แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตเรามันอันเดียวกัน มีกายเหมือนกัน มีใจเหมือนกัน มีปัญหาเกิดขึ้นกับกายเหมือนกัน มีปัญหาเกิดขึ้นกับใจเหมือนกันแก้ปัญหาก็แก้ปัญหาที่กายเหมือนกัน แก้ปัญหาที่จิตใจเหมือนกัน มีสติเหมือนกัน มีความหลงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันนั่น เวลาเราหลงเรามีความรู้ไหม อาจจะไม่เหมือนกันตรงนี้ จึงอยากจะชวนให้มาดูมาทำเรื่องนี้ อยากบอกอยากชวนให้ดู ไม่ใช่สอน ชวนให้มาดู อยากมีสถานที่แบบนี้ อยากนั่งอยู่อย่างนี้ อยากให้คนมาดูอันนี้ อยากให้คนมีที่อยู่ มีอาหารกิน ไม่ฝืดเคืองเกินไปไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป ตอนเช้าตอนเย็นอยากมานั่งตรงนี้อยากให้คนมานั่งด้วยอย่างนี้ จะมาชี้ให้เห็น จะชวนมาดู จับมือมาดู ดูด้วยตาเรา นี่คือการปฏิบัติ การดูต้องมีให้เห็นจริง ๆ ประกอบการจริง ๆ เหมือนเรามีตาก็ต้องดูจริง ๆ วิธีการดูอย่างนี้ไม่ใช่เป็นความรู้เป็นการกระทำ เหมือนเราฝึกหัดนาฏศิลป์ ฝึกหัดศิลปกรรม ฝึกหัดเล่นดนตรี ต้องมีการกระทำ ไม่ใช่ไปท่องไปจำเอา
หลวงพ่อหลวงตาเป็นนักเล่นดนตรีเป่าแคนสีซอแต่ว่าเวลามีโน้ตน่ะไม่ใช่ไปท่องเป็นโน้ตเฉย ๆ ลาโดลาซอล ลาซอลลามี ไปท่องได้กับปาก ต้องเอามือแสดงไปด้วย ซอลมันอยู่ตรงไหนเอามือคลำไป อันที่เราเป่ามันดังขึ้นเอามือคลำไป ไปถึงซอลถึงมีมือมันคลำไป มือมันก็เต้นไปตามโน้ต หัดอย่างนี้เรียกว่าฝึกหัด มันจึงจะเป็น อะไรก็ตามถ้ามีโน้ตในหัวใจเรามันก็แสดงออกทางกาย นิ้วมือที่มันโดดไปเต้นไป หัดใหม่ ๆ ก็คลำไป คลำหามันอยู่ตรงไหน ลาโดลาซอลมันอยู่ตรงไหน ซอลมีซอลลามันอยู่ตรงไหน ก็มือก็เต้นไป มันเต้นไปถูกโน้ตมันมันก็ดัง ดังมันก็มีโน้ตมันอีกเต้นไปยังไงตามโน้ตของเพลงต่าง ๆ มันก็เป็นไปเลย ต่อไปเมื่อมันเป็นแล้วไม่ต้องไปคลำหามันโดดไปเอง มือมันไปเอง มันก็เป็นเสียงออกมาจากที่มือมันคลำไปมันเป็นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้ไม่ลืม ไปสีซอที่ตรงไหนก็อันเดียว ไปเป่าแคนที่ตรงไหนก็อันเดียว
เหมือนเรามีสติเนี่ย สติมันมีโน้ตคือความรู้สึกความระลึกได้ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ระลึกได้แบบไหน ไม่ใช่ความคิด ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด ระลึกได้ไหม เวลาทำ เวลาพูด เวลาคิดอยู่ รู้สึกตัวไหม เรามาหัดตรงนี้กัน การหัดตรงนี้ไม่มีใครมาหัดให้เราได้ เราต้องหัดตัวเอง จึงมีแบบนี้มีการยกมือเคลื่อนไหวให้รู้ไปตามมือมันเคลื่อนไหว หัดไปก่อนให้มันเป็น ตามหลักพระสูตรพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ กายานุปัสสนา มีสติเห็นกายรู้กายต่อเนื่องให้มันคุ้นเคย ให้กายมันไปติดเอากับความรู้สึกตัว เวลาใจมันเคลื่อนไหวที่ไม่ตั้งใจที่ได้ตั้งใจ ก่อนคิดตั้งใจไว้ไม่เป็นไร แต่บางทีมันคิดไม่ได้ตั้งใจ มันลักคิดไปเองก็รู้สึกตัวรู้สึกตัวและระลึกได้ตอนนั้น ใช้ความคิดตัวเอง ใช้กายตัวเอง ใช้ใจตัวเอง ใช้ตา ใช้หูใช้จมูกใช้ลิ้นใช้กายใช้จิต อย่าให้มันใช้เรา มันจึงจะเป็นประโยชน์ ถ้ามันใช้เรามันก็เป็นโทษบางอย่าง มันเป็นโทษมันก็ติดได้ ใช้ผิดมันก็ติดความผิด ใช้ถูกมันก็ติดความถูกอันใจนี้ เช่นเป็นนิสัยโทสะจริต มันใช้ให้ใจมันโกรธง่ายเกินไปออกหน้าออกตา โมหะจริต มันใช้ให้หลงเอาความหลงเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือนออกหน้าออกตา ราคะจริต เกิดความหิวกระหายในรูปรสกลิ่นเสียงเกินไปไม่รู้จักอิ่ม แต่ท้องมันอิ่มแต่ตาหูจมูกลิ้นกายนี้มันไม่อิ่มบางทีน่ะ มันหิว ก็ต้องดูมันอย่าให้มันออกหน้าออกตาเกินไป เราจึงมาหัดตรงนี้กัน การหัดตรงนี้ไม่มีใครช่วยเราได้มีแต่เราเท่านั้นที่ช่วยตัวเราเอง ถ้าไม่หัดอย่างนี้มันไม่เห็นหรอก ไม่เห็นกายมันก็เป็นธรรมชาติไป สติมันก็มีอยู่
ไม่ว่ามนุษย์คนเราหรือสัตว์เดรัจฉานมันมีเหมือนกันสติ แต่สติแบบนั้นมันไปตามหลังเขา ไปตามหลังของรูปของรสของกลิ่นของเสียงของความโลภความโกรธความหลง ใช้ความโกรธได้สำเร็จ ใช้ความหลงได้สำเร็จ ทำความชั่วได้สำเร็จเพราะมันเอาสติไปตาม มันไม่ใช่ปฏิบัติ ไม่ใช่กลับ ไม่ใช่ดู เหมือนไก่เนี่ย หลวงตาอยู่กับไก่สมัยก่อนโน่น อยู่ศาลาไก่ ก็ดูแล บางทีไก่น้อยลูกเจี๊ยบแม่มันขึ้นต้นไม้แต่ลูกมันตัวเล็กบินไม่เป็นมันก็ร้องอยู่ข้างล่าง แม่มันก็เรียกอยู่ กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก อยู่ต้นไม้โน่น ลูกมันก็ร้องอยู่ แม่ก็บินลงมา มาเรียกลูก แม่ก็บินขึ้นไปอีก เวลามันบินเนี่ยแม่มันบินตรงขึ้นไปมันบินได้ แต่ไก่เจี๊ยบมันบินไม่ได้ มันก็วางแผนเป็นน่ะ มันไปยังไงวางแผนน่ะ มันก็มองไป เออ! ควรที่จะไต่ไปต้นนั้นไต่มาต้นนี้อย่างที่ไม่ต้องบินเลย กระโดดไปตามเถาวัลย์ตามอะไรมาไต่มาไต่มาจนถึงอกแม่ มันก็มีแผนเหมือนกัน อันนั้นมันไก่มันเป็นธรรมชาติของเขา มันก็มีสติเหมือนกัน มันวางแผนเป็น วางแผนที่จะขึ้นไปหาแม่มันยอดไม้โน่นแต่มันบินขึ้นเหมือนแม่มันไม่ได้ มันก็ไป ไปที่โน่นไกล ๆ โน่นนะแล้วค่อยไต่มา ไต่มา เขาก็มีสติเหมือนกัน
บางทีพระพุทธเจ้ายังสอนพระให้เอาเยี่ยงกวางบ้าง เวลาจะเดินไปไหนมาไหนมันดูหน้าดูหลัง พระพุทธเจ้าอยู่กับป่าอย่างน้อยก็อิสิปตนมฤคทายวันเป็นป่ากวางเป็นที่ปลดปล่อยของสัตว์ทุกประเภท สอนพระสงฆ์ให้เอาเยี่ยงอย่างกวางป่าเวลามันไปไหนมาไหนอย่าลุกลี้ลุกลน หรือไก่จ่าไก่โจ้ก พระพุทธเจ้าบอกให้เอาแบบไก่จ่าอย่าเอาแบบไก่โจ้ก รู้จักไหมไก่จ่าเป็นยังไง ไก่โจ้กเป็นยังไง ไก่จ่าเป็นหัวหน้ามักจะมีหางแซม ๆ สีขาวย้อยลงสองข้าง เรียกว่าไก่จ่า ไก่โจ้กยังไม่มีหางอันขาว ๆ ย้อยลงสองข้าง เรียกว่าไก่โจ้ก ไก่โจ้กไปทางไหนมันวิ่ง ต๊ก ต๊ก ต๊ก ต๊ก ไปเลย ถูกบ่วงถูกแร้วของนายพราน ถ้าไก่จ่ามันไม่ไปแบบนั้นมันไปทางไหนมันก็จะรู้ มันไม่วิ่งไปตรง ๆ มันอ้อมไปตรงที่มันปลอดภัย ไม่ไปเหยียบตรงที่มันเตียน ๆ มันเหยียบกิ่งไม้อะไรไปทำนองนั้น มันก็ไม่ค่อยถูกบ่วง สมัยก่อนนี่หลวงพ่อจรัญอยากได้ไก่ป่าที่นี่ ก็บอกให้ไปดักเอา เขาหว่านข้าวเราเอาบ่วงขึงไว้เวลามากินข้าวมันจะมาเหยียบเนี่ยจะได้ดึงเอาให้มันติดขามัน ไก่จ่านี่มันก็ดู ดูหลวงพ่อจรัญ เอาบ่วงไปวางไว้มันก็ดู มันก็เรียกโจ้ก โจ้ก โจ้ก โจ้กบอกลูกไก่ ไก่โจ้กทั้งหลาย อย่านะ อย่านะ น่าจะว่าอย่างนั้นน่ะ ไก่โจ้กน่ะซุกซนเกินไปก็วิ่งอยากจะกินวิ่งเข้าไปก็ไปติดบ่วงหลวงพ่อจรัญไปหลายตัว เอาไปเลี้ยงไว้ที่วัดป่าอกาลิโกจนมีไก่ทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบจะทำอะไรต้องรู้สึกก่อน ก่อนพูด ก่อนทำ ก่อนคิด เรามาหัดตรงนี้กัน เราหัดยังไงล่ะ วิธีหัดก็อย่างนี้ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีสติเห็นกาย กายที่จะต้องเห็นทำไง มันก็เห็นกันอยู่ ไม่ใช่เห็นแบบนั้น เห็นแบบเจตนาที่จะให้รู้ มีเจตนาด้วย มีการกระทำด้วย แสดงออกด้วย เคลื่อนไหวมือ เห็นไหม เห็นกาย โอ้! เห็นอย่างนี้ ไม่ใช่ตาไปดูส่องกระจก เงาในกระจก เงาในน้ำ ไม่ใช่แบบนั้น แบบนั้นก็ดูเพื่อตรวจทานหน้าตาของเราเครื่องนุ่งเครื่องห่มของเราให้มันดีมันเรียบร้อย แต่ดูอันนี้น่ะดูสติดูกายไม่ใช่มาดูแบบนั้น แต่มันก็ครอบคลุมไว้ได้ เห็นกายเคลื่อนไหวไปมา เชือกต่อเนื่องยาว มันยาว ๆ มันต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนว่าให้มีสติต่อเนื่อง ต่อเนื่องไงมันหลงอยู่เรื่อยมันขาดหรือ ไม่ใช่ขาด ภาวะที่หลงมันต่อดีที่สุดเลย ไม่ใช่มันขาดไป ภาวะที่สุขที่ทุกข์มันต่อดีจริง ๆ ตรงนั้น มันต่อตรงนั้นด้วย มันหลงก็เห็นมันเนี่ย รู้สึกตัวว่ามันหลง ไม่เสียนะ บางทีเราไม่เข้าใจ เวลามันหลงถือว่าผิด ไม่ใช่ผิดน่ะ มันไม่ผิดน่ะ มันรู้นะ ขยันเสียด้วยอยากให้มันหลงจะได้รู้หน้ารู้ตา อยากให้มันสุขมันทุกข์จะได้รู้มัน หลงไปทางใดจะได้รู้มัน รอบ ๆ รู้รอบ ๆ สติเป็นหน้ารอบ เคยไหมอย่างเนี่ยต้องมาหัด ถ้าไม่หัดมันไม่เป็นน่ะ ไม่ใช่ไปท่องจำเอา
หลวงตาเคยเรียนนักธรรมตั้งแต่ยังเป็นสามเณรโน่น “นวโกวาท วินัยบัญญัติอนุศาสน์ 8 นิสสัย 4 อกรณียกิจ 4 ฯ” ท่องได้หมดเลย หนังสือนวโกวาทเล่มหนึ่งจำได้กับปากหมดเลยไม่รู้อะไรเลย “ธรรมมีอุปการะมาก 2 สองอย่าง สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว” “ธรรมอันทำให้งาม 2 อย่าง ขันติความอดทน โสรัจจะความเสงี่ยม” “บุคคลหาได้ยาก 2 อย่าง บุพการีบุคคลผู้รู้อุปการะก่อน กตัญญูกตเวทีบุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้วตอบแทน” ท่องได้หมดล่ะแต่ว่าไม่รู้ โกรธ ทุกข์ไม่หยุดเลย เป็นเจ้าทุกข์เจ้าโกรธ เป็นคนขี้ทุกข์ขี้ยากทั้ง ๆ ที่เรียนนักธรรมมาอย่างดี ได้ใบประกาศห้อยไว้ฝาอย่างดี มันไม่ใช่ โอ้! หลวงพ่อเทียนมาบอกแค่นั้นแหละเคลื่อนไหวมือ โอ้! รู้สึกนี่ รู้สึกตัว โอ้! สติมันระลึกได้อย่างนี้ ไม่ใช่ท่องเอากับปาก การมาเจริญสติไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องใช้เหตุใช้ผลอันใด ให้มีการกระทำอย่างเดียวเข้าไป ถ้าเราหาคำตอบจากความคิด ไม่ถูกต้อง ต้องเอาคำตอบจากการกระทำ นี่! เรารู้อย่างนี้ มือเราวางอยู่นี่ เห็นอย่างนี้ พลิกมือรู้อย่างนี้ ยกอย่างนี้ ไม่มีคำถามอะไร มีแต่คำตอบเอาเอง ไม่มีคำถามใคร คนอื่นตอบให้ไม่ได้ เราหลงเราก็ตอบเอง ไม่มีใครรู้ว่าเราหลง เราหลงเราก็หลงเอง เราเปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เราก็เปลี่ยนเอาเอง แล้วมันทำได้ไหมอย่างนี้ มันทำได้ ไม่ใช่ทำไม่ได้ มันทำได้ ทำได้จริง ๆ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ใช่ไหม นี่คือวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ อย่างที่เราสวด สวากขาโต ภควตา ธัมโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เอหิปัสสิโกน้อมมา โอปนยิโกน้อมมา เอหิปัสสิโกชวนมาดู มาดู มาดู เห็นไหมจิตใจมันคิด เห็นไหม ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจมีไหมความคิดที่ตั้งใจมีไหม ต่างกันไหม เห็นทุกข์หรือว่าเป็นผู้ทุกข์ ถ้าเห็นทุกข์ต่างกันกับการเป็นผู้ทุกข์ไหม มันโกรธเห็นมันโกรธหรือว่าเป็นผู้โกรธ ต่างกันไหม สภาวะที่รู้กับสภาวะที่หลงต่างกันไหม
นี่คือบทเรียนที่มีค่ามาก แล้วบทเรียนอย่างนี้มีห้องเรียนที่ใด มีใครเป็นคนสอน ไม่มีเลย มีแต่เราสอนตัวเรา แล้วเราสอนตัวเราอย่างเนี่ยมันก็เหมาะแก่การงาน เพราะเราไปใช้กายใช้ใจทำงานทำการเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ในโลกทั้งหมดเลย ถ้าเราไม่รู้อย่างนี้มันก็จะเกิดปัญหา ทำความดีก็เป็นทุกข์ มีเหมือนกันทุกข์เพราะความดี กวาดบ้านเป็นความดีไหม มีทุกข์ไหมกวาดบ้าน ล้างถ้วยล้างชามถือว่าทุกข์ไหม ไม่ใช่ความทุกข์ เป็นความดี บางทีเรากวาดบ้านบ่นไป ไม่ช่วยกัน คนนั้นทำให้รกรุงรัง มันไม่ใช่แบบนั้น กวาดบ้านมันก็ดีแล้ว มีสติได้ไหม มีได้ เขียนหนังสือดีไหม ดี มีสติได้ไหม มีได้ ทำงานทำการมีได้ทุกอย่างทำได้หมด พวกเรานี่ไม่ใช่ไปนอนอยู่ ไปทำงาน เหมาะแก่การงานยิ่งเป็นหมอเป็นแพทย์เป็นพยาบาล หรือเป็นพ่อค้าเป็นหน้าที่ของเรา เป็นสามีภรรยา เป็นครูเป็นอาจารย์ ดีที่สุดเลย
เพราะฉะนั้นเราจึงมาทำตรงนี้กัน เราหลงเรารู้ ถ้าตัวหลงมันมากมันก็มีปัญหามาก ถ้าตัวรู้มันมากก็หมดปัญหาไป การมีตัวรู้มันมีประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็ไม่หลงนั่นแหละ ได้ไหม เวลารู้มันหลงไหม มันก็เดี๋ยวนี้เอง ได้อะไร ได้ความรู้ มันมีประโยชน์อะไร มันก็ไม่หลง จะเอาอะไรอีกล่ะ จะได้อะไร มันก็ทำได้เดี๋ยวนี้ ตัวหลงนี่เปลี่ยนเป็นตัวรู้ได้ไหม มันก็เปลี่ยนได้ทันทีเลย ถ้าอะไรที่มันไม่ดีเปลี่ยนได้ที่สุดเลย ยอดเยี่ยมเป็นศิลปะเลย เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเปลี่ยนกัน ให้ความโกรธนอนอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน ให้ความทุกข์นอนอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืนจนนอนไม่หลับ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร เป็นทุกข์เพราะความคิดก็มีเหมือนกัน ประสาอะไรกับความคิดเฉย ๆ มันไม่ได้ขี่ช้างขี่ม้ามา เรามีสติอันเดียวก็พอแล้ว รู้สึกตัวปั๊บ เพราะเราฝึกหัด ถ้ามันไม่ทันมันเกิดมาก่อนเราก็แก้ได้ ถ้ามันฝึกดีแล้วมันไม่ต้องมีเลยปัญหาอันเกิดจากใจ มีแต่จะเป็นประโยชน์ เอาใจไปเป็นหลักพึงใจได้ เดี๋ยวนี้เราพึงใจไม่ได้ถ้าเราไม่ฝึกน่ะ คุ้มร้ายคุ้มดี ฟู ๆ แฟบ ๆ หมกหมุ่นครุ่นคิดไหลไปเหมือนน้ำต่ำลงไปเรื่อย ๆ สิ้นหมดพลังงานของชีวิตจิตใจ คิดมากก็หน้าเต้อหน้าเหลืองไป กลายเป็นโรคประสาทไป ถนอมพลังงานของตนเอง หมดไปกับความคิดเยอะแยะคนเรานี่ อะไรก็หาคำตอบจากความคิดไม่ถูกเสมอไป มันก็ต้องมีการกระทำ คิดแล้วทำ อย่างหลวงตาพูดว่าอยากมีที่แบบนี้ ก็คิด อยากมานั่งพูดอย่างนี้ อยากมาบอกอย่างนี้ อยากให้คนมาอย่างนี้ เป็นความคิด อันนี้ก็เป็นไปได้
ถ้าเราจะทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์มันก็เป็นไปได้สำเร็จ ถ้าจะทำอะไรที่มันเป็นโทษมันก็ทำได้สำเร็จ เราจะใช้ยังไงชีวิตของเรา มือห้านิ้วสิบนิ้วของเรานี่จะพร้อมเป็นประโยชน์ต่อโลกได้ไหม ต่อมนุษย์ได้ไหม ต่อสรรพสิ่งได้ไหม ไม่ต้องไปสร้างโทษสร้างปัญหาต่อกัน นับหนึ่งจากตัวเราเนี่ย นี่แหละต้นตอของชีวิตจริง ๆ ที่ได้ชีวิตอยู่กับโลก ถ้าหลงมันไม่ใช่ชีวิตเราดอก ความรู้สึกตัวเป็นชีวิตเราจริง ๆ ตัวหลงไม่ใช่ชีวิตเรา ถูกมารเอาไปแล้ว นี่วิธีที่จะเดินทางไปสู่ความไม่เกิดไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายคือภาวะที่รู้นี่เอง ภาวะที่รู้นี่ไม่ใช่ความรู้เดี๋ยวนี้ ถ้ามันเจริญงอกงามเป็นญาณเป็นฌานเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาไป ไม่ใช่เป็นการท่องเอา มันสร้างสิ่งแวดล้อมขึ้นหลายอย่าง เรารู้สึกตัวนี่เราทำบาปไหม เรารู้สึกตัวเราทำดีไหม เรารู้สึกตัวเราผิดศีลไหม เรารู้สึกนี่ตัวจิตเราวอกแวกคลอนแคลนง่อนแง่นไหมเป็นสมาธิไหม เรารู้สึกตัวก็เป็นศีล ละความชั่ว เรารู้สึกตัวก็เป็นสมาธิเป็นศีล ทำความดี เรารู้สึกตัวก็เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เปลี่ยนความร้ายเป็นความดีได้ นี่เครื่องมือของเรา ที่เรามาทำความดีมาหลบความดีต้องตั้งตรงนี้ ตั้งตรงนี้ไม่หมดไม่สิ้นเพราะสิ่งเหล่าเนี้ยมันต้องเป็นสมบัติของมนุษย์เรา ไม่ใช่ความโลภความโกรธความหลง โกรธจนตาย ทุกข์จนตาย
หลวงตาพูดว่าควรจะมีความทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ควรจะมีความโกรธเป็นครั้งสุดท้าย ได้แน่นอน มันหัดได้ เรียกว่าสัตว์ประเสริฐคือมนุษย์เราเนี่ย ถ้าไม่หัดตรงนี้ไม่คุ้มค่าเลย ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม ดีที่สุด ชีวิตของเรามันก็หมดไป อย่างหลวงตาก็หมดไปแล้ว ลิ้นก็แข็ง หูก็หนวก หมดเรี่ยวหมดแรง หนุ่มน้อยแล้ว ความหนุ่มเหลือน้อยแล้ว ใช้การไม่ได้แล้ว แต่ว่าไม่เสียเปรียบชีวิต กอบกู้ชีวิตตั้งแต่ 20 , 30 ปี ก็ถือว่าไม่เสียชาติแล้ว ไม่เสียค่าน้ำนมพ่อแม่เลี้ยงมา แม่พ่อมีลูกอย่างนี้จะไม่ต้องให้พ่อให้แม่เดือดร้อน เพราะกายใจนี่ได้มาจากพ่อจากแม่ ไม่เอากายเอาใจไปทำชั่วเด็ดขาด เอากายเอาใจไปทำดี เพราะฉะนั้นเราต้องมั่นใจตรงนี้กัน มาสร้างฐานตรงนี้กันเป็นฐานชีวิตของเรา เป็นแก่นแท้ของชีวิตเรา อย่ามีมอดมีกระพี้คอยที่จะหวั่นไหว ไม่ต้องหวั่นไหวอะไรเลย มั่นคงชีวิตเรา ถ้าเราฝึกหัดดีดี๊เนี่ย สติมันจะเกิดเพราะการประกอบ มันไม่ใช่ไปท่องไปจำเอา ประกอบคืออย่างไร เหมือนรถยนต์มันเป็นชิ้นเป็นส่วนประกอบให้เป็นคันรถวิ่งได้ สติมันจะมีก็ประกอบขึ้นมา มันมีอยู่แล้วแต่เราไม่ใช้ ไม่มาประกอบ อยู่ในตำราโน่นอยู่ในสมองโน่น
เวลารู้สึกกายเคลื่อนไหวไปมาหายใจเข้ารู้สึกตัว เวลามันคิดไปรู้สึกตัว เวลามันสุขรู้สึกตัว เวลามันทุกข์รู้สึกตัว อะไรก็ตามเอาตัวรู้ไปเกี่ยวข้องเป็นตัวเฉลยทั้งหมดเลยในกายในใจเรานี้ จนรู้หมดรู้ครบรู้ถ้วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับกายกับใจมีมากมายเหลือเกิน 84,000 เรื่อง กายอย่างเดียว ใจอย่างเดียว กลุ่มของการทำความดีก็มี กลุ่มของการทำความชั่วก็มี กลุ่มของบาปก็มี กลุ่มของบุญกุศลก็มี มรรคผลนิพพานก็มี สุดยอดที่สุดคือมรรคผลนิพพาน หมดแล้ว จบแล้ว ชีวิตจบทันที เอาละ! อย่างที่พระพุทธเจ้าว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ทำไม่มีอีกแล้ว สนุกทำงานแล้วบัดนี้ สนุกทำงานนะ คนไม่มีอะไรนี้มันสนุกทำงานนะ ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว มันสนุกทำงานทำการ
เหมือนอาจารย์พุทธทาสว่า “ทั้งวันฉันไม่ได้ทำอะไรเลย” ไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะอะไร มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา แต่ไม่ใช่นอนนะ มันนอนไม่เป็นหรอก ถ้านอนก็นอนตามธรรมชาติของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ใช่ขี้เกียจขี้คร้าน เอามาสร้างอันนี้พวกเรา เอามาสร้างสติ โย จะ วัสสะสะตัง ชีเว อะปัสสัง อุทะยัพพะยังเอกาหัง ชีวิตัง เสยโย ปัสสะโต อุทะยัพพะยัง จำไม่ได้ หลวงพ่อเทียนพูดดี๊ดี ผู้มีสติ มีความเพียรมั่นคง มีชีวิตวันเดียวประเสริฐกว่าผู้ไม่มีสติ ผู้ไม่มีความเพียร ร้อยปีไม่ประเสริฐเลย บทพิเศษพระสูตรเมื่อกี้นี้ มีสติเป็น ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ ผู้มีสติดีแม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม แม้เพียงราตรีเดียวก็น่าชม ต้องมีเอาเอง สมัยครั้งพุทธกาลเขามีอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็สอนพระสงฆ์อย่างนี้ พระสงฆ์ก็รู้อย่างนี้ ไปหาเอาเอง ไปตอบเอาเอง เป็นคำตอบออกมาเอง
อย่างคาถาของพระอัสสชิ คาถาของพระองคุลิมาล เขาก็คิดขึ้นมาเอง เขาก็ได้เองได้จากของเขาเองอัสสชิ อุปติสสะไปถามว่า “ท่านรู้อะไร ท่านจึงมีกิริยามารยาทงามขนาดนี้” อัสสชิก็บอกว่า “เราบวชใหม่ ยังพูดอะไรไม่ได้มาก”“พูดแต่น้อยก็ได้ ไม่ต้องมาก” อัสสชิก็บอกว่า “เรารู้สิ่งต่าง ๆ เกิดแต่เหตุ จะดับก็ดับที่เหตุ พระศาสดาสอนอย่างนี้ เป็นครูของเรา” อุปติสสะฟังเท่าเนี้ยคาถาอัสสชิ ทุกสิ่งทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ จะดับก็ที่เหตุ อุปติสสะได้ดวงตาเห็นธรรมทันที คาถาอัสสชิ อุปติสสะคือสารีบุตรเนี่ยได้ดวงตาเห็นธรรม ถืออัสสชินี่ไว้บนศีรษะเสมอ เวลานอนเนี่ยทราบว่าอัสสชิอยู่ทางทิศใดอุปติสสะสารีบุตรนี่หันหัวไปทางนั้นจนตาย เคารพคาถาเท่านี้ทำให้เกิดบรรลุธรรมได้ องคุลีมาลก็หาเอาเองประสบการณ์ก็บอกว่า โย จะ ปุพฺเพ ปะมัชชิตวา ปัจฉา โส นัปปะมัชชะติโสมัง โลกัง ปะภาเสติ อัพภา มุตโตวะ จันทิมา แต่ก่อนนี้เราประมาท ภายหลังไม่ประมาท เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆแล้วฉะนั้น ออกมาจากสมองขององคุลิมาล ก็ใช้ได้สำหรับองคุลิมาล แต่ก่อนองคุลิมาลฆ่าคน ไม่มีใครมาบอกมาสอน เหมือนพระจันทร์ที่เมฆบังบดไม่เห็น บัดนี้พระจันทร์พ้นจากเมฆแล้วละทำบาปทำกรรมแล้ว เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆเป็นขององคุลิมาลที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจขององคุลิมาล
ภิกษุณี พระสงฆ์หลายรูปในอนุพุทธประวัติออกมาแต่ละรูปนี่สวยงามที่สุดเลย เอตทัคคะต่าง ๆ กันไป พวกเราที่เป็นนักปฏิบัติพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างน้อยเราก็ต้อง อืม! เอาละตัวรู้ตัวหลงนี้เห็นหน้ามันแล้ว มันหลงที่ไรยิ้ม มันเห็นงู เหมือนเราเห็นงูนี่ โอ๊ย! ปลอดภัยแล้ว มันโกรธ โอ๊ย! เห็น ปลอดภัยแล้ว มันทุกข์ โอ๊ย! เห็นแล้ว เห็นงู หลวงพ่อเทียนเพิ่นว่า “สติเหมือนแมว ความลักคิดเหมือนหนู” ใช่ได้ไหมเณร แมวมันทำอะไรกับหนู มันจับหนูใช่ไหม มันกลัวหนูหรือแมว อะไรกลัวแมว หนูกลัว สติเหมือนแมว ความลักคิดเหมือนหนู หลวงพ่อเทียนพูด โอ้!เราก็พูดอย่างหลวงพ่อเทียนเหมือนกัน “สติเหมือนช้าง กิเลสเหมือนหมา” มันมีปืนผาหน้าไม้หรือ แต่ว่าเราไม่รู้มันก็ใหญ่นะความหลงเนี่ย พาไปฆ่าไปตีไปดุไปด่า ทำบาปทำกรรมได้ บังคับผลักไสเราไป กิเลสเหมือนหมาตัวหนึ่ง ง่ายไหม เคยเห็นหมาเห่าช้างไหม เวลาช้างเดินผ่านหมู่บ้าน หมาเห่าไหม ช้างมันหวั่นไหวไหม โอ้!อย่างนั้นสิ เรามีสติเหมือนช้างเลย ขี่ไปในหมู่บ้านข้างในต่าง ๆ ผ่านไป
แต่ก่อนที่นี่ก็มีช้างน่ะ 4 ตัว มันมากินข้าวที่นี่ที่ลานหินโค้งเนี่ย เขายิงมัน มันเลยหนีไป ช้างก็ช่วยกันเป็นนะ ตัวใหญ่ออกก่อน ออกจากป่าเนี่ยตรงเขตอุบาสิกานี้ออกมากินข้าวเขา แถวกุฏิอุบาสิกาเนี่ยข้าวเขาปลูกไว้นี่ ตัวใหญ่ออกก่อนหมู่ เล่าสักหน่อยได้ไหม แต่ว่าก็สู้คนไม่ได้น่ะช้างสู้ปืนไม่ได้นะแต่หมามันสู้ได้นะ เราดีขนาดไหนถ้านั่งไปขี่มอเตอร์ไซด์ไปเขาระเบิดมาปาใส่มันก็ตายเหมือนกันนะ มันสู้ระเบิดไม่ได้เรานี่ แต่สู้ความชั่วได้เด็ดขาดเลย เขายิงตัวที่สอง ตัวที่สองออกตามหลังไป มันมีงา เขายิงใส่ตัวที่สอง ตัวที่สองก็ล้มลง ไม่ใช่ล้มแต่นั่งก้นจ้ำเบ้าลง ขาหลังอ่อนลง ขาหน้ายังค้ำดินอยู่ ช้างตัวใหญ่ก็วิ่งใส่คน คนก็มีต้นตะแบกใหญ่อยู่ต้นที่จอมปลวกที่มีถังน้ำนี่ คนก็วิ่งหลบเข้าต้นตะแบก ช้างมันเอาคนไม่ได้กลับมา มาเอางวงเนี่ยยกก้นช้างตัวมันล้มลง เอางวงสอดเข้าหง่ามขามันแล้วก็ยกขึ้นมาพอยืนขึ้น นายพรานเขาเล่าให้ฟังนะ เราไม่เห็น ช้างอีก 2 ตัวที่เป็นตัวเล็กเข้าเทียมข้างเลย เทียมข้างสองข้างแนบตัวนี้ไป ช้างตัวใหญ่นี่ก็ไถก้นตัวที่ถูกยิงไถเข้ามา รอยเลือดเป็นแถวไปเลย ตอนเล่าก็ได้ยินเสียงปืนเหมือนกันนะ พอตอนเช้ามาเขาก็บอก โอ๊ย! หลวงพ่อเขายิงช้างแล้ว ก็ยิงปราบมันเฉย ๆ ดอก แต่มันมีงา ก็เลยยิงใส่มัน มันเข้ามาในนี่อาจจะตายในนี่แหละ ก็พากันตามรอยเลือดไป เข้าไป เข้าไปโอ๊ย! มันขึ้นเขาเข้าดงไป ไหลยาวไป ภูทอก ภูคี ไป 3 วัน ไม่ตาย เห็นแต่เลือด แต่ก่อนเป็นดงก็กลัวเหมือนกัน ก็ไม่กล้าไป ค่อย ๆ ไป ก็เลยหนีไป นี่เป็นช้าง
อันนี้มันก็ตายเพราะปืน ไม่ใช่ตายเพราะกิเลส คนเรามันตายเพราะกิเลส อาจจะตายเพราะปืนก็มี เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นปืนมายิงเราต้องปราบกิเลส การปราบกิเลสไม่ใช่รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ตำรวจทหารอันนั้นเขาปราบได้ แต่ปราบจริง ๆ คือปราบตัวหลงเนี่ย ต้นตอมันอยู่ที่นี้ เราไม่มีอาวุธไม่มีกองทัพ เรามาสอนกันอย่างเนี่ย ถูกหรือผิดเนี้ย มาเป็นคนดีเดี๋ยวนี้ มาละความชั่วเดี๋ยวนี้ มาทำความดีเดี๋ยวนี้ ทำได้ไหม มันหลงเปลี่ยนความหลงได้ไหม มันทุกข์เปลี่ยนความทุกข์ได้ไหม มันโกรธเปลี่ยนความโกรธได้ไหม มาเปลี่ยนตรงนี้กัน มันก็หมดปัญหาไปแล้วคนเราเนี่ย จึงไม่มีวิธีใด พระธรรมนี่แหละเป็นธรรมาวุธปราบคนร้ายเป็นคนดี เหมือนองคุลิมาล พระพุทธเจ้าปราบองคุลิมาลไล่จับดาบไล่ฟันพระพุทธเจ้า องคุลิมาลบอกว่า “หยุด หยุด”องค์พระพุทธเจ้าก็ปรากฏว่าวิ่ง พระพุทธเจ้าก็ ตรัสว่า“เราหยุดแล้ว เราหยุดแล้ว เธอนั่นแหละยังไม่หยุดน่ะ ยังจับดาบไล่ฟันเราอยู่ เราหยุดทำบาปทำกรรมแล้ว” องคุลิมาลได้ยินอย่างเนี้ยน่ะเหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆเลยทีเดียว “โอ๋โถ! เราเนี่ย ป้าดโถ! เราเนี่ย มันชั่วขนาดนี่เหรอ นานเหลือเกิ๊นที่จะได้ยินคำพูดอย่างนี้ อาจจะเป็นศากยวงศ์ สิทธัตถะออกบวช อาจจะเป็นองค์นี้หรือเปล่าน้อ ได้ยินข่าวว่าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คงเป็นองค์นี้ล่ะมั๊ง เกิดมาไม่เคยได้ยินคำพูดอย่างนี้เล๊ย” ทิ้งดาบลงไป ก้มร้องไห้เสียใจ พระจันทร์พ้นจากเมฆเพราะคำพูดอย่างนี้ หมดพิษหมดสงเลยองคุลิมาล
ไม่ใช่เอาปืนมายิงองคุลิมาล แต่ปราบกิเลสในหัวใจขององคุลิมาล กลายเป็นคนดีได้ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะไปปราบองคุลิมาล ก็ไปกราบพระพุทธเจ้า นำทหารไปล้อมฆ่าองคุลิมาล ไปถามพระพุทธเจ้าว่าจะปราบองคุลิมาลจะเป็นยังไง“องคุลิมาลมันเป็นโจรดุร้ายฆ่าคนตาย จึงจะนำทหารไปปราบไปฆ่ามันน่ะจะเป็นยังไง” พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “องคุลิมาลเนี่ยถ้าเขาเป็นคนดีจะว่ายังไง องคุลิมาลถ้าเขาบวชจะว่าไง” พระเจ้าปเสนทิโกศลบอกว่า “ถ้าบวชก็จะเป็นศาสนูปถัมภก อุปถัมภ์เหมือนพระสงฆ์ทั้งปวง” พระพุทธเจ้าก็ชี้ “นี่คือองคุลิมาล นั่งอยู่นี้ เขาบวชเป็นพระแล้ว” พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ก้มกราบ “อัศจรรย์จริง ๆ นึกว่าจะเอาปืนไปยิงองคุลิมาลให้ตายเสีย แต่พระพุทธเจ้าเอาธรรมไปปราบก่อนกลายเป็นหมดพิษหมดสงไปเลย” นี่คือหลักชีวิตของเรา
เดี๋ยวนี้ตำรวจทหารไปตั้งกองทัพอยู่ภาคใต้ เข่นฆ่ากันตายเป็นรายวัน พวกเราจะต้องทำอย่างนั้นหรือมนุษย์เราเนี่ย มาสอนกันอย่างนี้ มาบอกกันอย่างนี้จะไม่ได้หรือ จะต้องเสียเงินงบประมาณซื้อศาสตราวุธตั้งกองทัพขึ้นมา มันไม่ใช่วิสัยของมนุษย์คนเราแล้ว มันร้ายกว่าสัตว์ สัตว์มันไม่ขนาดนั้น ไม่มีระเบิด ไม่มีอาวุธ เขาก็ทำร้ายกันเฉพาะอาวุธของเขาเขา งา ปาก เขี้ยว เท่านั้นเอง นี่คือเราต้องมีธรรมะนี่แหละ มีศาสนา มีคำสอน ให้ไปเอาความดีของเราไปช่วยคนอีก โอ๊ย! เยอะแยะเลยทีเดียว อยากจะตะโกนดัง ๆ นะ เนาะดีใจ๊ดีใจที่มีปัญญาชนมีหมอมีพยาบาลมาเนี่ย มีหวังมีที่พึ่ง มาดูมาเห็นด้วยกันกับหูกับตา อย่าให้ใครหลอกได้ ไม่ใช่มาเชื่อพวกเรา หลวงพ่อหลวงตาไม่ใช่ให้คนมาศรัทธา ไม่มีอะไรที่เนี่ย ไม่มีอะไรเลย จะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่านเอง ท่านชั่วท่านชั่วของท่านเอง ท่านดีท่านก็ดีของท่านเอง หลวงตาพระสงฆ์ที่นี่ไม่ได้ดีอะไรกับท่าน ไม่ได้ชั่วกับท่าน ท่านชั่วเอง ท่านดีเอง จึงเป็นหลักที่แน่นอนที่สุด ไม่ต้องมาศรัทธาเรา มาทำดู ศรัทธาการกระทำโน่น มีความรู้สึกตัวกับความหลงอันไหนมันดีกว่ากัน โอ๊ย! ศรัทธาความรู้ ก็สร้างความรู้ให้มาก นี่คือหลักที่พวกเราฐานที่พวกเรานี่มั่นใจอยู่ จะกี่ภพกี่ชาติ แผ่นดินจะไหว ฟ้าจะถล่ม เราก็อยู่ตรงนี้กัน ไม่ต้องเป็นอะไรเลย