แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
หลวงตาเคยไปอยู่ ลบศูนย์ทุกวัน แต่ก็มีเสื้อกันหนาวใส่ พระสงฆ์ก็ใส่เสื้อกันหนาว อีกสักหน่อยก็โกยหิมะออกจากทางเข้าวัด ใส่ชุดโกยหิมะ ถ้าไม่โกยหิมะออกทางเข้าวัดรถเข้ามาส่งข้าวไม่ได้ เป็นทางรถยนต์เขาก็มีโปรยน้ำเกลือตั้งแต่ตี 1 ตี 2 เสียงหวอดโปรยน้ำเกลือรถทางหลวงหว๊อด ๆ เพื่อให้คนเดินทางไปทำงานได้ แถวยุโรปอเมริกานี่หนาวเปียกเหมือนแข่งฝน เมื่อเราลงออกจากรถก็ต้องผ้าคลุมหัววิ่งเข้าที่ทำงาน เวลาวิ่งออกจากที่ทำงานออกที่ทำงานก็วิ่งขึ้นรถ รถของเขาเป็นแอร์อุ่นไม่แอร์เย็นเหมือนบ้านเรา ลำบากกว่าเราหลายเท่า ร่างกายเราก็ช่วยเราอยู่ ธาตุไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น ธาตุดินก็ตั้งดินให้ดี ธาตุน้ำก็หล่อเลี้ยงไว้ให้เป็นดุ้นเป็นก้อนเหมือนเอาดินมาปั้นเป็นรูปต่าง ๆ ให้จับกันได้ ธาตุลมก็หายใจเข้าออก ลมพัดไปตามตัว ลมในท้อง ลมในไส้ ลมหายใจเข้าออก นี่เราก็ช่วยอยู่ เวลาร้อนมันก็เอาน้ำออกมา เวลาเย็นก็ปิดรูขนไม่เอาน้ำออก แม้แต่ลมหายใจเรานี้อาศัยความอุ่นจากลมหายใจก็ได้ ลองปิดปากไว้จะอุ่นกว่าการปล่อยลมออกไปเปล่า ๆ
เคยตั้งธาตุตายอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ อาศัยธาตุให้ช่วยกัน เราไม่มีอะไรแล้ว ตายไป หมอบอกว่าให้หนักให้เบา ไม่หนักไม่เบามันทรมานตาย เราก็หาตัวเราเองไม่มี โอ! ไม่มีไตหรือ ไตมันเป็นอะไร ไตมันเป็นธาตุดินน่ะ ก็เลยบอกให้ธาตุ 4 นี้ช่วยกัน เราไม่ช่วยได้แล้ว เราวางหมดแล้ว มันก็ช่วยกันได้ เพราะฉะนั้นอย่าจน เคยหนาวอย่างมากที่สุด -4 องศา นั่งรถไปสวดมนต์บ้านให้ให้ธาตุไฟช่วย พอคิดถึงธาตุไฟมองถึงเปลวไฟในธาตุมันก็อุ่นขึ้นมาหน่อย อย่าทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนเพราะความหนาว บางทีความกดดันของความคิดทำให้ธาตุพิกลพิการได้ เราปล่อยให้ธาตุมันช่วยกัน ลองดู มันก็อาศัยได้ อันนี้ร่างกายเรามันคอยช่วยตัวมันอยู่ เวลานอนเนี่ยเอาผ้าคลุมหัวนอนดูซิ บางคนอาจจะไม่ได้ฝึกหัด มันจะอุ่นเวลาจนมา เคยไปนอนจนหนาวอยู่ที่ซับออนซอน แหลออนซอน บ้านแหลออนซอน สมัยก่อนเดินป่ามาอยู่นี่ หนาวมาก เดินไปก็ไปเห็นแหลออนซอนน่าอยู่ก็เลยเพลินอยู่ที่นั่น นอนอยู่ที่นั่น นอนก็นอนหนาว ผ้าห่มก็ไม่มี มีแต่ย่าม จีวร สังฆาฏิ นอนก็หนาวมากก็เลยขุดทรายที่แหลออนซอนนั่นเป็นหลุมฝังตัวเอง เอาผ้าห่มปกแล้วก็เอาย่ามสวมหัวปิดปากนอนมันก็นอนได้
สมัยก่อนหนาวที่นี่ไม่มีผ้าห่มเหมือนทุกวันนี้ เราต้องนอนบนกองใบไม้ ชวนกันลงไปนอนบนกองใบไม้กับหลวงพ่อบุญธรรม กวาดใบไม้มารวมกันเป็นกองแล้วก็ทิ้งตัวลงไป ใบไม้ก็สูงกว่าเราแล้วก็เอาผ้าปกลงไปก็อุ่นดี แต่ทุกวันนี้มีผ้าห่มเยอะแยะเลย ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนต้องผิงไฟกัน นึกถึงความหนาว อย่าถือว่าเป็นอุปสรรคท้อแท้ต่อการทำความดี อาจจะเข้มแข็งก็ได้ ความเดือดร้อนความทุกข์ยากที่มันเกิดขึ้นในภายนอกทำให้จิตใจเราเข้มแข็งได้ แล้วความผิดพลาดความอะไรต่าง ๆ ทางภายนอกทำให้ใจเราอ่อนแอก็ได้ ความเข้มแข็งมีอยู่ในความอ่อนแอได้ในทุกสถานการณ์ชีวิตเรานี้ นอกจากนั้นพวกเราก็อยู่ช่วยกัน ช่วยกันทำความดีเพื่อเป็นพลังความดีให้เกิดขึ้น พวกเราก็เป็นบริษัทบริษัทหุ้นส่วนรวมกันหุ้นส่วนรวมกัน มีพระภิกษุสงฆ์ มีอุบาสก มีอุบาสิกา มีภิกษุสงฆ์ มีแม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ก็จะเจริญจะเสื่อมก็อยู่ที่พวกเรา ไม่ใช่ใครที่ไหนมาทำลายเรา พวกเราทำลายกันเอง ถ้าบริษัทเราไม่สมานสามัคคีกันไม่ร่วมมือกันทำความดีละความชั่วมันก็เสื่อมได้ เรามีอันเดียวกันคือ ความชั่วความดี ความสุขความทุกข์ เราจึงมีชีวิตที่มีกายมีใจเพื่อทำความดีเพื่อละความชั่ว อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฝึกหัดตนเอง ถ้าไม่ฝึกหัดมันก็เป็นพิษเป็นภัยแก่เราและคนอื่น ถ้าฝึกหัดมันก็เป็นคุณเป็นประโยชน์ต่อกันและกัน ต่อตัวเราด้วย เช่น กายกับใจ ถ้าเราฝึกหัดมันก็เป็นประโยชน์ต่อกันและกัน มันหมดพยศได้ เรื่องกายก็หมดพยศ เรื่องใจก็หมดพยศได้
เหมือนเมื่อวานนี้หลวงตาไปชัยภูมิ เขาพาช้างเดินขอขนมกิน เขาไม่ได้ขี่คอมัน ช้างอยู่ในป่าเอามาฝึกหัด น่าอัศจรรย์ เราให้ช้างไปขอขนมตามร้านขายของ ขอผลไม้ ช้างก็ยกมือไหว้คุกเข่าลงร้องโอก! ยืนขึ้น คุกเข่าลงโอก! เจ้าของบอกว่ามันขอกิน บางทีก็ขายกล้วย ขายผลไม้ ขายส้ม ขายขนม เขาก็เอายื่นให้ก็ก้มลงกราบ โอก! เอามือรับอย่างอ่อนน้อม ยิ้ม เวลาได้กินแล้วยิ้มหัวปากเบี้ยวปากบิด นี่มันหมดพยศได้ช้างอยู่ในป่า นี่เราแท้ ๆ ทำไมจึงทำให้เราเป็นทุกข์ทำให้เราเดือดร้อน ประสาความคิดเฉย ๆ ก็เป็นทุกข์เป็นสุข ถ้าฝึกหัดดีแล้วนำความสุขมาให้ อย่างผู้นำพาเราสวด จิตที่ฝึกดีแล้วนำความสุขมาให้ตน เอสานิสังโส ธัมเม สุจิณเณ นี่เป็นอานิสงค์ในการฝึกตนมาดีแล้ว ไม่มีพิษมีภัย ทำไมจึงเป็นทุกข์เพราะความคิด ทำไมจึงเป็นทุกข์เพราะกาย น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเราและคนอื่นสิ่งอื่น นี่ต่างคนต่างทำตรงนี้บริษัทเราก็เจริญ อุบาสกก็มีศีล อุบาสิกาก็มีศีล พระภิกษุก็มีศีล มีวินัย มันก็มีระเบียบของใครของเราอยู่
พระพุทธเจ้าของเราเนี่ย จงมาเถิด บางทีเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทาเวลาบวชให้กุลบุตรกุลธิดา เพียงแต่พูดว่าท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมวินัยตรัสไว้ดีแล้ว จงมาสู่ธรรมวินัยนั้นเถิด จงประพฤติตามธรรมวินัยนั้นเถิด ถ้าพระปัญจวัคคีย์นี่ไม่ได้บอกว่าจงประพฤติวินัยนั้นเถิด จงประพฤติธรรมนั้นเถิด เพียงแต่บอกว่าวินัยตรัสไว้ดีแล้ว ท่านจงเป็นผู้ประพฤติธรรมนั้นเถิด ถ้าผู้ยังไม่บรรลุธรรมก็ ท่านจงเป็นผู้ประพฤติธรรมให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด บัดนี้ท่านเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ยังไม่มีวินัยอะไรมากมาย วินัยที่เป็นบัญญัติ ภิกษุเก้อยากยังไม่มี ต่อมามีภิกษุเก้อยากหัวดื้อก็เลยตรัสวินัยอะไรขึ้นมาเรื่อย ๆๆๆ แต่วินัยหัวใจจริง ๆ คือปฏิบัติธรรม วินัยของสงฆ์ก็ตามแบบของสงฆ์ วินัยของญาติโยมก็ตามแบบของญาติของโยม มีศีล เป็นสังคมที่อยู่ด้วยศีล ถ้าไม่มีศีลก็เดือดร้อนเพราะญาติโยมมีลูกมีหลานทำมาหากิน แต่พระสงฆ์ไปทำมาหากินก็ไม่ได้ ต้องอาศัยโยมเพื่อให้ได้พบกัน ได้คุยกัน ได้บอกได้เห็น ได้สอนกัน พระสงฆ์ก็เป็นแบบอย่างที่ดีของญาติโยม ญาติโยมก็สนับสนุนให้ทำความดีเพื่อเอาความดีมาสอน สอนลูกสอนหลาน
เหมือนโบราณสมัยก่อนนี้เด็ก ๆ จะไปเล่นวัดกันเป็นส่วนใหญ่ ไปเล่นวัดก็หลวงปู่หลวงตากวาดตาด (กวาดลานวัด) บางทีก็มาพูดกับเด็กเล่นอยู่ทรายลานวัด เด็กน้อยเห็นพระเห็นเจ้า เลิกโรงเรียนมาแม่ก็บอกอุ้มน้องไปเล่นวัด ไม่ใช่ไปเล่นที่ใด ให้เห็นกันทุกวัน ตื่นเช้ามาก็พระบิณฑบาตเดินผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ บางทีก็ญาติโยมก็ส่งข้าวส่งจังหัน ให้อยู่ใกล้ชิดกันอย่าให้วัดไกลบ้านเกินไป ประมาณชั่ว 2 ธนูอย่างมาก 2 ลูกธนูหมายถึง 2 กม. ยิงลูกธนูตกแล้วก็ยิงอีกครั้งที่ 2 ประมาณ 2 กม. ไม่เกินนั้น ให้โยมเดินไปวัดได้ ให้พระเดินไปบ้านได้ อย่างนี้ ช่วยกันอย่างนี้ ต้องบอกกัน รู้ธรรมวินัยญาติโยมก็รู้ธรรมวินัยของพระ พระก็รู้ระเบียบของการปฏิบัติต่อของญาติของโยม ต้องไปบอกไปสอนกันดูแลกัน ดูแลกัน อะไรเป็นแบบอย่างของพระญาติโยมก็รู้ อะไรที่มันผิดญาติโยมก็บอก น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า เราจึงจะอยู่ได้ ถ้าพระสงฆ์เก่งเกินไปญาติโยมก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ก็ไกลกันไป ไกลกันไป เหมือนเวลานี้บ้านเรามันไกลกันออกไป การศึกษาสิ่งแวดล้อมไกลกันออกไป ลูกหลานของเราตั้งแต่ประถมอยู่กับพ่อกับแม่ พอมัธยมออกจากบ้านไปแล้ว ไปเรียนไกลบ้านอำเภอจังหวัด พอชั้นบนก็ไปไกลเข้าไปอีก สมัยก่อนไม่มีมัธยมอะไรมากมาย เรียนเราก็อยู่ด้วยกันเห็นหน้ากันทุกวัน เลิกจากโรงเรียนมาถึงบ้านก็วิ่งลงทุ่งนา ทุกวันนี้ก็ไม่วิ่งลงทุ่งนา
เมื่อวานนี้เป็นวันเสาร์ นั่งรถผ่านถนนหนทางตามสี่แยกต่าง ๆ มีนักเรียนขี่มอเตอร์ไซด์ไปซูม (สุม) กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนตามถนนหนทาง ถ้าอย่างนี้ประเทศชาติจะเจริญได้ยังไง ไม่ทำมาหากิน เวลานี้ก็ขุดมันตัดอ้อยน่าจะไปช่วยพ่อช่วยแม่ ก็ไม่ ไปเล่นซะ เอาความหนุ่มความสาวไปเที่ยวเตร่เร่ร่อน มันก็ลำบากแล้วลูกหลานทำงานไม่เป็น ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนขี่หลังวัวหลังควายขี่ล้อขี่เกวียน อุ้มน้องไปเที่ยวไปเล่น ไม่มีมอเตอร์ไซด์ ต่างจากต่างประเทศเขาหลวงตาเคยไปอยู่สิงคโปร์ วันเสาร์วันอาทิตย์นี่เขาจะไปเที่ยวศูนย์วิทยาศาสตร์ พ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูพาลูกศิษย์ไปเที่ยวศูนย์วิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ของเขาเนี่ยกว้างใหญ่ไพศาลมีที่เล่น มีที่ศึกษา เด็ก ๆ ขับเครื่องบินใบหมุน ขับแมคโคร เล่นดนตรี เล่นคอมพิวเตอร์สนุกสนานไปเลย พ่อแม่ต้องชวนกลับบ้าน เด็กอยู่ที่ไหนผู้ปกครองอยู่ที่นั่น
ทุกวันนี้มันไม่มีแล้ว พ่อแม่ก็ไกลลูกไป ทำมาหากิน ลูกก็ไกลพ่อไกลแม่ แม้แต่ผัวเมียก็ไกลกันออกไป ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็น่ากลัวเหมือนกัน สถิติของการศึกษาเด็กทุกวันนี้ อ่านหนังสือสมัยปี 2550 เด็กอ่านหนังสือลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ ปี 2551 เด็กอ่านหนังสือลดลงอีก 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ มีคดีเด็กเพิ่มขึ้น การขี้เกียจอ่านหนังสือก็เพิ่มขึ้น คดีของเด็กเพิ่มขึ้นเป็นหมื่น ๆ แต่ละปี จะยังไงกันดี เวลานี้ก็คิดแบบหลวงตาว่าจะให้บัวลอยมาอยู่ จะให้ค่าจ้างเขานิดหน่อยให้เขามาสอนดนตรีให้เด็ก ที่วัดก็มีเครื่องดนตรีเยอะแยะ ซื้อมาเป็นหอวัฒนธรรมมีขิม มีระนาด มีแคน มีโปงลาง มีขลุ่ย มีซอ มีกีตาร์ ให้บัวลอยมาสอนเด็กวันเสาร์วันอาทิตย์ จะชวนได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ อันนี้เป็นความคิดนะ
บางทีก็ให้เขาขับรถให้ ถ้าเดี๋ยวนี้ก็ให้คุณหมูขับรถ บางทีก็มีการติฉินนินทา ก็จนนะ คุณหมูก็ช่วยเราเต็มที่ อาศัยเขา เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเนี่ยถ้าคุณหมูไม่คิดที่จะไปหาหมอที่จุฬาฯคงไม่รอด หลวงตาก็ไม่ได้คิดแบบนั่น ไปโรงพยาบาลขอนแก่นเขาก็ดึงไปทางหมอทางเลือก ไปตรวจ ยาสมุนไพรอะไรต่าง ๆ เมื่อไม่รอดหายใจไม่ได้ปวดท้อง คุณหมูก็ชวนไปจุฬาฯ ทำงานที่นั่นรู้จัก ขึ้นเครื่องบินไป ก็คิดก็ดูตัวเองว่าโอ..ถ้าลงเครื่องบินไปนั่งเข้าคิวขอบัตรเนี่ยคงไม่รอดแน่ ปวดท้องอย่างหนัก ในเครื่องบินก็หายใจไม่ได้แล้ว แล้วเป็นไปได้ยังไงพอไปถึงโรงพยาบาลไม่ต้องเข้าคิวเลย เขาให้ขึ้นพักห้องพิเศษเลย หมอเข้าไปตรวจอยู่ที่ห้องเลย ยืนเป็นทีม ก็หมายถึงว่ามันเป็นไปได้ยังไง มันก็คือคุณหมูเนี่ยติดต่อไปล่วงหน้าจองห้อง มันก็เลยทำได้ เวลานั้นตัวเองก็นอนถนอมลมหายใจอย่างเดียว ปวดท้องจนกระดุกกระดิกไม่ได้ นี่เขาก็ช่วยเรา ต่อมาอาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ส สามชีวิตนี่ช่วยเราอย่างเต็มที่ บัดนี้ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณยังไง ก็มีตั้งอยู่ในใจเสมอ ถ้าบัวลอยมาอยู่ก็ให้ขับรถไปโน่นไปนี่ บางทีถ้าให้คุณหมูขับรถก็มันจน เวลาไปโรงพยาบาลนี้เราไม่ได้พูดสักคำ ยาแต่ละเม็ดเราก็ไม่รู้ คุณหมู อาจารย์โน้ส อาจารย์ตุ้ม จัดให้ หูก็หนวก พูดกับหมอไม่ได้ พวกอาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ส คุณหมูก็พูดเป็นคนพูดเวลาไปหา เอ๊อ...เราไม่ได้พูดเลย เขารู้ดีกว่าเรา ยาอะไร อาจารย์ตุ้มก็รู้ดีชี้แจงจวดจัดๆเวลาหมอถาม เขาไม่ถามเราเลยเราเป็นผู้ป่วย เขาถามอาจารย์ตุ้มคุณหมูโน่น ขั้นตอนเนี่ย โอ๊ย! เรามาดูดี ๆ ติดต่อหมอน่ะ คนที่พาไปติดต่อหมอ ถ้าไปธรรมดานี่รอดยาก เป็นอะไรชี้แจงต่ออยู่เรื่อย หมอนั่นมาหมอนี่มา คนดูแลคนป่วยเนี่ยสำคัญมาก
เวลานั้นหลวงตาไปเยี่ยมโรงพยาบาล เห็นญาติผู้ป่วยนั่งเศร้าสร้อยหงอยเหงาอยู่ห้องไอซียู “ไม่ได้ ลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมา ใครเป็นอะไร” นี่เป็นลูกสาว นี่เป็นลูกชาย “มามานวด มาจับเท้าของพ่อ มาจับมือของพ่อ” จับมือแล้วถามผู้ป่วย “นี่เป็นใคร” “นี่เป็นลูกสาว นั่นเป็นลูกชาย” “โอ้! ลูกสาวลูกชายปานนี้หนอ สำเร็จแล้วน้อแม่น้อ” เลี้ยงลูกจนเป็นป่านนี้แล้ว ก็แนะนำลูกให้พูดอะไรสักคำสองคำให้แม่ได้ชื่นใจ “ลูกสาวของแม่คนนี้แหละจะเป็นผู้สืบสกุล เป็นคนดี แม่ไม่ต้องห่วง” “ลูกชายของแม่ของพ่อคนนี้จะเป็นคนดีของแม่ จะดูแลพี่น้อง ไม่แตกร้าวสามัคคี แม่ไม่ต้องห่วงวางใจได้แม่นะ” พูดอะไรสักคำมันก็ดีนะ หลวงตาไปตายอยู่โรงพยาบาล อาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ส จับมือไม่วางเลย เห็นอานิสงค์ตอนนี้ โอ้ย! มันดีจริง ๆ บางทีคนดีไปดูแลคนป่วยเนี่ยไม่รู้เรื่องรู้ราวมันแต่นั่งเศร้าเศร้า เวลามาก็น้ำตาร่วงไหลให้คนป่วยดู ไม่ใช่เลย ตอนที่หลวงตาอยู่ในห้องไอซียูน่ะ เห็นใครต่อใครยืนเกาะกระจกน้ำตาร่วงกันอยู่ โอ้ย! ไม่อยากเห็น พูดไม่ได้ แม่ชีน้อยไปเอาหนังสือมาเขียนปากกามาเขียน เขาเอามาพิมพ์ใส่หนังสือสนุกป่วย เป็นเขียนในขณะนอนหายใจไม่ได้ บอกว่าไม่ต้องห่วง..โยมเอ้ย พากันกลับบ้าน ทำไมมาร้องไห้ให้คนไม่มีทุกข์ล่ะ มันไม่เป็นภาพที่ดีเลย อันไปดูคนป่วยไปร้องห่มร้องไห้ อย่าทำ
หลวงพ่อเคยไปสอนพระกับหลวงพ่อจรัญ เวลาหลวงพ่อจรัญป่วยพระมักนั่งเศร้า ๆ ไม่ใช่ หลวงพ่อจรัญสอนเราไม่ให้ทุกข์เดือดร้อนไม่ให้เศร้าหมอง มาช่วยกันนี่แหละเรานี่แหละจะแทนหลวงพ่อจรัญ ลุกขึ้นมาทำความดี เวลาหลวงพ่อจรัญใจขาดลง พระจะร้องไห้ หยุด ไม่ต้องร้องไห้ หลวงพ่อจรัญสอนเราไม่ให้เราร้องไห้เสียใจ ให้เห็นของจริง ไม่ต้องร้องไห้ ลุก อ้าวไปหาอันโน้นมาอันนี้มาต้มน้ำมาเช็ดตัวให้หลวงพ่อจรัญ ดูตรงไหนดูก้นดูสิมีอะไรน่าสกปรกไหมเปิดกันดู ดูทุกทิศทุกทาง ไม่ให้ร้องไห้ ญาติโยมก็มาจะร้องไห้อีกแหละ ไม่ต้อง เวลานี้มันก็ดีนะช่วยกันอย่างนี้ วินัยของพระญาติโยมก็ให้รู้ วินัยของญาติโยมพระก็ต้องรู้ ให้สอนกัน เห็นโยมขี้เหล้าเมายาทะเลาะวิวาทกันชวน เห็นคนเจ็บคนป่วยก็ช่วยเขา เห็นคนเกิดก็ช่วยเขา เวลานี้กำลังมีโครงการฝากครรภ์ฝากธรรมใช่ไหมคุณหมอสุนทรี ฝากครรภ์ฝากธรรม โครงการช่วยเหลือคนวาระสุดท้ายแล้วก็โครงการฝากธรรมฝากครรภ์ เวลาผู้หญิงตั้งครรภ์ไปฝากครรภ์ก็ฝากธรรมด้วย ปฏิบัติยังไงเวลาตั้งครรภ์ ถ้าคนโบร่ำโบราณเราเนี่ยเขาจะให้ลูกสาวที่ตั้งท้องอ่ะไปวัด ไม่ให้เข้าครัว ให้ไปทำบุญตักบาตร ให้ไปล้างถ้วยล้างชามในวัด ถ้าใครไม่ล้างถ้วยเวลาตั้งครรภ์ในวัดเนี่ยลูกจะไม่เป็นคนสวยคนงาม ผู้หญิงตั้งครรภ์มีท้องไปนั่งล้างถ้วยอยู่วัดเนี่ย โอ้ย! เป็นแถวเลย เพื่ออยากได้ลูกเป็นคนดีคนงาม เวลาดาวหยาด(ดาวตก)นี่ หญิงมีครรภ์จะต้องกลืนน้ำลายให้ได้สองสามครั้งให้ลูกสวยเหมือนดาวหยาดเป็นอย่างนั้นนะ แมนบ่แม่เพียร อันนี่แต่เป็นบ่าวพุ้นเด้นี่ไปเล่นสาวนี่ดาวหยาดคืนนี่ เอ้า..กลั้นใจให้ได้ลูกคนงามซั่น เหมือนดาวหยาดน่ะ เอ้อ...เป็นอย่างนั่น เวลาสอนให้ลูกเข้าครัว ไม่พาไปเที่ยวดูหนังฟังเพลง ดูการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดูการพนัน ห้ามเด็ดขาด ผู้หญิงตั้งท้องให้ไปวัดไปวา แล้วเวลาลูกออกต้องให้คนที่มีศีลมีธรรมตัดรกให้เด็ก ไม่ใช่คนที่ไหน แมนบ่ เอาคนเฒ่าคนแก่คนมีอายุ ตัดรกให้เด็กน้อย หลวงตาเป็นหมอทำคลอดเนี่ยเคยตัดรกให้เด็กหลายคนนะ เขาอยากได้ “เอ้า!! ให้เจ้านี่แหละตัดให้ ข่อยอยากได้คือเจ้านี่” มันก็มีเหมือนกัน อันนี้ฝากครรภ์ฝากธรรมสร้างสรรค์กัน
พระสงฆ์ก็มีธรรมมีวินัย ศึกษาให้รู้ดีรู้ชอบ สอนคนอื่นให้รู้ตามด้วยนี่คือพระสงฆ์ เป็นหน้าที่ของเรา เวลานี้ก็พระสงฆ์ผิดวินัยกันเยอะ เดี๋ยวนี้มีคนติเตียนกันเยอะเรื่องพระขับรถขับรา อันนี่คนไทยเรายอมรับไม่ได้แต่ต่างประเทศได้ ไม่เป็นไร ขอให้มีใบขับขี่ เคยไปประชุมเรื่องนี้กับญาติโยมกับพระที่วัด ไปอยู่ที่วัดชิคาโก พระดอกเตอร์รูปหนึ่งขับรถไปที่ไหนที่ไหนคนเดียว มีรถโยมถวายรถเบนซ์ให้อย่างดี ญาติโยมก็ไม่ชอบมาประชุมกัน พระท่านก็บอกว่าท่านช่วยตัวเอง ไม่อยากรบกวนญาติโยม โยมก็มีงานมีการถือว่าดีแล้ว ญาติโยมก็เลยไม่รู้จะพูดยังไง โยมก็ไม่ชอบไม่อยากให้ขับรถ โยมเขาพูดคำหนึ่งว่าน่าประทับใจมากพูดว่า“ถ้าท่านช่วยตัวเองได้ พวกเราก็ไม่ต้องช่วยท่านอีกแล้ว” พระก็ปิดปากเลย โยมมาช่วยพระเนี่ยก็เพราะว่าพระช่วยตัวเองไม่ได้บางกรณีให้เป็นงานของโยมซะ พระดอกเตอร์คนนั้นก็เลยไม่อยู่วัด ไปตั้งอยู่วัดหนึ่งอีกอยู่โน้น แถวแคนาดา เคยไปเยี่ยมท่านเหมือนกัน ไปอยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกันนะขับรถไปไหนมาไหน
ยิ่งพวกเราเนี่ยบางทีขับรถไปบ้านงาน เขานิมนต์ไปบ้านงานก็ไปจอดรถกึ๊ก! ก็ลงรถให้ญาติให้โยมเห็นขับเองลงรถกันเป็นแถว หรือไปบิณฑบาตอย่างเนี่ย ก็ไม่น่าดูเท่าไหร่ ถ้าจะไปจริงๆถ้างานไกลขับรถไปหาจอดหรือให้หาจอดที่เหมาะสมดีๆ อย่าให้โยมเห็นจนเกินไป แม้แต่วัดเรานี่ก็มี บางทีโยมเต็มวัดเต็มวา ขับรถไปจอดหน้าศาลาต่อหน้าต่อตาญาติโยมก็ไม่เหมาะ ญาติโยมเขาก็ตำหนิมาหลายครั้งหลายคราว ขับรถไปซื้อข้าวซื้อของอย่างเนี่ยโยมเขาไม่ชอบ หลวงตาก็ถูกติเตียนมานั่งรถ ปีสองปีสามปีที่ผ่านมาเนี่ยไปซื้อของร้านนะไทวัสดุ ซื้อสีมาทากุฏิ ก็ไมให้พระขับโยมน่ะขับก็ไปลงรถหน้าบ้านเขา ขับรถอาจารย์ตุ้มไปสปอร์ตไรเดอร์ญาติโยมก็ตำหนิว่า“โอ้! หลวงพ่อวัดป่าสุคะโตรับกฐินใหม่ออกรถอย่างดีเลยราคาเป็นล้าน”เราก็ต้องไปแก้ไข“ไม่ใช่ รถคนอื่น”ก็เลยไม่ไปแก้งคร้อทุกวันนี้ รถที่คุณพรซื้อให้นี่ไม่กล้าไม่กล้านั่งรถลงรถให้คนเห็น ไปซื้อของก็มีเหมือนกันแต่ว่าให้คนขับรถลงไปซื้อให้ ไม่อยากลงให้คนเห็น มันรถราคาแพงเกินไปเป็นล้าน ล้านสองแสน โอ้ยไม่ไม่ใช่ว่าหลงใหลเด้อโยมเด้อ หลวงตาได้รถมิวเซเว่น โฟวิลอย่างดีราคาล้านสองแสนบาท อันนี้ก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ บางทีจอดหน้าวัดหน้าศาลาก็ไม่ค่อยชอบเท่าไร อันนี้ก็พยายามที่จะแก้ไข อยากให้มีอู่จอดรถ วัดเรานี้มีอู่ไม่ใช่จอดหน้ากุฏิของตัวเอง ว่าจะทำศาลาไก่ เห็นอาจารย์ตุ้มทำศาลาไก่ต่อเสาขึ้นไปอีก เอารถจอดที่นั่นทำเข้าไปดีๆ ไม่ให้คนเห็นอันนี้ก็คนตำหนิมาเหมือนกัน พวกเราก็รู้ พวกเราก็พยายามเต็มที่ จะมาช่วยตัวเองบ้าง