แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงตาก็ต้องมีเครื่องใส่หู บางทีก็ไม่ได้บางทีก็รบกวน เรามาปฏิบัติธรรมก็มีการพูดกันบ้าง ให้สื่อสาร ให้ข้อมูล ให้แผนที่ให้ทิศทางว่าจะไปยังไง ศึกษาตรงไหนไม่ใช่จะหมกมุ่นครุ่นคิด หาเหตุหาผลด้วยตัวเองอย่างเดียว อาศัยสื่อสาร เปิดเผย เหมือนรัฐบาล ข้อมูลสื่อสารปิดกันได้ ต้องเปิดเผยให้รู้กัน ราชลับ ราชการโปร่งใสเป็นอย่างไร
สมัยก่อนนี้หลวงตาอยู่มหาวัน เขาจะไล่ชาวบ้านหนี ข้อมูลข้าราชการพวกเราชาวบ้านไม่รู้ เราก็ไปหานิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิจัยให้เขามาดูให้ด้วย ให้ไปเอาข้อมูล ข้าราชการมาให้เราดู เอาข้อมูลจากเราไปให้เขาดู เปิดเผยกันดู คือมีอะไรกันเกิดขึ้น มีนักศึกษามา ไปเอาข้อมูลจากหน่วยราชการทหาร ก็เปิดเผยข้อมูลกันจะยากตรงไหน บ้านนี้ย้ายไปไหน เอาไปนู่นเอาไปนี่ เราก็พาชาวบ้านไปดู พอชาวบ้านไปเห็นที่ราชการจะย้ายชาวบ้านไปอยู่ ชาวบ้านก็ไม่ บางคนก็ร้องไห้เลย กลับมามากอดต้นไทร ต้นมะม่วง ต้นขนุนร้องไห้ อุตส่าห์โผล่มา ออกลูกออกผลให้กินแล้ว จะได้หนีไปไหน ไปอยู่กลางโคกกลางป่า เขาก็ร้องไห้ เมื่อเขาเห็นข้อมูล ที่ราชการที่มัดมือชกแต่ก่อน เขาก็เปิดเผยข้อมูลมา ชาวบ้านก็ปรึกษากันจะเอายังไง หลวงตาก็ไปปรึกษาร่วมกันกับเขา เขาบอกว่าจะไม่ไป ไม่ไปไม่ได้ ทหารจะเอารถมาขน รื้อบ้านรื้อช่องไป รื้อบ้านไป ก็ไปแต่บ้านแต่เราไม่ไปล่ะ ตายอยู่นี่ ก็ให้ข้อมูลข้าราชการไป ว่าไม่ไป ขอตายอยู่นี่ สุดท้ายก็เลยไม่ได้อะไรเลย ต่างคนต่างรู้ข้อมูลกัน
ชีวิตเราเนี่ย มันมัดมือชกเรา ถ้าเห็นเฉพาะกายเห็นเฉพาะใจเนี่ย มัดมือชก มันแคบ ข้อมูลมันมากกว่านี้ ไม่ใช่เรื่องกายเรื่องใจ ถ้ารู้เฉพาะเรื่องกายเรื่องใจมันคับแคบ มันไปสุขไปทุกข์อยู่ตรงนี้ มันกักขังเราอยู่ตรงนี้ ไปสุขเพราะกาย ไปทุกข์เพราะกาย ไปสุขเพราะใจ ไปทุกข์เพราะใจ แค่นี้หรือชีวิตเรา
มีนอกจากนี้ไปหรือเปล่า สิ่งที่เราทุกข์เป็นยังไง สิ่งที่เราสุขคืออะไร เกิดจากกายจากใจนี้ ต้องให้ข้อมูลเปิดออกมา ผู้ที่จะให้ข้อมูลคือความเป็นกลาง ผู้ที่รู้คือสติสัมปชัญญะ ความรู้สึก เห็นมันสุข สิ่งที่เคยสุข สิ่งที่เคยทุกข์มันเกิดกับกายกับใจ มันคืออะไร ให้ข้อมูลเข้าไป เป็นกลางเข้าไป ดูเข้าไป มันก็เปิดเผยออกมา เห็นกายเห็นใจเป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม แตกฉานออกมาเลยบัดนี่ เห็นกายเป็นรูปธรรม รูปธรรมไม่พอ มันทำดีทำชั่ว มันทำตรงไหน อะไรพาให้ทำดีทำชั่วเห็นออกไป รูปทุกข์ นามทุกข์เห็นออกไป อะไรเป็นทุกข์เพราะรูป มันกระจายออกไป มันออกเป็นการเกิดขึ้น สอบสวนเข้าไป พิพากษาเข้าไป ตุลาการเข้าไป ฟ้องเข้าไป เอาความเท็จ ความจริงออกมา มันทุกข์ยังไง ยอมรับมันหรือความทุกข์ความสุขที่มันแสดงออกมา แล้วก็ได้ข้อมูล เห็นไปได้ข้อเท็จจริง ความจริงเป็นของไม่จริง ความไม่จริงเป็นของจริง มันก็เปลี่ยนไปได้ ความทุกข์เป็นของไม่จริง แต่ก่อนความทุกข์เป็นทุกข์ ความทุกข์เกิดจากกาย เป็นทุกข์ ไม่มีทางออก เพราะไม่มีข้อมูลที่ดี จน จนตรงนี้ชีวิตเรา จนความทุกข์เพราะทำให้ทุกข์ จนความโกรธเพราะทำให้โกรธ จนต่อความหลงเพราะทำให้หลง จนต่อความรักความชัง ทำให้ความรักความชังเกิดขึ้นได้ แล้วเราไม่จนตรงนี้ได้ไหม มีสิทธิ์ไหม เวลาโกรธมีสิทธิ์ไหม ไม่โกรธได้ไหม เวลาทุกข์มีสิทธิไม่ทุกข์ได้ไหม เวลาหลงมีสิทธิไม่หลงได้ไหม
เขาจะให้เราไปทุกข์เหรอ เหมือนกับชาวบ้านตาดรินทอง เขาจะให้เราหนีจากนี่เหรอ ไม่หนีได้ไหม ไปคิดลองดูสิ ผลที่สุดไม่ยากเลย ไม่ไปเลยเอ้า มันทุกข์หรอ ไม่ไปก็ได้ ไม่เป็นทุกข์ก็ได้ เรามาดูสิ มันมีทางไปอยู่ ชีวิตของเราใช้กายใช้ใจนี้เพื่อเห็นทุกข์ เห็นทาง เพื่อพ้นโทษพ้นภัย ไม่ใช่เอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ อย่างนี้ เรียกว่าศึกษาธรรมะ ศึกษาคืออะไร คือถลุง สิกขาคืออะไร สิกขาคือถลุง ย่อย แยก การถลุงนี้เรียกว่า คณะปริญญา เหมือน ปริญญาอันหนึ่ง ผู้ที่เรียนหลักวิชาการต่างๆ ถลุงออกมา ย่อยเป็นชิ้นเป็นอันได้ เรียนแพทยศาสตร์ เรียนกายภาพ ก็แตกฉานในกาย ตับไตไส้พุงเส้นเอ็นอยู่ตรงไหน ก็ศึกษามันดู สมมติฐานของโรคเกิดตรงไหน มันใช้ยังไง ก็ศึกษาไป รักษาโรคที่เกิดจากรูปโรค โรคที่เกิดกับรูปมีเยอะแยะ การศึกษาวิชานี้ก็สำเร็จ
เคยเห็นกับตา เคยสัมผัสกับวิชานี้ที่ผู้มีการศึกษา ตอนที่เราหายใจไม่ได้ก็มีความรู้ การศึกษานี้เขามาโชว์ เมื่อมายืนอยู่ข้างเตียงเรานอนหายใจสลอนๆ อยู่ เขาก็บอกว่า นี่...ถ้าหลวงพ่อหายใจไม่ได้จะเอาอันนี้มาใส่ ให้หลวงพ่อสูดหายใจ อันนี้ใช้ไม่ได้ ก็จะเอาอันนี้มาใส่ เราก็ฟัง เขาก็ไม่จนที่เราหายใจไม่ได้ เพราะเขามีความรู้ ถ้าอันนี้เอามาใส่แล้วใช้ไม่ได้ จะเอาอันนี้มาใส่ โชว์สิ่งวัตถุที่เขามี เขาไม่จนนะ เราก็ดูเขา แล้วแต่เขาจะทำ ไปๆ มาๆ ก็พอหายใจไม่ได้เอาอันนั้นมาใส่ ก็ไม่ได้ เอาอันที่สองมาใส่ ก็ไม่ได้ อันที่สามมาใส่ ก็ไม่ได้ เอาอันที่สี่มาใส่ ก็เงียบไปเลย อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรียกว่าเขามีปัญญา ถ้ามีปัญญามันจะรอด เขามีความรู้ รักษาโรคได้
แต่เรารักษาเราได้ตลอดเวลา หายใจไม่ได้ เป็นทุกข์หรอ ไม่ทุกข์ ไม่ได้ตายเพราะหายใจไม่ได้ เราอยู่ของเราเอง เราไม่จน เพราะศึกษาข้อมูลที่เกิดจากกายจากใจ เห็น เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม เห็นรูปทุกข์ เห็นรูปโรค เห็นนามทุกข์ โรคของรูปมีเยอะแยะ โรคของนามคือใจมีเยอะแยะ เราไม่จนกับปัญหา เราไม่จนต่อความเจ็บ เราไม่จนต่อความแก่ เราไม่จนต่อความตาย เพราะเห็นแล้ว รู้แจ้ง ปิติ และคณะปัญญา แจกแจง ญาตปริญญา รู้แล้ว รู้แล้ว 40 กว่าปี ปหานปัญญา ทำให้หมดสิ้นไปแล้ว ไม่ใช่รู้เฉยๆ รู้แล้วก็ไปทำ ทำได้แล้วเสร็จแล้ว เหมือนเรารู้การรู้งาน รู้แล้วก็ไปทำ เราเรียนวิชาอะไร ไม่ใช่รู้แล้วก็เป็นความรู้ ต้องทำดู ถ้าเราเขียนหนังสือ เรียนหนังสือ ก.ไก่ ก็เขียน ก.ไก่ อ่านดู ประสมสระ เรียนคณิตศาสตร์ก็เขียน คณิตศาสตร์ เอามาตั้ง มาเป็นตัวตั้ง มาเป็นตัวประกอบขึ้นมามันใช้ได้ ทำเป็น ไม่ใช่รู้ ทำเป็นด้วย 5+5 เอามาทำยังไงไม่ใช่มาเป็นคำพูด เอาเลข 5 ตั้ง เอาเลข 5 ไปบวก เครื่องหมายบวก นับนิ้วมือ เอ้า มันได้ 10 มันทำเป็นแล้ว มันทำเป็นมันก็ไม่ลืม
นี่ลองไปทำ นี่กับกายใจของเรา เอาไปทำดู สัมผัสดู สัมผัสความทุกข์ อู้ว ไม่ต้องถามใคร นี่คือทุกข์ สัมผัสความไม่ทุกข์เวลานั้น นี่คือความไม่ทุกข์ ความไม่ทุกข์อยู่บนความทุกข์ อยู่ด้วยกัน เพราะมันมีรูปมีนาม มันไม่ใช่เป็นดุ้น เราตีคณะปริญญา แจกแจงทำให้มันเสร็จไป ไม่ใช่ทุกข์ครองรูปตลอดเวลา เราก็เห็น นี่มันคือทุกข์ กำหนดรู้แล้ว รู้แล้วเกี่ยวกับทุกข์ยังไง ทำเสร็จไหม เปลี่ยนตัวทุกข์เป็นไม่ทุกข์ได้ไหม อย่างนี้เรียกว่า ศึกษา ถลุงออกไป มันจบ มันผ่าน มันเป็นทาง มันเป็นหมวดเป็นหมู่ อันที่มันผิด มันก็มีอันที่ถูก อันที่มันทุกข์ มันก็มีอันไม่ทุกข์ อันที่หลงมันก็มีอันที่ไม่หลง ก็มีอย่างนี้ มีเกิดมันก็มีไม่เกิด มีแก่มันก็มีไม่แก่ มีเจ็บมันก็มีไม่เจ็บ มีตาย มันก็มีไม่ตาย อย่างนี้น่ะ แต่นี่คือเกิดขึ้นกับพระสิทธัตถะ ได้เป็นการบ้านของเจ้าฟ้าชายเอามาศึกษาเรื่องนี้ ให้เห็นกับตา การเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มัดมือชกเราเลย ปิดประตูตีแมวเหรอ ไม่ยอม มองเป็นคู่ เมื่อเกิดต้องมีไม่เกิด เหมือนกับเปรียบเทียบเป็นอย่างอื่น มีมืดก็มีสว่าง มีร้อนก็มีหนาว เปรียบเทียบกันไป ก็มาเห็นความเปรียบเทียบมันน่าจะเป็นของเปรียบเทียบได้ อะไรมันเป็นของศึกษาได้ ในชีวิตนี้ ในโลกนี้ อย่างโลกมันกลม คนหนึ่งว่าโลกมันแบน ศึกษาดู ผลที่สุดก็ตกลงกันได้ เพราะมันไม่ปิดบัง
ในชีวิตเรามันไม่มากขนาดนั้น มันก็ตอบได้ด้วยตนเอง เปลี่ยนได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่อาศัยวิทยาศาสตร์ สิ่งประกอบวัตถุที่หนึ่งที่สอง ศึกษาชีวิตของเราไม่มีวัตถุที่หนึ่งที่สองมาประกอบ ดูเข้าไปเลย อย่าปิดบัง ให้รู้ซื่อๆ อย่ามีอะไรไปเกี่ยวข้อง ความทุกข์อย่ามีอะไรไปเกี่ยวข้อง ให้เห็นทุกข์ล้วนๆ รสชาติความทุกข์เป็นไง ความทุกข์ก็อย่ามีอะไรไปเกี่ยวข้อง เหตุผลไม่ใช่ เอาการกระทำเข้าไปเลย ถ้าเป็นไม่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์ล้วนๆ อยู่ตรงกัน
อย่างนี้เรียกว่า อริยสัจ อริยสัจคืออะไร คือมีเหตุ มีผล เอาไปประกอบการศึกษา ในรูปธรรม นามธรรม อริยสัจเอาไปประกอบการศึกษา มันมีส่วนให้ประกอบทุกๆเวลา ทุกๆ ขั้นตอน ในรูปในนาม แม้แต่นอกจากรูปจากนาม เอาไปประกอบอาชีพก็ได้ มันยากมันจนเพราะอะไร ทำไมจึงยากจน เพราะอะไร การไม่ยากไม่จน เพราะสิ่งใด มันก็มีทางไป ไม่ใช่เราไปยอมจน เหมือนจัณฑาล เหมือนพวกศูทร ของวรรณะอินเดีย แล้วก็ยอมสภาพเช่นนั้น
แม้จะบัญญัตินี่เป็นจัณฑาล นี่เป็นศูทร นี่เป็นพราหมณ์ นี่เป็นแพศย์ นี่เป็นราชากษัตริย์ จัณฑาลก็ยังยอมรับ 5,000-6,000 ปีมาแล้ว เรายอมรับบัญญัติ สมมติบัญญัติ เขาสมมติเราว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนชั่ว ก็โกรธ เสียใจ ยอมรับ เขาบัญญัติให้เราเป็นคนดี ก็ดีใจ เพลิดเพลินหลงใหล บัญญัตินี่สำคัญ ถ้าปรมัตถ์มันก็เหนือ เหนือสมมติ เหนือบัญญัติได้ นี่แหละเราจึงมาศึกษากัน ไม่ล้าสมัย ก็อยู่แค่นี้ สี่ ห้า หก คน ชีวิตก็มาศึกษากัน ยิ่งใหญ่มาก เริ่มต้นจากตรงนี้ ร้อยคนพันคนคือเรื่องนี้ คนเดียวคือเรื่องนี้ ไม่สำคัญ เรามาศึกษาเราตลอดเวลา อย่าประมาท อย่าหลงใหล อย่าไปคิดว่า เออ...อันที่มันถูกต้อง ต้องมีคนมากๆ อันที่ไม่ถูกต้องมีคนน้อยๆ สมมติบัญญัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่มีเพื่อนสักคนเลย ศึกษาคนเดียว สญชัยเวลัฏฐบุตรมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นพันเป็นหมื่นคนถามพระสารีบุตรก่อนพระสารีบุตรจะหนีออกจากอาจารย์สญชัยเวลัฏฐบุตร ถามพระสารีบุตรว่าคนฉลาดกับคนโง่ คนไหนมากกว่ากัน สารีบุตรตอบว่า คนโง่มากกว่าคนฉลาด จึงให้ไปหาคนฉลาดซะ เราจะอยู่กับคนโง่ ก็สนุก หลอกกัน เอาประมาณไม่ได้ ต้องเอาสัจธรรมมาศึกษาในชีวิตเรา มีตำรา วัดความถูกต้องในหัวใจเรา อย่าเอาเหตุเอาผล คำตอบจากกายจากใจเนี่ย ทุกข์มันจริงไหม อันไม่ทุกข์มันจริงไหม หลงจริงไหม ไม่หลงจริงไหม โกรธจริงไหม ไม่โกรธจริงไหม ไปคิดใส่เข้าไป เปรียบเทียบเข้าไป รู้เข้าไป ให้ข้อมูลตัวเอง มีสติ มีสัมปชัญญะ รู้เข้าไปๆ ก็ไปเรื่อย เดินหน้าไปเรื่อย ทะลุทะลวงไปได้ เหมือนทาง ต้องอย่าประมาท อยู่ที่นี่ต้องไม่ประมาท สนุกสนาน ปฏิบัติธรรมกัน