แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้พวกเราก็มารวมตัวกันที่นี่โดยไม่ได้นัดหมายอะไร ต่างคนต่างสำนึกขึ้นมาเองจากทุกภาคของประเทศก็ว่าได้ ก็ไม่มากแต่ว่าพอสมควร เราก็มาทำหน้าที่ของเรารวมกันที่นี่ ที่เป็นสาระ วันนี้ก็เป็นวันอาสาฬหบูชาเวียนมาครบอีกรอบหนึ่ง ชีวิตเราก็ยังพอมี ยังไม่ตาย ก็เรียกว่าโชคดีที่เราจะได้ประกอบจิตอันสูงสุดนี้ให้เกิดเพิ่มเติมขึ้นแก่เราอีกให้มันมากขึ้น เหมือนหัวเผือกหัวมันที่อยู่ในดิน และก็โตขึ้นเรื่อยๆ โตกว่าปีที่แล้ว คุณธรรมที่มีอยู่ในชีวิตเราก็อาจจะโตขึ้น ถ้าเราเพียรพยายามประกอบอยู่เสมอเป็นไปได้ โดยการทำวัตรวันอาสาฬหบูชาในวันนี้เกี่ยวกับพวกเราทั้งนั้น คือ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักรกัปวัตนสูตร อันเป็นไปเพื่อเทวดา มาร พรหมและมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกทั้งมวล ได้ประโยชน์จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ เราได้ประกอบพิธีในวันนี้ จากที่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตั้งแต่วันเพ็ญเดือน 6 ยังไม่เคยแสดงธรรม มาแสดงวันนี้วันเพ็ญเดือน 8 ให้แก่คน 5 คนฟัง เรียกว่าปัญจวคีย์อย่างที่เราสาธยายพระสูตรอันเป็นสูตรที่ยิ่งหนุนจักรธรรมให้เกิดขึ้น จนแหลกไปเลย เหยียบย่ำไปเลย ในทุกข์ ในสมุทัย ในนิโรธ มรรค แหลกไปเลย สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ สิ่งใดเป็นทางดับทุกข์ สิ่งใดทำให้หมดทุกข์ได้ สำเร็จไปเลย พอได้เป็นไปแล้ว อย่างน้อยเป็นไปแก่ปัญจวัคคีย์ โกณฑัญญะผู้มีอายุไปรู้เรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเชลยคนที่1
เรียกว่าพระสงฆ์เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาในวันนี้ คือ โกณฑัญญะพราหมณ์โกณฑัญญะพราหมณ์คือใคร คือพราหมณ์ทั้งแปดที่ไปทำนายลักษณะของสิทธัตถะตั้งแต่ประสูติใหม่ ทำนายลักษณะ ก็ทำนายได้แม่นยำว่า สิทธัตถะนี้ออกบวชแน่นอน ตรัสรู้เป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นศาสดาเอกในโลก เป็นศาสดาเอกในโลก ทำนายไว้อย่างนี้ โกณฑัญญะเป็นพราหมณ์หนุ่ม ส่วนพราหมณ์อีกเหล่านั้นทำนายเป็นสองลักษณะ ว่าถ้าสิทธัตถะครองฆารวาส จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก สองลักษณะ ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์นี้ทำนายเป็นลักษณะเดียวต้องออกบวชแน่นอน เป็นศาสดาเอกในโลกแน่นอน รอจนสิบหกปี เอ้า! พระเจ้าสุทโธทนะสร้างปราสามสามฤดูให้ กลัวว่าสิทธัตถะจะออกบวช จึงสร้างโลกให้น่าอยู่ หาอัครมเหสีคือพิมพา สาวงามเป็นอัครมเหสี มีสนมกำนันในตลอดเวลา จนไม่เห็นอะไร อยู่ในแต่ปราสาทสามฤดู ฤดูร้อนอยู่หลังหนึ่ง ฤดูหนาวอยู่หลังหนึ่ง ฤดูฝนอยู่หลังหนึ่ง โกณฑัญญะพราหมณ์ก็ยังไม่หมด ยังเชื่อมั่นในการลักษณะของสิทธัตถะ จนรอไปถึงพระชนม์ชีวิตได้อายุ 29 พรรษา ออกบวชจริงๆตอนนั้น โกณฑัญญะพราหมณ์เลยชวนเอาลูกของพราหมณ์ที่ไปทำนายลักษณะในวันนั้นด้วยกัน เอาลูกของพราหมณ์
ส่วนพราหมณ์ที่ไปทำนายลักษณะด้วยกันนั้น หมดชีวิตไปแล้วเพราะเป็นคนเฒ่าคนแก่ ไปชวนเอาลูกของพราหมณ์ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิไปด้วยกัน ออกติดตาม เพื่อให้สิทธัตถะออกบวชแล้วจะได้ตรัสรู้ ลองโปรดพวกเรา ก็ตามไปนั่น เดินอยู่ถึงหกปี ตามสิทธัตถะออกบวช จนหนีจากเห็นมากินข้าวกินน้ำ ปัจวัคคีย์หนีจากออกจากพุทธคยา ออกจากบ้านนางสุชาดา ใกล้ๆกับพุทธคยา (ลิ้นมันแข็งนะ) หนีไปอยู่อิสิปตนโน่น เมืองพาราณสี พุทธคยาจากเมืองพาราณสีนี่ มันไกลกันนะอย่างน้อยต้องสามร้อยกม. สี่ร้อยกม.เท่ากรุงเทพมาชัยภูมิเนี่ย พระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้วในวันเพ็ญเดือนหกน่ะ ได้ได้หาคนที่สอน จะสอนใครหน๊อเรื่องเนี่ย จึงคิดเห็นปัณจวัคคีย์ พอมีนิสัยผู้ที่จะฟังธรรมะนี้ได้ ทีแรกก็คิดเห็นอุทกดาบส อาฬารดาบสที่เป็นอาจารย์คนแรก แต่ว่าหมดไปแล้ว ไม่มีแล้ว จึงมั่นใจเดินรอนแรมจากพุทธคยามาอิสิปตนได้แสดงธรรมในวันนี้แก่ปัญจวัคคีย์ คือทั้งหมดแล้วสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่การตรัสรู้ การปรินิพพานตลอดทั้งการเกิดแก่เจ็บตาย จบลงไปในธรรมเทศนากัณฑ์เดียวนี้ ทั้งหมด แล้วเกี่ยวกับเรายังไง
การตรัสรู้การแสดงธรรมเกี่ยวกับพวกเรายังไง เราปฏิเสธไม่ได้ชีวิตของเราก็คือเรื่องนี้ เรื่องการเกิดแก่เจ็บตายแน่นอน เรื่องความเวียนว่ายตายเกิดที่มันทำให้เราวนเวียนอยู่นี่ มันจึงเป็นเรื่องของเรา เราปฏิเสธไม่ได้ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระธรรมคำสอนมาพร้อมกัน อันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน มาพร้อมกันหมดครบถ้วนเรียกว่าธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ดังที่เราได้สาธยายพร้อมกันนี้ ไม่ควรจะสงสัย แล้วมันคืออะไร คือเราก็เห็นอยู่ มีสติมันก็มีได้ทุกคน สติคืออะไร คือความรู้สึกตัว เมื่อมีสติก็เห็นอะไร เห็นความหลง เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ แล้วเห็นแล้วเราทำยังไง เห็นหลง ให้หลงเป็นหลง มันก็ไม่ใช่เห็น เห็นหลงไม่เป็นผู้หลง เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ก็ทำได้ไม่โทษที่ตนเอง เราได้ทำแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าทำแล้ว สิ่งใดที่ทำให้เกิดทุกข์ เรารู้แล้ว เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เราทำแล้ว ทางที่ทำให้ออกจากทุกข์ เราได้ทำแล้ว ความพ้นทุกข์ เราได้พ้นไปแล้ว เหมือนเราเห็นงู ไม่ต้องเจ็บเพราะงูกัด เห็นทุกข์ไม่ต้องทุกข์เพราะความทุกข์ และก็เป็นเรื่องของเรา ถ้าเราไม่เปลี่ยนตรงนี้มันจะมีค่าอะไร มันจึงทำได้ทุกชีวิต ทุกชีวิตก็มีอยู่อย่างเนี่ย เรามามีสติมาดูเนี่ย มาเห็นเนี่ยนานเท่าไหร่
ชีวิตของเรานี่ระหว่างรู้ระหว่างหลงมันมากกว่ากันเท่าไหร่ เราจะปล่อยให้หลงอยู่เช่นนั้นหรือ เพียงแต่เรามาเดินจงกรม มาเดินยกมือเคลื่อนไหวชั่วโมงนึงก็หลงไปเท่าไหร่ เรารู้ไปเท่าไหร่ มันสมดุลกันไหม ถ้าเราไม่ช่วยตนเองตอนนี้ ก็ไม่รู้จะช่วยอะไร ไม่ใช่มีค่าอะไรเลย ถ้าเราเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลงนี่มีค่าขึ้นมาแล้ว แต่ก็ดีเวลามันหลงรู้ขึ้นมาได้ประโยชน์ เวลามันทุกข์รู้ขึ้นมาได้ประโยชน์ เวลามันโกรธรู้ขึ้นมาได้ประโยชน์ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าเราไม่ทำตรงนี้อะไรที่เป็นชีวิตของเรา เวลาที่เราใช้ไปมันเป็นยังไง สัมผัสดู สัมผัสกับความไม่หลง สัมผัสกับความไม่ทุกข์ สัมผัสกับความไม่โกรธ ทุกคนก็มีเรื่องเนี่ยไม่ใช่ไม่มี เราไม่ได้ปฏิเสธ ไม่หลงเรื่องใดก็หลงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บางทีก็หลงมาก บางทีก็หลงน้อย เสียเปรียบความหลง เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความทุกข์ จนเป็นร่องเป็นรอยในหัวใจของเรา รอยรักรอยแค้นรอยผิดรอยถูกรอยอะไรต่างๆ เราจึงไม่ควรจะเสียเปรียบมัน มันเกิดจากเท่านี้มีเหตุมีปัจจัย
ทุกสิ่งๆเกิดแต่เหตุ เราก็จะดับจะแก้ก็แก้ที่เหตุมันเนี่ย เหตุมันคือตรงไหนคือไม่รู้ ความไม่รู้เหมือนป่าถ้ารู้ก็เหมือนทาง เราก็เลยหลงยังหลงอยู่ โกรธก็ยังโกรธอยู่ ยังหมกมุ่นอยู่ในป่าแทนที่จะไม่หลงเป็นทางไป หลงเป็นหลงหรือว่าอยู่ในดงในป่า ถ้ามีป่าก็ต้องมีอะไรอยู่ที่นั่น มีของที่ไม่สะดวกมีพิษมีภัย โบราณท่านจึงว่า ณ ที่ใดมีป่าอย่าประมาท เสืออุบาทมีอยู่คู่สถาน คอยจับจ้องมองเหยื่อทุกวันวาน ใครเดินผ่านไม่ระวังมีหวังตาย ป่าคืออวิชชา คือไม่รู้ ความรู้ไม่ใช่มีป่า โล่ง เห็น เราอยู่ทุกวันนี้ก็อยู่ในที่มันมีทาง เดินไปในที่มีทาง ชีวิตเรามันต้องมีทาง จะไปที่ใดต้องมีทาง จึงถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่ดุ้นเดาไปมันมีทางไป แผนที่ทางเดินตามพระพุทธเจ้าแสดงธรรมพระสูตรต่างๆเป็นแผนที่ขีดเส้นไว้ หลงทีใดรู้ทีนั่นกลับไปทางให้มันถูก ถ้าไปทางมันหลงอยู่ก็หมกมุ่น แล้วก็หลงเรื่อยไป หลงไม่ใช่หลงน้อยๆหลงเพิ่มขึ้น จนเกิดอะไรต่างๆมากขึ้นมา นี่คือพระธรรมคำสอนในวันนี้ มีหลักมีฐาน มีตัวมีตนสัมผัสได้ชีวิตของเราสัมผัสได้ ไม่ใช่อยู่คนละโลก มันอยู่กับเราทุกชีวิต ถ้าเราได้ทำตรงนี้ให้มันถูกจากสิ่งที่ผิด มันก็คุ้มค่า จึงตั้งใจกระตือรือร้นแต่เรื่องอย่างนี้กันนะ การปฏิบัติก็ทำได้ทุกคน ไม่ใช่ทำไม่ได้ ไม่ใช่คนละเรื่อง เห็นกันอยู่ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติก็ย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ถ้าใครมีสติก็หลงน้อย ถ้าใครไม่มีสติก็หลงมาก เหมือนแสงหิ่งห้อยให้แสงสว่างนิดหน่อย แสงตะเกียงก็สว่างขึ้นนิดหน่อย แสงนีออนก็สว่างขึ้นนิดหน่อย มากขึ้นกว่าแสงตะเกียง ถ้าแสงดวงอาทิตย์ก็รู้แจ้งโลก โลกวิทูอันที่มีอยู่ในกายกว้างศอกยาววาหนาคืบรู้หมด ไม่ใช่ไม่รู้ เรียนให้มันจบตรงนี้ คิดว่ารู้โลก มีสติเป็นหน้ารอบ การมีสติเป็นหน้ารอบ ในรูปในนามในกายในใจ ท่านเรียกว่าพระอรหันต์ อุชุง กายังปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปตวา(อุชุ กายัง ปะณิธายะ ปะริมุชัง สะตัง อุปัฏฐเปตตะวา)ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ ขีณาสพ คือพระขีณาสพ ขีณาสพคือใคร คือพระอรหันต์ มันอยู่ที่ไหนหรือ มันอยู่ที่เราเนี่ยสร้างขึ้นมา ประกอบขึ้นมา มันจะมีขึ้นก็ต้องประกอบ ไม่ใช่เพ้อฝัน ไม่ใช่อ้อนวอน ไม่ใช่เรื่องอื่น ต้องประกอบ
สติมันจะเกิดต้องประกอบ ไม่ใช่ท่องจำด้วยซ้ำไป ต้องประกอบขึ้นมา สัมผัส เอากายไปสัมผัส เอาใจไปสัมผัสกับความรู้สึกตัว เดี๋ยวนี้กายสัมผัสอะไร ใจมันสัมผัสกับอะไร อาจจะสัมผัสกับอารมณ์ความหลงมาก จนเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน หมักหมม เป็นจริตเป็นนิสัย เพราะไม่เคยสอนตนเตือนตนแก้ไขตนเองเลยอยู่นั่น พองพูนไปจนมาก เหมือนดินพอกหางหมู เป็นเจ้าอารมณ์ โทสะจริต โมหะจริต นาคะจริต โมคะจริตกันมากมาย คิดอะไรออกหน้าออกตา ไม่มีคุณธรรมแก่ชีวิตของเรา อาศัยไม่ได้ มีใจก็พึ่งใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ก็มั่นใจตัวเอง มันจะอยู่กันยังไง มันก็มีสิ่งที่ทำได้อยู่ พึ่งได้อยู่ มันไม่เกิดลี้ๆลับๆ มันโง่ๆ ความหลงก็โง่ๆ ความโกรธก็โง่ๆ ความทุกข์ก็โง่ๆ แสดงออกได้ เวลาที่มันทุกข์ก็แสดงออกมาทางใบหน้าทางกายทางใจ เราไม่เห็นคนอื่นก็เห็น หน้าบูดๆหน้าบึ้งๆพูดจาก็ไม่เพราะ จับศาสตราอาวุธประหัตประหารได้ แต่เราก็เห็นอยู่ ถ้าไม่เห็นตัวเองก็เวลามันโกรธ ไปส่องกระจกดู มันจะน่าดูไหม ไปยืนส่องกระจกดูหน้าตัวเองดูสิ เป็นแม่คนไหม เป็นเมียคนไหม เป็นผัวคนไหม เป็นลูกคนไหม เป็นพี่น้องกับใครไหมเวลามันโกรธ เป็นมิตรกับใคร แม้แต่ตัวเองก็ทำลายตัวเองปานนี้แล้วเหมือนลูกระเบิด ก่อนที่มันทำลายคนอื่นมันต้องทำลายตัวเองก่อน มันแตกก่อนที่จะทำลายคนอื่น ความโกรธเหมือนกับระเบิดที่มันทำลายตัวเองจนหมดสิ้นไปแล้วในความดี มันก็ไปทำลายคนอื่นได้ แต่จะเป็นอยู่อย่างนี้ล่ะชีวิตของเรา ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ จึงมาประกอบขึ้นมาในความดีสร้างขึ้นมาให้มันมีกับชีวิตเหล่านี้ในวันนี้ วันนี้มันเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนี้ ถ้าวันนี้เรามีสติ พรุ่งนี้ก็มีสติ ทำให้เราหลง พรุ่งนี้ก็หลง แน่นอนที่สุด เพราะมันไม่มีบุญวาสนา ไม่ได้วาดไม่ได้เขียนไม่ได้ขีดเส้นให้ตัวเอง
วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่ขีดเส้นให้กับตนเอง เดินอยู่ในเส้นเนี่ยให้มันชำนิชำนาญ กรรมฐานเป็นการขีดเส้นเดินชีวิตของเรา อันมีทางเรียกว่าอริยมรรค อริยมรรคเป็นทางไปสู่มรรคผลนิพพาน คือธรรมวินัยเนี่ยอย่างที่พูดเมื่อวานนี้ ธรรมวินัยธรรมวิยนัยเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ถ้ามีธรรมวินัยอยู่ก็มีมรรคมีผลอยู่ ธรรมวินัยก็คือ เส้นด้ายก็ว่าได้ ร้อยชีวิตของเราให้เป็นอันเดียวกัน ชีวิตของเรานี่ก็เป็นคนละดอกต่างต้น ต่างสี กระจุยกระจายกัน ต่างต้นต่างสีต่างกลิ่นกระจุยกระจายกัน เมื่อเอาเส้นด้ายไปร้อยเข้ากันก็กลายเป็นพวงมาลัย นี่คือธรรมวินัย กลายเป็นอันเดียวกัน แม้จะเป็นสีเป็นกลิ่นเป็นต่างต้นสวยงามขึ้นมาได้ ถ้าเราเป็นอันเดียวกันอย่างนี้ ก็เรียกว่ามีมรรคผลนิพพาน เรียกว่าเรียบ เรียบ อันเดียวกันเลย แผ่นดินเรียบไม่ใช่แผ่นดินคือชีวิตของเราเป็นคนคนเดียวกัน แผ่นดินเรียบเหมือนหน้ากองทราย ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ หมายถึงเรื่องนี้ ต่อเมื่อใดเอาธรรมะไปปฏิบัติ มาสอนตัวเองแก้ไขตัวเองเตือนตัวเอง ไม่มีใครเห็นเราได้นอกจากเราเห็นเรา ไม่มีใครสอนเราได้ สอนให้เราเป็น คนอื่นสอนให้รู้ แต่สอนให้เป็นเราต้องสอนตัวเรา สอนให้รู้ก็ยังใช้ไม่ได้ นิพพานคือใจดีๆ ถ้านรกคือใจร้ายๆ นิพพานคือใจเย็นๆ สวรรค์คือใจดีๆ นรกคือใจร้ายๆ เอ้า!มันคืออะไร มันคือเรื่องของใจนี่เอง ใจก็เป็นใหญ่แบบนี้ จะนรกจะตกนรกก็คือใจ จะได้สวรรค์ก็คือใจ จะได้นิพพานก็คือใจ มันก็เป็นใหญ่แบบเนี่ย เราได้ช่วยไหมช่วยจิตใจไหม ปล่อยให้หลงอยู่ข้ามวันข้ามคืน ปล่อยให้ทุกข์อยู่ข้ามวันข้ามคืน ปล่อยให้โกรธอยู่ข้ามวันข้ามคืน แต่ช่วยไหม ช่วยจิตใจไหม ยกขึ้นมาไหม
ถ้าไม่ช่วยให้มันไม่มีภัย มันก็จะต้องมีภัย หน้าบูดหน้าบึ้ง ตัวเองตกนรกอยู่ ก็ไม่รู้จักนรก กลัวนรกต่อเมื่อตายไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ไม่กลัว มันก็เป็นไปได้อย่างนั้นละ มันกลัวต่อเมื่อตายอยากมีสวรรค์ต่อเมื่อตายไปแล้ว อยากมีนิพพานก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าสอนเป็นปัจจัตตัง เป็นปัจจัตตังรู้เดี๋ยวนี้ เป็นเดี๋ยวนี้ หมดเดี๋ยวนี้ พ้นเดี๋ยวนี้ ถ้าใจเย็นๆ ได้นิพพานชิมลอง ถ้าใจดีๆก็ได้สวรรค์ชิมลอง ใจร้ายๆก็ได้นรกชิมลองเคยชิมไหม พ่อทายกเปรมเคยชิมนรกไหม เวลามันทุกข์มันโกรธเป็นไง กินข้าวได้ไหม นอนหลับไหม กูได้โกรธตายไม่ลืม ปานนั้นหน๊อคนเราน่ะ ดึงขึ้นมาเลยจมไปอีกเหมือนหนอนอยู่ในครูด เขี่ยขึ้นมาแล้วยังยังดิ้นลงไปอีก อย่าโกรธเถอะพ่อ อย่าโกรธเถอะลูก อย่าโกรธเถอะเพื่อน ไม่โกรธไม่ได้ๆ กูไม่ยอม กูไม่ยอม ต้องรู้มันมืด บาปมันมืดไม่เห็น บุญคือสว่างเห็นทิศเห็นทาง ช่วยตัวเองเป็น พระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ สวรรค์ในอกนรกในใจ นิพพานอยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหนมีนิพพานอยู่ที่นั่น ดูคนทุกคนเหมือนพระพุทธเจ้า ฟังเสียงทุกเสียงให้เหมือนเสียงพระสวดมนต์ ดูคนทุกคนให้เหมือนพระพุทธเจ้า อยู่ที่ไหนมีนิพพานอยู่ที่นั่น นี่คือชีวิตแท้ๆเลย ไม่มีอะไรที่เป็นทุกข์เป็นโทษ เขานินทาก็ไม่เป็นทุกข์เป็นโทษ เขาสรรเสริญก็ไม่เป็นทุกข์เป็นโทษ เราจะมีแต่เห็นมันเป็นรสของโลก นี่คือโลก นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ได้เสียเป็นรสของโลก สมบัติของโลกมีมาก่อน ถ้าเราไม่เหนือตรงนี้ก็ถูกโลกทับถม พอที่เจ็บปวด ต้องเป็นสิงห์เป็นเสือเป็นสิงห์ ใจสิงห์ใจเสือ เขียนลายให้ตัวเอง
อย่างที่หลวงตาพูดเมื่อวานนี้ว่า ตกลงว่าเป็นเสือแล้ว ลายไม่ลายก็ต้องเขียนเพิ่มเติมขึ้นมา เขียนให้เป็นลายขึ้นมาเวลามันหลง รอยเสือคือไม่หลง สิงห์คือมั่นใจ ไม่มีแพ้ เรียกว่าสิงห์เสือ เคยไปดูสิงห์ สิงโตไหมพ่อทายกสวนสัตว์ดุสิตเคยไปดูไหม ลองไปเรียกสิงห์ให้มองเราดู มันไม่มองใครหรอก มันก็เดินโชว์เฉย เราจะยื่นมือจะอะไรให้มันดู มันไม่ดูเราหรอก ใจสิงห์ มั่นหมายอะไรชีวิตเนี่ยลุยมันเลยโลกเนี่ย เขานินทาก็ไม่หวั่นไหว เขาสรรเสริญไม่หวั่นไหว สุขก็ไม่หวั่นไหว ทุกข์ไม่หวั่นไหว ได้เสียไม่หวั่นไหว เราฝึกจิตใจของเรา ผู้ที่ฝีกฝนจิตใจดีแล้ว ไม่หวั่นไหวเพราะนินทา สรรเสริญ พระพุทธเจ้าพูดเรื่องนี้ว่า ภูเขาศิลาแท่งทึบ ไม่สะเทือนเพราะลมฉันใด บัณฑิตผู้ฝึกฝนตนดีแล้ว เมื่อนินทาไม่หวั่นไหว เพราะนินทา สรรเสริญฉันนั้น นี่คือชีวิตของเราจริงๆเราจะอาศัยกันได้ มั่นคง พึ่งพาอาศัยกันได้ เราก็พึ่งใจเราได้ ใจของเรามันไม่เป็นอะไรแล้ว หมดพิษหมดภัยแล้ว
เราฝึกอย่างนี้ ในเทปธรรมเทศนาวันนี้อาสาฬหบูชาเวียนมาถึงพวกเรา เอาให้เกิดประโยชน์ เหมือนกับโกณทัญญะพราหมณ์ ฟังเทศนาในธรรมจักรเรื่องนี้เข้า เป็นพระสงฆ์ขึ้นมาทันที เพราะเกี่ยวกับเราเอง มันหลง ไม่หลงเหมือนพระพุทธเจ้าสอนไปเฉพาะหน้านี้แล้ว มันทุกข์ ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าบอกอยู่มาทางนี้ๆ นี้คือทาง ความหลงไม่ใช่ทาง กลับเข้ามาทางไม่หลง มันโกรธไม่โกรธ กลับมา มันทุกข์ไม่ทุกข์ กลับมา กลับได้เรียกว่าปฏิบัติ ปฏิบัติคือกลับ กลับมาหาทาง มันผิดกลับมาหามันไม่ผิด มันทุกข์กลับมาหามันไม่ทุกข์ มันโกรธกลับมาหาไม่โกรธ เรียกว่าทาง สัมผัสดูมันเป็นธรรมไหม ความโกรธความไม่โกรธเป็นธรรมไหม อะไรมันสะดวก อย่าหมกมุ่น สัมผัสดู ความโกรธไม่เป็นธรรมเลย ความไม่โกรธเป็นธรรม ความทุกข์ไม่เป็นธรรม ความไม่ทุกข์เป็นธรรม ความหลงไม่เป็นธรรม ความไม่หลงเป็นธรรม เลือกได้อย่างนี่ ชีวิตเราเรียกว่าสัตว์ประเสริฐหรือว่ามนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ กี่ปีๆก็เป็นสัตว์เดรฉานพัฒนาไม่ได้ มนุษย์เราเนี่ยเป็นสัตว์ประเสริฐ มีรูป มีนาม มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ รู้อะไรได้ มีธาตุรู้ มีดินน้ำไฟลมมหาภูตรูป อาศัยได้เหมือนพ่วงแพมหาภูตรูปคือดินน้ำลมไฟเนี่ยพ่วงแพ มีขันธ์ทั้งห้าเหมือนกับมันรู้อะไรได้ พ่วงแพสำหรับขี่ข้ามฟาก มีรูปก็เอามือมา รูปมาทำอย่างนี้ยกมือไหว้ วาจาก็เป็นบอกความเล็กความจริงอย่าเอารูปไปทำอย่างนี้ มีวาจาก็เอาวาจามาพูดอย่างนี้มันเป็นรูปนาม ทำดีให้รูปมันทำดีให้นามมันทำดี ก็มีอยู่ในเรานี่ ทุกคนก็มีรูปมีนาม
ทุกคนก็เปลี่ยนตรงนี้ก็เหมือนกันหมด คนในโลกนี้มีเท่าไหร่ ประชากรในโลกเนี่ยหา!หา!เท่าไหร่ จำไม่ได้ให้อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์ทองขานบอก ทุกคนก็เริ่มต้นจากเราก็เป็นคนคนเดียวกันทันที นับหนึ่งจากเรา คนดีอยู่ที่ไหน อย่าขี้แพ้ใคร คนดีต้องอยู่ที่เรานี้ เสนอตัวเราขึ้นมา ลูกพ่อนี้แม่นี้เราคนหนึ่งละ ยิ่งเรามีสามีภรรยา มีเพื่อนมีการ,uงานก็เราคนหนึ่งละ เสนอตัวเราขึ้นมา ตั้งต้นจากเราก่อน ทุกคนนับหนึ่ง เดียวก็มีสองมีสามไป จากโกณทัญญะพราหมณ์เป็นพระสงฆ์มาถึงภิกษุสงฆ์ของเราในธรรมวินัย ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิดธรรมวินัยตรัสไว้ดีแล้ว จงปฏิบติตามธรรมนั้นเถิด ปฏิบัติตามธรรมมันหลง อย่าไปตามหลง มาปฏิบัติตามความไม่หลง บอกไว้แล้ว มันโกรธอย่าไปตามความโกรธ ให้กลับมาหาความไม่โกรธ มันทุกข์อย่าไปตามความทุกข์ กลับมาหาความไม่ทุกข์ ทุกคนทำได้ ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร หลวงตาฉันโกรธหนูโกรธ ผมโกรธ ขออนุญาต ขออนุญาตไม่โกรธได้ไหม ไม่มีคำพูดอย่างนี้ ขออนุญาตไม่โกรธ ขออนุญาตไม่ทุกข์ ไม่มี มีแต่เราเองที่ทำเอาเอง ลองปฏิบัติดูแล้วดูแล้วไม่ถูกจริงๆนี่คือการกระทำ การกระทำแบบไม่เลือกปฏิบัติ
ขยันรู้เลือกภาวนา ชั่วโมงหนึ่งนาทีหนึ่งวินาทีหนึ่งรู้ที่หนึ่ง นี่ภาวนา ขยันรู้เอา โดยเฉพาะกรรมฐาน สิบสี่จังหวะสิบห้าจังหวะ เรียกว่าเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวนี่กายานุปัสสนาสติปัฎฐานมีสติไปในกายเคลื่อนไหว เอากายเคลื่อนไหว เอามือเคลื่อนไหว เอาขาเคลื่อนไหว มือเคลื่อนไหวคือสร้างรูปแบบ กายเคลื่อนไหวคือมันเดิน ใจมันเคลื่อนไหวคือมันคิด ให้เห็น เราก็ตั้งต้นที่นี่ที่มันเคลื่อนไหว ให้รู้ ถ้าเราจะภาวนาให้รู้ พอมาเห็นพอมามีรูปมีแต่เรื่องให้แก้ พระสิทถัตธะก็แก้ เราก็แก้เห็นอะไร เห็นความหลง หลงไปทางไหนเยอะแยะ อาจจะหลงถึงพิมพา ราหุล คนเคยมีลูกมีเมีย อาจจะคิดถึงลูกถึงเมียบ้าง ใช่ไหม คนเคยอยู่ปราสาทสามฤดู มาอยู่ต้นไม้ อาจจะคิดถึงปราสาทสามฤดู เคยอยู่กับหมู่สนมกำนัลในไม่มีบุรุษเจือปนเลย อาจจะคิดถึงบุรุษคิดถึงบริวาร มาอยู่ลำพังคนเดียวเนี่ย บางทีก็เจ็บๆออดๆแอดๆ ตากฟ้าตากฝนอาจจะเป็นไข้เป็นร้อนเป็นหนาว กลัวตาย มีความคิดเหมือนกัน สู้ อย่าเอาเรื่องนั้นมาต่อรอง เรามีสติแล้วเอาลงไป กลับมามีสติเวลานี้ไม่ใช่เรามาคิด ไม่ใช่เรามากลัว ไม่ใช่เรามาวิตกกังวลอะไร เรามาภาวนา มีสติ ตัดสินใจ ตัดสินใจมันหลงทีไรตัดสินใจไม่หลง รู้ มีรอยยิ้มนิดหน่อย เห็น ถ้าหลงเป็นหลงมันก็ไม่ทำอะไร ถ้าหลงเป็นรู้ทุกข์เป็นรู้ อะไรเป็นรู้ ก็กรรม กรรมมันศักสิทธิ์ลิขิตชีวิตเราได้ จากเคยหลงมาเป็นรู้จากเคยทุกข์มาเป็นไม่ทุกข์ได้ จากเคยผิดมาเป็นไม่ผิดได้ เรียกว่าปฏิบัติธรรม