แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ได้ยินได้ฟังเอาไว้ ก็อาจจะเกิดการกระทำขึ้นมา ในคราวใดคราวหนึ่ง ตอบผิดตอบถูก แล้วก็สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเรานี้ ตัวเราเองก็ได้เห็นได้สัมผัส จะได้ไม่จนในสิ่งที่มันผิด จะทำให้มันถูกต้องได้ โดยเฉพาะเรื่องจิตใจ มันเป็นใหญ่ มันเป็นหัวหน้า มันไม่ได้อยู่ในอำนาจอะไร ถ้าปล่อยปะละเลยมันก็ซุกซน คิดก็คิดได้ทุกอย่าง วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่สอนใจโดยตรง อาศัยนิมิตคือกาย มันก็มีกาย มีใจเรียกว่ารูป เรียกว่านาม มันแยกกันไม่ได้ มีสติ เหมือนกับเป็นสิ่งที่ดึงจิตใจเข้าบ้านก็ว่าได้ บ้านของจิตคือปกติ บางทีตั้งแต่หลายปีมาแล้ว จิตไม่มีบ้าน พลัดถิ่นอยู่เรื่อย กลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝันกลางวันก็ว่าคิด นั่นแหละจิตพลัดถิ่นพลัดบ้าน แล้วก็พาไป ไปย้อมอะไรเปรอะเลอะเทอะไปหมด เมื่อจิตกลับบ้านก็เป็นจิตที่เถื่อนรับใช้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องได้ ไม่เคยสอนจิตซักที ตั้งแต่เกิดจนตายก็ไม่มี บางชีวิตวิชากรรมฐาน อยู่วัดวาอาราม เป็นนักบวช เป็นนักปฏิบัติ เป็นนักศึกษา เป็นนักปริยัติบ้าง ได้เรียนรู้ ได้รู้แผนที่บ้าง เรื่องกายเรื่องใจนี้ไม่มีแผนที่ ถ้าไม่รู้จักแผนที่ก็หลงทิศหลงทางได้ หลงกายหลงใจไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นคอขาดบาดตายเป็นทุกข์เป็นโทษต่อตนเองและคนอื่น จึงสมควรที่จะต้องฝึกกายใจนี้ให้มันใช้งานได้ สิ่งที่มันถูก สิ่งที่มันผิด ให้รู้หมดรู้ครบรู้ถ้วน
วิชากรรมฐานเป็นวิชาที่เป็นตัวเฉลย สตินี้เป็นตัวเฉลย สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ ให้มันจบไปซะ เฉลยได้หมดซะ รู้หมดซะ มันไม่ยาก มันทำได้ทุกคน เพราะมันเกิดที่กายที่ใจนี้ กายก็อยู่นี่ ใจก็อยู่นี่ สติก็อยู่นี่ ปฏิบัติได้ ผู้เจริญสติจริงๆ มีสติไปในกายในใจจริงๆ ก็จะเห็นกระแสพระนิพพานทันที จะได้กระแสพระนิพพานเลย ถ้าทำถูก ให้มีสติไปในกาย เห็นกายแต่ว่ากาย ไม่ใส่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกาย ให้เห็นอย่างนี้ นี่คือทางไปสู่มรรคสู่ผล อย่าเอามาเป็นตัวเป็นตนซ้อนขึ้นไปอีก กายในกาย เอาเรื่องของกายมาเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เป็นโทษ ถึงกับเกิดความพอใจไม่พอใจ จะให้กายไม่เป็นเรื่องเป็นสุขเป็นทุกข์ ให้เห็นสักแต่ว่า ทางไปนิพพานคือเป็นอย่างนี้ ก็ง่ายๆ ถ้าได้มีสติเห็นแล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจเหมือนกันหมด สติเป็นตัวหลักเหมือนกันหมด ทำได้ทุกครั้งที่ฝึก ผิดเป็นถูกทุกครั้ง ถ้ามีการกระทำเกิดขึ้น
โดยเฉพาะวิชากรรมฐานนี่หลบหลีกไม่ได้ มาจากไหนก็ต้องเป็นกรรมฐาน ที่ตั้งของการกระทำอยู่เสมอ ยึดหลักนี้ไปให้ได้ ทำไม่เป็นในตัวเอง ใจช่วยตัวเองให้เป็นว่าต้องมีสติ ดึงเข้ามารู้สึกตัว ต่อไปจะช่วยตัวเองเป็น กายก็จะช่วยตัวเอง ใจก็จะช่วยตัวเอง ถ้าหัดให้มันถูกแล้ว มันจะรู้เอง ไม่มีอะไรที่รู้ดี รู้ผิด รู้ถูกเท่ากับกายกับใจ เมื่อมันรู้เอง จิตมันก็จะรู้คิดเอง มันก็เข้ากันดีกับสติเป็นหนึ่งเดียวกันเลย สติคิดกายเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย ไม่ได้ฝึก ถ้ามันเป็นแล้ว มันไม่มีอะไร มีแต่ภาวะที่รู้ เป็นธาตุรู้ เป็นวิญญาณธาตุที่มันรู้ ธาตุรู้ๆ ที่มันรู้เนี่ย ภาวะที่รู้ซื่อๆ ภาวะที่รู้ตรงๆ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดี ปฏิบัติออกจากทุกข์คือรู้ซื่อๆ นี่ รู้ รู้แล้วๆ ภาวะที่รู้ไม่ติดกับอะไร ไม่ไปย้อมติดกับสิ่งไหน รู้นี่มันจึงเหนือโลก สุขก็รู้เนี่ย ทุกข์ก็รู้เนี่ย ผิดก็รู้เนี่ย ถูกก็รู้ สงบก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้เนี่ย ถ้าได้หลักนี้ มันก็ทะลุทะลวงได้ไปไกล เหมือนอาวุธที่ยิงได้ไกล ปราบข้าศึกได้ทุกรูปแบบ ถ้าตั้งตนให้ดี ถ้าตั้งตนสะเปะสะปะ ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้มีศรัทธา ไม่ได้เกิดความเพียร ไม่มีพละขึ้นมา มันก็อะไรก็ยาก ผิดก็ยาก อยากให้มันถูกก็ยาก แก้ความผิดก็ยาก แก้ทุกข์ก็ยาก อยากมีสุขก็ยาก มันจะยากอะไรเพียงแต่รู้ซื่อๆ เข้าไปนี้ มันสุขมันทุกข์มันเป็นสังขารทั้งสองอย่าง แม้แต่บุญบาป ผิดถูก บุญก็รู้ว่า ปุญญาภิสังขาร บาป อปุญญาภิสังขาร อเนญชา ยังไม่เป็นบุญเป็นบาป เรียกว่า อเนญชาภิสังขาร พร้อมจะเป็นสังขารทั้งสองอย่าง
ถ้าว่าที่รู้เหนือนี้ เหนือสังขารอย่างนี้ ทำได้ก็โตขึ้นทันที ทำลงไปใหญ่ขึ้นทันที พึ่งได้ทันที เป็นอัตตาหิ อัตโน นาโถ ทำได้เองทันที อาศัยลำแข้งเราทันที สุขก็ทุกข์ สุขเราเอง ทุกข์ก็ทุกข์เราเอง ไม่มีใครช่วยเรา ขอตัวแล้วบัดนี้ เราทำถูก คนอื่นก็ไม่ถูกกับเรา เราทำผิด คนอื่นก็ไม่ผิดกับเรา ตัวเราคนเดียว จึงพอเพียง มั่นใจ ปฏิบัตินี้มันมั่นใจ มันศักดิ์สิทธิ์ มันทำได้สำเร็จ
ปฏิบัติธรรมนี้เป็นงานของชีวิต ชีวิตที่เกิดมา ถ้าทำสิ่งนี้สำเร็จก็คุ้มค่า คุ้มค่าที่ได้เกิดมา มีกายมีใจมีรูปมีนาม บทเรียนที่เกิดจากกายจากใจ เป็นปัญญาอันยอดเยี่ยม ปัญญาพุทธะ มันเป็นเป็นศรัทธาก้าวหน้า ศรัทธาไม่ถอย ไม่ใช่ศรัทธาอันอื่น วัตถุอื่น พึ่งสิ่งอื่น พี่งศรัทธา พึ่งความเพียร พึ่งสติ พึ่งสมาธิ พึ่งปัญญา เป็นพละกำลังใหญ่ ที่ทำให้เกิดชัยชนะขึ้นมา สิ่งที่สนับสนุนเป็นพลังร่วม เครื่องทุ่นแรงเยอะแยะ ว่าแต่เรามีสติศีลก็เกิดขึ้นได้ สมาธิก็เกิดขึ้นได้ ปัญญาเกิดขึ้นได้ ศรัทธาเกิดขึ้นได้ ความเพียรเกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ สิ่งที่มันเกิดกับกายกับใจเรานี้ นิดหน่อยก็มีสติ เป็นญาณ เป็นวิปัสสนาญาณรู้แจ้ง แจ้งเดี๋ยวนี้ เห็นเดี๋ยวนี้ มีความรู้เดี๋ยวนี้ นี่คือความรู้ ยกมือเคลื่อนไหวอยู่นี่ นี่คือความรู้ รู้สึกตัวของจริง กายอยู่นี่ รู้อยู่นี่ รู้อยู่นี่ ใจอยู่นี่ นี่คือของจริง หนึ่งนาทีสองนาที รู้อยู่นี่ หนึ่งวันเจ็ดวันรู้อยู่นี่ เมื่อปักหลักได้อย่างนี้ มันก็เกิดกิ่งก้านสาขาเกิดดอกออกผล มันทำได้แล้วก็ไม่ต้องทำอีก เป็นมรรคเป็นผล อะไรก็เป็นมรรคเป็นผลตลอด
ตัวรู้ตัวนี้เป็นญาณ เป็นปัญญา เป็นฌาน ฌานที่เพ่งเผาอะไรเกิดขึ้นไม่มีเหลือ ดับไม่เหลือ ไม่มีอะไร จิตใจก็ว่าง ว่าง ทั้งว่างทั้งเต็ม เต็มไปด้วยความไม่มีอะไร ว่างจากความเป็นอะไร เต็มไปด้วยความไม่มีอะไร ความไม่เป็นอะไรยิ่งใหญ่เหนือโลก สู่ธรรมชาติ นี่คือธรรมะ ธรรมชาติ สู่ธรรมชาติ ธรรมชาติยิ่งใหญ่ ธรรมชาติที่เกิดจากกายจากใจนี้ ธรรมชาติที่เกิดจากแผ่นดิน โลกนี้ป่าไม้แม่น้ำก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติของป่า จุดไฟไม่ไหม้เป็นธรรมชาติจริงๆ นะ ไม่มีอะไรทำลายธรรมชาติได้ ฝนตกลงมา กว่าจะถึงพื้นดินนี้ เกือบจะครึ่งชั่วโมงจึงถึงพื้นดิน แต่ก่อนอยู่นี้ ตั้งแต่ป่าอุดมสมบูรณ์อยู่โน้น ไม่เคยเห็นน้ำไหล ฝนตกตลอดคืนไม่เห็นน้ำไหล แต่เห็นแต่น้ำในห้วยมันเต็มขึ้น ก็ไหลตามธรรมชาติ มันยิ่งใหญ่ เดี๋ยวนี้ตกเม็ดหนึ่งก็ไหลเม็ดหนึ่ง ธรรมชาติต้องสูญเสีย
ชีวิตเราก็เช่นกัน อะไรตกถึงกายก็ไหลไป ไม่มีธรรมชาติเลย พอใจไม่พอใจไป ไปถึงใจก็ไป พอใจไม่พอใจ เมื่อมีความพอใจไม่พอใจก็เกิดสมมุติบัญญัติ ชอบไม่ชอบ เมื่อชอบไม่ชอบเกิดอุปาทานขึ้นมา ยึดมั่นถือมั่น เมื่อยึดมั่นถือมั่นก็เป็นภพเป็นชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ตาย เกิดดับๆ อยู่เช่นนั้น ไม่เป็นธรรมชาติเลย วิ่งอยู่เสมอ เถื่อนอยู่เสมอ ไม่เคยฝึก มันก็ป่าเถื่อน กายก็ป่าเถื่อน ใจก็ป่าเถื่อน สำส่อน ปล่อยตัวเองทิ้ง ไม่รู้จักช่วยตัวเอง ไม่รู้จักช่วยกายช่วยใจ เราจึงต้องมาช่วยกายช่วยใจ วิชากรรมฐานนี้จึงมาช่วยกายช่วยใจเราให้มีสติ มีสติก็จะได้หลัก ได้กำเนิด ได้ชีวิต ชีวิตที่ได้จากรูปจากนาม เกิดจากการปฏิบัติ ชีวิตอันนี้ ชีวิตไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ถ้ารูปถ้านามจริงๆ ธรรมชาติมันแก่ มันเจ็บ มันตาย มาฝึก เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้เกิดมีสตินี้ ชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ คือสามารถที่รู้นี้ มันจึงเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เจ็บก็รู้ ตายก็รู้ ไม่ได้ตายเพราะความตาย ไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บ นี่คือชีวิตจริงๆ มันจึงเหนือภพเหนือชาติ จึงได้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ถ้าไม่ฝึกมันก็ขี้เหร่ เลวกว่าสัตว์อย่างอื่น โง่กว่าสัตว์อย่างอื่น โกรธข้ามวันข้ามคืน ทุกข์ข้ามเดือนข้ามปี รับใช้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง อดทนต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทนอะไร วางนี้ ไม่มีอะไร พอไม่มีอะไร จะไปทนอะไร สุขก็ไม่ได้มี ทุกข์ก็ไม่ได้มี ไม่มีเรื่องอดกลั้นอดทน ธรรมชาติมันช่วย
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมอยู่เป็นนิจ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถึงความเจริญงอกงามมั่นคงจริง ธรรมรักษา ศีลรักษา สมาธิรักษา ปัญญารักษา ที่มันรอบรู้ที่ได้ฝึกมานี้ แต่นี้ไม่มีใครรักษากายใจเถื่อนๆ พร้อมจะเป็นสุข พร้อมจะเป็นทุกข์ พร้อมจะพอใจไม่พอใจ พร้อมที่จะโกรธ พร้อมที่จะหลง ออกหน้าออกตา ตาเห็นรูปก็หลง พอใจไม่พอใจ หูได้ยินเสียงก็พอใจไม่พอใจ จมูกได้กลิ่นก็พอใจไม่พอใจ นั่นมันพร้อม พร้อมจะหลง ความหลงเป็นใหญ่เป็นโมหะจริต เราหลงมันเกิดโกรธได้ เป็นโทสะจริต ความหลงเป็นกิเลสตัณหาเป็นราคะจริต ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวใช่ตน ทำตามสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เสียเปรียบความทุกข์ เสียเปรียบความโกรธ ได้อะไรไหมความทุกข์น่ะ โกรธมันได้อะไร ทุกข์มันได้อะไร มีแต่ทุกข์แต่โทษ มิหนำซ้ำติดเข้าไปอีก พ่วงเข้าไปอีก เรือพ่วงเข้าไปอีก มากมายหลายอย่าง
บางทีก็ร่างกายกรำแดดกรำฝนหาเงินหาทอง ได้เงินได้ทองมาไปใช้อะไร ร่างกายมันได้กินไหม อะไรเอาไปกิน กินกอมๆ ผอมจอกกอก หลายปาก เสือหกปาก ร้ายนะชีวิตของคนเป็นเสือหกปาก แต่ละปากกินอาหารไม่เหมือนกัน ต้องหาอาหารหาเหยื่อป้อนมัน ป้อนเสือหกปาก มันแข็งแรงมาก การที่จะมาสร้างมรรคสร้างผลไปรับใช้เสือหกปาก บางทีมีลูก ลูกก็ไม่ได้กินด้วย เสือเอาไปกินก่อน มีเมีย เมียก็ไม่ได้กินด้วย เสือเอาไปกินก่อน พ่อแม่ก็ไม่ได้กินด้วย เสือเอาไปกินก่อน เคยเห็นขึ้นรถจากมันจาคีรีไปขอนแก่น เห็นคนบนรถพูดกัน ว่าจะไปหาเงินขอนแก่น หางานทำขอนแก่น ขอยืมเงินกับเพื่อน เพื่อนก็เห็นใจ รู้จักกันให้เงินร้อยบาท เพื่อจะไปทำงานรับจ้างหาเงิน ก็จะคืนให้ พอได้เงินร้อยบาท บาทแรกที่ออกซื้อคือซื้อบุหรี่สูบ นั่นแหละ เงินร้อยบาทซื้อบุหรี่สูบง่ายนิดเดียว แทนที่กายก็ไม่ได้กิน ลูกเมียไม่ได้กิน เหมือนกับหลวงตาร้องเพลงให้ฟังเมื่อวานนี้ เมื่อก่อนกินเหล้า คดโกงต่อสมาชิกในครอบครัว ไม่ซื่อสัตย์ กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวเตร่เร่ร่อน แล้วก็อะไรเป็นธรรมก็ไม่มี ถ้าเราไม่ฝึกหัด ไม่มีความเป็นธรรม กายไม่ได้ความเป็นธรรม ใจไม่ได้รับความเป็นธรรม พึ่งตัวเองก็ไม่ได้ ยิ่งคนอื่นจะพึ่งก็ไม่ได้ นี่แหละ ชีวิตของเราต้องเริ่มต้นจากกรรมฐาน
พระสิทธัตถะเป็นอัจฉริยมนุษย์ เรียนเก่ง 17 ศาสตร์ ยิงธนู ขี่ม้า ตัดต้นไม้ แข่งขันกับเทวทัต เจ้าฟ้าชายตัดต้นไม้ ต้นไม้เท่าต้นขานี้ให้สองฟ้าชายตัด ลองดูซิใครจะแข็งแรงกว่ากัน เทวทัตตัดก่อน ตัดจึ๊ก ต้นไม้ล้มตรึ้ม ประชาชนโห่ไชโยๆๆ สิทธัตถะตัดอีก ฝีมือรองที่สอง ตัดต้นเท่ากัน ตัดฉึก ต้นไม้นิ่ง ประชาชนดูแล้วเงียบ ตกใจว่าสิทธัตถะแพ้เทวทัตเสียแล้ว แต่ครูผู้ชำนาญบอกว่าสิทธัตถะชนะ ชนะอะไร ต้นไม้ยังยืนอยู่ เทวทัตตัดต้นไม้ล้มลงแล้ว ทำไมจึงเรียกว่าชนะ ครูของสิทธัตถะบอกว่าต้นไม้ขาดแล้ว แต่มันเพราะความเร็ว ต้นไม้ไม่กระทบกระเทือนยืนอยู่นิ่งได้ เขาก็เข้าไปดู ต้นไม้ขาดจริงๆ นี้ ขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ ศาสตร์ทุกศาสตร์ หลายศาสตร์เรียนจบหมด แต่นั่นไม่ใช่ ไม่ใช่ประเสริฐ เหมือนกับสิทธัตถะได้ศึกษา เป็นศาสตร์ที่เกิดพุทธศาสนา ได้จากกายจากใจเรานี้ อันนี้ประเสริฐ
จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ เพราะคนๆ เดียวนี้ เราจึงมีศรัทธาว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ตรัสรู้จริง ด้วยพระองค์เองจริงๆ คำสอนไม่มีเพิ่มได้ ไม่มีตัดได้ เป็นวิทยาศาสตร์ ท้าทายต่อโลกมานานสองพันหกร้อยปีมาแล้ว สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ใครจะตัดออกไม่ได้ ใครจะเพิ่มไม่ได้ จะมีอะไรมาตัดออก ไม่มีทางตัดได้ ผู้ศึกษาปฏิบัติต้องทำด้วยตนเอง ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นปัจจัตตังของผู้ปฏิบัติ สัมผัสเอา ผมหลงเป็นยังไง ผมไม่หลงเป็นยังไง จริงไหม อะไรมันถูกต้อง เป็นปัจจัตตังไหม เราเคลื่อนมืออยู่นี้ รู้ไหม ต้องถามใครไหม สัจจะธรรมไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ ตอบได้เอาเอง คนอื่นตอบแทนไม่ได้ เวลามันโกรธ เราเปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธ ถูกไหม ถูกต้องไหม ระหว่างความโกรธความไม่โกรธ อะไรถูกต้อง สัมผัสได้ มีสติ เวลามันทุกข์ เปลี่ยนความทุกข์ ไม่ทุกข์ อะไรมันเกิดขึ้น จากที่เปลี่ยนสิ่งไม่ดีให้เป็นดี มันมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก เป็นปกติ เมื่อก่อนมันหลงมันไม่ปกติ มันเปลี่ยนรูปเป็นปกติขึ้นมา นี่ปกติ ทุกข์มันไม่ปกติ เมื่อมันไม่ทุกข์ รู้ขึ้นมา เป็นปกติ ปกติก็เป็นศีลนี่ จะมั่นคงอยู่นี่ อะไรจะเกิดขึ้นก็มั่นคงอยู่นี่เรียกว่าสมาธิ มีปัญญารอบรู้ ไว สติไว สมาธิไว ปัญญาไว มาไวๆ สติมาไวๆ สมาธิมาไวๆ ปัญญามาไวๆ ไวกว่าอย่างอื่น ในคราวเดียวกันมีความรู้จากความหลง ได้ความผิดจากความถูก ได้ความถูกจากความผิด ได้ความไม่ทุกข์จากความทุกข์ มันไวขนาดนี้ แป๊บเดียวทันที เพียงแต่รู้ มันก็ไม่มีอะไรที่ขวางกั้นได้
ภาวะที่รู้นี้ ถือว่าจบแล้ว จบหมดแล้ว จบหมดแล้ว ศาสตร์จบแล้ว ถ้าถึงภาวะที่รู้นี้ เรียกว่าอศาสตร์มนต์ ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร รู้นี้ อศาสตร์มนต์ เป็นมนต์ที่จบ ไม่เหมือนมนต์อื่น อันอื่นไม่จบ ความรู้ที่ได้จากสูตรสำเร็จ สองห้าเป็นสิบ สองห้าเป็นสิบเอ็ดไม่ได้ มันเป็นสูตรสำเร็จ ที่ว่าสูตรนั้นตอบได้อยู่ แต่ว่าไม่ใช่เรื่องอศาสตร์มนต์ จบแต่รู้อันนั้นแต่ไม่รู้เรื่องนี้ ยังมีโกรธมีโลภมีหลง ถ้ารู้เรื่องนี้ทำลายหมดเกลี้ยง ราบเรียบ มีแต่เรียบราบ มีแต่ภาพมาตรฐาน เรียกว่าศาสนาพระศรีอาริยเมตไตร แผ่นดินราบเหมือนหน้ากลองใส่ แผ่นดินราบเหมือนพลิกแผ่นดิน ภาวะที่รู้ทำให้ราบได้ ชีวิตปูพรม เกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ภาวะรู้นี้ มันก็หมดแล้ว ไม่ต้องว่าสัพเพสัตตาก็ได้ ภาวะรู้ไม่มีเวรมีภัยต่อใครแล้ว ไม่เบียดเบียนต่อตัวเอง ไม่เป็นทุกข์ ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ไม่ทำคนอื่นเป็นทุกข์ ไม่เอาเรื่องของกายของใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่เอาเรื่องของตัวเองไปทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ มันก็ทั้งหมดแล้ว เรียกว่าพรหมจรรย์ประพฤติธรรมแล้ว ไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ไม่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ สิ่งอื่นเป็นทุกข์ เรียกว่า สุคโตบุคคล สุคติบุคคล ไปดีมาดี อยู่ดีมีสุข
สุขที่ไม่ต้องสุข ความสุขจริงๆ ได้จากความทุกข์ ความสุขที่ได้จากความทุกข์เป็นความสุขที่จริงๆ แต่ความสุขที่ได้จากสิ่งอื่นประตูอื่น ความสุขที่ได้จากความสุขเป็นความสุขปลอม ได้แล้วจึงสุข มีแล้วจึงสุข ได้ทำอันนี้แล้วก็สุข ได้เห็นอันนี้แล้วก็สุข สุขแบบนั้นไม่ใช่สุขถาวร สุขจริงๆ มันสุขที่ได้จากความทุกข์ ลองดูซิ เคยทุกข์มันผ่านทุกข์ได้นี่ มันเป็นอย่างไร สัมผัสลองดู มันได้ความสุขจากความทุกข์แท้ๆ ความทุกข์ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าแท้ๆ ไม่มีความสุขเกิดพระพุทธเจ้า ปราสาทสามฤดูไม่ใช่ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเห็นทุกข์ พ้นทุกข์นี้ทำให้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าสุขก็เป็นสุขที่เหนือสุข สุขแบบนี้ไม่ต้องอาศัยนิมิต นิมิตที่ว่า นิรามิสสุข สุขที่อิงอามิส สุขไม่อิงอามิส ไม่ถูก พูดไม่ถูก ภาษาศัพท์ไม่ถูก ใช้ไม่เป็น สุขที่ไม่ต้องอิงอามิส สิ่งที่อิงอามิสจึงสุข ไม่ใช่สุขที่เที่ยงแท้
อย่าไปกลัวอะไร ให้มันมีขึ้นมาเถิดอันว่าทุกข์นี้ มันเกิดกับกายกับใจนี้ นี่แหละทำให้เกิดเห็นธรรม รู้ธรรม เห็นทุกข์ ถูกต้องแล้ว ถ้าไม่เห็นมัน ก็หนีจากมันไม่ได้ พอทำพอเตือน กายสักก็ว่ากาย เวทนาสักว่าเวทนา เวทนาคือสุขคือทุกข์นั่นแหละ จิตก็สักว่าจิต ธรรมสักว่าธรรมนั่นแหละ เป็นหลักสูตรที่ครบ ครบถ้วนที่สุด อะไรก็อยู่ตรงนี้ เป็นด่านกักจิตวิญญาณของคน ถ้าผ่านด่านสี่ด่านนี้ได้ก็ ก็ไปได้ ทำไปเถอะ ว่าแต่รู้ถูกต้องแล้วล่ะ ยกมือขึ้นรู้สึก รู้ยิ้มๆ รู้เบาๆ รู้ซื่อๆ ไม่ใช่รู้แบบเอาผิดเอาถูก จะเอาให้ได้จะทำให้ได้ นี้มาห้าวัน เจ็ดวัน สิบวัน จะเอาให้ได้ ตั้งต้นผิด ทำด้วยศรัทธาไม่เป็นไร ไม่ใช่จะเอาให้ได้ ทำซื่อๆ ทำด้วยศรัทธา จะได้เหมือนกัน จะได้ต่างกัน พอมันผิดก็เห็นผิดง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าทำเพื่อจะเอาผิดเอาถูก ถ้ามันผิดก็ไม่ชอบ ถ้าถูกก็ชอบ ถ้าสงบก็ชอบ ถ้าฟุ้งซ่านก็ไม่ชอบ นั่นตั้งหลักไว้ผิดแล้ว เอาความชอบและความไม่ชอบตัดสิน อันนั้นไปไม่ได้ ไปทางขวาง จะเจอแต่เรื่องนั้น ได้ ไม่ได้ ได้ ไม่ได้ ผิดถูก ถ้าทำถูกก็รู้นี้ รู้นี้ มันผิดก็รู้ มันสุขก็รู้ มันสงบก็รู้ มันฟุ้งซ่านก็รู้ เพราะว่ารู้เป็นตัวยืนอยู่แล้ว รู้ที่กาย รู้ที่การเคลื่อนไหว รู้สัมปชัญญะปัพพะ คือการเคลื่อนไหว ภาษาธรรมว่า สัมปชัญญะปัพพะ ภาษาว่าเราทำมาก็คือรู้สึกรู้ซื่อๆ รู้ซื่อๆ นี้ หายใจเรียกว่า อาณาปาปัพพะ ลมหายใจเข้าลมหายใจออก จิตตปับพะ จิตที่มันคิด ก็รู้มัน ตัวรู้ตัวเดียว มันใช้กับกาย กับจิต กับสุข กับทุกข์ได้ทั้งหมดเลย ทำได้ทุกชีวิต
ก็ขอเป็นเพื่อนเป็นมิตรกับผู้ปฏิบัติ จะไม่พาหลงทิศหลงทาง ถ้าเกิดอะไรขึ้นบางทีก็ไม่ต้องถาม ทำไปก่อนมันจะเฉลยทีหลัง ถ้าถามก็ถามได้ อย่าไปกลัว ถ้ามีโอกาสปรึกษาสนทนาได้ ส่วนตัวก็ได้ แต่เวลานี้เดินไปเยี่ยมเพื่อนไม่ค่อยได้ ยืนนานก็ไม่ค่อยได้ พอสมควรแก่เวลาวันนี้