แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมก่อนหนอ อย่ารีบร้อนไปไหน พะวงหน้าพะวงหลัง ห่วงโน่นห่วงนี้ เอาไว้ก่อน กาลนี้เวลานี้ ถึงกาลฟังธรรม ชีวิตของเรานี้ ประมาทไม่ค่อยได้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จนยาก เกิดขึ้นมาแล้วแก่เจ็บตายไป ยอมตาย ชีวิตเราน้อยนิด เหมือนกับน้ำค้างบนยอดหญ้า พร้อมที่จะสูญหายไป นาทีใดวินาทีใดก็ได้ หายใจเข้าไม่ออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่เข้าก็ตายแล้ว แค่หายใจเข้าหายใจออก แต่จะต้องเตรียมตัวเรื่องนี้ให้ชำนิชำนาญ อาศัยการได้ยินได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วนำมาปฏิบัติรีบด่วนสักหน่อย อย่าปล่อยอะไรทิ้งไว้ในกายในใจ แล้วคิดไม่ได้ ทิ้งความพอใจไว้ ในจิตใจ ทิ้งความไม่พอใจไว้ในจิตใจ มันก็เอาคืนไม่ได้แล้ว เพราะเสียเวลาไปแล้ว อะไรเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เนิ่นช้า หมักหมม พอกพูน เหมือนดินพอกหางหมู ก็ยึดเป็นตัวเป็นตนไป เป็นจริตนิสัยไป นะเรื่องอกุศล กุศลนี้ทำได้ยากเสียแล้ว หลงเป็นหลง ทุกข์ก็เป็นทุกข์เช่นนี้ ต้องหัดตนสอนตน ให้เด็ดขาด เวลาเราปฏิบัติธรรมนี่ เวลาที่เป็นศักดิ์สิทธิ์ คำว่า ปฏิบัติธรรมนี้ มันศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าต่อหน้า ให้เราได้แก้ไข เปลี่ยนร้ายเป็นดี ในสิ่งที่มันเกิดขึ้นจากกายจากใจ หลวงพ่อเทียน บอกว่า มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิด นั่น มันย่อลงมาให้เราดู โลกทั้งโลกย่อมากำมือเดียวต่อหน้าต่อตาเรา เราก็มีกายมีใจ ผ่านมาทางนี้ถ้าเรามีสติ ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรม ดูกรรมเห็นพระนิพพาน ดูอาการที่เกิดขึ้นกับตากับใจ เห็น ปรมัตถ์อย่างนี้ หลวงพ่อเทียนพูดอย่างนี้ จริงเลยทีเดียว อย่าให้พลาดตรงนี้ กรรม คือ การกระทำ กระทำดี ก็ไปเกิดเป็นมรรคเป็นผล ถ้าทำไม่ดีก็กลายเป็นอกุศล เป็นบาปไป อยู่ที่กรรมการจำแนกออกไป จากกรรมการกระทำ กระทำกรรมดี ก็ย่อมได้ผลดี กระทำกรรมชั่ว ก็ย่อมได้ผลชั่ว เรื่องดีความชั่วเป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะทำให้ตน คนอื่นดีชั่วเป็นไปไม่ได้ ทำบาปเองก็ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเองก็ย่อมหมดจดเอง ความเศร้าหมองความหมดจดเป็นของใครของมัน เวลาเราปฏิบัตินี้ เราได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเราต่อหน้าต่อหน้า บางทีมันเศร้าหมองก็ยังเศร้าหมองไปตามมันอยู่ไม่แก้ไข ก็เลยเป็นบาปเป็นกรรมไปหลายนาทีหลายชั่วโมงหลายเดือนหลายวันหลายปีไป เราก็ติดได้กายของเราใจของเรานี่ แล้วล่ะแต่เราจะให้มันคุ้นเคยเรื่องได้
ถ้าเราไม่สอน ปล่อยทิ้ง จึงจำเป็นต้องปฏิบัติธรรมนี่ โอกาสนี้แล้ว พวกเราให้โอกาสกันแล้ว ให้สิทธิกันแล้ว เราก็ใช้สิทธิได้เลย อย่าไปรบกวนกัน ให้เป็นสิ่งแวดล้อมซึ่งกันและกัน เป็นมิตรดี สหายดี เพื่อนดี สิ่งแวดล้อมดี ก็หลุดพ้นได้ง่าย คนเราคนปรกตินี่มันกระจุยกระจาย ดึงไปไหนก็ได้ แล้วมันหลงก็ไปกับความหลง แล้วมันทุกข์ก็หาทางแก้ ในทางที่ผิดไป ตะพึดตะพือไป กินเหล้าเมายา เที่ยวเตร่เร่ร่อน เข้าบาร์ไนต์คลับแก้อันนั้นไปได้แบบนั้น คนปรกติ ถ้าคนพิการมันไปไม่ได้มันต้องสู้ จะลุกก็ลุกไม่ได้ เช่น นอนอยู่เคลื่อนไหวได้แต่คออย่างนี้ ก็ต้องสู้ เหมือนหมาจนตรอกมันต้องสู้ มันก็ทุกข์อยู่ที่ใจนั่นแหละ อะไรเกิดขึ้นก็มาอยู่ที่ใจ ใจเป็นผู้รับรู้อารมณ์ รับมันแล้วก็ติด แต่คนพิการนี่มันไม่มีทางไป ก็ต้องมีสติสู้มัน สวนกระแสให้ทุกข์ประคองจิต ให้ความคิดเป็นผู้หิ้วผู้บ่งบอก ให้สุขให้ทุกข์ คิดเฉย ๆ ก็เป็นทุกข์เป็นสุข เกิดได้ทุกเรื่องเกิดจากความคิดนี่ ดูกายเห็นจิต ดูคิดเห็นธรรมนี่ มันผ่านมาทางนี้แน่นอน พระพุทธเจ้า ที่เป็นพระพุทธเจ้าความเพียรทางจิตนี้ ได้อาศัยกรรมฐานเป็นเรดาห์ดึงมา มันก็ผ่านมาให้เห็นหมด เหมือนแมงมุมชักใย มันทำใยใบกว้าง ๆ แล้วมันก็มาอยู่ตรงกลาง อะไรผ่านมามันรู้ มันก็เก็บมาเป็นอาหาร สิ่งใดไม่ใช่อาหาร มันก็ เอาใยมันไปพันไว้ไม่ให้ไปไหน การเจริญสติก็เหมือนกันนั่นแหละ มันทำได้ทุกอย่าง นี่สิ่งไหนที่วางก็วางลง สิ่งไหนที่ปล่อยก็ปล่อยไป สิ่งไหนที่ละก็ละได้ สิ่งไหนที่กำหนดรู้ไว้ก่อนก็รู้ไว้ รู้แล้ว สิ่งไหนที่หลุดพ้นก็ทำแล้ว หลุดพ้นได้แล้ว สิ่งไหนที่ควรจะแจ้ง ก็ทำให้แจ้งแล้ว แจ้งแล้ว อย่างนี้ จึงจะเป็นกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่จะมานั่งคิดถึงลูกถึงเมียถึงคนรักคนชัง บางทีก็ยังไม่เกิดก็คิดไปก่อน กลัวแล้ว บ้าแล้ว ในความคิด หอบหิ้วไป กลายไปสมุทัยสังขารปรุงแต่งไป ถ้าเราลักลัดตรงที่ผัสสะ การปฏิบัตินั้นเป็นผัสสะสัมผัส ด้วยตัวของใครของมันสัมผัสนี้กันไม่ได้ เช่น ความหลงกับความรู้สึกตัว ได้สัมผัสกับความรู้สึกตัว เมื่อมันเกิดความหลงไปได้สัมผัสความหลงตรงนี้ มันจะบอกผิดบอกถูกแก่ผู้ที่ปฏิบัติ แล้วสามารถปฏิบัติได้ให้ผลได้ทันที มีความเพียรกล้า ความเพียรปฏิบัติกล้าเปลี่ยนร้ายให้เป็นดี มีสติ มีศรัทธา มีความเพียร มีสติ มีพลัง สัมมาสมาธิ สมาธิ คือ พลัง มีที่ยืนมีที่ เหมือนกับยืนกันต้นไม้ สติเหมือนกับมีดซะ สมาธิเหมือนกับยืนบนที่หนักแน่นดี ๆ มันก็มีเรี่ยวมีแรง จะได้พูดว่าสังโยชน์ต่าง ๆ ที่มันข้องแวะมาดึงรัด เหมือนเชือก สติเหมือนดาบ ดาบกับเชือกมันง่าย ๆ ตัดแป๊บเดียวมันก็ขาดแล้ว ไม่น่าจะกลัวให้มันดึงไป ให้ยืนได้หนักแน่น เราก็ตัดลงไป เรามีท่ากรรมฐาน มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิด กลับมาได้ง่าย ๆ นี่ อย่าให้มันหิ้วไป
นี่ความอดทนเป็นเครื่องเผากิเลส เรียกว่าอย่าด่วนรับอย่าด่วนปฏิเสธ ดูหน้าดูหลัง หัดให้มีนิสัยแบบนี้ เรียกว่า ธัมมวิจยะสอดส่อง โยนิโสมนสิการ ขบเคี่ยวแยกแยะ อย่าให้เป็นลุ่นเป็นก้อน ให้มันกระจุยกระจายไปเลย ไม่มีอะไรที่น่ายึด ไม่มีตัวมีตน สักแต่ว่าไปเลยนะ ตายก็สักแต่ว่ากาย อันนี้เกิดขึ้นกับกายก็สักแต่ว่ากาย เวทนาเกิดขึ้นร้อน ๆ หนาว ๆ สุขทุกข์เจ็บไข้ได้ป่วยก็สักแต่ว่าสุขว่าทุกข์ เนี่ยมันหนักแน่นยืนหยัด จิตที่มันคิดขึ้นมาก็สักแต่ว่าจิต อย่าเอาความคิดมาเป็นตัวเป็นตน เกิดได้จากความคิด เกิดกิเลสตัณหา ราคะเกิดโกรธโลภหลง เกิดจากความคิดทั้งนั้น ก็สักแต่ว่าคิดเฉย ๆ ไม่ได้บังคับผลักไสไล่ที่ยอมมันทุกอย่าง แล้วเราฝึกสติมันจะมีพลัง มีที่ยืนมีที่อาวุธใช้ลงไป แม้นยิงแม้นมีดินเหมือนพื้น มีปืนให้เหมือนยิง แม้นทุกที่อะไรเกิดขึ้นมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัวอย่างเนี่ย แล้วก็มีที่ตั้งอยู่แล้ว คู้เหยียดเข้าเหยียดแขนออกอย่างนี่ กรรมฐานมันอุ่นใจนะ ยิ่งมาได้ อารมณ์เห็นรูปเห็นนามตามความเป็นจริง และรูปนามก็ช่วยอีก เหมือนกับอิฐก่อที่บังเป็นบังเกอร์ให้ อาการเกือบ ๆ รู้ก็เป็นอาการธรรมชาติธรรมดา ไม่ใช่ตัวใช่ตน ถ้ามันไม่มีอาการมันก็ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน นี่มันมีรูป มีนาม ก็ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ มันจึงเป็นมรรคเป็นผลได้รูปนามเนี่ย ถ้ามันไม่มีรูปมีนามมันจะสร้างมรรคสร้างผลไม่ได้ มันก็ได้ประโยชน์ที่มีรูปมีนามขอบคุณมัน มันหนาวก็ขอบคุณความหนาว ถ้ามันไม่รู้จักหนาวก็เป็นอันตรายต่อรูปต่อนามได้ ถ้าร้อนไม่รู้จักร้อนก็เป็นอันตราย มันก็ขอบคุณมันน่ะหรือว่าได้ประโยชน์ เห็นธรรมชาติเห็นอาการ ดูอาการเห็นปรมัตถ์ ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง เนี่ยปรมัตถ์มันลักษณะนี้ ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง เนี่ยปรมัตถ์นะ ไม่น่ากลัว ความโกรธไม่จริง ความไม่โกรธมันจริง ความโกรธเป็นสมมติบัญญัติ เป็นวัตถุอาการอันหนึ่ง รูปมันเป็นวัตถุ นามมันเป็นวัตถุอันหนึ่ง ที่มีตา มีหู มันเกิดขึ้นมาดูอาการ วัตถุอาการ แล้วก็มีสมมติไปเกี่ยวกับวัตถุนั้นว่าชอบว่าไม่ชอบ มันเป็นสมมติเฉย ๆ ไม่ใช่อะไรมาบังคับ แล้วแต่เราจะสมมติเอา ถ้าผู้เห็นอาการเกิดขึ้นอย่างนี้จะเห็นปรมัตถ์ มันไม่มีรสชาติในความสุขความทุกข์อะไรหรอก เพราะปรมัตถ์มันคุมไว้อยู่ หลอกลวงตัวเองไม่ได้นะ หลอกลวงคนอื่นจะได้ความเท็จความจริง หลอกตัวเองไม่ได้ ไม่มีที่ปิดบังอำพราง อาย ถ้าผู้ใดหลอกลวงตัวเองไม่ได้รู้จักละอาย เรียกว่า เทวธรรม แล้ว เป็นเทวดาแล้ว คุ้มครองโลกได้แล้ว แม้แต่คิดก็ไม่กล้า จะไปทำให้ผิดศีลผิดธรรมได้อย่างไร ปฏิบัติธรรมนี่มันอุ่นใจนะ ไม่ได้ว้าเหว่ ไม่ได้เดี่ยวเดียวดายอะไร เศร้าสร้อยหงอยเหงา แล้วก็เป็นมิตรกับตัวเองอยู่นี่ เป็นมิตรกับพระธรรมนี่ เป็นญาติกับพระธรรมเนี่ย
และเราดูดี ๆ เราก็มีสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำให้เราได้เป็นที่อาศัย ศีลก็ช่วย สมาธิก็ช่วย ปัญญาก็ช่วย มีแต่สิ่งที่ช่วยไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นนิจ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ตกไปในที่ชั่วเด็ดขาด ไม่ยอมให้ตกไปในที่ชั่ว เดี๋ยวมันอายทำบาปไม่ได้ ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ไม่ได้ สงสารรูป สงสารนาม ปีเราเคยป่วยรูปป่วยนามมาเกือบสามสิบปี พอมาเห็นเรื่องนี้สงสารรูปสงสารนาม น้ำตาซึมเลย ปล่อยรูปปล่อยนามทิ้งไปเจียนตายก็มี บางท่านนี่มันไม่มีประสีประสา ไม่มีใช่ตัวใช่ตนก็ยังไปเอามาเป็นตัวเป็นตนถูกหลอก ถูกความโกรธหลอก ถูกความทุกข์หลอก เสียเปรียบความโกรธ เสียเปรียบความทุกข์มามาก มันจึงเข็ดหลาบ เมื่อเห็นทางเมื่อเห็นเส้นทาง เมื่อเห็นทิศทางกัน เช่น เป็นความหลงก็เป็นความไม่หลงมันยังมีอยู่แล้ว ต่อหน้าต่อตา ก็ยังไปหลง มันเป็นไปไม่ได้ ก็กระตือรือร้น ดีอกดีใจ ใจก็ดีกว่าเก่า ล่วงพ้นภาวะเก่า อย่างนี้เรียกว่า วิปัสสนาล่วงพ้นภาวะเก่า ที่เคยเสียเปรียบความชั่ว ความไม่ดี ความโกรธ ความทุกข์ กิเลสตัณหานี้ มันขนหัวลุกนะ เหมือนเป็นผู้ใหญ่เห็นเด็กมันเล่นขี้โคลน แล้วก็ มันยอมให้เห็นลูกไปเล่นขี้โคลน มันยอมให้ไปเล่นทางนั้นไม่ได้ ก็รีบเอาขึ้นมา มาล้างทันที นี่เป็นพ่อเป็นแม่ปล่อยทิ้งไม่ได้ เห็นคนที่เป็นทุกข์ก็อยากจะช่วยเหลือ เห็นคนที่หลงก็อยากช่วยเหลือ น่าเสียดาย ไอ้ความหลงก็มีความไม่หลงอยู่กับเขาแล้ว อยากจะบอกทาง เปลี่ยนร้ายได้ เปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้อยู่เปลี่ยนได้อยู่ แก้ซะเปลี่ยนได้ เปลี่ยนได้ เวลามันโกรธก็เปลี่ยนไม่ให้โกรธก็ได้ อย่าให้ความโกรธพากันไปด่าไปฆ่าไปตีกัน เปลี่ยนได้อยู่ เอาแพ้เอาชนะกัน ให้ความโกรธพาให้ทำบาปทำกรรม บ้าความโกรธ ทำได้ ชอบ ฆ่าเขาตายก็ชอบใจ ได้ด่าเขาได้ก็ชอบใจ ได้ตีเขาก็ชอบใจ อะไรไปทำนองนั้นน่ะ เห็นผิดเป็นดี เห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี เห็นงูเป็นปลา เห็นกงจักรเป็นดอกบัว บางทีความคิดเป็นทุกข์ก็ยังเอามาคิดอยู่ ข้ามวันข้ามคืน ไม่ยอมปล่อย คิดแต่ก็จนใจ ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ฆ่าคนอื่นตาย เป็นอันตรายขนาดนั้น ก็ยังคิดยังทำกันอยู่ ถ้าเรามาเห็นนี่เป็นเทวธรรม มาเห็นเนี่ยอะไร อายความคิด ผู้ใดอายความคิด เรียกว่า เป็นเทวดาแล้ว เป็นเทวธรรมแล้วพวกนี้ เป็นเทวธรรมในโลก พระพุทธเจ้าสรรเสริญ (หิริโอตตัปปะ สัมปันนัง สุขะหะทะเมตตาสันโต เทวธรรมโมติ มุจจะเร) ผู้ใดมีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป มีสติ ละอายใจ ผู้นั้นเป็นเทวดาในโลก พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ ที่จริงหลวงพ่อเทียนว่าเป็นเทวดาได้ไหม เป็นได้ เป็นพระได้ไหม เป็นได้ ทำไมจะไม่เป็นได้ ปิดประตูนรกได้ไหม ปิดได้ เปิดประตูสวรรค์นิพพานได้ไหม เปิดได้
มันอยู่ที่ตัวเรานี่ ไม่ใช่ไปลับไปลี้ (ลี้ ภาษาอีสาน แปลว่า หลบ, ซ่อน) ที่ไหนอ้อนวอนอย่างไร กรรมที่การกระทำลงไปจริง ๆ ใจมันดีกว่าเก่าเนี่ย ใจดีก็เป็นบุญแล้ว ใจมันเย็นกว่าเก่า ใจเย็น ๆ ไม่มีภูมิมีแพ้ก็เป็นพระนิพพานแล้ว ไม่หวั่นไหวอีกแล้ว ภูเขาศิลาแท่งทึบไม่สะเทือนเพราะลมฉันใด ผู้ที่ฝึกจิตดีแล้วไม่สะเทือนเพราะนินทาสรรเสริญฉันนั้น ก็อยู่ในโลกได้ด้วยความสง่างาม สิ่งที่เป็นจริงเกินเหนือการเกิดแก่เจ็บตายโน่น คุ้มค่า เรียกว่าชีวิตประเสริฐ เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าอ่านได้ศึกษาปฏิบัติได้อย่างนี้ เราจะมีโอกาสกันแล้ว มีกายมีใจมีรูปมีนาม ไม่ตรง ๆ ซักหน่อยมันจะไม่ช้า มันหลงตรงต่อความไม่หลง ถ้าจะให้หลงเป็นหลงมันโค้งไปแล้ว ไม่ตรง ปฏิบัติดีปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นสถาบันอยู่เช่นนี้ อะไรมาก็ตรงอยู่เช่นนี้ หลงไม่ถูกต้องความไม่หลงถูกต้องนี่ ความทุกข์ไม่ถูกต้องความไม่ทุกข์ถูกต้องนี่ มันอยู่ที่กายที่ใจของเรานี่เอง เราไม่ใช่ไปแก้คนอื่นไปด่าคนอื่น กลับมาดูตัวเรา บางทีเขายังเอาอยู่ก็ให้เขาไปซะ เราอย่าไปเอากับเขา เขายังเอาความโกรธ เขายังเอาความทุกข์ เขายังเอายังเอาความหลงอยู่ยึดไว้อยู่ เราไม่เอาแล้ว เราทิ้งไปแล้ว ช่วยไม่ได้ เพราะเขายังไม่เห็นแจ้ง ไม่เคยฝึกหัดไม่เคยปฏิบัติ มามืดก็ไปมืด ๆ แบบนั้น ถ้าเคยปฏิบัติบ้าง ก็มามืดก็ไปสว่างได้ ถ้าไม่ปฏิบัติมันก็มืดไปเรื่อย มืดไปเรื่อย มืดทั้งมีสีดำมืดทั้งสีขาว มืดสีขาว คือ ความสุข ความดีใจ ความดีใจความไม่ใช่ใจดีนะ ดีใจเนี่ย ได้ด่าเขาก็ดีใจ มืดสีขาว ได้ฆ่าเขาก็ดีใจ ได้เปรียบเขาก็ดีใจ มืดสีขาว ที่จริงเขาจะเอาแบบนั้น ก็เลย เอาชนะคนอื่นร้อยครั้งพันหนมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ ไม่เหมือนกับการชนะตนแม้ครั้งเดียว พระพุทธเจ้าสอนว่าชนะตน ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ชนะความทุกข์ด้วยความไม่ทุกข์ อย่าไปเอาชนะคนอื่น นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ได้ให้เรียกว่า ชนะ ผู้ชนะอันยอดเยี่ยม คือ ชนะตัวเอง ไม่ใช่ชนะคนอื่น เดี๋ยวนี้ประเทศไทยกำลังเดือดร้อน เอาชนะกัน มีฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายประชาชน ปิดกรุงเทพฯ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯ ไปหาหมอนี่ เข้าไปได้หรือเปล่าเนี่ย เขาปิดกรุงเทพ ฯ ไม่มีวันที่จะเลิกรากันนี่ คณะรัฐบาลก็พยายามตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น มาตั้งที่ภาคเหนือ ตั้งที่ภาคอีสาน รบกันนะบัดนี้ เอาชนะกันแบบนี้ได้อะไรเหรอ มันก็ไม่ได้อะไร มันก็ฉิบหายวายวอดทั้งสองฝ่าย มันโลภ ความโลภนี่ยิ่งใหญ่ ความอยากก็ยิ่งใหญ่ สถิตเหมือนแม่น้ำเสมอถึงความอยากไม่มี มันใหญ่มาก แทนที่จะเสียสละให้มันเป็นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้นทุกมุมเมือง มีอะไรก็ให้เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งแวดล้อม คืนสู่ธรรมชาติได้ จะได้อยู่ได้กินได้ใช้กัน ไม่ใช่ไปแย่งเอากันมา มือใครยาวสาวได้สาวเอา ไม่ใช่อย่างนั้น เราก็ขาดแคลนแล้วเราก็จนกัน ธรรมะเท่านั้นที่จะคุ้มครองโลก ธรรมไม่มาโลกาพินาศ พระธรรมกลับมาโลกาก็เจริญ จึงมีวิธีเดียวที่บอกกันอย่างนี้ แต่ไม่ค่อยจะมีใครได้ยินดอก มีถ้าเราเท่านี้นั่งอยู่นี้ไม่ถึงสิบคนเนี่ย อย่างมากก็สิบคนยี่สิบคนเนี่ย แม้น้อยก็ยังดี จะได้ ดูโลก ว่าดูโลกมันเป็นอย่างนี้ก็ว่าโลกนี้ เราจึงอย่าประมาทกันเถอะพวกเรา เราแก้ไขตัวเรานี่แหละ ไม่ใช่ไม่คิดเรื่องการเมืองเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชอบเรื่องนั้นเราไม่ชอบเรื่องนี้ เรามาดูตัวเราเองดีกว่า ให้เจริญโตวันโตคืนขึ้นมา ข้ามล่วงจากวัฏสงสาร ขึ้นฝั่งพระนิพพานให้ได้ในชีวิตชาตินี้ด้วยกันทุกคนเทอญ