แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การปฏิบัติตามคำที่ได้ยินได้ฟัง มันเป็นสิ่งแวดล้อมซึ่งกันและกัน ทำให้กรรมการกระทำมันเจริญก้าวหน้า เรามาศึกษามาเจริญสติ ก็เป็นกรรมเป็นการกระทำ ใช้ได้ทันที
สตินี่ เป็นสารพัดนึก ใช้ได้ทันดี เช่น เรามีสติดูกายก็เห็นกายได้ทันที เห็นก็เห็นแจ้งทันที ไม่มีคำถาม เป็นสัจธรรม แล้วก็จะเห็นอะไรต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับจิตใจ จะไม่หลง ไม่หลงสักอย่างเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ถ้าไม่หลง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจแล้ว นอกกายนอกใจไปก็ไม่หลง ก็จะไม่หลงยิ่งขึ้น การไม่หลงเรื่องของกายของใจท่านเรียกว่า รู้แจ้ง เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นคุณธรรมที่ทำให้ถึงมรรคผลนิพพานได้ แล้วเราก็เห็น ไม่ใช่คิด ไปเห็นอะไร ไปเห็นความหลง ไปเห็นความง่วง ไปเห็นอะไรต่าง ๆ ก็ไม่หลงสักอย่างเดียว ถ้าเรามีความรู้สึกตัว ตั้งหลักไว้ให้ดี ๆ ให้มันเป็นฐาน ให้มันเป็นที่ตั้งดี ๆ มีความรู้สึกจริง ๆ ความรู้สึกเข้าไปเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ อย่าไปใช้เหตุใช้ผล อย่าไปใช้ความชอบความไม่ชอบ มีแต่รู้สึกตัวเข้าไป ซื่อ ๆ ตรง ๆ การเห็น อะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจเป็นเรื่องของสตินี่ ท่านเรียกว่าปฏิบัติ เรียกว่า ปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐานตัวนี้จะลิขิตไปเอง เป็นทางหลุดทางพ้นไปเอง
การเจริญสติ สติมันก็ทำให้เจริญ ไม่ต้องไปอาศัยอันอื่น อยู่ในเนื้อในตัว เนื้อในเนื้อ เนื้อมันในมัน โบราณท่านว่า สติก็สร้างสติเรื่อยไป การเจริญสติไม่เหมือนทำอย่างอื่น ทำอย่างอื่นกว่าจะได้ใช้นี่ต้องใช้เวลา ต้องมีสิ่งเกี่ยวข้องหลายอย่าง เช่น เราปลูกต้นไม้ ก็ต้องมีสิ่งที่ประกอบหลายอย่าง แต่ต้นไม้นั่น เราจะไปทำให้มันเจริญเติบโตโดยวิธีใดไม่ได้แม้แต่เราเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม แต่สตินี่มีแต่สติ เข้าถึงเนื้อถึงตัวทันที ทำลงไปรู้สึกตัวลงไป รู้สึกตัวลงไป มีอะไรที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวก็เอาความรู้สึกตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นความรู้สึกตัวทั้งหมด ความหลงก็เป็นความรู้สึกตัว ความทุกข์ปัญหาต่าง ๆ เป็นความรู้สึกตัวทั้งหมดเลย การปฏิบัติธรรมมันเป็นกอบเป็นกำ เป็นมรรคเป็นผลอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงกระตือรือร้น สอนผู้สอนคน ให้เลื่อนฐานะ ให้ประสบการณ์ ให้พบเห็น สติที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับความหลง สติก็พัฒนา สติมีประสบการณ์กับความง่วงเหงาหาวนอน สติก็ถูกพัฒนา ไม่เสียหายสักอย่างเลยการเจริญสติเนี่ย ไม่เหมือนอย่างอื่น เวลานี้พวกเราปลูกต้นไม้เนี่ย กำลังจะมีภัยกับต้นไม้ มีด้วงมาเจาะตายไปหลายต้น ทำไมจึงมีด้วงมาเจาะ เพราะมีตัวต่อ ไปเอาเปลือกเอายาง โดยเฉพาะต้นยางนา ต้นอะไรจำไม่ได้ มันเป็นยาง ตัวต่อก็เอาไปทำรัง ไปกัดเอาเปลือกเอายางมันไปทำรัง พอตัวต่อไปกัดเอา มันก็เกิดยาง ก็มีแมลง มีแม่ตัวแมลงที่มันไปไข่ใส่ก็เป็นด้วง ด้วงก็เจาะกินเข้าไป กินเข้าไปลึกด้วย เอาไม้ไปเสียบลองดูเข้าไปถึงนิ้วสองนิ้ว มันก็เจาะกินไป เจาะกินไป เมื่อไปมันถึงกลางใจต้นไม้ ต้นไม้ก็ตายเลย นี่เรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ต้นไม้มันไม่เจริญงอกงาม แต่ต้องอาศัยอย่างอื่น อันนี้เรียกว่า ไม่เป็นแก้วสารพัดนึกเหมือนกับการเจริญสติ
การเจริญสติจะยิ่งดี จะมีประสบการณ์ เช่น มันหลงเนี่ย โอ้มันดีจริง ๆ ได้มีสติ พอมันหลงก็มีสติ อะไรก็ตามเถอะนะ ที่มันเกิดกับกายกับใจเนี่ย ก็จะมีสติว่าแต่เราสร้างเป็นฐานเป็นหลักเป็นที่ตั้งเอาไว้ ก็ไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรง เมื่อมันในมัน มันอยู่ด้วยกัน ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ ปัญหาต่าง ๆ ก็แก้ลงไปที่กายที่ใจ มีสติสัมปชัญญะเนี่ย วิชากรรมฐานมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่วิชาไม่ใช่การกระทำแบบรอคอย เป็นวิชาที่ทำกับไม้กับมือ ถ้าเป็นการชวนกันก็จับมือจูงมือกันไปดู นี่ ว่าอย่างนี้ คำว่านี่ น-หนู สระอี ไม้เอก นี่ คือมันใกล้ ๆ ถ้านี้ นู้น โน้น มันไกล ถ้าเป็นมรรคเป็นผลก็นี่ ไม่ใช่โน่น เหมือนกับพูดเมื่อวานนี้ว่า ถ้าเป็นมรรคผลก็ชิมลอง ชิมไปเลย แม้ยังไม่มั่นคงเที่ยงถาวรก็ได้ ได้ผลแล้ว รู้สึกตัวเป็นความหลุดพ้น ความหลุดพ้นที่เป็นวิมุตติ เป็นการสุดยอดของการศึกษานะ มันก็พ้นชั่วช้างสะบัดหูชั่วงูแลบลิ้น เห็นมันหลงพ้นจากความหลง มีสติก็พ้นจากความหลง มันทุกข์มีสติก็พ้นจากความทุกข์ แม้มันหลงอีกมันทุกข์อีก ก็พ้นอยู่เรื่อย ๆ เนี่ย ทางแบบนี้ ทางไปแบบนี้ ทางหลุดพ้นคือไปแบบนี้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติเนี่ย เป็นสุดยอดของการศึกษาตามวิชาการของหลักพุทธศาสนา ก็ต้องสอนกันอย่างนี้ เราก็ต้องศึกษาแบบนี้ ให้มันตรง ๆ เข้าไป ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติออกจากทุกข์ แล้วมันก็เป็นก้อนทุกข์อันรูปเนี่ย ถ้าเราไม่มีวิธีที่จะให้พ้นจากทุกข์ ทุกข์นี่มันก็เพิ่มเข้าไปเรื่อย ๆ เป็นภาระ เรื่องของกายของใจนี่ ที่สุดคือทุกข์ ถ้าเราไม่ศึกษา ถ้าเรามาศึกษา ที่สุดก็คือการพ้นทุกข์
พระพุทธเจ้าจึงว่ามีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป เรามีความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว มีความเกิด มีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย ถ้าเราจะปล่อยมันก็ไปทางนั้นใหญ่ ยิ่งใหญ่มาก ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วการเกิดก็เกิดได้หลายร้อยหลายพันหลายหมื่นภพ เกิดทางตา เกิดทางหู เกิดทางจมูก เกิดทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เกิดเป็นภพเป็นภูมิต่าง ๆ เรียกว่า เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ถ้าเกิดจากท้องแม่ที่ได้รูปได้นามมา มันก็มีการเกิดอยู่บนนี้ ขึ้นไปอีกหลาย ๆ อย่าง เป็นภพเป็นภูมิ บางทีมันต่ำลงไปถ้าเราไม่ศึกษา ไปอยู่ในภูมิอันต่ำ ภูมิอันต่ำก็คืออบาย อบายนี่ก็คือ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย หรือเปรต พวกนี้ไม่เจริญ ดังคำสอนที่ท้าทายพวกเรา ว่าคนเราเนี่ย ไปสู่ภูมิอันต่ำ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เดรัจฉาน เท่ากับขนโค ไปสู่ภพภูมิสูงเท่ากับเขาโค ไปสู่สวรรค์นิพพานเท่ากับเขาของโค ขนกับเขามันไม่เปรียบเทียบกันได้ นี่เรื่องที่ท้าทายชีวิตเรา แล้วก็มีคำสอนที่มันงอกขึ้นมาใหม่ ๆ เรื่องศาสนาดังที่ได้ยินเขาสอนเขาพูดให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้การแปลคัมภีร์ของอิสลามเนี่ย ถ้าฆ่าคนจะได้บุญ คนที่ถูกฆ่าก็จะมาเป็นขี้ข้าของเราในภพภายข้างหน้า เป็นขี้ข้าเรา ถ้าเราฆ่าใครคนนั้นจะมาเป็นขี้ข้า เขาจึงฆ่ากันอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องคิดอะไร หรือถ้าฆ่าคนที่เป็นศัตรูกับเขา กับศาสนาของเขา เขาจะได้บุญ ได้บุญ เขาจะได้ไปอยู่กับพระเจ้า บางทีเขาก็ได้ยินเขาว่ากัน อันนี้ก็เอามาพูด แต่ว่าความเป็นจริงอย่างไร ก็ไม่ทราบ ให้เรารู้ถ้ามันเป็นอย่างนั้น เรารู้สึกว่ามันน่า น่าจะผิดเป็นอย่างมาก ๆ เลย ไม่ว่าสัตว์อะไร รักตัวกลัวตายเหมือนกัน การทำให้ตาย การทำให้เจ็บถือว่ามันเป็นบาป มันเป็นบาป แม้แต่เรานี่ก็เป็นบาป ถ้าเราทำให้เราเป็นทุกข์เราก็เป็นบาป เพราะนั้นเราจึงมายกภูมิของเรา ปิดภูมิที่มันไปต่ำ ๆ ปฏิบัติธรรม เพราะว่าคนเนี่ย มันก็มีทางมีโอกาสไปสู่อบายได้ เราจึงมาพัฒนาตรงนี้ อย่าให้มันเป็นคน คนมันคืออย่างไร คือ คุ้มร้ายคุ้มดี ครึ่งผีครึ่งคน คุ้มร้ายคุ้มดีเป็นยังไง บางทีก็ทุกข์ บางทีก็หลง บางทีก็สุข บางทีก็โกรธ เอาทุกอย่าง คนน่ะเอาทุกอย่าง ความโกรธ ความรัก ความชัง ความยินดี ความยินร้าย วนเวียนอยู่ตรงนี้ ก็ปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนั้นลอยตัวอยู่ จนพูดออกมาไม่มั่นใจ ไม่มั่นใจตัวเรา ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ไม่มั่นใจตัวเอง ให้อาการต่าง ๆ เป็นใหญ่ คล้อยตามมันไป นี่เรียกว่าคน บัดนี้เรามามีสติ รู้ทันมัน มีสติคุมกำเนิดของคน คุ้มร้ายคุ้มดีนั่น คุมได้ อะไรที่มันเกิดขึ้นมารู้สึกตัว คุมมันแล้วควบคุมมันแล้ว ควบคุมสังขารที่มันไปใฝ่ต่ำ รู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกตัวพาให้ได้ภูมิใหม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์นี่มีโอกาสเป็นพระได้ คนไม่มีโอกาสที่จะเป็นพระได้ ถ้าเรามาศึกษามาดูจริง ๆ แล้ว น่ากลัวมากคนเนี่ย คุ้มร้ายคุ้มดี พอเรามีสติ เราเห็นเนี่ย เราเห็นเนี่ย ๆ เห็นเราก็เปลี่ยนมารู้สึกตัว มารู้สึกตัว มันจะหลุดลงไปเราเอาขึ้นมาได้ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ขนหัวลุกเหมือนกัน มันจะโกรธก็รู้สึกตัวเนี่ย ช่วยตัวเองได้ ยกขึ้นมาได้ มันจะทุกข์ช่วยตัวเองได้ รู้สึกตัวยกขึ้นมาได้ พ้นออกมาได้ เหมือนกับมันจะตกลงไปหกเหว จับได้ดึงขึ้นมา เหมือนลูกจะตกบ้าน จะตกบันได พ่อแม่คว้าเอามา จับแขนจับขาไว้ ไม่ตกเลย ทีนี้มันเป็นการปฏิบัติที่ ที่จำเป็นและรีบด่วน
การมีสติมันเป็นการด่วนช่วยตัวเอง ให้พ้นออกมา แล้วก็มีเยอะแยะงานที่เราทำแบบนี้ มีมากที่สุดเลย สนุกช่วยตัวเอง การเจริญสติเนี่ย ไม่ใช่ฟรี ไม่ใช่ฟรี บางคนไปรออะไร ไปเห็นอะไร ไม่ใช่ เห็นสิ่งที่มันมีอยู่นี่แหละ อะไรก็ได้ ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ถ้าไม่มีอะไรก็รู้สึกตัวเรื่อยไป มันก็มีกายอยู่เนี่ย เอากายมาสร้างความรู้ มันก็มีความรู้กับกาย มันไม่อยู่เฉย ๆ หรอกเรื่องของกายของใจ มันมีบทเรียน มันมีการงานที่ทำให้เราได้ศึกษามันอยู่เรื่อย ๆ นะ จนเห็นอาการต่าง ๆ เห็นอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ ท่านเรียกว่า อารมณ์ของกรรมฐาน อารมณ์ของกรรมฐาน ความไม่เที่ยงอย่างนี้ เห็นความไม่เที่ยงก็เห็นจริง ๆ ความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงมันเป็นของจริงแต่มันไม่จริง ความรู้สึกตัวเข้าไปเห็นเนี่ย แต่ก่อนเราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เราเคยเป็นทุกข์เพราะความทุกข์ เราเคยเป็นทุกข์เพราะความไม่ใช่ตัวตน พอเรามีสติเข้าไปเห็นแล้วมันเป็นปัญญา แต่ก่อนเราเคยเป็นทุกข์บัดนี้ก็ไม่ทุกข์ เป็นปัญญาเข้าไป เป็นความรู้สึกตัวเข้าไปอยู่นี่เรียกว่า อารมณ์ของกรรมฐาน เห็นความหลงอยู่เนี่ย เห็นอาการต่าง ๆ ก็พอสรุปได้ย่อ ๆ กำมือเดียวว่า อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ไม่ใช่ตัวใช่ตน เรารู้แล้วก็เท่านั้นเอง ความรู้สึกตัวเข้าไปเห็นก็เรียกว่า รู้แล้ว รู้แล้วเท่านั้นแหละ ง่าย ๆ ไม่ใช่ไปโอ๊ย ไม่ใช่ไปน่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นการบ้านเฉลยไปแล้ว คำว่ารู้แล้ว เฉลยไปแล้ว หลุดออกไปแล้ว มันไม่ยาก แล้วก็ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปหอบเอาปัญหา ไปถามไปเอาผิดเอาถูกกับใคร ไปโทษไปโพยใครก็ไม่ใช่ มันเป็นส่วนตัว มันเป็นส่วนตัวที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้อง มีสติสัมปชัญญะ แต่ก่อนเราไม่เป็นส่วนตัว เราไปโทษคนอื่น คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์ คนอื่นทำให้เรามีสุข เรียกร้องความสุขจากผู้คน จากสิ่งอื่น ป้องกันความทุกข์ไม่ให้คนอื่นไม่ต้องทำกับเรา ความสุขบางทีต้องไปซื้อ ไปหา ไปปล้น ไปจี้ ไปข่ม ไปขืนเอา ชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับวัตถุกับผู้คนสิ่งอื่นวัตถุอื่น บัดนี้เรามาเห็นอย่างนี้แหละ โอเส้นผมบังภูเขา มันไม่เหลือวิสัยที่เราจะทำได้ เรื่องง่าย ๆ ก็ทำให้มันเป็นเรื่องยาก ต้องไปด่าไปว่ากัน ไปอะไรต่าง ๆ ไม่ต้องแล้วบัดนี้ กลับมาเปลี่ยนที่ตัวเรา ความรู้สึกตัวนี่เป็นตัวเฉลยเรื่องของกายของใจ ความรู้สึกตัวนี้มันก็พัฒนา พัฒนาไปเป็นมรรคเป็นผลถึงจุดหมายปลายทาง เดี๋ยวนี้มีคนพูดกันมาก เรื่องของสติ ๆ เพราะมันหลงมามาก มันมีปัญหามามาก หลายชีวิตหลายผู้หลายคนก็ศึกษา มีปัญหา ประสบการณ์ต่าง ๆ เอาไปเอามา มาลงอยู่ที่ความรู้สึกตัวแล้ว
เมื่อสองวันสามวันมานี้ก็เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่นก็มาพูดเรื่องสติ มาพูดเรื่องสติ ท่านจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านก็อธิบายเรื่องคำสอนพระพุทธเจ้า มันมาลงอยู่ที่สติ มีความรู้สึกความระลึกได้เท่านั้นเอง ศึกษาก็ศึกษาตรงนี้เท่านั้นเอง แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พรปีใหม่ พูดเรื่องสติ มีสติแล้ว
บ้านเราเนี่ย การศึกษาวิชากรรมฐาน วิชากรรมฐานนี่ ถ้าไม่ใช่เจริญสติแล้วไม่ใช่กรรมฐาน ไม่ใช่กรรมฐานไม่ใช่กรรม ถ้าไม่ใช่กรรมมันก็จำแนกไปไม่ได้ กรรมมันเป็นของจำแนก ศาสนาพุทธศาสนาเน้นเรื่องกรรม เน้นเรื่องการกระทำ จึงเป็นงานเป็นการของพวกเรา อย่าไปเอายาก อย่าไปเอาง่าย อย่าไปเอาผิด อย่าไปเอาถูก ไม่ต้องไปรอ ทำแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่ใช่ เห็นอะไร เห็นมันหลง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้นั่น เห็นมันอะไรต่าง ๆ โอมันเห็นหลาย
อย่างวิชาการ มีสติเห็นกาย “กายานุปัสสนา” ก็เห็นกายนี่แล้ว เมื่อกายมันเห็นกาย กายมันแสดง เรื่องการแสดงอยู่ เรื่องกายแสดงนี่มีมาก เป็นเวทนาก็มี เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นร้อน เป็นหนาว เป็นปวด เป็นเมื่อย อะไรต่าง ๆ กายมันแสดง เมื่อกายมันแสดงก็เห็น สติเห็นจะเป็นภาษาของสติว่า “กายสักว่ากาย” ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
เวทนาก็คือเวทนา สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา กายในกาย เวทนาในเวทนา กายในกาย คือมันเป็นเวทนา มันเป็นสุข มันเป็นทุกข์ มันเป็นร้อน มันเป็นหนาว มันเป็นหิว มันเป็นปวดเป็นเมื่อย นั่นเรียกว่า “กายในกาย” กายที่เป็นกายดุ้น ๆ นี่มันไม่เป็นอะไร เมื่อกายมันมีในกาย เราก็ไปหลง หลงทั้งกายดุ้น ๆ หลงทั้งกายในกาย เวทนาก็เวทนาในเวทนา มันก็สุขจริง ๆ มันก็ทุกข์จริง ๆ มันก็อะไรต่าง ๆ ในเวทนา มี “ตน” อยู่ในเวทนา ไมใช่เวทนาธรรมดา มันมีตนอยู่เข้าไปในเวทนา เป็นภพเป็นภูมิอยู่ในเวทนา สุขก็สุขในเวทนา ถ้าทุกข์ก็ทุกข์ในเวทนา เวทนามันปั่นหัวเรามันครอบงำเรา เมื่อเรามามีสติมาเห็นเนี่ย โอ้ย ปัดโธ่ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรเราก็เอามาแบกเอาไว้ เอามาแบกเอาไว้ เอาเวทนามาแบกเอาไว้ ยึดไว้เป็นอุปาทาน เป็นตัวเป็นตน เป็นสุขของเรา เป็นทุกข์ของเรา ในความเป็นในภพภูมิในเวทนา มากภพมากชาติ หลายภพหลายชาติ เวทนา ไปแบกเอาไว้ ยึดเอาไว้จนเป็นภาระ เป็นปัญหา จนเกิดข่มขืน ฆ่ากัน แกงกัน ปล้นจี้ เอาของคนอื่นมาเป็นของเรา เอาของเราไปเป็นของคนอื่น หมดเนื้อหมดตัว เป็นทุกข์เป็นโทษ นั่นเวทนาในเวทนา มันไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
เมื่อเราเห็นอย่างนี้ โอ เปิดทาง บุกเบิกออกแล้ว เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาการศึกษา เห็นธรรมในธรรม ธรรมมันเป็นกุศลเป็นอกุศล เกิดขึ้นกับจิตกับใจที่เราไม่รู้ บางทีก็ไปหลงสุข ไปหลงความรู้ มันมีเหมือนกันธรรมนะ สุขก็มี ทุกข์ก็มี รู้ก็มีไม่รู้ก็มี เป็นผู้ผิดเป็นผู้ถูก เป็นผู้ได้เป็นผู้เสีย มีความทุกข์เพราะทำความดี มีความสุขเพราะทำความชั่วก็มี ได้ด่าเขา เออกูได้พูดหนำใจกูแล้ว ได้ฆ่าเขา จนคิดว่าตัวเองทำเก่งได้เอาชนะคนอื่น ได้ฆ่าคนอื่น ได้เหตุได้ผล ได้โต้ได้ว่าอะไรกัน เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก ในธรรมที่มันเป็นสิ่งที่ครอบงำชีวิตจิตใจของเรา ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความสุขความทุกข์ ความรู้ความไม่รู้ บางทีนักกรรมฐานก็ไปหลงตรงนี้ได้เหมือนกัน บางทีมันตกแหล่งความรู้ ตกแหล่งความสุข ก็ไม่เห็น เข้าไป “เป็น” กับมันซะ มันสุขก็เป็นผู้สุข มันทุกข์ก็เป็นผู้ทุกข์ มันรู้ก็เป็นผู้รู้ มันไม่รู้ก็เป็นผู้ไม่รู้ ในธรรม ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ ก็เดี๋ยวว่าตัวเป็นตนผู้ไม่รู้ สำคัญมั่นหมายเป็นปมด้อย เป็นปมเขื่อง บางทีก็ถ้าสำคัญตรงนี้ก็ต้องอาบัติปาราชิกได้ อวดอุตริมนุษยธรรม ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่ไม่มีในตน รู้อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็หลงตัวลืมตน บางทีมันมีได้ปฏิบัติธรรม ในอารมณ์ของกรรมฐาน อย่าไปหลงมัน มันสงบ มันไม่สงบ มันรู้ มันไม่รู้เนี่ย เท่า ๆ กัน สติก็เข้าไปเห็นเข้าไปรู้ได้ นี่เรียกว่า ทาง ทางหลุดพ้นของผู้ปฏิบัติ ต้องลุย ๆ ไปแบบนี้แหละ สติมันลุยไปแบบนี้ ไม่มีอะไรที่จะขวางกั้นได้ ขวางหน้าได้ เอาไว้หลังหมด จึงจะเป็นการหลุดพ้น ถ้าไม่เอาไว้หลังไม่ใช่การหลุดพ้น ถ้ายังมีสุข มีทุกข์ มีโกรธ มีโลภ มีหลง มีรัก มีชัง มีอะไรต่าง ๆ ยังไม่ใช่หลุดพ้น เรียกว่า รู้แล้ว ความรู้สึกตัว รู้แล้ว เอาไปเอามา ตัวรู้สึกตัวก็เป็นปัญญานั่นแหละ เป็นปัญญา ปัญญาเป็นวงเล็บปิดเอาไว้ เป็นสุด เป็นต่อสุดท้าย เข้าถึงปัญญาเรียกว่าต่อท้าย ถ้าตรงท้ายมีปัญญาแล้วก็นั่นแหละถือว่าพุทธะ ปัญญาพุทธะ ไม่ใช่ปัญญาอะไร เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา เนี่ย ปัญญาต้องเป็นขั้นสุดท้าย ก็เกิดจากความรู้สึกตัว มีสติ สติปัญญา เราก็เลยพูดแบบไม่เอารายละเอียด ไม่ไปเอารายละเอียด
ไปสอนธรรมะบางคนเขาก็หาว่าเราพูดแต่เรื่องสติ พูดแต่เรื่องสติ ไม่ได้พูดเรื่องศีล ไม่ได้พูดเรื่องสมาธิ ไม่ได้พูดเรื่องการทำบุญให้ทานเลย ไม่ได้พูดเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ บางทีคนก็หารายละเอียด ที่จริงมันพูดแล้ว ความรู้สึกตัว มันหมดแล้ว มันเป็นการละความชั่วแล้ว มันเป็นการทำดีแล้ว มันเป็นการทำจิตให้บริสุทธิ์แล้ว มันเป็นศีลแล้ว เราไม่ได้ไปทำอะไร เรารู้สึกตัวเราอยู่ มันเป็นการสำรวมอินทรีย์แล้ว เรามีสติเนี่ย มันเป็นศีลแล้ว ใส่ใจที่จะรู้สึกตัวอยู่นี้ มันก็เป็นสมาธิแล้วเราไม่หลง แม้มันหลงก็เปลี่ยนเป็นความรู้เนี่ย คือผู้ฝึกสมาธิ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเป็นรูปแบบ เราอยู่ไหนล่ะ มันหลงอยู่ไหน มันเป็นอะไรเรารู้สึกตัว ใส่ใจที่จะรู้สึกตัวอยู่เสมอ ไปกับการกับงานทำงานทำการนะ สมาธิต้องไปทำงาน ไม่ใช่สมาธิทิ้งงานทิ้งการ นั่งหลับหูหลับตา ไปอ่านหนังสือ ไปเขียนหนังสือ ไปทำงาน เอามือเอากายไปทำ เอาใจไปทำ ใส่ใจลงไป ไม่ทอดไม่ทิ้ง ไม่ผิดไม่พลาด สมาธิ ปัญญาก็รอบรู้ ถ้าหลงแยกอยู่ เรียกว่า วิจยะ บ้าง การสอดส่อง ไม่ใช่ทำโง่ ๆ โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ใช่ มีสติมีปัญญาไปพร้อมกันไป เนี่ยเราทำทั้งหมดแล้ว เราเจริญสติเนี่ย ทำบุญ บุญคืออะไร บุญคือทำความดี ความดีอยู่ตรงไหน ความดีเกิดขึ้นจากกายจากใจของเรา เมื่อความดีเกิดขึ้นจากกายจากใจของเรา กายของเราก็จะไปทำความดี ไปพูดดี ไปคิดดี มันก็เป็นการละความชั่วไปในตัว การเจริญสติเนี่ยมันเป็นบุญ ใจมันจะดีกว่าเก่า สงบกว่าเก่า เย็นก็เย็นกว่าเก่า พึ่งได้ด้วย พึ่งการกระทำ พึ่งกายพึ่งใจ มั่นใจ เอากายเอาใจมาทำความดีได้สำเร็จ เพราะมีสติเป็นเจ้าของ เป็นผู้ดูแล เป็นใหญ่
ความรู้สึกตัวเนี่ยเป็นใหญ่ ความรู้สึกตัวมีความเป็นธรรมมีอำนาจ อำนาจแห่งความเป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วในกายในใจของเรา มั่นใจ อยู่แห่งหนตำบลใด อยู่ที่ไหน กาลใดเวลาใด มันอยู่กับเราแล้วบัดนี้ มันจะมีอะไรก็ไม่สำคัญ เราจะเอากายเอาใจเรามีสติเนี่ย ละความชั่วทำความดีทุกโอกาส ให้เกิดการหลุดพ้นได้ทุกสถานการณ์ มันหลงก็พ้นจากความหลงได้ทันที มันทุกข์ก็พ้นจากความทุกข์ มันยังมีความโกรธก็พ้นจากความโกรธ มันเกิดขึ้นมาเพื่อให้หลุดให้พ้น มันจึงจะถูกต้อง ไม่ใช่เราจะไปจำนนไปรับใช้สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษ มันก็สงบร่มเย็น จะเกิดขึ้นจากกายจากใจเรา มันก็เป็นส่วนรวมได้ เป็นความสงบร่มเย็นต่อส่วนรวม ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในกายในใจ ก็เป็นภาระ เป็นปัญหาต่อส่วนรวม เราปฏิบัติธรรม เราเจริญสติเป็น เป็นทั้งหมดก็ว่าได้ ทั้งหมดของชีวิต ทั้งหมดของการศึกษา ทั้งหมดของศาสนา ไม่ใช่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เป็นทั้งหมด และเราก็พอทำได้ เดินจงกรมรู้สึกตัว นั่งสร้างจังหวะรู้สึกตัว ไปไหนมาไหนรู้สึกตัว ไม่ใช่เป็นวัตถุสิ่งของที่หามาจากที่อื่น มันอยู่กับเรา อันนี้แหละเรียกว่า ปฏิบัติธรรม เรียกว่า กรรมฐาน ก็ให้มั่นใจ ให้เรามั่นใจ ให้มีการกระทำ การกระทำอย่างมั่นใจนะ
ก็พูดให้ฟัง ไม่ใช่พูดแบบชวนให้คิด ชวนให้หาเหตุหาผล พูดแบบให้เอาไปทำ เอาไปใช้ทันที ใช้ได้ทันที ตัวรู้เอาไปใช้ให้มันรู้ ถ้ามันหลงก็เอาตัวรู้ไปใช้กับความหลงให้มันพ้นจากความหลง ให้เอาไปใช้ให้เป็น เป็นเครื่องมือที่นำไปใช้ได้ทันที อยู่กับเราทันที แต่ถ้าไม่ใช้มันไม่ได้นะ ถ้ามันหลง ไปเอาผิดเอาถูกกับความหลง ไปโทษนู่นโทษนี่ แสดงว่าไม่เอาไปใช้ พูดสอนให้เอาไปใช้ ให้เอาไปทำ เอาไปประกอบให้มันเกิดขึ้น เอาไปใช้ ถ้ามันหลงก็ใช้ความรู้สึกตัวให้มันเป็นความรู้สึกตัว ถ้ามันทุกข์ก็ให้ใช้ความรู้สึกตัวมีความรู้สึกตัว ถ้ามันโกรธก็ให้มีความรู้สึกตัว เอาไปใช้ทุกสถานการณ์เรียกว่านักปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เพียงแต่ยกมือสร้างจังหวะเดินจงกรม ปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ ปล่อยให้ตัวเองทุกข์อยู่ ปล่อยให้ตัวเองโกรธอยู่ ปล่อยให้ตัวเองผิดอยู่ เอาผิดเอาถูก เหตุผลเต็มตัว ไม่ถูกต้อง รู้สึกตัวแบบง่าย ๆ รู้สึกตัว วัตถุที่ทำให้เกิดความรู้สึกตัวก็อยู่ในตัวนั่นแล้ว หายใจเข้า กระพริบตา กลืนน้ำลาย พลิกมือ เดินจงกรม ให้มันรู้สึกตัวอย่างนี้