แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงตาเป็นผู้พูด ท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟัง แล้วนำไปทำให้มันมี สิ่งที่ควรจะมี
สิ่งที่ไม่ควรมีให้มันหมดไป ให้ทำได้ ปฏิบัติได้ ซึ่งความรู้ทำให้เกิดขึ้นมาก ๆ
ความหลงให้หมดไปมาก ๆ เรียกว่าปฏิบัติ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้
หัวหน้าโจกมันอยู่ที่นี่ ตัวสมุทัย ตัวสังขาร คือตัวหลง ถ้าจะทำที่เหตุตรงนี้มันก็มีผลเกิดขึ้น ถ้ามีหลงมันก็เป็นไปในทางหนึ่ง ถ้าไม่รู้มันก็เป็นไปทางหนึ่ง ทางหลงไปสู่อบาย ทางรู้ไปสู่มรรคผลนิพพาน แยกกันตรงนี้ เราจะเซอร์เวย์ทางตรงนี้กัน บุกเบิกไปก่อน
เหมือนชาวดงชาวป่าเรา มาอยู่หลังเขา บุกป่าเสียก่อน ถางป่าเสียก่อน จึงค่อยปลูกข้าวไร่
ปลูกถั่ว ปลูกงา การถางป่าก็เป็นเบื้องต้น ป่าคือหลง อวิชชาคือหลง ถ้ามีป่าก็มีเสือ มีสัตว์ร้าย ถ้ามีหลงก็มีความโกรธ ความโลภ ความทุกข์ ความรัก ความเกลียดชัง
ณ ที่ใดมีป่าอย่าประมาท อย่าประมาทในความหลง เสืออุบาทว์มีอยู่คู่สถาน คอยจับจ้องมองเหยื่อทุกวันวาร ถ้ามีความหลงก็มีสัตว์ร้าย คอยจับจ้องชีวิตของสัตว์โลก
เมื่ออยู่ในดง ในป่า เกิดแก่เจ็บตายเพราะความหลง เป็นทุกข์เพราะความหลง เราจึงต้องเปลี่ยนตรงนี้ อย่าไปใช้สมอง หัวคิด ปัญญา มันหลงรู้ทันทีทำแค่นี้ มันทำได้ ตามรอยพระพุทธเจ้า ตามที่หลวงตาได้พูดเมื่อวานนี้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทำอะไร ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เปลี่ยนหลงเป็นรู้เนี่ย หลงอะไร หลงคิด หลงผิด เราจะมาดูตรง ๆ เข้าไปให้มีสติดูกายเข้าไป นั่งอยู่ต้นศรีมหาโพธิ การคู้แขนเข้า การเหยียดแขนออก ให้รู้สึกตัวประกอบขึ้นมา ไม่ใช่คิด นึก ๆ คิด ๆ ฝัน ๆ เอาไม่ใช่ เป็นการกระทำจริงๆ กรรม คือกรรมกระทำ ฐานคือที่ตั้ง เอาสติไปตั้งไว้ที่กายให้ทำลงไป ให้รู้ลงไป คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก หายใจเข้า หายใจออก เดินไปข้างหน้า เดินไปเดินมา งานของเราเป็นงานของชีวิตจะได้ชีวิต ถ้าหลงเป็นหลง ไม่มีชีวิต ทุกข์เป็นทุกข์ไม่ได้ชีวิต รักเป็นรัก เกลียดชัง เป็นเกลียดชัง ยินดี ยินร้าย พอใจไม่พอใจ นั่นไม่ใช่ชีวิต ชีวิตมันต้องไม่เป็นอะไร เพราะว่าที่รู้ รู้แล้ว รู้แล้ว รู้ซื่อ ๆ เข้าไป หลายเรื่องที่มันผ่านจากภาวะที่รู้นี้ เห็นต่อหน้าต่อตา เห็นหลง ต่อหน้าต่อตา เห็นสุขเห็นทุกข์ ที่มันเกิดกับกายกับใจ ไม่ต้องเป็นสุข เป็นทุกข์ให้รู้เข้าไป รู้เข้าไป ในวันเพ็ญเดือน 6 คืนนั้นทำให้เกิดการตรัสรู้ขึ้นมา เราได้พูดไปแล้ว จบไปแล้ว ต่อไปให้พูดอะไรอีก จะเล่าถึงการการแสดงธรรมมีคน 5 คนฟัง คือ ปัญจวัคคีย์ ก็พูดไปแล้ว เมื่อได้ตรัสรู้ขึ้นมา เหมือนน้ำชุ่มฉ่ำในชีวิตจิตใจของพระองค์ เปลี่ยนแปลงภาวะเดิม มาเป็นภาวะใหม่ก็ย่อมคิดถึงสัตว์โลก มีความเมตตากรุณาเต็มเปี่ยม เหมือนน้ำฝนที่โรยลงมาชุ่มฉ่ำในชีวิตจิตใจ เมตตากรุณาแผ่ขยายไปสรรพสิ่งทั้งหลาย มหากรุณาธิคุณ คิดถึงสัตว์โลก คิดถึงคนมีทุกข์ คิดถึงคนที่ไม่มีทุกข์ เหมือนกับเราได้กินข้าวอาหารดี ๆ คิดถึงลูก คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ พ่อแม่คิดถึงลูก ภรรยาสามีคิดถึงกัน เราอยากจะเอาไปฝาก ขณะนั้นพุทธะเกิดขึ้นแก่สามัญชนคนหนึ่งคือ สิทธัตถะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตขึ้นไป เมตตา กรุณาเต็มเปี่ยม คิดถึงแต่ตอนนั่งเสวยวิมุติสุข อยู่ในใต้ต้นศรีมหาโพธิ 4 อาทิตย์ วันแรกอาทิตย์แรก มองออกไปยืนอยู่ข้างต้นศรีมหาโพธิ ไม่กระพริบตาเลย อัศจรรย์ ไม่กระพริบตาเลย เสวยวิมุติสุขอยู่แถวนั้น รอบ ๆ ศรีมหาโพธิ ตอนนั้นตามพุทธประวัติของมหายาน มีเด็กชายสวัส เลี้ยงควายให้ชาวบ้านเขา กับน้องสาวคนหนึ่งเล็ก ๆ เด็กน้อย ถ้าจะมองดูก็รุ่นราวคราวเดียวกับราหุล ระหว่างนั้นพระพุทธเจ้าก็เล่นกับเด็กน้อยสองคน เด็กชายสวัสเป็นผู้ชายและมีน้องสาวตัวเล็ก ๆ รับจ้างเลี้ยงควายให้ชาวบ้านเขาพอได้อยู่ได้กินและมาเล่นกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็มองเหมือนกับลูก ราหุล รุ่นราวคราวเดียวกัน ประมาณ 6-7 ปี พระพุทธเจ้าออกบวช ราหุลประสูติได้ 7 วัน บำเพ็ญทุกขกริยา 6 ปี 7 ปีนี้ เด็กชายสวัสก็อายุรุ่นนี้ พระพุทธเจ้าเลยใส่ใจมีเมตตา กรุณา ตอนที่ได้ 4 อาทิตย์แล้ว จะออกจากศรีมหาโพธิ คิดถึงปัญจวัคคีย์เนี่ย ที่ได้พูดว่า เทศนากัณฑ์แรกมีคนฟัง 5 คน คือ ปัญจวัคคีย์ บรรลุธรรมตรัสรู้แล้ว ย่อมคิดถึงปัญจวัคคีย์ที่เคยออกบวชเป็นอุปฐาก อันนี้อยากไป ในวันเพ็ญเดือน 6 ได้ข่าวว่าไปอิสิปตนโน่น พาราณสีโน่น จากพุทธคยาไปพาราณสีนี่ ไม่ใกล้นะ หลวงตานั่งรถ 7 ชม.นะ พระพุทธเจ้าสมัยนั้นไม่มีรถเลยเดินไป ประมาณ 1 เดือนพอดี จากวันเพ็ญเดือน 7 ใช่มั๊ย อยู่ศรีมหาโพธิ เดือนหนึ่งก็เป็นวันเพ็ญเดือน 7 พอดี เดินไป คิดหาใครไม่เจอ ก็มองดู ปัญจวัคคีย์นี่แหละเหมาะที่สุด ที่จะต้องได้บรรลุธรรมก่อนใคร เลยต้องไปสอนปัญจวัคคีย์ เด็กชายสวัสก็อยากติดตามไป แต่ก็ไปไม่ได้เพราะห่วงน้อง ถ้ามีแต่เฉพาะสวัสพระพุทธเจ้าก็คงเอาไปด้วย เพราะห่วงน้องสาวตัวเล็ก ๆ ให้อยู่รับจ้างเลี้ยงวัว เลี้ยงควายไปก่อน เด็กชายสวัสขอติดตาม พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ไป ให้ดูน้องก่อน เดี๋ยวจะกลับคืนมา อยู่แถวนี้แหละ เราจะกลับคืนมา และพระองค์ก็กลับมาจริง ๆ พอโปรดปัญจวัคคีย์แล้ว กลับราชคฤห์มาพุทธคยาเด็กชายสวัสยังอยู่ เอามาบวชเป็นเณร รุ่นราวคราวเดียวกับราหุล ตอนนั้นราหุลก็บวช พระพุทธเจ้าก็ดุราหุล ชี้โทษตลอดเวลา บางทีราหุลก็ถูกด่าบ่อย ๆ ก็ไม่กินข้าว เด็กน้อย
พระพุทธเจ้าจึงบอกให้สวัสไปดูราหุล สวัสก็ไปชวนราหุลมา เป็นผู้ที่เป็นกลาง ระหว่างพระพุทธเจ้ากับราหุล ธรรมดาพ่อต้องดุลูก ชี้โทษตลอดเวลา ราหุลก็เป็นเด็กจึงว่า พระพุทธเจ้าไม่รักเรา เณรสวัสด่าเลย ด่าจนน้อยใจ เณรสวัสเป็นคนพูดกับราหุล พาเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า ในที่สุดก็เก่งทั้งคู่ ผู้ใดชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด นั่นแหละคือผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา ผู้ใดขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด นั่นแหละคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้เรา ฟังดีๆ ได้ประโยชน์ คนไหนยกย่องน่ะไม่ดีระวังไว้ ให้คบกับคนที่ชี้โทษ ใครหล่ะเป็นชี้โทษมากที่สุด พ่อ แม่ ครู อาจารย์ เป็นผู้ที่ชี้โทษลูกศิษย์ ลูกเต้าของตัวเองมากที่สุด ดูอะไรผิดวางไม่ได้ต้องจี้เข้าไปทันที อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี นั่นแหละคือชี้ขุมทรัพย์ให้ พระพุทธเจ้าก็ดำเนินไปถึงโน่น อิสิปตน โน่น เพราะอะไร ต้องการจะให้ลูกเรานี้ มองชีวิตของสัตว์โลกเหมือนบัว 4 เหล่า บัวเหล่าที่หนึ่งพ้นน้ำแล้ว รอแสงอาทิตย์น้อยเดียวก็จะบานทันที คนในโลกเรียกว่า อุคคฏิตัญญู บรรลุธรรมได้ง่าย เหมือนบัวพ้นน้ำพอได้รับแสงอาทิตย์ก็บานออก ประเภทที่สอง บัวอีก 2 วัน 3 วันจะพ้นน้ำ บัวประเภทที่สาม อีกอาทิตย์สองอาทิตย์จะพ้นน้ำ บัวประเภทที่สี่ ยังอยู่ในดิน ยังไม่ขึ้นพ้นดินเรียกว่า เนยยะ ปทปรมะ
อุคคฏิตัญญู อันดับแรก, วิปจิตัญญู อันดับสอง, เนยยะ อันดับที่สาม, ปทปรมะ อันดับที่สี่ ปึกหนาสาโหด บอกให้มีสติก็ไม่เอา ปฏิบัติมาเป็น 10 ปีแล้วยังโกรธ
ปทปรมะ ต้องวัดเกณฑ์วัดอันนี้ที่จะให้มีคุณธรรม พระพุทธเจ้าจึงมองเห็น ลักษณะแบบนี้ไปสอนใครหล่ะ ที่เป็นอุคคฏิตัญญูบุคคลนึกถึง อุทกดาบส ครูคนแรกเมื่อออกบวช อาฬารดาบส อาจารย์ที่สองแต่ว่าตายไปแล้ว คิดถึงปัญจวัคคีย์นี่แหละ อุคคฏิตัญญูบุคคล ไปทีแรกปัญจวัคคีย์ไม่ยอมรับ เอาล่ะ สมณะมาก ๆ มาแล้ว ๆ พวกเราไม่อยู่ หนีไป อย่าต้อนรับ เห็นกินข้าวของนางสุชาดา เรียกว่ามักมากไม่บรรลุธรรมได้ในโลกนี้ คนกินข้าว ต้องไม่กินข้าว ต้องนอนเสี้ยน นอนหนาม มีลัทธิแบบนั้นของอินเดีย ยิ่งใหญ่มากเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ เปลือยกาย ไม่มีอะไร ไม่มีผ้านุ่ง ผ้าห่ม ไปบิณฑบาตเอามือ เดินไปบ้านไหนเขาก็ใส่อาหารให้ ใส่มือมากิน พระอรหันต์ของเขาสมัยนั้น นี่สิทธัตถะพระพุทธเจ้ากินข้าวนางสุชาดา ถาดทองอย่างดี คนสมัยนั้นเขาใส่มือกิน เห็นทีแรกไม่ต้อนรับ ชวนกันหนี ไป หนี สมณะมักมากมาแล้ว สิทธัตถะมาแล้ว เดินมาโน่น ไป ๆ เก็บข้าวเก็บของ หนีไป ออกจากที่แรกไปพบที่แรก เป็นสถูป เห็นหลักฐาน ไปโน่นอีกทีเข้า อิสิปตนเลย ประมาณ 2 กิโล 2กม. จากพบแรกเดินไปนี่ประมาณ 2 กม.
พระพุทธเจ้ายังไม่ท้อถอย พยายามตามไปอยู่ พอตามไปแล้ว ปัญจวัคคีย์ก็นั่งคุยกัน อยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทำไมจึงเรียก อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นที่ปลดปล่อยของสัตว์โลก คนเมืองพาราณสี คนมาจากไหน ไปอยู่ป่านั่น นักบวช ฤษีชีไพร อะไรต่าง ๆ สัตว์สาราสิงห์อยู่ที่นั่นไม่มีการทำลายกัน เป็นที่ปลดปล่อยของสัตว์โลก พวกฤษีชีไพรก็ไปอาศัยกัน และเข้ามาบิณฑบาตในสารนาถ พาราณสี ขอข้าวกิน มีก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตามไปอยูที่นั่น พราหมณ์ชีนั่งคุยกันอยู่ เอ้า มาอีกแล้ว สมณะมักมาก สิทธัตถะมาอีกแล้ว พวกเราไม่ต้องลุกนั่งอยูนี่แหละ อย่าต้อนรับ เฉย ประสงค์จะนั่งก็ตามใจ จะไม่นั่งก็ไปไหนก็ไป พอเดินมาใกล้ๆ โกณฑัญญาพราหมณ์เป็นผู้ทำนายลักษณะ เป็นหนึ่งว่า ต้องตรัสรู้ ก็เลยยังมีความเคารพอยู่ก็เลยเอาผ้าฤษีชนะไปปูไว้ ท่านประสงค์จะนั่งก็นั่ง ไม่นั่งก็แล้วแต่ ไม่บอก ผ้าฤษีชนะปูไม่มีกระดาน พระพุทธเจ้าก็เดินไป ไปนั่งที่ผ้าฤษี มีโกณฑัญญาหันหน้าใส่ นอกนั้นนั่งหันหลังเล่นกันอยู่ หันหน้าใส่ ดูก่อน ดูก่อน ปัญจวัคคีย์ แสดงธรรมเรียกว่า ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร พูดถึงทาง และต่อไปก็ อนัตตลักขณสูตร ดังที่เราสวดพระสูตรตอนเช้า ต่อไปก็อริยสัจ 4 ให้ปัญจวัคคีย์ฟัง โกณฑัญญานั่งฟัง ด้วยใส่ใจ ส่วนวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ หันข้างใส่ เล่นกัน ขีดดินขีดอะไรกัน บางทีก็มอง บางทีก็นั่งหันหลัง ขนาดไหนนะ พระพุทธเจ้ายังเพียรพยายามนะ พยายาม ดูก่อน ปัญจวัคคีย์ ดูก่อน ฟังเรื่องนี้ เราไม่เคยรู้เรื่องนี้ ไม่ควรเสพ ไม่ควรเดินอยู่ 4 แพร่ง 2 แพร่ง กามะสุขัลลิกานุโยโค อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกขะปะฏิปะทา เราสวดธรรมจักร เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเยฯ ดูก่อนนะ ไปอ่านเอา พระสูตรมีอยู่ในหนังสือทำวัตร บางคนได้อ่านมาแล้วได้สวดมาแล้ว ต่อไป อนัตตลักขณสูตร เราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะปรากฎชัดแก่เราได้ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญานไม่ใช่ตัวตน
ปัญจวัคคีย์โกณฑัญญาฟังไป ฟังไป สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ควรว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตน สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทาปัญญายะ ปัสสะติ อนิจจา สังขารคือร่างกายแล จิตใจและรูปธรรม นามธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยงเกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป สังขารคือร่างกาย จิตใจ รูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้นมันเป็นทุกข์ ทนยาก เกิดขึ้นแล้วแก่ เจ็บ ตายไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นธรรมไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา
อัญญาโกณฑัญญาฟังไป ฟังไป คิดตามไป คิดตามไป ตื่นขึ้นมาตอบรับ พระพุทธเจ้าเข้าใจ
มีความยิ้มแย้มขึ้นมา จักขุง อุทะปาทิ ญานัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว โกณฑัญญาฟังไป ฟังไป ตอบรับ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญติ รู้แล้วหรือ รู้แล้ว แต่ก่อนชื่อ โกณฑัญญา พอรู้แล้ว อัญญาสิ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ รู้แล้วหรือ รู้แล้วพระเจ้าข้า หันหน้าใส่
ส่วนวัปปะ ภัททิยะ ยังเล่นอยู่ ไม่สนใจ เหมือนบัวเหล่าที่ 2 ที่ 3 พอโกณฑัญญาบรรลุธรรมได้ เอาละ ได้ชื่อว่าสัมมาสัมพุทโธ ต่อไปก็สอนวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ ตามลำดับไป ออกบวช ถือบวช การบวชสมัยก่อนเป็นการบวชแบบ เอหิอุปสัมปทา เป็นภิกษุมาเถิด พระวินัยกล่าวดีแล้ว ประพฤติตามธรรมกันเถิด
ว่ากับโกณฑัญญา ว่ากับวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ เพราะอะไร เพราะ 5 คนนี้เป็นพระอรหันต์แล้ว ตั้งแต่ยังไม่บวชเลย ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเราตรัสไว้แล้ว ท่านจงเป็นผู้ประพฤติตามธรรมนั้นเถิด เวลามันหลงอย่าไปตามหลง ให้ตามความรู้สึกตัว เวลาโกรธอย่าไปตามความโกรธ ให้ตามความรู้สึกตัว ประพฤติตามธรรมนั้นเถิด พระองค์นี้ห่มจีวร สำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้ว ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ท่านจงเป็นผู้ประพฤติตามพระธรรมวินัยให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด โกณฑัญญาสิ้นทุกข์แล้ว ประพฤติตามธรรมนั้นเถิด ผู้ที่ไม่บรรลุธรรมจงประพฤติตามธรรมวินัยให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด เรียกว่าบวชคนที่เป็นปุถุชน และบวชผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ประมาณเดือน 8 ขึ้น 15 ค่ำ พอโปรดปัญจวัคคีย์แล้ว บรรลุธรรมแล้ว ออกจากอิสิปตน ไป พวกเรามีเท่านี้ มันจริงอย่างนี้ ไปช่วยมนุษย์ สัตว์โลกทั้งหลาย พวกเราเป็นผู้พ้นจากบ่วงแห่งมารแล้ว จงไป จงไป ไปคนละทางนะ เรามีน้อย โกณฑัญญาไปทางหนึ่ง วัปปะไปทางหนึ่ง อัสสชิไปทางหนึ่ง มหานามะไปทางหนึ่ง เราจะไปอุรุเวลาเสนานิคมด้วยสัญญากับพระเจ้าพิมพิสารไว้ตั้งแต่ออกบวชจะไปเมืองราชคฤห์ใกล้ ๆ กับพุทธคยา เราไปแล้วจะไปต่อพุทธคยาไปหาเด็กชายสวัสก็กลับไปทางเก่า ใช่มั๊ย ตามพุทธประวัติ หลวงตาไปตามร่อยรอยนี้ ตามร่องรอยไปหลายรอบแล้ว มันเป็นอย่างนี้ จะพิสูจน์ยังไง มีอยู่จริงๆ พระพุทธเจ้าก็สามัญชนเหมือนเรานี้ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนเรา มองเห็นปัญหานี้ถึงออกบวช ชีวิตของเรานี้ ถ้าเราได้ตรัสรู้ละก็สอนไป ดังที่สุดปัญจวัคคีย์สมัยนั้น อัสสชิเป็นสาวกคนที่ 5 บรรลุธรรมหลังเพื่อน โกณฑัญญาบรรลุธรรมก่อน เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก ตั้งแต่วันตรัสรู้ ตั้งแต่วันเพ็ญเดือน 6 จนถึงวันเพ็ญเดือน 8 ตอนนั้นยังไม่ชื่อว่า สัมมาสัมพุทโธ ชื่อว่าพระพุทธเจ้าเฉยๆ พอสอนคนรู้ตามจึงได้ชื่อว่า สัมมาสัมพุทโธ ก็ทำพระพุทธรูปปางนี้ที่อยู่ศาลาหน้า ได้แสดงธรรมโปรดคนรู้ตาม ยกนิ้ว แน่นอน ใช่มั๊ย บอกให้รู้ รู้แล้วมั๊ย หลงมีมั๊ย ไม่หลง มีความโกรธ ไม่ควรโกรธ แน่นอน เห็นมั๊ยพระพุทธรูปอยู่ในศาลาหน้าปางปฐมเทศนา ยกนิ้ว แปลว่าแม่นยำ ยกนิ้ว
เหมือนคนจีนมาสุคะโต ตอนที่หลวงตากลับจากเมืองจีนก็ตามมา เขาก็เห็นว่าสุคะโต เขายกนิ้วอะไรไม่รู้นะ แต่พระพุทธเจ้ายกนิ้วนี่คือสำเร็จแล้ว พระธรรมคำสอนเป็นมรรค เป็นผล มีผู้รู้ตามจึงได้เรียกว่า สัมมาสัมพุทโธ สอนคนให้รู้ตามได้ ที่ว่าเราสวดพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และสอนคนให้รู้ตามด้วย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว สอนคนอื่นให้รู้ตาม พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติรู้ยิ่ง เห็นจริง ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติตามย่อมรู้ได้ พระสงฆ์คือหมู่ชนผู้เชื่อฟังคำสอนธรรมวินัย ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแล้ว รู้เห็นจริงในพระธรรมที่ควรรู้ ควรเห็น และสอนคนให้รู้ตาม นี่คือ พระรัตนตรัย 3 อย่าง เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา ถ้าเห็นคนโกรธอยู่ น่าสงสาร เห็นคนทุกข์ก็น่าสงสาร ทำไมเขายังทุกข์มันไม่ทุกข์ก็ได้ ทำไมเขายังโกรธ ไม่โกรธก็ได้ ช่วยกันอย่างนี้ มนุษย์ทำไมอิจฉาเบียดเบียนกัน ถ้าเขายังไม่โกรธ เขายังไม่ทุกข์ก็ไม่มีทุกข์ของเขาอยู่ ทั้งแก่ ทั้งเจ็บ ทั้งตาย เหมือนกันหมด จะมาเบียดเบียนทำไม เมตตาธิคุณล้นฟ้า มหากรุณาธิคุณ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มารังเกียจกันทำไม ท่านทั้งหลายช่วยหลวงตา ขอให้หลวงตามีโอกาสช่วยคน แต่มันจนมันก็ช่วยไม่ได้เท่าที่ควร อยู่ที่นี่ ดูเอา ทำไมอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่คนไม่เข้าวัด สมัยก่อนฆ่ากันตาย หลวงตาไปเก็บศพครูตาย เลอะเลือด เลอะอะไร ฆ่ากันตาย ป่าเถื่อน ป่าเถื่อนมาก สมัยก่อนนะ ปืนเอ็ม 16 ปืนลูกซอง 5 นัด ตายกันเกลื่อน ตำรวจ ทหารไม่มี ชาวบ้านทะเลาะกันตัดสินใจด้วยความรุนแรง หลวงตายังเคยไกล่เกลี่ยทางนี้
พ่อคง แม่แพงทะเลาะกัน ตีหัวกันหัวแตก แม่แพงร้องให้มาหา ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีใครที่ไหนมาหา “หลวงพ่อ ธุข้าจะลากลับบ้าน อยู่นี่ไม่ได้หรอก พ่อคงตีหัวแตกแล้ว” เลือดอาบมา จะลาหลวงพ่อกลับไปอยู่บ้านเก่า บ่อยอมเราดอก หลวงพ่อบอก โอ้ย อย่าเพิ่งไปแม่แพง ให้หลวงพ่อได้ไปพูดดูก่อน ถามดูก่อน “อยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ อายคน” เอา แม่แพง คนอื่นหลวงพ่อยังพูดได้ แม่แพงเป็นคนใส่บาตรทุกวัน หลวงพ่อพูดจะไม่ได้บ้างหรือ อย่าเพิ่งไป ตอนเย็น หลวงพ่อจะเข้าไปถามดู มันเป็นอะไรกัน ก็เลย เอา ถ้าหลวงพ่อไม่ให้ไปก็อยู่ก่อน ให้บอกนะตอนเย็นหลวงตาจะเข้าไป บอกลูกสาวลูกเขยมา พอเข้าไปก็มีกันสองคน ไม่มีลูกนะ ลูกเขาออกจากบ้านหมดแล้ว คนหนึ่งนั่งรถกันมา พอเข้ามา
“พ่อคงมานี่ แม่แพงมานี่ เป็นยังไงกัน” ไม่มีใครอยากพูดเลย เงียบ
“เป็นยังไงพ่อคงทำไมแม่แพงหัวแตก”
“ก็ผมก็ทำอาหารอยู่ แม่แพงก็บ่นด่าผม ผมก็โกรธ โกรธแล้ว แต่ผมไม่ได้ตีแม่แพงนะ ผมก็โกรธผมโยนเขียงลงไปข้างล่าง พอดีแม่แพงเดินมา มันมาถูกหัวแม่แพงเข้า แม่แพงเลยหัวแตก ผมไม่ได้เจตนา” ลูกเขยก็นั่งอยู่ ลูกสาวก็นั่งอยู่ พอพ่อคงพูด ลูกสาวก็พูดว่า
แม่นั่นแหละด่าเรา พ่อเฮ็ดกิน ก็ด่าเรา พ่อเราก็บ่อปากดอก เราเฮ็ดกินอยู่ ด่าเรา มาเห็นอีกทีก็ไห้มา หัวแตกไม่เห็นตอนแรกว่าเป็นยังไง ลูกสาวพูดอาจจะเป็นความจริง โอ้ย แม่แพง พ่อคงไม่ได้เจตนาตีแม่แพง แม่แพงด่าพ่อคงใช่มั๊ย
“ธุข้าก็ด่าอีหลีนั่นแหละ” มันหลงตีนหลงมือแม่แพงเอ้ย สบจังหวะพอดี นะ กลับมาซะ
แม่แพงก็หมอบใกล้พ่อคง พ่อคงเอามือลูบหลัง อยู่ด้วยกันจนตาย
จากแม่เพียรพูดเมื่อวาน แม่แก้วเหรอ แก้วขุดขี้โปงน่ะ เอาเสียมสับมือกัน ไม่มีหมอวิ่งมาหาหลวงพ่อที่วัด หลวงพ่อเห็นนิ้วมือมันขาดไปแล้ว เหลือแต่น้อยเอามีดโกนตัดทิ้งเลย มันตายไปแล้ว มันเด็กน้อย มันมีลูกมีผัวแล้วติ ไม่เห็นสักที มันตายไปแล้ว หลวงตาให้ตัดมือมันนะ มันเอาเสียมสับมือนะ มันขุดขี้โปงด้วยกัน ตัดนิ้วทิ้งเลยแล้วก็เอายาเหลือง ยาแดง ยาเหลืองทาทำแผลให้มันก็หายไม่มีหมอ สมัยก่อน ที่อยู่ที่นี่ไม่ได้อยู่เพื่ออะไร อยู่เพราะสงสารคน สงสารคนไม่พอ สงสารป่า สงสารสัตว์ เห็นเก้ง เห็นกวางตายวันละกี่ตัวไม่รู้ที่นี่ เราก็อยู่นี่ เห็นกับตา เห็นเด็กไปตายในป่า เป็นไข้มาลาเรีย ร้องให้กันมา ตายเป็นไข้มาลาเรีย เลยไปช่วยคนตาย บ้านแหลยาว ลูกสาว 2 คน เอาคนหนึ่งไปเผาแล้วกลับมาเอาอีกคนไปเผา แล้วหลวงตาจะหนีไปไหนล่ะ ไม่มีใครอยู่เดินไปสวดมาติกาไปคนเดียว โน่นคนตายอยู่บ้านสันบกโน่น เดินไป บ้านหลังแค่นี้ให้หลวงตาไปทำบุญตอนเช้า ทำไม มันมีที่นอน เดินไปสวดมนต์เย็น เดินกลับมา ตอนเช้าเดินไปอีก แล้วจะหนีไปไหนล่ะ มันก็หนีไม่ได้เลยอยู่ที่นี่สามสี่สิบปีแล้ว ไม่ใช่อยู่เพื่ออะไร ก็เลยไม่มีความสามารถช่วยคนได้เท่าที่ควร ทุกวันนี้ก็มีศูนย์เด็กอนุบาลที่นั่น 30 กว่าปีแล้ว สงสาร สงสารไม่อยากเห็นคนทุกข์ ไม่อยากเห็นคนโกรธ ให้หลวงตามีโอกาส ช่วยคนถึงจะมีชีวิตชีวา ถ้าให้อยู่เฉย ๆ อยู่ไม่ได้ ชาวบ้านเลี้ยงดู ก็ดูแลไป เราอยู่ที่นี่ก็ฐานะไม่ค่อยดี ถ้าฐานะดีก็จะสบาย จะทำอะไรมากกว่านี้นะ ไม่อยากเห็นคนทุกข์นะวิธีไหนที่คนจะไม่ทุกข์ ไม่โกรธจะทำลงไป บางทีเห็นเด็กร้องให้ คิด นอนไม่หลับเลย สมัยก่อนมีนะ เด็กมาร้องให้หลายวัน หลวงตาอยู่ผู้เดียว เสียงเด็กร้องให้ ฟังดู มันเสียงเด็กนะ บางคนก็ว่าผีบังบด เสียงเหมือนคนร้อง “แจ้งแล้ว หลวงตา แจ้งแล้ว” นกบางประเภทนะ แต่ก่อนกลางคืนไม่เงียบนะ ใช่มั๊ย แม่แพง เสียงสัตว์ป่า เสียงเสือ เสียงช้าง เสียงหมีกัดกัน ดัง “แจ้งแล้ว หลวงตา แจ้งแล้ว” บางทีก็มีเสียงคุยกัน หลวงลุง เด็กร้องให้ เสียงเด็กนะนั่น ไม่ใช่เสียงสัตว์ แล้วก็อยู่ตรงกุฏิหลังนี้ นอนไม่หลับ ไป ก็ไม่ฉายไฟนะ ค่อยๆ เดินไปถ้าเป็นผีก็ให้มันฆ่าซะ ถ้าเป็นเสือก็ให้มันหลอกไปกินซะ ช่างหัวมัน ผีมันดุด้วยสมัยก่อนนะ บางทีก็ได้ยินว่าเสียงมันเหมือนกับเรียกนายพรานไปดักเนื้อ อีพ่อ อีแม่ออกลูกแล้ว ลงมาเสือกินเลย เสือกัดตายเลย อันนี้เสียงเด็กร้องไห้ เอา โสตาย ถ้าเป็นเสือให้มันกัดตายไปซะ มันสงสารนะ สงสารเด็ก มันร้องให้เหมือนกับมันเจ็บปวด เดินไป เดินไป เดินไปใกล้ ๆ เสียงพูดก่อน เสียงพ่อ เสียงแม่พูดกัน เสียงคนนะนี่ ฟังไป ฟังไป เสียงคนแท้ ๆ ทั้งเสียงผู้ใหญ่ เสียงเด็กร้อง ก็เลยกระแอมๆ เขาก็เปิดประตูออกมา ทั้งผัวทั้งเมียอุ้มลูก ลูกน้อยออกมา หลวงตาถาม เป็นยังไง
“เมียผมคลอดลูกอยู่ผาผึ้ง มันไม่มีที่อยู่ มันเปียก เด็กมันออกใหม่ๆ ก็เลยอุ้มมานี่ แข่งฝนมา ขอนอนนี่สักคืนหนึ่ง” แล้วมาจากไหน “พวกผมเป็นทหารป่า” มีนะสมัยก่อนนะ
“พวกผมเป็นทหารป่า พวกเรารักกัน ได้เสียกัน เลยตั้งท้อง พวกเขาไม่ให้อยู่ ให้ออกไป ให้กลับบ้าน ยังไม่มีโอกาสกลับบ้าน ผมขอนอนนี่สักคืนสองคืนก่อน”
ก็เลย เอา อยู่เงียบๆ นะจะให้ช่วยอะไร พอดีก็ตื่นเช้ามาเอาลงไปบ้านโคกกง ไปหาหมอ มันปวดสะดือมันนะ หลวงตาก็เป็นหมอหน่อยๆ เคยทำคลอดนะ มันทำคลอดไม่เป็นนะ สะดือมันตัดไม่เป็น ก็เลยเอาเชือกไปมัดไว้หน่อยนึง เอาฝ้ายไปมัดไว้ สองสามเปาะ มันก็ลงไป สมัยนั้น มันก็ไม่เป็นไรนะ เราก็อยู่ที่นี่ มันไม่อยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อความเมตตา กรุณา ถ้าเราไม่อยู่ก็ไม่รู้ใครจะอยู่ ป่าก็ทำลาย สัตว์ก็ฆ่าตาย เราไม่คิดว่าจะมารักษาป่า ไม่คิดว่าจะมารักษาสัตว์ จะมาเผยแพร่ธรรมะ มาปฏิบัติธรรมในป่า มาสัมผัสกับป่า มันหู้ย สบาย แต่มันมีงานอยู่ ยังไม่เสร็จเลยงาน เดี๋ยวนี่จะไปปลูกป่าภูหลงอีก มาดูตัวเอง มันแก่แล้วนะ
แล้วทำไงล่ะ จะให้เบียดเบียนกันทำไม เบียดเบียนตัวเองทำไม ไม่สงสารตัวเองบ้างหรือ มันเป็นทุกข์ นอนไม่หลับ เพราะความคิดแค่นั้นหรือ มันทำได้นะ มันทุกข์ความคิดนี่ นิดหน่อยมันหลงนี่ตัวการ มันก็มีตัวภาวะที่รู้ที่หลงนี่แหละ จะทำยังไง จึงมั่นใจที่สุดเลย เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ทำได้จริง ๆ จะให้พากันหลงไปถึงไหน ถ้ามีหลงก็มีโกรธ มีทุกข์ ถ้าไม่หลงมันก็ไม่มีตัวนั้น มันไม่มีจริงๆ ต้องมาทุกข์นี่ คือพระพุทธเจ้าสอนพวกเราอย่างนี้ เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ให้มันจบไปซะทุกข์นี่ ความโกรธ ความโลภ ความหลง มีประโยชน์อะไร ทำไมจึงให้มันนอนอยู่กับเราได้ สงสารตัวเรา ช่วยตัวเราเถอะ พวกเรา อย่าปล่อยให้หลง อย่าปล่อยให้โกรธ อย่าปล่อยให้ทุกข์ และเมื่อมันเป็น สงสารคนอื่น มาช่วยกันเถอะ มาช่วยกันขนส่งออกไปให้คนได้พ้นทุกข์ นี่งานของพวกเรา เรายังอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เพื่อให้ทำงานอันนี้ ไม่ทำอะไรก็ช่วยตัวเอง อย่าให้หลง พยายามรู้สึกตัว พยายามรู้สึกตัว มันก็เกินเวลาไปแล้วจบเท่านี่แล้วเนอะ