แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ก็ฟังธรรมกัน ก็นำมาปฏิบัติ เวลานี้เราก็มาเข้าคอร์ส เข้าแบบ เข้าพิมพ์เพื่อจะมาหล่อหลอมชีวิตของเราให้เป็นพระในใจขึ้นมา โดยอาศัยรูปแบบต่าง ๆ การถือบวช ห่มจีวรห่มผ้ากาสวพัสตร์ ห่มขาว ห่มสีไหนก็ตาม มาอยู่ในวัดวาอาราม มีพิธี ศาสนพิธี กิจวัตร พิธีวัตร ประจำวัน ตื่นเช้าขึ้นมาตีสี่ก็มาร่วมกัน ทำวัตร สวดมนตร์ ออกเสียงประนมมือ
อยู่ในท่าตั้งใจ ตั้งกาย สาธยายพระสูตรที่เป็นคำสอน มีสติ จิต ใส่ใจตาม เรานี่เหมือนดอกไม้ต่างต้นต่างสีต่างลักษณะ หรือว่าลูกต่างพ่อต่างแม่ ต่างนิสัยใจคอ มาเข้ากรอบมาเข้าแบบมาเข้าพิมพ์ เราเหมือนดอกไม้ก็มาเอาเส้นด้ายมาร้อยเข้ากันกลายเป็นพวงมาลัย พวกเราก็เป็นคนละนิสัยใจคอ มาทำวันเดียวกัน มีสติ โดยอาศัยวิชากรรมฐาน ดูแลกายใจของตน ตามรูปแบบของกรรมฐาน โดยประสาคำพูด ก็บอกไว้อีก มีการกระทำบอกไว้อีก มีที่ตั้งแห่งการกระทำของลงไปอีก มาเข้าแบบเข้าพิมพ์ เหมือนอิฐ หิน ดิน ปูน ทราย มารวมกันเข้า เอาน้ำปนลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่พิมพ์ รูปของพระก็เป็นพระ รูปของต้นเสาสี่เหลี่ยม หกเหลี่ยมก็เป็นต้นเสากลายเป็นคอนกรีต แข็งแกร่ง ไม่ใช่เลือกหิน เลือกปูน เลือกทราย เลือกเป็นคอนกรีต ถ้าเป็นดิน เป็นหิน เป็นปูน เป็นทราย อยู่คนละที่ไม่มีกำลัง ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้พอมาเข้าแบบเข้าพิมพ์เข้ารูป กรรมวิธี กลายเป็นคอนกรีต ร้อยปี หลายร้อยปี สร้างตึก สร้างบ้าน สร้างสะพานใหญ่ ๆ โต ๆ ให้เป็นที่พึ่งพาอาศัยฉันใดก็ดี ธรรมวินัย รูปแบบกรรมฐาน หลักการปฏิบัติต่าง ๆ เหมือนกัน มามีสติเป็นกรรมฐาน มีที่ตั้งของการกระทำ มีภาวนาขยัน จับมาใส่ จับมาใส่ มันหลุดออกไปจับมาใส่ ทางใดที่มันหลุดออกไป ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจคิดนึก หลุดออกไป ให้กลับมารู้สึกตัว มาเป็นอันเดียวกัน ความคิดก็เป็นความรู้ ตาเห็นรูปก็เป็นความรู้ หูได้ยินเสียงก็เป็นความรู้ จมูกได้กลิ่นก็เป็นความรู้ ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจคิดไปก็ได้ความรู้ อย่าให้ถึงความพอใจไม่พอใจ แต่ก่อนมันกระจัดกระจาย กระจุยกระจาย กระจุยกระจายไปคนละทาง ตาก็เหมือนกับงูซะ หูก็เหมือนกับนก จมูกก็เหมือนสุนัขอยู่แต่ในบ้าน ลิ้นก็เหมือนจระเข้ อะไรต่าง ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเปรียบเทียบไปคนละทาง เมื่อไปคนละทาง กลับมาอันเดียวกันกลับมาถึงใจ พอใจไม่พอใจอย่างนี้ มันก็ไปไกลจนถึงความพอใจไม่พอใจ ผลที่สุดใจก็เป็นที่รับเปรอะเปื้อนไปหมดเลย อันนั้นก็ดึงเอามา อันนี้ก็ดึงเอามา มาสู่ที่จิตใจ ใจก็มาดี ๆ ก็เปรอะเปื้อนไปหมด กลายเป็นนิสัย ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต ก็ทำตามนิสัยของตน ไปคนละทิศละทาง เกิดปัญหาขึ้นมาต่อตัวเองด้วย ต่อคนอื่นด้วย ก็จึงมาอาศัยกรรมฐาน ดึงกลับมา กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว โดยการนั่งคู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ตามที่พระสิทธัตถะได้ศึกษา ได้ปฏิบัติกลายเป็นพระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลก ทำตามอย่างนี้ เรามีแบบอย่างนี้ เค้าพิมพ์อย่างนี้ แบบเสาสี่เหลี่ยมเค้าทำมาแบบอย่างนี้ ถ้าอยากเป็นคอนกรีตก็มาเข้าแบบอย่างนี้ อย่าเป็นเศษ ถ้าไม่เข้าแบบก็เป็นขยะ เป็นเศษไป เอาไปทิ้ง ระวังให้ดี มีสติ ทำได้ทุกอย่าง อะไรเกิดขึ้นมา กลับมานี่ ๆ ทุกคนทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ความหลงกลายเป็นความรู้ได้ ความทุกข์ก็กลายเป็นความรู้ได้ ความโกรธเกลียดตัณหาราคะ อะไรกลายเป็นความรู้ได้ ความมุ่งมั่นกลายเป็นความรู้ได้ การง่วงหงาวหาวนอนก็กลายเป็นความรู้ได้ มาลงนี่ได้ทั้งหมด ดัดตน ฝึกตอนสอนตน ทวนกระแสซักหน่อย มันเคยไหล มันเคยดื้อ เหมือนกับ ความดื้อมีอยู่ 5 อย่าง รูปก็ดื้อ เวทนาก็ดื้อ สัญญาก็ดื้อ สังขารก็ดื้อ วิญญาณก็ดื้อ ที่ว่าขันธ์ 5 แล้วกลายเป็นอุปาทานไปยึดว่าตัวเรา ได้ความดื้อเขามา เมื่อมีความดื้อเกิดขึ้น ก็ไปถึงสิ่งอื่น บอกไม่ได้ สอนไม่ได้ พอจะมีความรู้สึกตัวขึ้นมา มันเอาความง่วงมาใส่ เห็นต่าง คิดอ่อนแอ นี่มันดื้อ เรียกว่า นิวรณธรรมขวางกั้นไม่ให้มีสติได้ แล้วก็จะไปเห็นสิ่งเหล่านี้ ไม่มีใครไม่เห็นเป็นภูเขาลูกแรก พระพุทธเจ้ากว่าจะเป็น พระพุทธเจ้า ได้ก็ผ่านลูกนี้เหมือนกัน เหมือนกันหมด
อย่านึกว่า ตัวเราคนเดียว ความง่วงหงาวหาวนอน ความลังเลสงสัย ความคิดฟุ้งซ่าน อาจจะเกิดพยาบาท หรือกามราคะขึ้นมา คนเคยมี คนเคยเชื่ออย่างนั้น ก็ไหลไปทางนู้น ไหลไปทางนั้น ง่ายเหมือนน้ำไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ง่ายที่จะไหลไปตามนั้น ไม่กักไม่ขัง ไหลหมดเลย เหมือนน้ำลำปะทาวเต็มขึ้นมา แต่ก่อนนี้ไหลทิ้งไป ๆๆ น้ำใหม่ไม่มา น้ำที่มันอยู่ที่เก่าก็ไหลไปหมด เหมือนน้ำในสระวัดเนี้ย แต่ก่อนก็เต็มฝั่ง เดี๋ยวนี้แห้งลงไป ไม่มีน้ำใหม่ไหลมาก็อาจจะหมดได้ ชีวิตเมื่อหมดความดีก็เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นเดรัจฉาน มันหมดความดีนั่นเอง มันจึงเป็นเปรต หมดความดีมันจึงเป็นสัตว์นรก หมดความดีมันจึงเป็นอสูรกาย หมดความดีจึงเป็นเดรัจฉาน มันเป็นอบาย มันจนแล้ว อาภัพแล้ว เพราะใช้ชีวิตไม่เป็น เอาความดื้อด้าน เอาความไม่ใช่ตัวตนมาเป็นตัวเป็นตนแทน เช่นความโกรธก็นึกว่า เราโกรธ ความทุกข์ก็นึกว่าเราทุกข์ มันก็เลยหมดความดี ไม่ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่หลงเป็นหลง ไม่โกรธเป็นโกรธ ความไม่หลงก็มีในความหลงนั้น ความไม่โกรธก็มีในความโกรธนั้น ความไม่ทุกข์ก็มีอยู่ในความทุกข์นั้น ไม่เคยเปลี่ยนเลย ทำตามมันมา นานแล้ว เมื่อมามีสติมันก็สู้แล้ว มันเคยใช้จิต มันเคยใช้นาม ใช้จิตใจ ตาเห็นรูปพอใจไม่พอใจบ้าง หูได้ยินเสียงก็พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง มันเป็นอย่างนั้น ใช่หรือไม่ ก่อนนี้ พระพุทธเจ้า บอกว่า ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกเสียได้ มามีสติ กลับมามีสติ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าอาจจะคิดเหมือนกันว่า อาจจะคิดเก่งกว่าเราด้วย เพราะบุกเบิก ไม่มีผู้ใด สู้ไป บุกเบิกไป เซอร์เวย์ไป หลงทิศหลงทางไป ไม่เข็ดไม่หลาบ หลงทางอยู่ 6 ปี ศึกษาเรื่องนี้ ปีที่ 6 ที่ได้พบทางกรรมฐานนี้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออกเนี้ย มันจะเห็นการแสดงออกมาทุกรูปแบบ เป็นชุมทางที่ผ่าน เหมือนกรรมฐานนี่เป็นป้อมปราการที่จะมีข้าศึกเข้ามาทำลาย เมื่อมีป้อมปราการมีสติอยู่มันก็เห็นข้าศึก สติเหมือนกับกำลังพล สามารถรบข้าศึกได้เพราะมีชัยภูมิที่ดี มันเห็นหมดเนี้ย ถ้าไม่มีสติ มันก็หลับซะ ข้าศึกก็เข้ามาคุกคามได้ จงมีสติอยู่ทุกเมื่อ เธอจงมีสติทุกเมื่อ มัจจุราชจะตามไม่ทัน ความแก่ความเจ็บความตายก็ตามไม่ทัน นี่กลายเป็นคำพูด ทีแรกก็ทำอย่างนี้แหล่ะ พอมันหลงไปทางไหนก็รู้ขึ้นมา ๆ ทำได้อยู่ ทุกวันทำได้อยู่ ยิ่งมีวิชากรรมฐานเข้า คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก 14 จังหวะ เคลื่อนไหวไปมา มีรูปแบบ เป็นตัวหนังสือ แต่ก่อนเป็นตัวหนังสือเขียนไว้ ในลานธรรมพระไตรปิฎกอยู่ที่นั่น เอามาเป็นรูปแบบตัวหนังสือมาเป็นรูปแบบ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก 14 รูปแบบ 15 รูปแบบ มี 2 ปุ่ม ก็จะได้เห็นเด่น ๆ ใครเดินผ่านไปทางลานธรรม นอกจากนั้นก็มีเสมาธรรมจักร ที่มันแสดงออกเป็นรูปต่าง ๆ เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ 4 อยู่ที่ธรรมจักร กลายเป็นธรรมจักร จักรแห่งธรรมหมุนไปทีไร เหยียบย่ำ ความโกรธความโลภความหลงเรียบไปเลย จักรแห่งธรรม ราบไปเลย รู้หลงงมงาย เรียบไปเลย เศษนั่นแหละ เรียบไปเลย เหมือนใบมีดแทรกเตอร์ที่มันผ่านทางไหนก็เรียบไปทางนั้น ที่ว่าเสมาธรรมจักร อยู่ที่นั่นเป็นรูปเป็นแบบ ก็คือหลักการปฏิบัตินี่เอง แล้วก็มีคำสอนย่อ ๆ โดยเฉพาะคำสอนย่อ ๆ นี่เอามาจากหลวงปู่เทียน มีสติดูกาย เห็นจิต มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจคิดนึก เนี้ย มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิด เป็นพระตรงนี้ ไม่ใช่พระออกมาจากรูปแบบ ได้สอนกายได้สอนใจแล้ว มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิดหมดเลย คุมได้ ป้อมปราการ พระพุทธเจ้า ก็ว่าอีกตรัสไว้อีก เพื่อสนับสนุนเพื่อให้เข้าใจ หลวงพ่อเทียนก็ไม่รู้หนังสือ ไม่เคยอ่านหนังสือ เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา ฝึกไปเลย เขียนหนังสือไทยยังไม่เป็น หลวงพ่อเทียน เขียนเป็นแต่ภาษาลาว เพราะหลวงพ่อเทียนเป็นพ่อค้าอยู่เมืองลาว เมืองไทยวิ่งเรือแม่น้ำโขงจากหลวงพระบางถึงปากเซ ถึงเพทาว ถึงอัตตะปือ โน๊น ขายเกลือให้ประเทศลาว ประเทศลาวเค้าไม่มีเกลือ ไม่มีบ่อเกลือเหมือนบ้านเรา ก็พูดภาษาลาว เรียนแต่หนังสือลาว อ่านหนังสือไทยก็อ่านไม่ค่อยได้ แต่ว่าเขียนก็ไม่เป็น ต้องหัดใหม่ เมื่อบวชมานี่เอง หลวงพ่อเทียนมีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจคิดนึกเนี้ย พระพุทธเจ้าก็แสดงออกมา ฝึกหัดเห็นอย่างนี้ก็เรียกว่า มีคู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มีสติสัมปัญชัญญะ ถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกซะได้ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มีสติสัมปัญชัญญะ ถอนสุขถอนทุกข์ออกมาได้ เรียกว่า เวทนา ถอนความสุข ความทุกข์ ความพอใจ ความไม่พอใจ ในโลกออกมาได้ มีสติสัมปัญชัญญะ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออกอยู่ ถอนความพอใจและความไม่พอใจ ที่มันเกิดจากความคิด อ้าวเห็นหมดเลยเนี้ย กายก็เห็นกาย เวทนา ที่เป็นสุขเป็นทุกข์ ก็เห็นมันคิด ก็เห็นละว่าถอนออกมา มันเกิด อย่าให้เป็นสุขเพราะความคิด อย่าให้เป็นทุกข์เพราะความคิด บางทีก็คิดแล้วก็พาให้หลงได้ มันหลงไปจุดที่คิดเนี้ยมากกว่าจุดอื่น ถ้ามีสติเห็นถอนออกมาอย่าเข้าไปอยู่ในความคิด หลวงพ่อเทียนก็สอนว่า อย่าเข้าไปในความคิด ให้เห็นมันคิด นั่นแหล่ะ คือ ถอน ถอนออกมาซะ มารู้สึกตัวซะ เอาความคิดที่มันคิด ออกมารู้สึกตัว อย่ายุ่งอย่ายาก สร้างความยากให้กับตัวเองโดยความคิด ส่วนมากคนจะสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เพราะความคิด คิดขึ้นมาเกิดปัญหามากมายหลายอย่าง พ้นออกมารู้สึกตัวซะ จากนี้มันจะไปทางไหนเนี่ยล่ะ เอาวันครบรอบแล้วเนี้ย มีธรรมเกิดขึ้น อะไรที่มันไม่เที่ยง ก็มีความเป็นทุกข์ก็มี ความไม่ใช่ตัวตนก็มี เมื่อมันแสดงออกถึงความไม่เที่ยงก็อย่าทุกข์เพราะความไม่เที่ยง อย่าทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ ถอนออกมา อย่าทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน มันความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ความทุกข์ก็ความไม่ใช่ตัวตน อย่าเข้าไปเป็นตัวเป็นตน ถอนออกมา รู้สึกตัวซะเนี้ย มันจะเห็นทุกคนนั่นแหล่ะ ไม่ปิดบังเลย เปิดเผย นี่แหล่ะ เปิดของที่ปิดไว้ หงายของที่คว่ำขึ้นมา คือ การเจริญสตินี่ ต้องให้ทำเดี๋ยวนี้ แล้วจะไม่มีประสบการณ์ ไม่มีประโยชน์เลยชีวิตเรา ได้แก้ไข ได้เปลี่ยนร้ายเป็นดี ได้พัฒนาชีวิตขึ้นมา การทำอย่างนี้มันก็มีอะไรเกิดขึ้นหลายอย่าง เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา อะไรเกิดขึ้นมา หรือเกิดเป็นการสร้างบารมี ทานบารมี ศีลบารมี อธิษฐานบารมี สัจจะบารมี ขันติบารมี เกิดขึ้นมากมาย บารมี 10 ทัศ นี่ อยู่ในนี้ หรือแสดงออกเป็นธรรมเป็นคุณธรรม อาจจะเป็นโพธิสัตว์ คิดแต่จะช่วยคนอื่น คิดแต่จะช่วยตัวเองขึ้นมา หรือเป็นนักอนุรักษ์ คิด รักษาสิ่งอะไรต่าง ๆ ครบหมดด้วยการสร้างบารมีเนี้ย หรือว่ามาสร้างบารมี เกิดมาคือการสร้างบารมี คือ การปฏิบัติธรรมนี่ เกิดความดีขึ้นมากมายกายจากใจนี้ถ้าศึกษาได้แบบ ได้แผนแล้วละก็มีประโยชน์มาก กายนี้ ใจนี้ เพราะมันมีมือ มีขา มีแขน มีปัญญา มีความรู้ ความรู้ที่เกิดจากชีวิตนี้เป็นประโยชน์ สร้างโลกได้ ถ้าไม่มีความรู้ก็เป็นโทษทำลายโลกได้ เราจึงมาเริ่มต้นแบบนี้กันเถอะ ทุกคนก็มีค่า ก็สร้างตรงนี้ ถ้าไม่สร้างตรงนี้ ทุกคนก็ไม่มีค่าเลย มีแต่ความลำบาก แม้แต่เราก็พึ่งตัวเราไม่ได้ จะให้ใครเป็นที่พึ่ง ตัวเราก็ไม่เป็นธรรมต่อตัวเรา บางทีแม้แต่กายแต่ใจก็ยังไม่เป็นธรรมต่อกันกายเป็นทุกข์ใจก็เป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์กายก็เป็นทุกข์ แทนที่จะช่วยกัน กายรักษาใจ ใจรักษากาย มันเป็นกัลยาณมิตร เมื่อมีกัลยาณมิตรพาสิ่งต่าง ๆ มาเป็นกัลยาณมิตร ขอบคุณความทุกข์ ถ้ามันไม่ทุกข์ มันก็ไม่มีความไม่ทุกข์ มันไม่ทุกข์ เพราะความทุกข์แท้ ๆ ขอบคุณความไม่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ เพราะความไม่เที่ยง มันมีความไม่เที่ยง มันจึงไม่เป็นทุกข์ มันไม่มีความไม่เที่ยง มันจึงไม่มีทุกข์ มันบอก มันเลื่อนฐานะได้ ทำไมจะไม่ใช่เรียกว่า บารมี ต้องเรียกบารมี เพราะมันไม่ทุกข์เพราะความเป็นทุกข์ มันไม่ทุกข์เพราะความไม่เที่ยง มันไม่ทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน นี่คือ บารมี บารมีคือสร้างเอา วาสนา คือ แต่งเอาอย่างนี้ บุญวาสนา คือทำอย่างนี้ สิ่งที่คนอื่นเป็นทุกข์เราไม่ทุกข์เนี้ย คือ คนมีบุญมีวาสนา ไม่ใช่วาสนาอ้อนวอน วาดเอา คิดเอา ขอให้อย่างนั้นอย่างนี้ วาสนา อ้อนวอน พรุ่งนี้ เดือนนี้ ๆ ปีหน้า ชาติหน้า อยู่ที่ไหน แม้แต่เจ็ดโมงเช้าเราก็ยังไม่เห็น เจ็ดโมงครึ่งเราก็ยังไม่เห็น ไม่ได้กินข้าวเลย มันไม่มีเดี๋ยวนี้ มันจะไหลไปเอง เราต้องเอาเดี๋ยวนี้ จึงจะกินเจ็ดโมงครึ่ง ทำความดีเดี๋ยวนี้ แม่ครัวทำอาหารเดี๋ยวนี้ กว่าจะเสร็จก็เจ็ดโมงครึ่ง หุงข้าวทำอาหารให้เรา พวกเราฉันเราเคี้ยวเรามีชีวิตอยู่เพื่อทำความดี ถ้าไม่เริ่มเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีอาหารกินเจ็ดโมงเช้า ถ้าไม่มีธรรมเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีธรรม ถ้าไม่มีบุญเดี๋ยวนี้ก็ไม่มีบุญต่อไป จึงเริ่มเดี๋ยวนี้ ปัจจุบัน ปัจจุบัน (ปัจจันตะ) อะไรที่เราสาธยายพระสูตร ทำปัจจุบันให้แจ่มแจ้ง โดยกรรมฐานเนี้ย ทุกวินาทีก็ว่าได้ 14จังหวะ 14 วินาที รู้ทุกวินาทีนี้ มันจะมีปัจจุบันที่ดีที่สุด และมีอดีตที่ดีที่สุด มีอนาคตที่ดีที่สุด เราปฏิเสธตรงนี้ ก็เท่ากับเราปฏิเสธตัวเอง เอานิสัยใจคอมาอ้าง อ้างโน้นอ้างนี่ ปฏิเสธตัวเอง ปฏิเสธความดี ถึงเดี๋ยวนี้ มีลมหายใจอยู่น่าจะทำได้ มีชีวิตอยู่น่าจะทำได้ ไม่ได้ว่าความแก่ความเจ็บ ทำได้ทุกเวลา ไม่มีกาล ไม่มีเวลา เราจึงเริ่มต้นเวลานี้ ด้วยกรรมฐาน วิชากรรมฐานเท่านั้นที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องนี้ ฐานอื่นไม่ศักดิ์สิทธิ์ ไปหาความศักดิ์สิทธิ์ตรงไหนกัน แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกราบไปไหว้แม้กระทั่งต้นไม้ ภูเขา สัตว์
แม้แต่ไส้กรอกแมวก็ยังไปเอามาเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เอามาบูชา ไส้กรอกแมว เค้าลงหนังสือพิมพ์น่ะ เมนูไส้กรอกแมว ซื้อไส้กรอกมา ว่าจะมากิน มาแกะออกเป็นลูกแมว ตัวน้อยตัวหนึ่ง เห็นมันแปลกเอามาวางไว้บนหิ้ง คนไปเห็นขอหวย เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เอาเป็นสิ่งบูชา อันนั้นหรือศักดิ์สิทธิ์หน่ะ มันเป็นความชั่วเป็นความดีไม่ศักดิ์สิทธิ์กว่าหรือ ทำไมไม่เปลี่ยนตรงนี้ ไปเอาไส้กรอกแมวมาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ มันมหาโง่ไปแล้ว คนแท้ ๆ มีสติปัญญา ทำไมไม่คิดเอาสิ่งถูกต้องที่ในกายในใจนี้ ความเป็นธรรมก็ไปเรียกร้องกับคนอื่น สิ่งอื่น ถ้าเราไม่มีความเป็นธรรม ก็หาความเป็นธรรมไม่พบ ถ้ามีความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับกายกับใจแล้ว มันก็มีความเป็นธรรมไปเรื่อย ๆ จนเหนือการแก่เจ็บตายโน้น เราเจ็บเพราะความเจ็บ นั่นก็ไม่เป็นธรรมแล้ว เจ็บต้องเห็นมันเจ็บ ไม่เป็นผู้เจ็บ ผู้จับความเจ็บ เนี้ยคือความเป็นธรรม ไม่กระทบกระเทือนเลย ตายไม่ได้ตาย เพราะความตาย เห็นมันตาย ไม่ได้ตายเพราะความตาย มันจึงพ้นจากความตาย ความเป็นธรรมก็ทำอย่างนี้ มันหลงเห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง พ้นจากความหลงเนี้ยความเป็นธรรม มันทุกข์ เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ นี่คือ ความเป็นธรรม จะหาใครมาช่วย ทุกข์เอง ต้องเปลี่ยนไม่ทุกข์เอง หลงเองต้องเปลี่ยนตัวเองต้องช่วยตัวเอง ถ้าไม่ช่วยตัวเองใครจะมาช่วยได้ มีสิทธิที่จะเปลี่ยนความร้ายเป็นความดี เรียกว่า ปฏิบัติธรรมเนี้ย ปฏิบัติธรรมเนี้ย มันทำใจเดี๋ยวนี้ ยกมือขึ้นก็รู้เดี๋ยวนี้ ปัจจุปปันนัญจะ เดี๋ยวนี้ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ เดี๋ยวนี้ ยกมือขึ้น ขยันเข้าไป ขยันรู้เข้าไป เรียกว่า ภาวนา นี่จึงจะเป็นทันใจแท้ ๆ ได้ประโยชน์แท้ ๆ เราปล่อยชีวิตเราทิ้งมาเท่าไหร่ ปล่อยให้ความหลงมาอยู่ที่ใจ มันหลงอ้าว ทิ้งความหลงไว้ในกายในใจแล้ว กายใจก็ไม่เป็นธรรมเลย ทุกข์เป็นทุกข์ก็ทิ้งความทุกข์ไว้ในกายในใจแล้ว โกรธเป็นโกรธ ก็คือทิ้งความไม่เป็นธรรมไว้ในกายในใจแล้ว ติดไปเลยแบบนั้น ไม่แก้ไขไม่เปลี่ยนร้ายเป็นดี เลอเทอะไปหมดเลย กายใจของเรา ส่ำส่อนหมกมุ่น เปรอะเปื้อนวุ่นวายไปเลย เรียกว่า คน คนที่มันปนเปกันไป พวกคนที่ตกนรกเป็นเปรตเป็นอสูรกาย ถ้ายังเป็นคนอยู่เมื่อใดก็ยังต้องมีโอกาสตกนรกเป็นเปรต อสูรกายเป็นสัตว์เดรัจฉาน หลงก็ยังหลงอยู่ โง่ หลง มันก็โง่ไปเลยเป็นอสูรกาย ทำไมไม่เปลี่ยนให้เป็นรู้ ทุกข์ก็เป็นทุกข์เนี้ย อสูรกาย ไม่มีปัญญา ไม่มีสติ เปลี่ยนเป็นผู้ไม่ทุกข์ได้ อยู่ทำไมไม่เปลี่ยน มันยิ่งกว่าอสูรกายเสียด้วย ทำตามความโกรธเสียผู้เสียคน ทำตามความทุกข์จนตีอกชกต่อยตัวเอง ฆ่าตัวตาย นี่อสูรกายแท้ ๆ ไปเห็นอสูรกายที่ไหน ถ้าไม่มีคนมาอยู่ตรงนี้ มันก็ไม่มีอสูรกาย มันเกิดจากนี่ก่อน ถ้ากลัวตกนรก ก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ ถ้ากลัวเป็นเปรต ก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์เนี้ย ถ้ากลัวเป็นสัตว์นรกก็เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์เนี้ย มีมั๊ย ความหลงมีมั๊ย ถ้ามันมีก็รีบเปลี่ยน เจ็ดวันเข้าคอร์สเนี้ย มันจะค่อยสร่างซา และค่อยหมดไป เบาบางไป เป็นนิสัยขึ้นมา เคยทำแบบนี้ ๆๆ แล้วจะได้ใช้ ไปใช้ทีไร ก็ใช้ได้ ทีแรกก็จะง่ายมา ทีแรกก็จะยากมาก ทีแรกเนี้ย ไม่อยากหลงก็หลง ไม่อยากคิดมันก็คิด นั่นแหล่ะงานของเรา หยุดความคิดไม่เป็น นอน เวลานอน บีบตาเข้า เพราะไม่ให้มันคิด มันนอนไม่หลับเพราะความคิด บีบตาเข้าไปมันก็ยังไม่หยุด ก็ไม่หัด หักด้ามพร้าด้วยเข่า มันก็ทำไม่ได้ ความไม่เคยหัดมาก่อน ไม่เคยฝึกมาก่อน มันก็ใช้ไม่เป็นเลย อดไม่ได้ ความโกรธก็อดไม่ได้ โทสะก็ร้ายกาจ ทำตามความโกรธ พูดออกไป แสดงออกไป เข่นฆ่ากันไป มันอดไม่ได้ ทนไม่ได้ มันหักด้ามพร้าด้วยเข่า มันทำไม่ได้ ต้องฝึกไว้ ๆๆ ให้เป็นปัจจัยเป็นนิสัย มันจึงจะทำได้ เหมือนข้าศึกมาในไม่มีป้อมปราการ ไม่มีสติ ข้าศึกก็มาถึง สุขเป็นสุข ข้าศึกชนะแล้วแล้ว ทุกข์เป็นทุกข์ข้าศึกชนะได้แล้ว กำลังพลแพ้แล้ว ใช่หรือไม่ เรามีข้าศึกใช่มั๊ย ข้าศึกชนะ หรือว่า กำลังพลชนะตรงเนี้ย ถ้าเป็นนักรบนะ แล้วก็ไม่มีความแม่นยำ ไม่ฝึกไว้ ไม่ชำนาญ สติต้องมาก่อน เดี๋ยวนี้ความสุขความทุกข์มาก่อน มันเลยเป็นอย่างนี้ ก็เลยรับ แบอกรับ สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธ หลงเป็นหลง ดีใจ เสียใจ คร่ำเครียดอะไรต่าง ๆ เป็นอย่างนั้นซะ นี่มา เราก็เลย กำลังพลก็อ่อนแอ พ่ายแพ้ไปเลย ปราชัยไปเลย ปราชัย ก็คือ ปราชิกนั่นแหล่ะ ปราชิก คือ ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานแบบนั่นเอง หลงเป็นหลง นี่คือ ห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว ทุกข์เป็นทุกข์ ก็ห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว สอนนิพพานมั๊ย ไม่มีเนี้ย จึงเห็นหลง เป็นหลง ไม่เป็นผู้หลง เพราะจากความหลงไปแล้ว ไปสู่มรรคสู่ผลแล้ว ทุกข์เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์เนี้ย ไปสู่มรรคสู่ผล หรือถ้าทุกข์เป็นทุกข์เนี้ย ไปสู่อบาย ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพานแล้ว อ้อนวอนแล้วไม่สำเร็จนะเนี้ย มันจะเป็นทุกข์ไปสู่อบายก็เป็นอยู่นี่ไปก่อน ทางมันแยกตรงนี้ แยกตรงนี้ ให้ความสำคัญตรงนี้ ชีวิตเราต้องให้ความสำคัญตรงนี้ ถึงจะมีค่า ฝรั่งเข้าคอร์ส 7 วันเนี้ย เขาเต็มที่ เขาไม่ต้องคิดอะไร โสตาย ตายเป็นตาย (อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง อัมหากัง ปะริจัจชามิ) ข้าพเจ้า จะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แม้เลือดเนื้อกระดูกจะผุพังไปก็ตาม จะสู้ตรงนี้ สู้เวลามันหลง จะไม่หลง ตรงนี้ ไม่ได้สู้จนเหงื่อไหลไคลย้อย เหงื่อไม่ออก สู้กับความหลง แต่สู้ไม่ได้ก็หลงเป็นหลง เรียกว่า ถ้าสู้ก็ยิ้มหัวเราะกับความหลง เหมือนได้ประโยชน์ มันเป็นปุ๋ยแห่งความไม่หลง หัวเราะความหลง หัวเราะความคิด แม้ว่า มันงอกงามขึ้นที่นี่ หน่อโพธิเกิดขึ้นจากนี้ มันมีปุ๋ย คือ ความไม่ดี เป็นอกุศล มันจึงงามในกุศลขึ้นมา พระพุทธเจ้าชนะทุกข์ใช่มั๊ย จึงเป็นพุทธะ ถ้าไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เห็นทุกข์เนี้ย เห็นเหตุให้เกิดทุกข์เนี้ย เห็นทางดับทุกข์ ปฏิบัติตามทางดับทุกข์ได้แล้ว ทำได้แล้ว นี่แหล่ะ เรียกว่า ตรัสรู้ มันหลง เปลี่ยนหลงได้แล้ว มันทุกข์เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้แล้วเนี้ย ไปทางนี้ ๆ ไม่ใช่อ้อนวอนอยู่ที่ไหน พุทธะ เป็นตัวปัญญา เห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม คือ ผู้นั้นเห็น ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละอยู่ลานธรรม มีเสมาธรรมจักร คือสิ่งที่เนื่องด้วยกัน เพราะหลงจึงทุกข์ เพราะหลงจึงโกรธ เพราะหลงจึง อะไรต่าง ๆ เยอะแยะไปเลย หลงเป็นตัวใหญ่ เป็นมารดาของอกุศล ชั่วไปเลย ถ้ารู้เป็นทางกุศลดีไปเลย แล้วจะเลือกยังไง ชีวิตเรามันเลือกได้ เรียกว่าเลือกได้ บุญวาสนาเนี้ย เลือกได้ ไม่ใช่ว่าแข่งไม่ได้ แข่งได้ ทำไมจะแข่งไม่ได้ เพราะเราทำได้ไง หลงเป็นไม่หลง ทุกข์เป็นไม่ทุกข์เนี้ย มีบุญวาสนา บุญได้ตรงนี้แหล่ะ ไม่ได้ให้ทุกข์เป็นทุกข์ เนี้ยคนมีบาป โกรธเป็นโกรธ คนมีบาปเป็นความบาปที่ไหนกัน บาปเกิดขึ้นที่ในสันดานนี่ ในสันดานเนี้ย คือกาย คือใจเนี้ย เป้าหมายเนี้ย เพียงพอแล้ว นำไปปฏิบัติพอแล้ว เราค่อยจำคำสอนหลวงพ่อเทียนนะ อย่าเข้าไปในความคิดเห็นมันคิด ก็เห็นแต่ความคิดมันแสดงมา มีลูกก็คิดถึงลูก มีเมียก็คิดถึงเมีย มีอะไรก็คิดถึงเรื่องนั้น ก็กลับมา รู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิดเนี้ย โอ๊ย เพียงพอแล้ว เพียงพอไปอยู่ที่ไหนก็ดีพร้อม มันจะทำได้เรื่องนี้ อ้าว ๆ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน