แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมคือฟังเรื่องของเรา เรื่องของคนเรา คนเราก็มีธรรมชาติสองอย่างคือกายกับใจ ปัญหาเกิดขึ้นดูกายดูใจของตน มีสติเป็นเจ้าของกาย มีสติเป็นเจ้าของจิตใจ อย่าให้ความหลงเป็นเจ้าของ ถ้าความหลงเป็นเจ้าของกายใจก็เบียดเบียนกัน ทะเลาะกัน ไม่เป็นธรรมต่อกัน กายก็เบียดเบียนใจ ใจก็เบียดเบียนกาย เป็นทุกข์เป็นโทษ พึ่งกายก็ไม่ได้ พึ่งใจก็ไม่ได้ เอากายมาเป็นสุข เอากายมาเป็นทุกข์ เอาใจมาเป็นสุข เอาใจมาเป็นทุกข์ เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ถ้าเป็นทุกข์ส่วนตัวแล้ว เป็นทุกข์ที่เกิดที่กายที่ใจแล้ว มันก็ไปกระทบกระเทือนต่อสิ่งอื่นมากมายก่ายกอง จนเกิดปัญหาต่อประเทศต่อโลกได้ ปัญหาที่เกิดกับกายกับใจเรานี้ หลักของคำสอนธรรมะมารับผิดชอบดูแลตัวเองให้ดีๆ ถ้าเราดูแลกายใจให้ดี ชีวิตก็สดใสไม่มีปัญหา วันหนึ่งนาทีหนึ่งก็ปกติอยู่เป็นสุข ถ้าเราไม่ดูแลมันก็เป็นปัญหาทั่วๆ ไป ถ้าไม่แก้ไขกายใจแล้วก็อาจจะเกิดอันตรายแก่ตนเองและคนอื่นได้
ทุกวันนี้ โลกก็เดือดร้อน ความร้อนเกิดขึ้นในโลกทั่วๆ ไป ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทำให้โลกร้อน เกิดจากฝึมือของคนคือกายกับใจนี้ นอกจากโลกร้อนที่รวมกันต่อโลก ในโลกทั้งหลาย ทั่วประเทศ ทั่วโลกก็คงมีคนอยู่ นอกจากนั้น ก็มาเกิดขึ้นแต่ละชุมชน แต่ละหมู่บ้าน แต่ละประเทศ เช่น ประเทศไทยเรานี้ พอเกิดความวุ่นวายขึ้นมา ทำให้เกิดปัญหา เราไม่ได้ทำอะไร เราก็เดือดร้อน อีกหน่อยเขาจะตัดน้ำตัดไฟปิดถนนหนทาง เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ไม่มีส่วนร่วม แต่เพราะคนอื่นทำ เราก็เดือดร้อนไป เช่น เราไปตัดต้นไม้สักต้น เราก็เดือดร้อนน้ำท่วมไม่สมดุล เกิดความไม่สมดุลขึ้นในที่ต่างๆ ความแห้งแล้งก็เกิดขึ้น อะไรก็ผิดเพี้ยนไปเยอะแยะ
แต่ก่อนต้นข้าวสูงท่วมหัว ตอนนี้ต้นข้าวแค่ศอก แล้วก็วิบัติเกิดขึ้น ผลหมากรากไม้เปลี่ยนแปลงไป หลวงพ่อปลูกฟักทองไม่ได้กินเลย 3 - 4 ปีมานี้ ปลูกแตงก็ไม่ได้กิน มะละกอก็ไม่ได้กิน ไม่ออกลูก ไม่เจริญ ต่อไปข้าวก็ปลูกไม่ได้กินนะต่อไปอ่ะ มันเพี้ยนไปหมด เพราะฝึมือของคน ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ต่อไปคนก็จะไม่ดูแลตัวเอง คนจะหมกมุ่นครุ่นคิด อวิชชาครอบงำย่ำยีจิตใจของคนเข้า คนก็จะไม่พูดไม่จากัน ต่างคนต่างหมกมุ่นครุ่นคิดในตัวเอง ไม่มีเวลาที่ไถ่ถามให้ความยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน ดูก็แล้วกัน แต่ก่อนนี้เสียงนกเสียงการ้องทั่วโลก ทั่วประเทศ หลวงพ่ออยู่วัดป่าสุคะโตเนี่ย กลางคืนก็มีเสียงสัตว์ร้องตลอดคืนตามฤดูกาลต่างๆ เสียงเรไร โซปราโน (โทนเสียงสูงร้องประสาน) น้ำฝน พอเดือนสิงหา กันยาเนี่ย ฟังเสียงอะไรก็ได้ เสียงนก เสียงไก่ เสียงกวาง เสียงกระรอก ขัน แข่งขันกัน เดี๋ยวนี้ไก่ไม่ต่ำกว่า 100 ตัว ไม่ได้ยินเสียงขันแล้ว แซงแซวก็ไม่ได้ยินเสียงขัน กางเขนก็ไม่ได้ยินเสียงขัน กระรอกก็ไม่ได้ยินเสียงขัน อะไรก็ผิดเพี้ยนไป แล้วเราจะทำยังไง ถ้าเราไม่มาดูแลแทนทุกคนน่ะ ใครจะทำให้ความสงบร่มเย็นต่อโลกไม่ได้เลย จะมีกฎหมายรัฐธรรมนูญขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราไม่ดูแลตัวเรา ต่างคนต่างมีเหตุมีผล เข่นฆ่ากัน เกิดสงครามเพราะเหตุผลทั้งนั้น เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม ไม่ใช่ทำให้เกิดความสันติสุขต่อโลกได้
ถ้าเรามาตั้งต้นที่เราปฏิบัติธรรมเนี่ย การปฏิบัติธรรมเนี่ยเป็นการที่ทุกคนนับหนึ่งจากตัวเราก่อน มีสติสัมปชัญญะคอยดูแลกายใจของเราให้สมควร เหมือนพระศาสดา พระตถาคตได้ทำอะไรกับพวกเธอแล้ว ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์แก่พระศาสนา พระตถาคตได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย สมควรแล้วไม่มีอะไรบกพร่องเลย ทำประโยชน์ต่อตนจนได้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงมรรคผลนิพพาน ก็มาเอาประโยชน์ตน ประโยชน์แก่คนอื่น ทำเพื่อคนอื่น จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ จากบุคคลคนเดียวเท่านั้นเกิดขึ้นมา มันก็ขนาดนั้น
ถ้าเราเริ่มต้นจากตัวเรา มันก็กระทบกระเทือนไปในทางที่ดีได้ ถ้าเราไม่เริ่มต้น ไม่รู้ว่าใครจะนับหนึ่งก่อน พุทธศาสนาเกิดจากปัจเจกบุคคลคนเดียว ยิ่งเราเป็นมนุษย์ เป็นสังคมเป็นสัตว์สังคมก็ยิ่งมีโอกาสได้ไว เพื่อนเรามีครอบครัว ผัวเมีย บุตร ภรรยา สามี ไปช่วยกันน่ะ แล้วก็ไปได้เลย ไม่ต้องมีใครมาสั่ง อะไรความชั่ว อะไรความดี ทำได้ทันที เครื่องมือทำความดีก็มีอยู่แล้ว มีกาย มีวาจา มีใจ เครื่องมือละความชั่วก็มีอยู่แล้ว มีกาย มีวาจา มีใจที่แสดงออกถึงความดีให้ได้ อย่าไปแสดงออกแต่ความชั่วเบียดเบียนตน เบียดเบียนคนอื่น โดยทำได้ทันที ถ้าเรามีสติดูแลตัวเองคือกายใจให้ดี คนทั้งโลกก็สงบเพียงพริบตาเดียว เพราะทุกคนดูแลตัวเราให้ได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่ว่าเราทำไม่ได้นะ ถ้าจะไปเอาเหตุเอาผล อะไรต่างมีเหตุมีผล เอ้า กฎหมายรัฐธรรมนูญมีเหตุผล ต่างคนก็ต่างเอารัฐธรรมนูญประชาธิปไตยมาอ้าง มันก็ไม่ลงกัน บางทีก็เอาศาลรัฐธรรมนูญมาตัดสินเหนือมันก็ยังไม่เพียงพอ เราไม่ยอมกัน ก็นี่เป็นสิ่งที่ไกลตัว แม้เดี๋ยวนี้เราก็เล่าลือ บางคนถึงกับน้ำจะท่วมกรุงเทพ เกิดวิบัติทางมหาสมุทร เราก็มัวแต่กลัวข้างนอกอยู่ ไม่เริ่มต้นที่ตัวเรา
เราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เราต้องมารู้เรื่องนี้ให้ได้ก่อน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา มารู้เรื่องนี้ มารู้เรื่องการเกิดแก่เจ็บตายนี้ก่อน มันมีปัญหาที่ตัวเรานี้ ถ้าเราอยู่เหนือ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายได้แล้วเนี่ย มันจะมีปัญหาอะไร ถ้าแผ่นดินมันไหว เราก็จะต้องกระโดดไปก็ได้ สนุกดี ถ้าเกิดดินมันไหว มันจะมีอะไรเกิดขึ้นเราถือว่าเราไม่ต้องกลัวเลย แม้จะเจ็บก็ไม่กลัว แม้จะตายก็ไม่กลัว ถือว่าเป็นความสนุก เอ๊า ลมพัดมาหรือ เอ๊า มันก็ดี เราจะได้ไม่เป็นปัญหาต่อลมต่อวิบัติที่เกิดขึ้น ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ถ้าเรารู้ตัวเองดีแล้ว ไม่มีอะไรเป็นทุกข์เลยในโลกนี้ ถ้าเรามาดูแลกายใจของเรานะ ถ้าเหนือการเกิดแก่เจ็บตายได้นี่ล่ะ นี่คือตัว ตัวหลักที่จะต้องเฉลยชีวิตของเราให้ได้ก่อน ไม่มีวิธีใดที่เราต้องทำ เรามีชาติ มีศาสนา มีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์องค์เจ้า เราพร้อมแล้ว ไม่ใช่มีพิธีทำพิธีกรรมเท่านั้นแหละ มันอยู่กับเรา
ไม่ต้องมากราบมาไหว้เรา ถ้าท่านจะกราบจะเชื่อเราเคารพเรา อย่าหลง ถ้าหลงแล้วถือว่าไม่เคารพกัน อย่าทุกข์ ถ้ายังทุกข์อยู่ถือว่าไม่เคารพกัน อย่าโกรธ ถ้ายังโกรธอยู่ถือว่าไม่เคารพกันเลย อย่าโลภ ถ้ายังโลภอยู่ถือว่าไม่เคารพกัน ไม่เชื่อฟังกัน แม้จะกราบจะไหว้อยู่ก็ประโยชน์น้อย เราจึงควรกระทำจากตัวเราเนี่ย อยู่ที่ไหนก็ทำดีได้ มันอยู่กับเราแท้ๆ ก็มีบ้าง มาทำวัตรสวดมนต์มาฟังธรรมฟังเทศน์ ถือว่าเป็นกัลยาณมิตร ได้ยินได้ฟังเอาไว้ แต่ถ้ามีทุกข์ แล้วบอกว่าความไม่ทุกข์ก็มี แต่ถ้ามีความโกรธ ความไม่โกรธก็มี แต่ถ้าหลง ความไม่หลงก็มี อย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้เป็นคู่กัน เมื่อมีความเจ็บ ความไม่เจ็บก็มี ถ้ามีการตาย การไม่ตายก็มีอย่างนี้ อย่าหมดหวังเลย
พระพุทธเจ้าได้แสดงมาแล้ว ได้เทศน์มาแล้วพิสูจน์ได้แล้ว ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ไม่จำกัดทาง เอหิปัสสิโก เป็นของอัศจรรย์ ธรรมะเนี่ย อย่าปล่อยให้มันหายต่อหน้าต่อตาเรา วันหนึ่งๆ เราไปอยู่ตรงไหนกัน ชีวิตเราท่องเที่ยวอยู่กับสิ่งใด ทำไมไม่น้อมรับเอาความถูกต้อง มันหลงไม่ถูกต้อง ความไม่หลงนี่มันถูกต้องที่สุด เอาสิ เลือกได้ ไม่ใช่เลือกไม่ได้ชีวิตเนี่ย มันลิขิตชีวิตเราได้ มัวแต่อ้อนวอนอยู่ ศาสนาแห่งการอ้อนวอนก็มีมาก ไม่ใช่การกระทำ การกระทำนี่มันเป็นหลักอันหนึ่ง ที่เริ่มต้นจากกรรมได้จำแนกไป ใครจะมาเป็นเพื่อนกันในเรื่องนี่ หลวงตาจะไม่พาหลงทิศหลงทาง ถ้าจะศึกษาเรื่องกายเรื่องใจเนี่ย แม้มีอะไรมากมายสารพัดอย่างไม่หลงแน่นอน 84,000 อย่างที่เกิดกับกายกับใจนี้ ทั้งมีทาง มันหลงตรงไหน มีทางตรงนั้น มันทุกข์ตรงไหน มีทางตรงนั้น เพราะฉะนั้น ปัญหาแค่นี้ เราจะต้องตกเป็นทาสของมัน โกรธจนตาย หลงจนตาย ทุกข์จนตายงั้นหรือ น่าเสียดายมาก ความหลงแท้ๆ ทำให้เรามีปัญญา ความโกรธแท้ๆ ทำให้เรามีปัญญา ความทุกข์แท้ๆ ทำให้เรามีปัญญา ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทำให้เรามีปัญญา อย่าเอามาเป็นทุกข์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของความกลัวอกสั่นขวัญหายเลย นี่มันเป็นอย่างนี้
ขอประกาศ ขอบอกอย่างนี้ คือพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีตัวมีตนนั่งอยู่ที่นี่ คำพูดก็พูดอย่างนี้ มาพิสูจน์ลองดู เราไม่ใช่โฆษณา ไม่ใช่แต่อวดดี พูดความจริง บอกความจริง ความจริงนี้มันไม่ใช่อยู่ที่ใด มันอยู่ที่เรานั่นแหละ เราหลงมันก็มีความไม่หลงอยู่ตรงนั้น มันอวดหรือ ถ้าไม่ทำตรงนี้ไปเชื่อใคร ไปเชื่อหรือไม่เชื่อใคร ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เชื่อตัวเอง ถ้าปฏิเสธ ก็ปฏิเสธตัวเองแล้ว คนอื่นพูดเราปฏิเสธคนอื่น ถ้าหลงก็บอกว่าความหลงไม่ดี เราก็ยังหลงอยู่ ปฏิเสธตัวเรา ความหลงก็ไม่ดีอยู่กับเราแล้ว ยังปฏิเสธความหลงความไม่หลงอยู่ ไม่หาความไม่หลงมาเฉลย ความทุกข์มันไม่ดีเรารู้ แต่เราไม่เคยเปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้สึกตัว มันก็ปฏิเสธตัวนี้ไป ละเลยหน้าที่ของเราถือว่าประมาท พลาดโอกาส บทเรียนที่ดีดี๊มันอยู่ตรงนั้น ถ้ามันหลงบทเรียนก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ความหลงแท้ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกตัว ความทุกข์แท้ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกตัว อย่าหลงตรงนี้
ถ้าเปลี่ยนตรงนี้ได้เรียกปฏิบัติธรรม เปลี่ยนร้ายเป็นดี ถ้าไม่เปลี่ยนร้ายเป็นดี ไม่ใช่ปฏิบัติธรรม แม้จะบวชมาจนเฒ่าจนแก่ก็ไม่ถือว่าบวช เพราะบวชนี้คือดำริออกจากความชั่วไปสู่ความดีอย่างนี้ เป็นการปฏิบัติเสมอกัน ใครที่ดำริออกจากความชั่วไปสู่ความดี คนนั้นเขาเรียกว่าถือบวช เป็นอุบาย แม้แต่เป็นเทพหรือว่าเจ้าก็ยังทำได้ ไม่ใช่ว่า โอ๊ย นักบวช ท่านเป็นนักบวชท่านก็ทำได้ ไม่ใช่ ภาวะอย่างนี้ไม่ใช่ลัทธิ นิกาย เพศ วัย ชาติ ศาสนาใด เป็นสากล เป็นสากลของธรรมะ ใครหลงก็เหมือนกันหมด ถ้าใครเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ ก็เปลี่ยนได้เหมือนกันหมด ไม่ใช่นักบวชเท่านั้นจึงเปลี่ยนได้ คนแก่เท่านั้นเปลี่ยนได้ คนหนุ่มเท่านั้นจึงไม่เปลี่ยน ไม่ใช่อย่างนั้น ความรู้ความหลงน่ะ ไม่ใช่อายุเพศวัย มันคือชีวิตเราแท้ๆ คนหนุ่มก็หลง คนแก่ก็หลง คนเฒ่าก็หลง คนอะไรชาติใดภาษาใด ความหลงก็เหมือนกันหมดแหละ ความทุกข์ก็เหมือนกัน ถ้าความรู้อันเดียวกันนี่แหละ ความรู้สึกตัวอันเดียวกันนี่แหละ ไม่ใช่ศาสนาอันนั่นเป็นความรู้แบบนี้ ศาสนานี้เป็นความรู้แบบนั้น ไม่ใช่เลย ความรู้สึกตัวที่เราสร้างอยู่นี้อันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า อยู่กับพระพุทธเจ้าอันเดียวกันนี้ มันก็อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ได้ นี้คือไม่จำกัดกาลเลย ธรรมะเป็นของที่ดูได้เห็นได้