แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ เพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติ ให้มีความมั่นใจ กับคำสอน โดยเฉพาะวิธีปฏิบัติ มันทำได้ ปฏิบัติได้ มันให้ผลได้ เราก็มีกายมีใจ เราก็มั่นใจ มั่นใจกับกาย มั่นใจกับจิตใจของเรา ถ้าเรามีหลักปฏิบัติ เหมือนกับเราอยู่ในบ้านที่มีหลังคาดี ฝนตกก็มั่นใจว่าจะไม่เปียก นอนในมุ้งที่มีมุ้งกางก็มั่นใจว่ายุงจะเข้ามากัดไม่ได้ มั่นใจว่าเรามีร่มในมือ แม้ฝนจะตกเรากางร่มออกก็ไม่เปียกได้ เราก็มีอาชีพในการปฏิบัติเนี่ย และก็มีเป็นอาชีพที่มีความมั่นใจที่สุดเลย โดยเฉพาะวิชากรรมฐานเนี่ย เป็นวิชาที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย ทำให้เกิดเรื่องหนักเป็นเรื่องเบาได้ ชาวนาก็มีอาชีพการทำนา ก็มั่นใจในการทำนาว่าจะไม่อดไม่อยาก ไม่ทุกข์ไม่ยากเพราะทำได้ แม้เนื้อนาเป็นพื้นดิน อาศัยน้ำฝน อาศัยพืช การดึงมาปลูกก็ยังมีความมั่นใจและก็มั่นใจจริงๆ ไม่อดไม่อยาก ทำได้จริงๆ ฉลาดในการทำนา นี่เรามาปฏิบัติธรรม มีคำสอน มีทางที่ทำให้เราได้ดำเนินไป ก็คิดว่าเพียงพอกับการใช้ชีวิตในอาชีพนี้ ยิ่งเรามีพระสูตร สาธยาย สวดมนต์ ทำวัตร ก็เห็นด้วย เห็นด้วย กับคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่มีข้อขัดแย้งเลย นี่ก็ยังมีความมั่นใจ คนขับรถแม้แต่เป็นรถไม่ใช่กายใช่ใจจริงๆ เค้าก็มั่นใจในรถของเขา ที่ขับขึ้นเขา ลงเขา ว่าเขาจะนำรถเขาลงเขา เขาจะนำรถเขาขึ้นเขาได้ เชื่อมั่น ส่วนผู้นั่งก็น่ากลัว แต่คนที่ขับก็ยังสบายเพราะมีความมั่นใจ เคยถามเขาคุณมั่นใจหรือว่าคุณจะขึ้นได้ เขาบอกว่าเขามั่นใจ มั่นใจอะไร มั่นใจในรถเขา เวลาลงรถมีน้ำหนัก คุณมั่นใจหรือว่าจะลงปลอดภัย ก็เขาบอกว่ามีความมั่นใจ แสดงถึงความมั่นใจในความสุขกับพวงมาลัย จะหยุดก็ได้ จะช้าก็ได้ จะไวก็ได้ การปฏิบัติธรรมน่ะยิ่งกว่านั้นอีก มันสัมผัสได้กับชีวิตจริง ๆ เช่น ความรู้สึกตัว ไปในกาย กายก็มีจริงๆ เหมือนเรามีเรือที่จะนั่งบนเรือนี้ ห้ามพลาดและก็ผ่านได้ มีน้ำ ทำให้เราได้รู้จักขับเรือเป็น ชีวิตของเราก็เช่นกัน มันมีความพอใจ ความไม่พอใจ เวลาเราเดินทาง เวลามีสติไปในกายจะเห็นเรื่องนี้ เราก็สามารถเปลี่ยนได้ ไม่ให้ความพอใจเป็นความพอใจ ไม่ให้ความไม่พอใจเป็นความไม่พอใจ เราก็สึกตัวขับคลื่นตรงนี้ได้ ผ่าคลื่นตรงนี้ได้ คลื่นแล้วคลื่นเล่า ก็ยิ่งชำนาญมากขึ้น นั่งเรือก็มั่นคงมากขึ้น การใช้ชีวิตในการขับเรือก็สะดวก ชำนาญมากขึ้น เช่นนี้ ได้ผ่านความพอใจเป็นความรู้สึกตัว ได้ผ่านความไม่พอใจเป็นความรู้สึกตัว ได้ผ่านความยากเป็นความรู้สึกตัว ได้ผ่านความง่าย เป็นความรู้สึกตัว ได้ผ่านความสงบเป็นความรู้สึกตัว ได้ผ่านความฟุ้งซ่าน เป็นความรู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ ไป มันเป็นทางผ่านมันเป็นคลื่น แต่ว่าผ่านได้มันก็ไม่เหมือน ไม่เหมือนที่มันยังไม่ผ่าน เอาไว้ข้างหลังคือผ่านไป ครั้งแล้ว ครั้งเล่า นี่คือหลักปฏิบัติ การผ่านคลื่นในชีวิตของเราเนี่ยมีอยู่จริง จนมีลูกก็จะคิดมีเป็นเรื่องลูก คนมีอะไรก็จะคิดอย่างนั้น คนมีความทุกข์ก็จะไหลไปตามความทุกข์ คนมีความสุข ความรัก ความเกลียดชัง ก็ไหลไปตามความรักความเกลียดชัง เราจึงขับผ่านคลื่นไม่ได้ ให้รู้สึกตัวคือมันพ้นไปได้ หลุดพ้นไปได้ ทุกครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้น เสมือนมีผู้ช่วยมีผู้บอกอยู่เสมอ ที่พระพุทธเจ้าจงมาถึงที่ไม่มีน้ำ จากที่มีน้ำ จงล่ะกามเสีย เป็นผู้ไม่มีความกังวล จงยินดีเฉพาะต่อพระนิพพาน อันเป็นที่สงัด ซึ่งสัตว์ยินดีได้โดยยากเนี่ย ส่วนมากก็จะกระทบกระเทือน สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์ หลงเป็นหลง รักเป็นรัก เกลียดชังเป็นเกลียดชัง พอใจเป็นพอใจ ไม่พอใจเป็นความไม่พอใจ มนุษย์ส่วนมากย่อมอยู่ตรงนี้ แล้วก็เห็นเรานี้แหละ จึงมาถึงที่ไม่มีน้ำ กาม จงล่ะกามเสียก็คือความพอใจ เป็นกาม อ่อนแอ กามสุขขัลลิกานุโยค ความไม่พอใจเกินกาม อ่อนแอเป็นกามสุขขัลลิกานุโยค อ่อนแอเกินไป เป็นทางตัน และจึงมีความเข้มแข็งในจุดที่อ่อนแอเนี่ย เวลาเราปฏิบัติ ได้บทเรียน ได้ประสบการณ์ กับกายกับใจเราเนี่ยมากมาย อันมีรสของโลก รสของโลก คือ พอใจ ไม่พอใจ จงถอนความพอใจและไม่พอใจในโลกออกเสียได
พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ และก็ยิ่งเป็นความมั่นใจได้เห็นจริง ได้เดินไปตรงนี้จริง ๆ ได้สัมผัสกับสิ่งตรงนี้จริง ๆ ไม่ต้องถามใคร ความหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงถูกต้อง นี่ ของจริง ความทุกข์ไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์ถูกต้อง นี่จริง ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ได้แก้สิ่งเหล่านี้ที่มันเกิดกับชีวิตของเรา ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นจริตนิสัย ได้แก้มัน ได้เปลี่ยนมัน เปลี่ยนร้ายเป็นดีและก็พอใจในอาชีพนี้ คาดว่าเป็นกอบเป็นกำขึ้นมากับผลของการปฏิบัติ ปฏิบัติได้ให้ผลได้ มันเป็นอย่างนี้ ล่วงพ้นภาวะเก่ามันเป็นอย่างนี้ เรามาแท้ ๆ เรามาทางนี้ หลุดมาทางนี้ เสมือนเรากินข้าวอิ่ม ความอิ่มมันเป็นอย่างนี้ ความหิวเป็นอย่างโน้น ชีวิต จิตวิญญาณที่ไปฝึกหัด มันก็บอกความเท็จความจริง เป็นปัจจะตังของผู้ปฏิบัติ มันได้ทั้งปัญญา ได้ทั้งศีล ได้ทั้งสมาธิ มั่นใจ มั่นใจในสมาธิ ปัญญาก็ได้เห็นอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ตามความเป็นจริง ตรงไหนที่มีปัญหามีปัญญาตรงนั้น มันเป็นอย่างนี้ เรียกว่า ปัญญา ถ้ามีสติเป็นหนทาง เป็นบทฝึกหัด เป็นสิ่งที่เป็นเกณฑ์ชี้วัด บอกผิดบอกถูก แต่ต้องมีสติ เหมือนมีตาใน เหมือนกับตาเนื้อ ถ้ามีตา ลืมตาขึ้นก็ต้องเห็น ตาในก็ยิ่งเป็นน่ารอบกว่าตาเนื้อนี้ เห็นเป็นวงน่ารอบยิ่งกว่าตาเนื้อ เป็นน่ารอบเหมือนดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ แสงนีออน สว่างรอบๆ อยู่เนี่ย ไม่ใช่เหมือนไฟฉาย และก็มีความมั่นใจอย่างนี้ การปฏิบัติและเราขึ้นฝั่งได้ มันจะไม่เหมือนกับอยู่ในน้ำ อยู่ในคลื่น คลื่นมันมีอยู่จริงแต่ว่าอยู่บนฝั่ง เราขึ้นฝั่งได้ คลื่นมากระทบฝั่งก็หมดไป ถ้าเรามีฝั่งขึ้นฝั่งได้ เทียบท่าได้ เราใช้กายใช้ใจเป็นพ่วงเป็นแพ ขับขี่ขึ้นฝั่ง ใช้กายใช้ใจได้สำเร็จ มีอานิสงส์ มีกายมีใจ ล่ะความชั่วได้ ทำความดีได้ คนที่อยู่บนฝั่งก็ย่อมไม่กระทบกระเทือนกับคลื่น ก็สักแต่ว่าน่ะ กายก็สักแต่ว่ากาย สุขทุกข์ก็สักแต่ว่าสุขว่าทุกข์ อยู่ที่มันคิดที่เคยกับย้อมอารมณ์คู่กับจิต ก็สักแต่ว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล อกุศล ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เราก็ไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่น ในรสของโลก สัมผัสกับรสพระธรรมได้บ้าง เห็นกระแสแห่งพระนิพพานได้บ้าง เรามาทางนี้ มาทางนี้ก็มั่นใจสำหรับผู้ที่ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ไป ทำไมจะไม่มั่นใจ เพราะเราทำอยู่กรรมฐาน เป็นหลักเกาะเป็นหลักการกระทำ ตัดเวรตัดกรรม รู้สึกตัว รู้กายเคลื่อนไหว รู้แขนออก รู้แขนเข้า เหยียดแขนออก อะไรเกิดขึ้นมาก็รู้ รู้ตัด รู้ตัด มาถึงภาวะที่รู้ ถ้าไม่รู้มันเป็นวัตตะ วัตตะคือวังวน หลงเรื่องเก่าหลงแล้วหลงอีก ทุกข์เรื่องเก่า ทุกข์แล้วทุกข์อีก พูดเรื่องเก่าโกรธแล้วโกรธอีก ติดเหมือนเคย เป็นวัตตะ ถ้าไม่ตัด ตัดตรงไหน ตัดตรงกรรม วัตตะมี 3 คือ กิเลส กรรมวิบาก เหมือนกับห้วงน้ำ คนไม่มีวิชากรรมฐานก็อาจจะผ่านห้วงน้ำไม่ได้จมน้ำไปเลย ชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตจมน้ำขึ้นฝั่งไม่ได้ แต่สุขเป็นสุขจมลงไปแล้ว ทุกข์เป็นทุกข์ก็จมลงไปในน้ำแล้วขึ้นฝั่งไม่ได้ หลงเป็นหลงจมลงไปแล้ว โกรธเป็นโกรธจมลงไปแล้ว ผู้ที่ขึ้นฝั่งได้บ้างมีท่าเทียบท่าได้เห็นมันหลง ไม่ได้เป็นผู้หลงเนี่ย กำลังจะขึ้นฝั่งได้ เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ก็พ้นจากความทุกข์เนี่ยขึ้นฝั่งได้ นี่ชีวิตต้องเทียบท่า ถ้าเป็นเราขึ้นไม่ได้ลอยคอ ชีวิตลอยคอ มีจิตใจก็ไม่มั่นใจตัวเอง คุ้มร้ายคุ้มดี แต่ว่าลอยคอแล้วแต่อารมณ์จะพาไป ไม่ได้รู้จริงตาม ไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าจิต เพราะจิตที่วางเพราะจิตที่มันคิด ความเป็นทางจิตก็คือตรงนี้แหละ มันคิดขึ้นมาเห็นมันคิด อย่าเข้าไปอยู่ในความคิด มีกรรมฐาน รู้ตัด รู้ตัด ตัดกรรม กิเลส กรรมวิบาก กิเลสคือ ติดกรรมคือ การกระทำ วิบากคือ เสวยผลที่เป็นกิเลสเป็นกรรม ก็ทำกรรมไปก็เลยติดเป็นวิบาก สุขที่ใดก็เป็นสุข ทุกข์ที่ใดก็เป็นทุกข์ เหมือนคนสูบบุหรี่ จะตัดกรรมตัดตรงไหน กิเลสกรรมวิบากเป็นวัตตะ วัตตะวน ไม่รู้อันไหนเกิดก่อน เช่น คนสูบบุหรี่ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ เพราะสูบจึงติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสูบ นี่แหละวิบาก กิเลสกรรมวิบาก ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนคนติด บุหรี่ติดสิ่งเสพติด ติดกามคุณทั้งหลายติดรสของโลก กรรมฐานจึงตัดตรงนี้ กรรมที่ว่าจึงตัดตรงกรรม มันตั้งต้นที่กรรมคือการกระทำ กรรมเป็นตัวการใหญ่ เพราะมีการกระทำ เพราะสุขมันจึงติด เพราะติดจึงอยาก เพราะอยากจึงสุข เพราะสุขจึงติดตรงกรรมเนี่ยแหละ ตัดวงล้อมันนี่แหละ เพราะอะไรหล่ะเพราะไม่สูบ ก็ไม่ติด เพราะไม่ติดก็ไม่อยาก เพราะไม่อยากก็ไม่ติด พอไม่อยากก็ไม่สูบ พอไม่สูบก็ไม่ติด พอไม่ติดก็ไม่อยาก ตัดกรรมตรงนี้น่ะ กรรมฐานตัดจริงๆ ตัดตรงนี้ มันชี้ขึ้นมารู้สึกตัวเนี่ยตัด จะเป็นกรรมอะไรมาก็ตัดตรงนี้ กรรมคือทาง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มโนกรรมคือจิตที่มันคิดนี่เป็นใหญ่ ตัวการใหญ่ ก็ตัดตรงนี้แหละ มันจะต้องเห็นทุกคนเวลาเราฝึกสติ ที่มันหลอกได้แต่ในความคิด นั่นรู้สึกตัวมันก็คิดไปนู่น กลับมา กลับมารู้สึกตัวเนี่ย ตัดกรรม ตัดกรรม ตัดเวร ตัดกรรม ตัดเวร ตัดกรรม หลวงปู่เทียน บอกว่า รู้ตัด รู้ตัด รู้ตัด รู้ตัด นี่ความรู้มันเป็นอย่างนี้ เมื่อตัดลำก็ โบราณเขาว่ารักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ถ้าจะให้สติยาวต้องตัดตัวหลงออก เหลือแต่รู้ ความยาวของสติไปแล้ว ได้ความรู้เพราะความหลง มันยาวตรงนี้ ได้ความไม่ทุกข์เพราะความทุกข์ มันยาวตรงนี้ ปัญญา สติปัญญา ตามความสั้นคือให้ต่อ รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ต่อความรู้สึกตัวไปเลย แล้วมันจะได้ ความหลงจะได้สั้นเข้ามา มันจะไม่มีมันจะไม่เป็นวัตตะ มันจะไม่ผูกยาวบน พูดเรื่องเก่าโกรธแล้วโกรธอีก พูดเรื่องเก่า ทุกข์แล้วทุกข์อีก เป็นวัตตะเนี่ยตัดตรงนี้นี่ก็เรียบ ชีวิตเรียบมาตรฐานเหมือนทางมิตรภาพ เทน้ำใส่แก้วไม่กระเพื่อมเลย มันเรียบ ทำไมถึงเรียบได้เพราะมันตัด ใบมีดแทรกเตอร์มันตัด ใบมีดรถกรีดมันตัด ตรงไหนสูงตัดไป ตรงที่สูงตัดไปติดใบมีดไว้ไปถมที่ต่ำ มันก็เรียบ ตัดหลายรอบเท่าไหร่ยิ่งเรียบ หลายรอบเท่าไหร่ยิ่งเรียบ เป็นคำว่ารู้เฉย ๆ เนี่ยก็ไม่ใช่รู้เฉย ๆ เป็นทางไป มันจะเรียบ ขรุขระ มันจะเรียบ จะได้ง่ายมากขึ้น ทีแรกก็ง่ายที่จะหลง ฝึกไปฝึกไปง่ายที่จะไม่หลง เป็นอย่างนั้น วิชากรรมฐานเนี่ยไม่มีวิธีใดที่สอนคนแล้วจนใจจริง ๆ ไม่มีวิธีใดที่จะมาบอกมาสอนความเท็จของจริงที่จะมาเกิดกับกายกับใจเรานี้ นอกจากวิชากรรมฐาน
จึงต้องพูดต้องสอนกันอยู่อย่างนี้ ขอใช้ชีวิตอย่างนี้ แต่ใช้มาแล้วเกือบจะ 50 ปีแล้ว มันก็จนใจบ้าง ไม่มีวิชาใดอีกแล้ว มันคือความรักมนุษย์ทั้งหลายเนี่ย ไม่อยากให้มันเป็นวัตตะ ให้มันขึ้นฝั่งได้ทุกชีวิตเนี่ย แต่หนุ่มแต่น้อยก็ยังดี รอให้มันเฒ่ามันแก่ไม่ได้ ถ้าใช้ไม่ถูกก็จมลงไปในวัตตะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปเฉย ๆ สุขก็เป็นสุขอยู่เช่นนั้น ทุกข์ก็เป็นทุกข์อยู่เช่นนั้น พอใจก็เป็นความไม่พอใจอยู่เช่นนั้น ไม่พอใจก็เป็นความไม่พอใจอยู่เช่นนั้น อะไรล่ะที่เป็นสมบัติของชีวิตจริง ๆ น่ะ ทรัพย์สินเงินทองหรือเปล่าทั้งนั้น บุตร ภรรยา สามี หรือเปล่าทั้งนั้น เกิดคนเดียวก็ตายคนเดียว ก็เจ็บก็เป็นเจ็บ ทุกข์เพราะความเจ็บ ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความตาย ให้สิ่งที่มันเป็นรสของโลก พาเป็นไป ก็แล้วแต่มันจะพาให้สุขให้ทุกข์ บางทีสุขทุกข์ ก็เป็นสมมติเอา เป็นบัญญัติเอา เอาวัตถุมาเป็นสุข เอาวัตถุมาเป็นทุกข์ บัญญัติเอา สมมติบัญญัติ วัตถุอาการต่าง ๆ ใหญ่กว่าชีวิตเราเลย แล้วแต่สิ่งที่นั่นมันจะเป็นอย่างไร พอดีสิ่งที่เรารักก็จะพลัดพรากจากไป ก็ทุกข์เพราะความรัก เสียใจ อกหัก ในรสของโลกมีเยอะแยะนะ มีนินทา สรรเสริญ มีได้ มีเสีย มีสุข มีทุกข์ มีเสื่อม มีเจริญ นี่เป็นสมบัติของโลก ไม่ใช่เรา โลกมันเป็นอย่างนี้ แล้วก็เกิดมาพอที่รู้จักโลก เทศน์อยู่ที่นี่มาหลายปี 40 ปีก่อน ที่นี่ก็ไม่เหมือนอย่างนี้ อะไรที่มันไม่เที่ยงมันหมดไปแล้วจริง ๆ มี เห็ดกระด้างฤดูนี้ หมดไปแล้ว แต่ก่อนเก็บได้เป็นกระสอบ ๆ ในวัดนี้ ตะเคียนทองไหม้สิ ล้มลงที่นี่ ข้างขอนข้างเขียงก็เกิดเห็ดกระด้าง เดี๋ยวนี้ไม่มีขอนไม้ไม่มีไม้เนี่ย เห็ดก่อเห็ดกระด้าง สัตว์บางเพศก็หมดไป ฤดูหนาว สัตว์ในน้ำ ร้องตลอดคืน มีโงด (สัตว์ชนิดหนึ่ง) มีอะไรหลายอย่างเยอะแยะ หน้าฤดูฝนก็สัตว์ในน้ำก็ร้องเปลี่ยน เปลี่ยน เปลี่ยนเสียงกันไป สัตว์บกนกต่าง ๆ หมดไปแล้ว โตปาโน่ เรไร หมดไปแล้ว อาหารบางอย่าง หมดไปแล้ว มีแต่ของไม่ดียังเหลืออยู่ น้ำก็เน่า เกิดหนอน แต่ก่อน แมงง้องแง้ง เออแมงกานโซ่ แมงระงำ แมงก้องแขน แมง แมลงอะไรต่าง ๆ ในน้ำ สวิง กะแตง (ตะแกรง) ตักลงไปได้ของอยู่ของกินไม่กี่นาทีในน้ำ เดี๋ยวนี้มีแต่หนอน มันก็เป็นอย่างนั้น โลกนี้ เราจะอาศัยอะไรเป็นแก่นสาร พึ่งพาอาศัยอะไร เดี๋ยวนี้ก็หวั่นวิตกกันทั่วโลก โลกมันชำรุดทรุดโทรม ไม่ว่าจะประเทศไทย ที่ไหนก็เหมือนกันหมด ภัยธรรมชาติก็เกิดมากขึ้น เดี๋ยวนี้แผ่นดินเดินไปก็มีแต่ภัย อากาศหายใจก็มีแต่พิษภัย น้ำก็มีแต่พิษแต่ภัย อาหารก็มีแต่พิษแต่ภัย แต่ก่อนไปทำนาทำไร่ กินน้ำลอยวัวลอยควายได้ เดี๋ยวนี้น้ำขวดนึงก็แพงมาก แพงกว่าน้ำมัน แล้วจะทำยังไง ต้องเป็นสัตว์เศรษฐกิจ หาเงินหาทองเพราะคนใช้มาก บริโภคนิยมมากเกินไป ฟุ่มเฟือยเกินไป ถ้าเราปฏิบัติและสำรวมลง ใช้ไม่มากถ้าเราเป็นนักบวชไม่ได้แย่งอาชีพใคร ขอกินข้าววันละบาตร แต่นี่ก็วันละถ้วย กินสองถ้วยไม่ได้ ก็ไม่มาก เราจึงไม่เอาเปรียบใคร มาอยู่ในเพศนี้คงไม่เป็นบาปเราก็ไม่ใช่โจรผู้ร้าย เราจะบอกผิดบอกถูกแก่ผู้ใดคนอย่างนี้ จะมีใครซักกี่คนที่สนใจเรื่องนี้ ก็ยังอุ่นใจเห็นพวกเรานักปฏิบัติ มีแต่ปัญญาชน ที่ว่ายเวียนมาที่นี่ ก็รู้สึกว่าพอมีหวัง จะได้ช่วยกันเป็นขาเป็นแขน เป็นปาก เป็นเสียง เป็นหู เป็นตา มาช่วย สิ่งที่ดีให้ขึ้นมา เอาชนะสิ่งที่เลวร้ายให้หมดไป ลูกหลานเราเกิดสุดท้ายภายหลังก็จะได้มีที่อาศัย นี่ที่นี่ก็ไม่ใช่มานั่งสอนกรรมฐานอย่างเดียว ทำเพื่อโลกอยู่วันที่ 1 ธันวา ก็จะเดินธรรมยาตรา ครั้งที่ 14 บอกกล่าว ป่าวร้องไปยังผู้ว่างข้างมีต่าง ๆ ให้มาดูโลก ช่วยโลก ช่วยธรรมชาติ ป่าไม้ร้องไห้ แม่น้ำล้มป่วย แผ่นดินเป็นอัมพาต อากาศเป็นพิษ ใครจะช่วย เรายังมี สส. สว.ช่วยหานู่นหานี่ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีใครช่วยมีแต่คนที่รุมทำร้ายเข้าไป ใครจะเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ดูแลรักษาธรรมชาติให้คงอยู่ ตามความสามารถ ถ้าเราเห็นคุณค่าสิ่งเหล่านี้ เห็นคุณค่าของพ่อของแม่ที่ให้เราได้เกิดมา ได้กายและได้ใจมา มี 5 นิ้ว 10 นิ้ว ขอทำความดี จะไม่เอากายเอาใจนี้ไปทำความชั่วเด็ดขาด จะเอากายเอาใจมาทำแต่ความดี มีชีวิตอยู่เท่าไหร่ก็ทำแต่ความดี ที่มันถูกต้องเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อโลก และก็มีเพื่อนมีมิตร ยังพออุ่นใจอยู่ มาช่วยกัน ช่วยกัน ช่วยกัน พูดไปก็หมดเสียงแล้วนะ อ่ะสมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน