เรื่อย เช่น เขาว่ากับเราๆ เขาทำอย่างนั้นเขาทำอย่างนี้ ควรที่จะเป็นอย่างนั้น ควรที่จะเป็นอย่างนี้ มันลำดับลำนำ สัญญาก็ มันก็ติดเป็น มันสภาพมันย้อมอะไรมามันก็ติด วิญญาณก็เก็บเอาไว้แล้ว ไม่ยอมไปไหนตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกข์จนตาย หลงจนตาย โกรธจนตาย โอ! พระพุทธเจ้ายังให้จำแนกออกว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง เห็นแค่เห็นเขาอยู่
แต่ก่อนเหมือนกับเราดูการแสดงกล มีรสชาติไปกับเขา เขาให้ไอ้ตี๋ไปเอาแป้งอยู่ร้านเจ๊กติ่งมาให้สักกระป๋องหนึ่ง เขียนชื่อนายตี๋ใส่กระดาษ จุดไฟ จุดไฟให้ไฟไหม้กระดาษแล้วหย่อนลงไปในกล่อง ปิดกล่องไว้ ไอ้ตี๋ไปแล้วๆ เอาแป้งบ้านเจ๊กติ่งมาแล้ว เอามาเปิดออก ไปเปิดดูเห็นแป้งเต็มกล่องกระดาษ (หัวเราะ) เอ๊อ! ก็มีรสชาตินะ แหม่มันทำได้ไง เล่นกล ตื่นเต้น พอมารู้แล้ว โอ๊ย! มันเป็นกระป๋องสองชั้น เปิดช่องหนึ่งก็จะมีควันไฟกระดาษไหม้ควันออกมา ฮ้า! มันก็เล่นกลน่ะ ไม่เป็นของจริง
ความทุกข์ไม่เป็นจริง ความโกรธไม่ใช่จริง ความหลงไม่ใช่จริง ความสุขความทุกข์ไม่ใช่ของจริง ความจริงคือความไม่เป็นอะไร เห็นเงื่อนไขของขันธ์ห้านะอย่างยอดเยี่ยมเลย จับได้ไล่ทัน ยอมรับสภาพความเป็นจริงของขันธ์ต่างๆ ก็เลยหยุด หยุด เก็บสิ่งเก็บของ หันหลังให้กัน เลิกรากัน นี่ หมายถึงวกไปวนมาเหมือนเช่นนั้น สนุกดีการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เลื่อนลอย ใฝ่ฝัน เพ้อฝัน เราก็เห็นอยู่แล้ว สนุกมันสนุกเห็นมันหลง สนุกสุข สนุกทุกข์ ถ้าเราดูเนี่ยมันจะสนุก ถ้าเราเป็นมันจะแสดงบทบาทร่วมไปกับเขา เราจะทำไงถึงจะมารู้รอบเรื่องนี้ เป็นศาสตร์แห่งความรู้ตื่นขึ้นมา จากสิ่งเหล่านี้ไป อย่าหมกมุ่นจนสิ้นภพ เสียภพเสียชาติเกิดมาเลยทีเดียว มีประโยชน์มากชีวิตของเราเนี่ย ไปพวกเรา พระพุทธเจ้าธงชัยพระอรหันต์ รัตนตรัยของเรา โชว์อยู่แล้ว อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอย
เราก็มีเพื่อนอยู่ อุ่นใจ พระรูปนั้นอยู่ตรงนั้น พระรูปนี้อยู่ตรงนี้ อุบาสกอุบาสิกาอยู่ตรงนั้นตรงนี้ มันอุ่นใจ เวลานี้เพื่อนเราคงจะเดินจงกรม เวลานี้เพื่อนเราคงจะทำสมาธิสร้างสติ เราอยู่ในสภาพเช่นใด เวลานี้เราหลง เพื่อนเราคงจะรู้สิ่งที่เราหลง เรามัวมาหลงความหลงอยู่นี่แหละ เพื่อนของเราเค้าไม่หลงแล้ว เราจะมาทุกข์อยู่นี่ เพื่อนของเราไม่ทุกข์แล้ว เค้าไปแล้ว อุปมัยอุปมาสอนตัวเองมันทำให้แกล้วกล้าขึ้นมา แก่กล้าขึ้นมา ไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด เพื่อนเราเชียร์เราอยู่อย่างน้อยก็หลายชีวิตอยู่ที่นี่ มันแก่กล้าแกล้วกล้า มีสติมีศีลมีปัญญามีสมาธิรอบรู้ ทำให้แกล้วกล้าขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดที่จะถอยหลังเดินหน้า มันก็มีเหมือนกัน บางครั้งมันก็เกิดปิติ เกิดปัสสัทธิในการแกล้วกล้าที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แกล้วกล้ามากทีเดียว ก็อย่าไปหลงจนไม่กินข้าวกินน้ำ บางทีมันไม่อยากกินข้าวเลย มันกลืนน้ำลายก็อิ่ม จะไปไหนไม่กลัวเลย ช้างก็จะไม่ทำลาย เสือก็ไม่กัด งูก็ไม่กัด
แต่ก่อนกุฏิ เบอร์กุฏิ 13 นี่อยู่ไกลที่สุด ทางก็ไม่มีหรอก เดินพอเท้าหลวมเท้าไป เตะป่าเตะตอไป ไม่ต้องใช้ไฟฉายคิดว่างูก็ไม่กัด กลางคืนก็เดินมาศาลาไก่ ทำวัตรตอนเช้า เดินไปเดินมากลางคืน ไม่คิดว่าแต่ก่อนงูก็มี เสือก็มี ช้างก็มี อย่างอยู่มหาวันภูหลงน่ะ ช้างก็ยังมี เสือยังมี ลิงนี่เป็นร้อยๆ พันๆ เวลาเราเดินผ่านไปมันหยอกล้อเราทำท่าทำทางก็คิดว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรที่น่ากลัว มันแกล้วกล้ามาก ความทุกข์ที่เราอ่อนแอ มันเข้มแข็ง ความหลงที่เราเคยหลงมันรู้แจ้ง ไม่มีอะไรที่เป็นพิษเป็นภัย อุปสรรคในการก้าวหน้าของเรา การปฏิบัติธรรมเนี่ย มันจึงเป็นสมบัติของเราแท้ๆ แม้แต่การเจ็บการป่วยก็แกล้วกล้า ไม่กลัว นี่ยังอยู่ในหู เห็นเด็กคนหนึ่งถูกงูกัด ไปเลี้ยงควาย อายุประมาณ ๑๑ ปี ฝนตกใหม่ ไปเลี้ยงวัว ปล่อยควายไปเลี้ยง วัดท่ามะไฟหวาน พอดีก็กบ สมัยก่อนมันมีสัตว์มีกบมีอึ่งมีอะไรเยอะแยะ พอดีกบมันกระโดดลงในน้ำ บวกน้ำขังใหม่ มันกำลังร้องกำลังผสมพันธุ์กัน ฝนตกใหม่ อึ่งก็ร้องกบก็ร้อง เด็กก็ลงไปงมเอากบที่มันโดดลงไปในน้ำ พองมไป งมไป งูมันกัดมือ เด็กคนนั้นก็ขึ้นจากน้ำ งูก็วิ่งตามอีก วิ่งไปจากน้ำมาตามเด็กคนนั้น แล้วก็เข้ารู เด็กคนนั้นก็เจ็บปวดร้องไห้ หามกันเข้ามาบ้าน เด็กคนนั้นร้องว่า ผมไม่อยากตายๆๆ เอาผมไว้ด้วยๆๆ แล้วไม่มีใครพูดซักคำว่าจะให้เด็กไปยังไง ทำยังไง เวลานั้นเค้าต้องการอะไร มันจึงร้องอย่างนั้นขึ้นมา
คนเจ็บคนป่วยหลายชีวิต กลัวตายกลัวเจ็บ เพราะอย่างนั้นเรานี่ควรที่จะมีอะไรที่มันแกล้วกล้าเรื่องนี้บ้าง แล้วไปช่วยคนพวกนี้ โดยเฉพาะพระสงฆ์เรา หรือทุกคนที่นี่ให้มีกิจการอันนี้ขึ้นมาไปช่วยคนเจ็บ คนป่วย คนจะตาย มีปัญญาไหม จะทำอย่างไร เคยไหม เคยเจ็บ เคยพ้นจากความเจ็บอย่างไง เคยทุกข์ เคยพ้นจากความทุกข์ได้ยังไง เคยกลัว เคยพ้นจากความกลัวได้ยังไง การเกิดแก่เจ็บตายมันพ้นไปได้ยังไง มันมี พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเราเห็นเรื่องนี้จริงๆ เราจึงจะมายอมให้สิ่งเหล่านี้โชว์อยู่เหรอ เราจะต้องกลัว คิดถึงความเจ็บก็อ่อนแอไปเลย คิดถึงความแก่อ่อนแอ คิดถึงความตายก็อ่อนแอไป ไม่ใช่ความอ่อนแอเป็นกีฬาของพวกเรา ธรรมะเนี่ยจึงท้าทายกันเหลือเกิน
พวกเรานะ นานเหลือเกินที่เราเวียนว่ายอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ อย่างที่เรากรวดน้ำนะ ภพน้อยภพใหญ่ เรื่องเดียวๆ เกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก รักแล้วรักอีก ชังแล้วชังอีก เสียใจ ดีใจ เรื่องเดียว มันไม่ใช่ที่ที่จะต้องมาข้องอยู่ มันไปพ้นได้ การปฏิบัติธรรมเนี่ย จึงขวนขวายได้ด้วยความสุขุมด้วยความสนุกสนาน การปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องยากลำบาก จะได้ไหมหนอ กลัวจะไม่ได้ ทำได้ไหมหนอ กลัวทำไม่ได้ จะผิดจะถูกจะสุขจะทุกข์ไงจะทนได้หรือเปล่าไม่ต้องอยู่ตรงนั้น ภาวะรู้สึกตัวนี่มันเหนือแล้ว พลิกมือขึ้นก็รู้ มันมาเห็นตัวรู้แล้ว ดำเนินไปในทางนี้ไป รู้ไปๆๆ มันก็ผ่านตัวหลงนี่แหละตัวรู้ ไม่ได้ไปอยู่กับที่หรอก รู้เข้าไปก็ผ่านตัวหลงไปเรื่อยไป ไม่ใช่ตัวหลงอยู่ข้างหน้า ตัวหลงอยู่ข้างหลังเรื่อยไป เหมือนเราผ่านต้นข้าวที่กำลังออกรวง เราเดินผ่านป่าข้าวที่ออกรวงในแปลงนาของเรา รวงมันสวนกันเหมือนนิ้วมือเราไขว้กันอย่างนี้ เราก็แหวกไป แล้วเวลาแหวกไปก็เอารวงข้าวไว้หลังก็ผ่านไปๆ ถ้าแหวกไปตรงไหนอันที่อยู่ข้างหน้าเราก็อยู่ข้างหลังเรา ฉันใดก็ดีการปฏิบัติธรรมมันต้องเห็นเรื่องอันนี้ล่ะ ความทุกข์ก็เห็น อ้าวรู้แล้ว ผ่านไปแล้ว มันอยู่ข้างหลังเรา ความสุขก็เห็นผ่านได้แล้ว ความรู้ก็เห็นความหลงก็เห็น ผ่านได้แล้ว มันอยู่ข้างหลังเรา มันเป็นอย่างนี้การปฏิบัติ หลงกี่ครั้งผ่านได้ทุกครั้ง หลงหนึ่งครั้งผ่านความหลงได้หนึ่งครั้ง เพราะอะไร เพราะรู้ มันทุกข์หนึ่งครั้ง ผ่านความทุกข์ได้หนึ่งครั้ง มันโกรธหนึ่งครั้ง ผ่านความโกรธได้หนึ่งครั้ง ร้อยครั้งพันหน ผ่านได้ตลอด ไม่มีอะไรขวางกั้นได้
ตัวภาวะที่รู้มันเป็นศาสตร์แห่งความตื่น ความรู้ ไม่เหมือนเราเดินทางทางโลก ทางธรรมมันผ่านได้ เป็นทางผ่าน หลุดพ้นวิมุตนี่เป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตเรา หลุดพ้นไป พ้นจากความหลงเล็กๆ น้อยๆ ไป อย่าไปประมาท หลงสุขหลงทุกข์ แม้น้อยก็มีผลมากต่อไป พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับน้ำหยดลงใส่ตุ่มทีละหยด ตุ่มนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำฉันใด ปฏิบัติประมาท ไม่ประมาท ถ้าประมาทก็เหมือนน้ำหยดลงในตุ่มก็เต็มไปด้วยน้ำ ประมาทในความหลง ความหลงก็มากขึ้น มากขึ้น ไม่ประมาทในความไม่หลง ความรู้ก็มากขึ้น มากขึ้น มันเป็นการกระทำ มันเป็นกรรมที่จำแนกได้จริงๆ กรรมฐานเนี่ย ไม่มีวิธีอื่นใดที่เราจะต้องศึกษาเรื่องนี้ นอกจากเรามาต่อเอา มาจุ่มเอา กับกายเรา กับใจเรา มันจะแสดงให้เราในทุกฉาก จุ่มเอาความรู้ จุ่มชิมความหลงดู มันเป็นยังไง มันก็รู้ได้ มันก็เห็นรสเห็นชาติ รสความหลงเป็นอย่างไง รสความรู้เป็นอย่างไง เราก็ตอบได้ ความหลงเป็นธรรมไหม ความรู้เป็นธรรมไหม เราก็ตอบได้ ความโกรธเป็นธรรมไหม ความรู้เป็นธรรมไหม ความอะไรต่างๆ มันตอบได้ ไม่ต้องมีคำถามใดๆ การปฏิบัติธรรมเนี่ย การศึกษาธรรมะมีแต่คำตอบ เราก็ตอบไปเรื่อยๆ ไป หลุดเอาเอง พ้นเอาเองไปเรื่อยๆ ไป สิ่งใดที่มันไม่พ้นก็เป็นเรื่องที่สนุกไป สนุกกับเรื่องนั้นไป เช่นเราทำงาน ตรงไหนมันผิดเป็นศิลปะขึ้นมา ตรงไหนมันถูกก็ชำนาญไปเรื่อยๆ ศิลปะในความผิดมันก็ทำให้มีสติ
เราทำงานใดก็ตาม เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นนายช่าง เป็นคอมพิวเตอร์ พิมพ์ดีด หลวงตาเห็นอาจารย์ไพศาลนี่พิมพ์ดีด สมัยก่อนไม่มีคอมพิวเตอร์นะท่านก็เป็นนักเขียน นักแสดง ท่านก็ไม่ต้องดูหรอกมือนี่ ต๊อกแต๊กๆ ไปตามเรื่องของท่าน เวลามันผิดท่านก็รู้ ก็กลับมาแก้ใหม่ ตรงผิดเนี่ยมันเด่น อันตรงถูกไม่เป็นไรหรอก มันเด่นกว่าตรงที่ถูก ตรงรู้มันไม่ค่อยเด่น ถ้าตรงที่มันหลงนะมันเด่น เหมือนแสงสว่างมันเกิดขึ้นที่ใด อันมืดมันเห็นง่าย ถ้ามันมืดด้วยกันมันมองไม่เห็น ความรู้ก็เหมือนกัน เห็นความมืดเห็นความหลง มันจึงเด่นในทิศทางของความรู้ ความหลงก็เด่นในทิศทางของความหลง
เวลาเราเดินจงกรมเนี่ย ทางเราเดินจงกรมเนี่ย ถ้างูหรือใส้เดือนขึ้นมาขวางทาง มันเด่นมันก็เห็นได้ มันไม่ใช่ทาง ตัวรู้มันเป็นทาง ความหลงไม่เป็นทาง มันก็เด่นเห็นไปเรื่อยๆ ไป สมัยก่อนเดินจงกรมเนี่ย ทางเดินจงกรมต้องตกแต่งมันเหมือนมันทาน้ำมันไว้เพราะเราเดินทุกวัน อ้าวใส้เดือนขึ้นมา แล้วไม่มีแสงไฟ ตาก็ยังดี สมัยก่อนเป็นหนุ่มก็มองเห็นได้ เพราะมันเป็นเงามืด ไม่เหมือนทาง เหมือนกับเงาสว่าง เหมือนกระดานเราเนี่ยมันสว่าง อะไรมาขวางอยู่นี่เราก็เห็น อันเห็นอยู่นี่มันปลอดภัย มันหลุดจากความมืดได้ นี่ก็เหมือนกัน การปฏิบัติธรรม ประสบการณ์เราเอง บทเรียนเราเอง ไม่ใช่คิดหาคำตอบ การคิดหาคำตอบไม่เป็นสัจธรรม คิดได้ แต่ว่าคำตอบที่เป็นสัจธรรมต้องไปจ๊ะเอ๋กัน พูดว่าจ๊ะเอ๋ คนหนึ่งจะเข้าประตู คนหนึ่งจะออกประตูมา พบกันที่ตรงนั้น สติเหมือนกับทวารบาล เพราะประตู ความหลง ความสุข ความทุกข์ ออกมาจากประตู ในกายในใจเรา สติเฝ้าอยู่แล้ว พอความหลงเกิดขึ้น จ๊ะเอ๋กัน ความทุกข์เกิดขึ้นจ๊ะเอ๋กัน ความโกรธเกิดขึ้นจ๊ะเอ๋กัน เพราะหนึ่งเป็นเจ้าของ อันหนึ่งไม่ใช่เจ้าของ เหมือนเรามีทรัพย์สมบัติ แม้แต่เด็กน้อย ลูกของเราเล็กๆ ถ้ามันอยู่บ้าน โจรก็ไม่กล้าไปลัก เพราะมันเห็นเจ้าของ มันก็มีธรรมชาติเหมือนกันนะ อะไรเป็นเจ้าของอยู่ อย่างที่เราเมื่อวานซืนนี้ ไปทำรางน้ำฝนที่วัดภูเขาทอง เราก็ขึ้น เอาม้าขึ้นไปทำรางน้ำฝน แตนมันบินมาชนเรา แต่มันไม่ต่อย โอ๊! ขอบคุณมัน โอ๊! มันไม่ต่อย โอ้! มันอยู่นี่เคารพเขา หาวิธีอื่น ก็บอกพระ อย่าไปไล่มันนะ ให้มันอยู่นี้ มันจะหมดพันธุ์แตนแล้วคนฆ่าคนทำลาย ตัวแตนตัวต่อนี่มันทำลายด้วงในอ้อยได้ดีกว่ายาชนิดอื่น ไม่อยากไปทำลายมัน จะให้มันอยู่เราก็หาวิธีไม่ให้มันกระทบกระเทือน เราก็ทำได้ เคารพเขา ถ้าไม่เคารพกันก็ปะทะกัน เหมือนหลวงปู่เทียนพูดว่า เคารพขี้ไก่ เอ้าเคารพขี้ไก่ยังไง อย่าไปเหยียบมัน มันเหม็น ถ้ามันเหยียบมาเหม็นแล้ว ไปนั่งอยู่กับใคร เขาก็ต้องร้องว่า โอ๊ยเหม็นขี้ไก่ๆ มันติดเหมือนกันนะ ความทุกข์ของคน ความชั่วของคน ไปย้อมมาเลย หน้าบูดหน้าบึ้งเลย ไปย้อมขี้ไก่มาแล้ว หน้าบึ้งๆ บูดๆ คนอื่นเห็นก็เหม็น ก็ไม่อยากเข้าใกล้ หลวงพ่อพวงถ้าหน้าบูดๆ ผมก็ห่าง ขี้ไก่ เคารพขี้ไก่ คือความชั่วทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเนี่ย บางทีเราก็ไม่รู้จักเลือกเลย บ้าหอบฟาง เอาตะพึดตะพือไป การปฏิบัติธรรมนั้นมันเป็นสิ่งที่เลือกได้นะ
ชีวิตของเรามันประเสริฐจริงๆ นะ แต่ว่าอย่าไปติดอะไร มันสุขก็อย่าไปติดสุข มันรู้ก็อย่าไปติดรู้ มันสงบก็อย่าไปติดความสงบ มันแสดงอะไรก็ตามอย่าไปติดมัน ไม่ต้องติดอะไรเลยเราน่ะ ไม่ต้องติดอะไร เนื้อดี เนื้อศีล เนื้อธรรม เป็นเนื้อดี ถ้าเป็นผ้าเนื้อดี เพราะงั้นการแสดงในชีวิตของเรามันมีบทบาทหลายอย่าง เอาให้มันจบซะ เห็นทุกแง่ทุกมุม ความสุขก็เห็น ความทุกข์ก็เห็น บัญญัติก็เห็น สมมุติก็เห็น ปรมัตถสัจจะก็เห็น ศีลเห็น สมาธิเห็นปัญญา มันเป็นสมบัติของเราสิ่งเหล่านี้น่ะ มันแสดง หลวงตาเคยไปดูการแสดงสอนธรรมที่สิงคโปร์ ไปกับพระฝรั่ง เป็นเพื่อนกันไปด้วยกัน แต่ก่อนพระฝรั่งก็อยู่นี่ด้วยกัน ก็ชาวสิงคโปร์พาเราไปเที่ยว ไปทุกที่ทุกทางในประเทศสิงคโปร์ ตอนค่ำมาก็พาพวกเราไปนั่งอยู่ มันเป็นเวทีเหมือนการไปดูการแสดงอะไรต่างๆ เอ๊า! พวกคนสิงคโปร์มันไม่รู้ว่าเราเป็นพระหรือ มันจะพามาดูละครอะไร การแสดงอะไร ดนตรีอะไร เห็นแต่ลำโพงเห็นแต่อะไรที่เค้าตั้งไว้บนเวที ก็ถามพระฝรั่ง เอ้า! เค้าพาเรามาที่นี่ทำไม ก็ไม่รู้ ก็ดูก่อน ไม่ใช่ว่าเขาจะพาเรามาดูการละครการแสดงดนตรี เพลงอะไรทำนองนั้นเหรอ? ดูก่อนมันจะคืออะไร ดูแล้วในเวทีก็ไม่ใหญ่โต ไม่มีผ้าฉาก เวทีกลางแจ้ง มีแต่ลำโพงตั้งอยู่ พอถึงเวลาคนก็มานั่งๆๆๆ เต็มเวที ถึงเวลาเค้าเปิดเพลงขึ้น การแสดงบนเวทีเป็นน้ำ เห็นน้ำเต้นรำไหม เอ๊อ! มันเต้นรำ เกี้ยวกันจูบกันเหมือนคนเลย สีสันต่างๆ สวยงาม ภาพต่างๆ เราไม่เคยเห็น พอเค้าจบไปคนดูก็ตบมือ ให้เกียรติน้ำ เค้าก็แสดง เค้าก็หัวเราะกัน เราก็ดู โอ๊! มันแสดงอะไรที่มันเป็นภายนอก แต่การแสดงภายในของเรานี้ มันจริงที่สุดเลย เราจึงมาให้มันรู้เรื่องรู้ราวของเรานี่ เหมือนพระพุทธเจ้าว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว กิจของเราถึงแล้ว ซึ่งสภาพอะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป ออกจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าครั้งแรกที่สุด
อย่างเราสวดเมื่อกี้นี้ จิตของเราถึงแล้ว ซึ่งสภาพอะไรปรุงแต่งอะไรไม่ได้อีกต่อไป แต่ก่อนมันมี คือนิพพาน มันมีไปนะ แต่นี่เค้าลบนิพพานออก ก็ผิดอ่ะ จิตของเราถึงแล้ว ซึ่งสภาพอะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันได้เห็นแล้วถึงความสิ้นไปแห่งตัณหามันจะคือพระนิพพาน ไปถึงตรงนั้นนะ เดี๋ยวนี่ไม่มี ไม่รู้ว่าใครกลัวนิพพานไปตัดออกซะ เราก็สวดเฉพาะสิ้นไปแห่งตัณหาเท่านั้น หลวงพ่อก็เสียดาย หลวงตาเสียดาย คือถึงพระนิพพาน พอจบตรงนั้นก็หยุดทำวัตร จบทำวัตรเช้าเพียงเท่านี้ แหมมันสุดซึ้งเหลือเกิน แต่ก่อนเราว่าอย่างนั้น แต่ก่อนเราเป็นผู้นำทำวัตรสวดมนต์ เอาบทนั้นมาสวด บทไหนที่มันควรจะลง ลงอย่างงดงามเรื่อยๆ ไป ก็เป็นการช่วยเรา เคลียร์เรา เอาพระสูตรมาเคลียร์เรา เป็นสมบัติของพวกเรา ไม่จนหรอกพวกเราน่ะ อยู่คนเดียวก็ไม่จน อยู่ที่ไหนก็ไม่จนเลย จนในคุณธรรม จนในเรื่องที่จะหลุดพ้น ไม่มีจนเลย คนหลงคือคนจน ไม่มีทางไป คนรู้คือคนไม่จน ไม่จนเลย นี่คือสมบัติของพวกเรา มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เราจะไปจนอันนี้ทำไม มันเหมือนทรัพย์สินเงินทองต้องอาศัยเหตุปัจจัยภายนอก ทำไร่ต้องอาศัยแผ่นดิน น้ำฝน เมล็ดพืช เครื่องไถ เครื่องกล้าหว่าน ทำนาก็อาศัยทุ่งนา น้ำฝน คราดไถ เมล็ดพืช ดูแล ต้องรอเป็นครึ่งปีจึงได้ผล บางทีก็แล้ง บางทีก็ท่วมไม่ได้ผลเลย เสี่ยง
การมาสร้างมรรคสร้างผลนี่ไม่ต้องเสี่ยงเลย ทันที ปัจจัตตังทันที พลิกมือขึ้นรู้ทันที ไม่หลงทันที เมื่อมันหลง รู้สึกตัว ความหลงหมดไปทันที ความรู้มีขึ้นมาทันที นี่สารพัดนึกจริงๆ การปฏิบัติธรรมเป็นกอบเป็นกำขึ้นมา ไม่ใช่เลื่อนลอย ไม่ใช่ไม่มีอะไร มันมีเดี๋ยวนี้ รู้เดี๋ยวนี้ ความหลงก็หมดไปเดี๋ยวนี้ ความทุกข์หมดไปเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าเสี่ยง มันไม่ฉิบหายเพราะแล้งเพราะท่วมอะไร มันเป็นได้ มันทำได้ มันทันอกทันใจเหลือเกินไม่มีสิ่งใดที่ทันใจเท่ากับสร้างมรรคสร้างผล ชีวิตของเราเพื่อการนี้โดยตรง อันอื่นเป็นอดิเรก งานที่เราเป็นหน้าที่ของเราคือสร้างตัวนี้ขึ้นมาให้มันมีซะจะได้อยู่เหนือโลก ถ้าไม่มีสมบัตินี้มันจะอยู่ในโลก โลกทับถมไปเรื่อยๆ ไป จึงอยากตะโกนแรงๆ ว่า เนี่ย พระสูตร พระธรรมคำสอนเนี่ย มันเป็นสมบัติของเรา หลายๆ อย่างเอามาเป็นเครื่องมือเพื่อความหลุดพ้น พระพุทธเจ้ามองบอกพระสงฆ์ว่า เอาใบไม้บ้าง เอาน้ำไหลบ้าง เอาท่อนซุงบ้าง พระองค์อาจจะพาพระสงฆ์ไปนั่งอยู่แม่น้ำเนรัญชรา แม่น้ำอะไรต่างๆ เห็นท่อนลอยมาตามลำน้ำ พระพุทธเจ้าก็เปรียบเทียบ ดูพระสงฆ์ ดูท่อนซุงมันลอยตามน้ำมา ท่อนซุงบางท่อนเกยฝั่งซ้าย เกยฝั่งขวา ท่อนซุงท่อนนั้นก็ไม่ถึงที่สุดแห่งสายน้ำ เกิดมารเอาไป ยกขึ้นไปชำแหละไม่เหลือเป็นท่อนซุง ท่อนซุงท่อนใดติดฝั่งซ้าย ติดฝั่งขวา มันก็ไม่ถึงที่สุด การปฏิบัติธรมมันเป็นเอียงไปไหลไปสู่มรรคสู่ผล ถ้าไปติดฝั่งซ้ายคือเสียใจ ลบออก ฝั่งขวาคือดีใจ ฝั่งซ้ายคือผิด ฝั่งขวาคือถูก ฝั่งซ้ายคือทุกข์ ฝั่งขวาคือสุข มันเป็นฝั่งซ้ายฝั่งขวา มันเป็นบวกเป็นลบ ต้องลอยไปสิ พระสงฆ์ทั้งหลาย อย่าไปติดฝั่งนะ ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย พระบางองค์บางรูปเนี่ยบรรลุธรรมเลย เห็นท่อนซุงไหลมา บางรูปเห็นใบไม้ร่วงลงมาติด บรรลุธรรมแล้ว มองชีวิตก็ อ๋อ! มันก็เป็นเช่นใบไม้มันหล่นลงมา เมื่อดูตัวเอง
แม้แต่ปิงคิยะพอเห็นโกนผมบวชทีแรก โกนผม ผมตกลงมา เห็นผมตกลงมาบรรลุธรรมแล้ว นอกรูปแบบเยอะแยะการบรรลุธรรมสมัยครั้งพุทธกาลเอามาสอน บางทีพระพุทธเจ้าอยู่ในป่า สอนพระสงฆ์เอาเยี่ยงกวางบ้าง เยี่ยงไก่ป่าบ้าง ดูสิพระสงฆ์ กวางมันเดินหากินมันเป็นไง มันไม่ใช่รุดๆ ไปเหมือนวัวเหมือนควายเรา ควายเรา ทางอยู่ไหนมันวิ่งไป แต่กวางไม่ใช่วิ่งตามทาง มันจะเดินไปตรงโน่น เฝ้าดูไปโน่น เดินไปตรงนี้ก็ดูไปทางนี้ เดินไปทางโน้น ไม่เหยียบทางนะ มันไม่เหยียบทาง มันเดินก้าวไปโน้น เดินก้าวไปนี่ไป ภิกษุทั้งหลายดูกวางนั้นเดินหากิน มันมีสติ ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด มันรู้นะ
หลวงตาเคยไปอยู่นิวยอร์ค ไปนั่งทำสมาธิ ทำจังหวะเหมือนเราเนี่ย ไปท้าทายความหนาว ไปอาบ สโนว์ลองดูมันจะหนาวขนาดไหน ตี 4 ตี 3 เนี่ย ไปนั่งสร้างจังหวะ ใส่ถุงมือ ใส่ถุงเท้า ใส่หมวกครอบเข้าไป ห่มผ้าจีวร ไปนั่งอยู่ แต่ก่อนเราก็สีเหลืองพอนั่งไปนานก็เป็นสีขาว น้ำแข็งเกาะลง พอสว่างมาซักหน่อย กวางป่าเดินมา มันเดินเป็นจังหวะนะ มันมีลูกอ่อน เดินมาข้างหลัง พอมันเดินมา มันก็มองหน้าขึ้นไปดูลูกมัน แล้วก็เดินมาอีก ลูกมันก็ไม่ใกล้แม่นะ มาเห็นเรามันก็มองเรา เราก็นั่งอยู่ไม่กระดุกกระดิก พอมองเรามันก็เดินเข้ามา มันอาจจะเอะใจว่าอะไร มันก็เดินเข้ามาเอาจมูก มันเดินเข้ามาหาทีแรกมันกลับมองลูกมัน อย่ามานะ มันคล้ายๆ บอกอย่างนั้น อะไรนี่ให้แม่ดูก่อน แล้วมันก็เด่จมูกมาสูดหน้าเรา เราก็ปิดหน้าส่วนนั้น แต่ว่าใบหน้ายังเห็นอยู่ มันก็มาอยู่ตรงหน้า หลวงตาก็ ฟู่ เป่าปากน่ะ เค้าว่ากวางฟันมันคมนะ จะกัดจมูกเรา เราเลย ฟู่ มันก็ถอยออกไป มันก็บอกลูกว่า ไป แม่ไปทางนี้ โน่นไปละ เดินไป อ๊า! พระพุทธเจ้าฉลาดเหลือเกิน เอาเยี่ยงของกวางป่ามาสอนพระสาวกทั้งหลาย ก่อนจะพูด ก่อนจะทำ ก่อนจะคิด มีสติก่อน รู้แล้วรู้สึกตัวค่อยพูด เวลาไม่รู้ตัวอย่าพูด ต้องหัดตัวเอง แต่หัดแล้วมันชำนาญนะ ต่อไปพอสายมา มันก็ไปแล้ว พอสายกลับมา มาอีกละ ก็มายืนให้ลูกกินนม มันเป็นฝั่งสระขอบสระมันสูงขึ้นมา ข้างล่างมันก็เป็นเนิน มันมาอยู่ข้างหลังเรา มันก็ให้ลูกกินนม พอลูกกินนม ลูกมันนอนลง พอลูกมันนอนลงมันก็รีบไปเลยคราวนี้ ส่องมา หนีจากลูกไปเลย เอ๊า! กวางตัวนี้มันทำไมทิ้งลูกหนอ
แต่เคยเป็นเด็กเลี้ยงวัวสมัยก่อน วัวนี้มันออกลูกใหม่ ทางเข้าบ้านเป็นเลนเป็นโคลน มันไม่สามารถจะพาลูกเข้าบ้านได้ บ้านเมืองสมัยก่อนไม่มีการพัฒนา มีเลนมีโคลน ถึงคลองท้องวัวท้องควาย ทีนี้วัวแม่ลูกอ่อนมันเอาลูกมันไปนอนในป่า แล้วมันก็ทิ้งลูกมาอยู่บ้าน ลูกมันก็นอนอยู่ในป่า พอปล่อยไป เราก็มาอยู่บ้านไม่เห็นลูกวัว ก็บอกว่าซ่อนในป่า เอ๊ะ! มันซ่อนไว้ยังไงมันไม่ห่วงลูกเหรอ มันมีวิธีอะไรก็ไม่รู้ เสือก็มี หมาป่าก็มี ทำไมไม่มากัดลูก มันมีอะไรเนาะ? มันดีกว่าเราไหม เราสามารถลูกน้อยนอนในป่าได้ไหม มดจะเจาะ อะไรจะกิน ลูกวัวตัวเล็กๆ นี่ไม่เป็นไร พอไปปล่อยไป วัวตัวนั้นเลี้ยงไปมันก็ไปกับหมู่ พอพบไปเห็นตรงนั้นมันวิ่งไปหาลูกมันเลย ลูกก็ลุกขึ้นจะกินนม ตามลูกไป ค่ำมาอีกไปเสี่ยงเอาอีก อันกวางตัวนั้นเอามา เอ๊อ! มันอาจจะเหมือนเราเลี้ยงวัวสมัยก่อนบ๊อ? มาเอาลูกไว้นี่ละ เลยถึงเวลามาฉันเช้า ก็มาฉันเช้า ก็เลยไปเป็นเพื่อนของกวางน้อยตัวนั้น กลัวหมาป่า หมาป่าก็เยอะนะสหรัฐน่ะ ตัวใหญ่เลยนะ หมาป่ามันจะเข้าทำไงน้อ? เราก็เลยไปนั่ง เดินจงกรมเป็นเพื่อนกวางน้อย ตลอดวันนะ ค่ำมาๆ ก็ยังไม่มาแม่กวางน่ะ เอ้า! มันจะทำไง บ้าหรือเปล่าน้อ แม่กวางตัวนี้น้อ ก็นั่ง จะทำไงทีนี้พอค่ำมา ก็วืบๆๆ มา มายืน ลูกมันก็ลุกขึ้นมากินนม พาลูกไปเลย โอ๊! เหมือนกับเราเลี้ยงวัวสมัยก่อน อันนี้สัตว์ป่านะ บางครั้งมันก็มีอะไรที่น่าศึกษา
พระพุทธเจ้าจึงเปรียบเทียบไก่ป่า กวางป่า แย้ มันเวลาออกหากิน มันโผล่หัวขึ้นมาปั๊ป มันก็มองหน้ามองหลัง จะไปทางไหนมันก็ไป ไปแล้วก็กลับมารูของมัน ชีวิตเรามีบ้านนะ อย่าไปตะพึดตะพือ กลับมาหาความรู้สึกตัวเรา กลับมาๆๆๆ แต่ไก่รุ่นนี่ติดบ่วงนะ ไก่จ่าไม่ติดบ่วง รู้จักไก่จ่าไหม หางมันแซมมันย้อยลงมา ถ้าไก่รุ่นๆ เป็นจรูด ติดบ่วงดี เดินไปไหนรุดๆๆ พวกนายพรานทั้งหลายไปดักบ่วงได้ไก่รุ่น ไก่หนุ่มๆ สาวๆ มันติดมา ไก่จ่านี่มันเคยมาแล้ว เคยรู้ เคยหลงมาแล้ว ใครเคยรู้ เคยหลง เปลี่ยนความหลงเป็นตัวรู้ เรียกว่าจ่าแล้ว หัวหน้าแล้ว ถ้าใครหลงก็ยังอยู่นั่นแหละ ประมาทอยู่ดื้อด้านอยู่ ไม่เ