แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมต่อ เราพยายามศึกษา เหมือนพระราหุล มีจิตอันฝักใฝ่ในการศึกษา กอบเม็ดทรายขึ้นกอบมือหนึ่ง ยกท่วมหัวขึ้นไว้ศีรษะ ข้าพเจ้าจะตั้งใจศึกษาให้มาก เท่ากับเม็ดทรายในกำมือของข้าพเจ้านี้ ให้มากที่สุด อย่าให้มันหลงฟรี ๆ เอาประโยชน์จากความหลง อย่าให้มันทุกข์มันโกรธฟรี ๆ ให้มีประโยชน์จากความทุกข์ความโกรธ ได้ศึกษาดูบ้าง รูปไม่เที่ยงก็ศึกษา เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน มันมีอยู่อย่างนี้ เราต้องศึกษา สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา ให้เห็น ให้ได้ศึกษาอย่างนี้ เห็นโลก
โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำเข้าไปครอบงำอยู่ ไม่มีใครต่อต้าน ไม่มีใครเป็นใหญ่ ไม่ให้แก่มันก็แก่ ไม่ให้เจ็บมันก็เจ็บ ไม่ให้ตายมันก็ตาย มีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ โลกใบนี้ บกพร่องอยู่ทุกอย่าง แม้แต่ความทุกข์ก็บกพร่อง ความโกรธก็บกพร่อง ความโลภก็บกพร่อง ความหลงก็บกพร่อง ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเบื่อ ความหลงไม่มีประโยชน์ก็ยังหลงอยู่ ความโกรธไม่มีประโยชน์ก็ยังโกรธอยู่ พอใจในความโกรธ บางทีความทุกข์ก็พอใจในความทุกข์ จะทำยังไง มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้า ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว จะทำยังไง จะต้องยอมร้องไห้เสียใจหัวเราะอยู่ หรือว่าเราจะไปไหนกัน เรามาอุทิศทำตามพระพุทธเจ้าอยู่ อุททิสสะ อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง อุทิศต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแต่ก่อนเป็นสามัญชนเป็นปุถุชน ทำอย่างไรจึงได้ชื่อพระพุทธเจ้า จึงมาเห็นเรื่องนี้
ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าผู้นั้นเห็นธรรม คือเห็นอะไร ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม คืออะไร เราก็ว่ากันอยู่เป็นพระสูตรเป็นคำสอน อุททิสสะ อะระหันตัง เจ้าชายสิทธัตถะได้ทำอะไร เหยียดแขนออก คู้แขนเข้า รู้สึก มันจะเห็นอะไร เห็นหลงทำยังไง อย่าให้มันหลงฟรี มีสติเป็นหน้ารอบ ได้ไหม อย่าไปเพ่งอยู่ในความสุขความทุกข์ อย่าไปเพ่งอยู่ในความรู้ ความรู้ใช้ได้เลย มันหลงก็รู้ ไม่ได้ไปหา นั่นแหละใช้อย่างนั้นเรียกว่ามีสติ ถ้าหลงเป็นหลงไม่มีสติ ในความหลงมันมีสติ มีความรู้ มันมาทางใดให้รู้ มีสติเป็นหน้ารอบ ไม่เหมือนตา หน้ารอบหมายถึงตาใน ตัวสติปัญญา ไม่เหมือนตาเนื้อ ตาเนื้อไปทางเดียว เห็นแต่ข้างหน้า ข้างหลังไม่เห็น ตาในมันมีหน้ารอบ มันคิดก็เห็น มันสุขก็เห็น มันทุกข์ก็เห็น มันรักมันเกลียดชังก็เห็น มันพอใจ มันไม่พอใจก็เห็น ตาเห็นรูปก็เห็นอีกตาหนึ่ง หูได้ยินเสียงก็เห็นอีกตาหนึ่ง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจคิดนึก เห็นอีก เรียกว่าหน้ารอบ ให้ใช้อย่างนี้
ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ ชื่อว่าพระขีณาสพ ใครเก่งขนาดนั้นเรียกว่าขีณาสพ ขีณาสพคือพระอรหันต์ ถ้าหลงเป็นหลงไม่เป็นขีณาสพ ทุกข์เป็นทุกข์ไม่เป็นขีณาสพ สุขเป็นสุขไม่เป็นขีณาสพ ดีใจเสียใจไม่เป็นขีณาสพ ขีณาสพคือเห็น ถ้าเห็นมันก็ไม่เป็น เรียกว่าหน้ารอบ ขีณาสพคือพระอรหันต์ มีสติเป็นหน้ารอบ ไม่เผลอ มีสติเป็นวินัย วินัย จากหลงไม่หลง นั่นแหละวินำไปแล้ว นำจากความหลงไปสู่ความไม่หลง วิ-วิเศษ นัยยะ-นำไป นำไปสู่ความวิเศษ ไม่หลงมันดีกว่าความหลง เพราะมันเห็น ไม่ทุกข์มันดีกว่าความทุกข์ ไม่โกรธมันดีกว่าความโกรธ ไม่วิตกกังวลเศร้าหมองมันดีกว่าความวิตกกังวลเศร้าหมอง นี่เรียกว่าหน้ารอบ พระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัย วินัยมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไประวัง สำรวม เดินย่อง ๆ ไม่ใช่ ไล่ให้มันพ้นไป ให้มันพ้น มันหลงพ้นจากหลง มันทุกข์พ้นจากทุกข์ มันอะไรต่าง ๆ เรียกว่าสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต เราได้ชีวิตเพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่ชีวิตคือร่างกายจิตใจ อันนี้ชีวิตแบบนี้มันเกิดแก่เจ็บตาย ให้กายมันใช้ ให้ใจมันใช้ กายมันก็ใช้ได้ แต่มันใช้ให้ร้อน ให้หนาว ให้สุขให้ทุกข์ ให้หิว ให้ปวดให้เมื่อย อันนั้นเป็นกาย กายมันใช้อย่างนั้น เกิดแก่เจ็บตายไป เกิดขึ้นแล้วดับไป มีแล้วหายไป เกิดขึ้นแล้วแก่เจ็บตายไป อันร่างกายจิตใจนี้ ถ้าไม่มีอะไรที่มันดีวิเศษกว่านี้ อะไรมันคือชีวิต ชีวิตมันไม่เป็นอะไร มันมีหน้ารอบแบบนี้ จึงจะเรียกว่าได้ชีวิต ถ้ายังเป็นสุขเป็นทุกข์ไม่ใช่ชีวิต เห็นมันสุขมันทุกข์ ไม่เป็นผู้สุขผู้ทุกข์นั่นคือชีวิต ตื่นแต่ดึกสึกแต่หนุ่มเอาไว้ อย่ารอให้เฒ่าให้แก่ คนแก่เฒ่าย่อมทุลักทุเลมาก เหมือนตาบอดข้ามฟากฝั่งคลองหา เหมือนการไต่ไผ่ลำคลาคลำมา กิริยาแสนทุลักทุเลแล ถ้าไม่อยากให้ทุลักทุเลมาก จงข้ามฟากแต่หนุ่ม ๆ ก่อนตอนแก่ มันจะสะดวก เราก็เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย ความโกรธก็แก่ ความรักก็แก่ เจ็บตรงนี้ ตกลงมันแก่เพราะความโกรธ แก่เพราะความรัก แก่เพราะความทุกข์ มันก็ตายอยู่ตรงนี้ เหนือซะ เหนือแก่ซะ ตายมันเกิดดับเกิดดับ เช่น ความรักก็แก่ ความรักก็ไม่เที่ยง ความรักไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่ใช่ตัวตนไม่ควรยึดว่าตัวว่าตน ถ้าไปยึดเอาว่ารักคือเรา ก็แก่เจ็บตาย ถ้านึกว่าโกรธคือเราก็แก่เจ็บตาย ถ้านึกว่าทุกข์คือเราก็เรียกว่าแก่เจ็บตาย เกิดมาเพื่อแก่ รักเพื่อแก่เพื่อเจ็บเพื่อตาย โกรธเพื่อแก่เพื่อเจ็บเพื่อตาย ดีใจเสียใจเพื่อแก่เพื่อเจ็บเพื่อตาย ไม่รู้จักเข็ดหลาบ บกพร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเบื่อ เอาให้มันพ้นซะ ชิตังเม พ้นแล้ว พ้นแล้ว พ้นแล้วโว้ย พ้นแล้วโว้ย
เหมือนคนขี่เสือ เห็นไหมคนขี่เสือน่ะ บอกให้อาจารย์ทรงศิลป์เขียนชิตังเมให้ ก็ยังไม่ได้เขียนนะ ชิตังเมเป็นภาษาบาลี พ้นแล้วโว้ย ถ้าเราขี่มัน ก็สูงกว่ามัน มันไม่เป็นใหญ่ เดี๋ยวนี้อะไรเป็นใหญ่ บางทีเราก็ไม่มั่นใจตัวเอง ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร อะไรมันเป็นใหญ่จึงพูดอย่างนั้น แสดงว่าไม่ได้เป็นใหญ่ เป็นทาสของอาการต่าง ๆ จึงมีสติเป็นหน้ารอบ หัดใช้ให้มาก ฝึกฝน ฝึกตน สอนตน เตือนตน แก้ไขตน จึงจะเรียกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าหลงเป็นหลงไม่เป็นมนุษย์ ถ้าหลงเป็นไม่หลงเรียกว่ามนุษย์ ถ้าทุกข์เป็นทุกข์เรียกว่าคน ถ้าเป็นทุกข์ไม่ทุกข์พ้นจากทุกข์เรียกว่ามนุษย์ สัตว์ประเสริฐ มีหลงจึงพ้นจากหลง มันมีทุกข์จึงพ้นจากทุกข์ มันมีแก่จึงพ้นจากแก่ มันมีเจ็บจึงพ้นจากเจ็บ มันมีตายจึงพ้นจากตาย นี่คือมนุษย์ มนุสฺโส ปฏิลาโภ เป็นมนุษย์เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้ามันทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำแบบนี้ไม่ใช่ลาภ มีแต่เคราะห์เข็ญเวรภัย โกรธนาน ๆ หลงนาน ๆ เป็นวิบาก เป็นกรรม เป็นกิเลส เหมือนคนสูบบุหรี่ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงติด นั่นละกิเลส กรรม วิบาก นานเท่าไร บางคนไม่สูบ ไม่สูบไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยาก เพราะไม่อยากก็ไม่สูบ เพราะไม่สูบก็ไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยาก เพราะไม่อยากก็ไม่สูบ เพราะไม่สูบก็ไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยาก จบ เท่านั้นเอง
เพราะไม่หลงมันจึงพ้นหลง เพราะไม่โกรธจึงพ้นโกรธ เพราะไม่ทุกข์จึงพ้นทุกข์ มันเห็นแจ้งจริง ๆ ทุกข์หลอกไม่ได้ สุขหลอกไม่ได้ หลงหลอกไม่ได้ นี่มันเห็นแจ้ง ไม่ต้องถามใคร ความไม่หลงมันชัดเจน เป็นธรรม ความหลงเปลี่ยนเป็นธรรม นี่เรามาศึกษาเรื่องนี้ ถ้ายังหลงอยู่ต้องศึกษาละ ถ้ายังทุกข์อยู่ต้องศึกษา ถ้ายังโกรธอยู่ต้องศึกษา ถ้ายังดีใจเสียใจหัวเราะร้องไห้วิตกกังวลเศร้าหมองต้องศึกษา ถลุงย่อยออก ให้มันได้แต่เนื้อ อะไรที่ไม่ใช่เนื้อให้หมดไป อย่าเป็นบ้าหอบฟาง เอาทุกอย่าง สุขก็เอา ทุกข์ก็เอา หลงก็เอา รักก็เอา เกลียดชังก็เอา คนที่รักก็เป็นคนที่เกลียดชัง พะรุงพะรัง
ถ้ามีความสุขก็มีความทุกข์คู่กัน ถ้ามีความรักก็มีความเกลียดชังคู่กัน โลกมันมีรสชาติแบบนั้น สัตว์โลกติดโลก เหมือนปลาติดเบ็ด ผู้ที่มีความโกรธก็ติดความโกรธได้ อะไรเอาความโกรธออกหน้าออกตา ผู้ที่มีความทุกข์ก็ติดความทุกข์ได้ ติดใจออกหน้าเอาใจไปรองรับ ใช้ใจรองรับทุกอย่าง ถ้าทุกข์ให้สักแต่ว่า ต้องให้มีสติเป็นหน้ารอบ ตาเห็นรูป มันก็มากระทบที่ใจส่งมาที่ใจ หูได้ยินเสียงก็ส่งมาที่ใจ จมูกได้กลิ่นส่งมาที่ใจ ลิ้นได้รสส่งมาที่ใจ กายสัมผัสส่งมาที่ใจ ใจก็มีใจในใจ จิตในจิต กระทบ เหมือนอวัยวะหน้าด่าน เหมือนตับ ใช่ไหมคุณหมอ ตับเป็นหน้าด่านแนวหน้า กินอะไรลงไป อารมณ์กระทบใจ อารมณ์กระทบตับ กินเหล้าลงไปกระทบตับ กินเนื้อลงไปกระทบตับ โกรธกระทบตับ ใช่ไหมหมอ แม่นบ่ (หัวเราะ) เวลาโกรธกระทบตับ หลวงตาอ่านตำรา วิตกกังวลกระทบหัวใจ เรามีหัวใจไหม หัวใจอยู่ตรงไหน (หัวเราะ) วิตกกังวลกระทบหัวใจ เครียดกระทบอะไร กระเพาะอาหาร ใช่บ่ ถ้าเครียดน่ะกินข้าวแซบบ่ รับรองกินข้าวไม่ลง ว้าเหว่ หมดอาลัย น้อยเนื้อต่ำใจ กระทบปอดม้าม นั่นนะเห็นบ่ มันมีอย่างนี้ ชีวิตของเรา ไม่ใช่เราจะอะไร มันไม่ใช่โกรธเฉย ๆ มันไม่ใช่เครียดเฉย ๆ มีผลพ่วงไปไกล นอกจากเป็นผลกระทบต่ออวัยวะในร่างกายเรานี้แล้ว ยังไปสู่อีกเปรต นรก สัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิไปโน่น น่ากลัวนะ อย่าประมาท ปล่อยให้มันโกรธได้ยังไง ตับมันมี ปล่อยให้มันเครียดได้ยังไง หัวใจมันมี ปล่อยให้มันเศร้าโศกวิตกกังวลทำไม กระเพาะอาหารมันมี ปอดมันมี เราต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้
เราจึงให้มีหน้ารอบเอาไว้ ให้มันไม่เป็นอะไร ปลอดภัยที่สุด ไม่เป็นอะไรกับอะไร เวลาไหนไม่เป็นอะไร ไม่เป็นไร หัดพูดเอาไว้ หัดคิดเอาไว้ อะไรนิดหน่อย “ไม่เป็นไร” “ช่างหัวมัน” “เป็นเช่นนั้นเอง” ให้พูดอย่างนี้ เป็นยาอายุวัฒนะ ถ้าใครยังมีเป็นคำพูดบ้าง “ไม่เป็นไร” “ช่างหัวมัน” “เป็นเช่นนั้นเอง” เรียกว่ายา รักษาโรคได้ทุกอย่าง ยาอายุวัฒนะ ฝนรากที่หนึ่ง “ไม่เป็นอะไร” ลงไป สามราก ฝนรากที่สอง “ช่างหัวมัน” รากที่สามเอาลงไป “เป็นเช่นนั้นเอง” แล้ว ๆ กันไป แล้วไปแล้ว อย่าถือสาหาเรื่อง สิ่งที่แล้วก็แล้วไป อย่าเอามาคิด อย่างนี้เรียกว่าฝนยาอายุวัฒนะ อย่าพูดว่า ไม่ยอม ไม่ยอม อย่าพูดอย่างนั้น กูไม่ยอม ถ้ากูได้โกรธแล้วกูไม่ยอม มึงรู้จักกูโกรธไหม ถ้ากูได้โกรธไม่ยอม ใจกูนี้มันไม่ยอมใคร อันตราย “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หัดไว้อย่างนี้ ช่วยสติ สิ่งแวดล้อมสติ มีเมตตากรุณาลงไป ทำสิ่งใด คิดสิ่งใด พูดสิ่งใด มีเมตตากรุณา เป็นเพื่อนกันไป อย่าจนกุศล อย่าจนบุญ ตลาดแห่งบุญมีเยอะแยะ อภัยทานก็เป็นบุญ ไม่เป็นไรก็เป็นบุญ ไม่ต้องมีเงินมีทองไปทำทานก็ได้ จาคะสละอารมณ์เน่าออกจากจิตใจเป็นบุญ อย่าตระหนี่ มีไหม เอามาด้วยไหม ความโกรธเอามาไหม ความทุกข์เอามาไหม มีอะไรอารมณ์ค้างกับใครที่ไหน จาคะเลย
สัพเพสัพตาฯ สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อย่าได้มีเวรมีภัยต่อกันและกันเลย ล้างบางของบาป ล้างบางมันเลย ไม่ได้ไปเห็นอะไรก็แผ่ไป ใจมันกว้างใหญ่ไม่มีอะไรขวางกั้น แม่น้ำ ภูเขา มหาสมุทร จะขวางกั้นความเมตตากรุณาของเราไม่ได้ แผ่ไปยังทุกสรรพสิ่งมันจะยิ่งใหญ่มาก อย่าคับแคบ ช่องน้อย ๆ ให้มันกว้างใหญ่ไพศาล คุณความดีของเราที่มีชีวิตนี้ เราจึงใช้ชีวิตนี้ไม่เบียดเบียนตัวเองเอาไว้ เราใช้ชีวิตนี้ไม่เบียดเบียนคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่น เด็ดขาด หนึ่งละ เราให้มันมีสิ่งแวดล้อม มันจะงอกงามในคุณในธรรม ถ้ายังเหือดแห้งสิ่งเหล่านี้ เลือกที่รักมักที่ชัง มันไม่มีสิ่งแวดล้อม เหมือนปลูกข้าวในพลาญหิน ปลูกข้าวในที่แล้ง เหมือนหน้านาไม่มีน้ำฝน ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีเมล็ดพืช เมล็ดแห่งโพธิคือสติ ต้องมีที่ปลูก มีเนื้อดิน ศรัทธา ความเชื่อว่าทำดีก็ดี สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าของโคฉันนั้น เห็นไหม วัวเทียมเกวียนอยู่โน่น สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ผู้ทำกรรมดีก็ย่อมดี ทำความชั่วย่อมชั่ว “อัตตะนา อะ กะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธเย” บุคคลหว่านพืชเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมรับผลชั่ว เหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าของโคฉันนั้น
กรรมคือการกระทำ คิดอะไร พูดอะไร ทำสิ่งไหน มีกรรมไหม ยังคิดชั่วไหม ยังเบียดเบียนตนเองไหม ยังเบียดเบียนคนอื่นไหม มันก็ยังมีกรรมอยู่ สละออก เรียกว่าทำบุญ สละอารมณ์เน่า ละความชั่ว ทำความดี มีสติเนี่ย มันเป็นพลัง มีสติมันก็ละความชั่วแล้ว มีสติมันก็ทำความดีแล้ว มีสติจิตก็บริสุทธิ์แล้ว มีสติก็รักษาศีลแล้ว ทำบุญแล้ว การมีสตินี้ เราไม่ได้คิดอะไรมีแต่รู้ ๆ มันก็เป็นบุญแล้ว ใจไม่เป็นไร มันสุขก็เห็นมันสุขเนี่ย มันรู้แล้ว เป็นบุญแล้ว มันทุกข์เห็นมันทุกข์เนี่ย เป็นบุญเป็นกุศลแล้ว ฉลาดแล้ว ฉลาดออกจากทุกข์ ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้ว ปฏิบัติออกจากทุกข์แล้ว ปฏิบัติสมควรแล้ว เป็นสถาบันของชีวิตเรา ชีวิตต้องเรียนให้จบ ถ้าไม่จบมันจะเป็นการบ้าน เป็นภาระ ความหลงเป็นภาระ ความโกรธเป็นภาระ ความทุกข์เป็นภาระอยู่
“ภารา หะเว ปัญจักขันธา” ขันธ์ทั้ง 5 เป็นของหนัก แบกไปถือไป มาจากไหนก็แบกไปด้วย ปีกลายนี้ก็ยังแบกมา ความโกรธเกิดที่ใดก็ยังแบกมาเป็นภาระ บุคคลแหละ เป็นผู้แบกของหนักพาไป การสลัดของหนักทิ้งลงเสียเป็นความสุข ทั้งยังไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว จิตใจ กายใจของเราไม่มีอะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป มันสิ้นไปแล้ว มันสิ้นไปแล้ว สิ้นไปแล้วถึงนิพพานนั่น ยังอยู่ทำไม
มันทำได้ มันทำได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ได้ยินไหม ก็สวดทุกวัน พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ความหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้อง ความทุกข์ไม่ถูกต้องเลย ความไม่ทุกข์ถูกต้องกว่า ความโกรธไม่ถูกต้องเลย ความไม่โกรธถูกต้องกว่า อย่าหน้าด้าน อย่าดื้อกันมากเกินไป การดื้อแบบนี้เรียกว่าปุถุชน ปุถุชนผู้มืดหนา หนามาก ไม่ซึมซับเข้าไปในหัวใจ หน้าด้านในความหลง หน้าด้านๆในความทุกข์ หลงเท่าไรก็ยังหน้าด้านอยู่ ไม่เปราะบาง ไม่เป็นเนยยะบุคคล เหมือนบัวใต้น้ำ ไม่มีโอกาสบรรลุธรรมนะ ส่วนผู้ใดพอมันหลงรู้ เรียกว่าอุคคฏิตัญญูบุคคล เหมือนบัวพ้นน้ำ ง่าย ๆ หลง 1 ครั้งอาจจะดีกว่าคนอื่นหลง 2 ครั้ง 3 ครั้ง เป็นพระอนาคามีบุคคล ภพเดียว ภพเดียว พระอนาคามีบุคคลผู้มีภพอันเดียว ภพคือความทุกข์ แป๊บเดียว อุ๊ย! เอาแล้ว หมดแล้ว ไม่มีอีกแล้วในความทุกข์อันนั้น สุดไปเลย แต่ปุถุชนนี้ กี่ภพกี่ชาติ หนา ในความโกรธ หนาอยู่กับคน ๆ นั้น ไม่มีภพอันเดียว 7 ภพ 100 ภพ 1000 ภพ 1000 ชาติ เกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดรัก เกิดเกลียดชังอยู่ตรงนั้นเรียกว่าปุถุชน พระอนาคามีบุคคลนี้ภพเดียว ถ้าพระอรหันต์ไม่มีภพภูมินี้เลย ไม่เป็นอะไรกับอะไรแล้ว พ้นแล้ว ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว มีอยู่อย่างนี้นะสัจธรรม หาที่ใดไม่พบ ต้องหาที่ชีวิตเรานี้ นั่งอยู่นี่เรียกว่าตู้พระไตรปิฎก มีหมดทุกอย่าง มีพระสูตร มีพระอภิธรรม มีพระวินัย เรียกว่าปิฎก ปิฎกแปลว่าตะกร้า ใส่ของ ๓ ใบ พระสูตรก็คือกาย เวทนา จิต ธรรม มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีธาตุ 4 ขันธ์ 5 มีไหม อยู่ในชีวิตแม่ชีมีไหม มีรูปไหม เอามือหยิกกันดูสิเจ็บไหม (หัวเราะ) มันก็มีรูป มันก็มีเวทนา ยุงกัดมันก็เจ็บ ไม่มีอาหารก็หิว มีรูป มีเวทนา มันเป็นสูตรของมัน อย่าไปตู่เอา เวลายุงกัดต้องเจ็บ อย่าให้ความเจ็บเป็นทุกข์ เห็นมันเจ็บ ถูกต้องแล้ว ยุงกัดมันเจ็บ ถ้ายุงกัดไม่เจ็บมันไม่ใช่แล้ว อันตรายแล้ว ถ้ามันคันสักหน่อย มันดีแล้ว จะได้เกา การเกานี่มันดีนะ มันดียังไง มันเอาพิษออก (หัวเราะ) เอาพิษออก ถ้ามันไปถูกมันเจ็บ ปัดออกไม่เจ็บอันตรายเป็นมะเร็งไปแล้วที่นั่น เป็นมะเร็งนะ ไม่มีอาหารในกระเพาะมันหิว ถูกต้องแล้ว เป็นสูตรของเขา ถ้าไม่หิวไม่มีอาหาร ตายแน่ ๆ ไม่เหลือ อย่าไปทุกข์เวลามันหิวนะ อันนั้นเรียกว่าถูกต้องแล้ว อะไรเข้ามาทุกข์ ไม่ใช่ อิ่มก็เป็นสุข หิวก็เป็นทุกข์ ไม่ใช่ มันอิ่ม มันก็อิ่มเฉย ๆ ไม่ใช่เอามาสุข อย่าเอามาเป็นสุขเป็นทุกข์ สูตรนี้ให้เห็น สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม มันจึงจะจบสูตร เรียกว่าสถาบันมันจบ จบแล้วสูตรเป็นสูตร เป็นสูตรไป จึงตั้งชื่อนี้ว่าสถาบันเลยทีเดียว สถาบันสติ เปลี่ยนให้มันจบซะสูตรเนี้ย อย่าให้เป็นการบ้าน อย่าให้เป็นภาระต่อไป จะได้แจกของส่องตะเกียง ช่วยกัน
ประเทศไทย ชาติไทยดี๊ดีเมืองไทยนี้ ไม่มีประเทศไหนดีเท่าเมืองไทย อย่าทะเลาะวิวาทกันเลย เห็นคุณค่าของประเทศไทย หลวงตาเห็นคุณค่า เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นหมอ เห็นพยาบาลเหมือนเทพธิดาเทพบุตร ประชาชนทุกคนช่วยเรา ประเทศไทยทุกคนเสียภาษีอากรให้รัฐบาล รัฐบาลเอาเงินเสียภาษีของพวกเราไปซื้อยามาให้ มารักษาเราหาย เนี่ยมันก็ผู้ที่ไม่ได้รักษาหายก็เป็นคนไทย ไม่รู้ว่าใครจำไม่ได้ ไม่เห็น ไปยืนเกาะกระจกหน้า กระจกนอกห้อง ขณะที่หลวงตาอยู่ห้องไอซียู ตายไปแล้ว หายใจไม่ได้ แง่บ ๆ อยู่ เห็นยืนเกาะกระจกน้ำตาร่วงเป็นแถว ๆ หลวงตาก็ยังสงสารเขา โอ๊ย! มาร้องให้กับคนไม่มีทุกข์ยังไงหนอ มันสนุกป่วย หายใจไม่ได้ก็สนุก ไม่เห็นมีทุกข์ตรงไหน พูดก็พูดไม่ได้เลยขอปากกามาเขียน “ญาติโยมที่ยืนอยู่กระจกข้างนอก ไม่ต้องเป็นห่วงหลวงตา หลวงตามีชีวิตเป็นส่วนตัวมากที่สุด ไม่เห็นทุกข์อะไร ไม่เดือดร้อนตรงไหน พากันกลับบ้านได้” ให้ไอ้ตั๊ก ไอ้น๊อต เอากระดาษออกไป น้ำลายฟูมปาก มีหลาน 2 คนไปยืนดู กระดาษทิชชูเช็ดน้ำลายให้ เวลาคนหายใจไม่ได้ ใช่ไหม ปากมันมีน้ำลายเป็นฟองปุดออกมา (หัวเราะ) สนุก สนุกนะ เขียนออกไปก็ยังไม่หนี ยังยืนร้องไห้กันอยู่ คนไทยเราก็ไม่อยากให้เราตายก็มี คนอยากให้ตายก็มี ช่างหัวมัน (หัวเราะ) ช่างหัวมันไม่เป็นไร ไม่เป็นไร นี่คนไทย อ้าว! หมอแฟกซ์มาจากสหรัฐฯ ทราบว่าหลวงพ่อป่วยเป็นก้อนเนื้อในตับ ยังไม่มียารักษาเลย เอามาอ่าน หมอกำพลเป็นคนอ่าน เราก็นอนหายใจแหม่บ ๆ อยู่ หมอมายืนนะ ยังไม่มียารักษาเลย เป็นยังไง เราก็รู้แล้ว โรคบางอย่างรักษาได้ โรคบางอย่างรักษาไม่ได้ ตายแล้วอะไรแล้ว พ่อเราก็ตายแล้ว แม่เราก็ตายแล้ว พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานไปแล้ว หลวงพ่อเทียนก็ตายไปแล้ว หลวงพ่อจรัญก็ตายไปแล้ว เรากำลังเข้าคิวกันพอดี ไม่เห็นกลัวอะไร หมออยู่นี่ก็เห็นทางนั้นแฟกซ์มา หมอที่นี่ก็แฟกซ์ไป ว่าโรคก้อนเนื้อในตับอ่อน มันเกิดจากก้อนเนื้อโตเร็วในลำคอต่อมน้ำเหลืองไปสู่ตับ ทางนั้นก็แฟกซ์มาอีกทันที เอ้อ! ถ้าอย่างนั้นรักษาได้ ฉีดคีโมให้หลวงพ่อโดยด่วน ให้หลวงพ่อได้หายใจได้ ข้าพเจ้าปฏิเสธวิธีการรักษาอื่นใดทั้งสิ้น นอกจากให้คีโม ตกลง เขาก็เอากระดาษมาให้ ยังพอเขียนหนังสือได้ เขียนไปเลย เอาเลย เอาเลย เอาเลย ตายก็ไม่เป็นไร หายก็ไม่เป็นไร แล้วแต่ ผลที่สุดก็รอดมาได้ (หัวเราะ) นี่คือคนไทย ประเทศไทย ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ มีชาติศาสนา เห็นคุณค่าของศาสนานี้
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เรื่องนี้ เจ็บไม่เป็นทุกข์จริง ๆ ตายไม่เป็นทุกข์จริง ๆ ไม่มีทุกข์นะ นิดหน่อยเท่านั้นเอง มันทุกข์ไม่ทุกข์ เห็นมันทุกข์ไม่ทุกข์น่ะ มี ปวดตับ ปวดท้อง สุดยอด หายใจไม่ได้สุดยอดเลย ไม่ทุกข์นะ มันมีอยู่จริง ๆ คำว่าไม่ทุกข์ ศาสนานี้ โอ๊ย! ก็มาคิดถึงคน ถ้าคนเราไม่รู้เรื่องนี้ จะทำยังไงนะ ยังเป็นห่วง เป็นห่วงคนที่ยืนเกาะกระจก น้ำตาไหลอยู่นั่น เราเห็นทุกข์ตรงไหน เราต้องบอกเขาสิ ต้องสอนกรรมฐาน สอนยังไง เราจะหายใจตายอยู่แล้วเนี่ย เราต้องไม่ตาย