แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้พวกเรามาร่วมกันเพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม มาฉลองการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วในโลก ไม่อยากจะพูดว่าประสูติ การประสูติเนี่ยเป็นมานานแล้ว อยากจะพูดว่าอุบัติขึ้น เรียกว่าโอปปาติกะเกิดอุบัติขึ้น เรียกว่าอุบัติเทพเป็นเทพที่สูงสุด สมมติเทพก็เป็นเทพที่สมมติบัญญัติ บริสุทธิเทพเป็นความบริสุทธิ์ เช่น การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระธรรมคำสอนเป็นไปเพื่ออนุสาสนี พหุลา ทรงสั่งสอนเรื่องกายเรื่องจิตของคน ไม่ใช่เรื่องพิธีรีตองออกไปจากกายจากใจเลย เราจึงมารวมกันมาดูพหุลานุสาสนีคือมาเห็นกายเห็นรูป มันเป็นยังไงพิสูจน์ดู เรียกว่าศาสตร์ เหมือนเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์อะไรต่าง ๆ ในพยาบาลศาสตร์ แพทยศาสตร์ อะไรต่าง ๆ ที่เป็นการจบมา พระสงฆ์องค์เจ้าญาติโยมที่จบมาจากศาสตร์ต่าง ๆ]แล้วก็ใช้ได้จริง ๆ เป็นศาสตร์ที่ใช้ได้
แล้วก็อาศัยศาสตร์เหล่านี้พวกเราก็อยู่ร่วมกันพัฒนาประเทศชาติ สังคม สุขภาพร่างกายมาได้ดี หลวงตาเคยเจ็บไข้ได้ป่วยอย่างหนักแสนสาหัส ก็อาศัยศาสตร์การแพทย์มาช่วยรักษาก็หายมาได้ ยังไม่ตาย ผู้ที่มีวิชาความรู้อย่างศาสตร์ที่เล่าเรียนมาก็ใช้ได้เพื่อความผาสุกของพวกเรา อยู่ร่วมกันที่จะแสดงออกในวิชาการที่เรียนมา หลวงตาเคยไปนอนอยู่เตียงนอนโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่หายใจไม่ได้ หมอกำพลซึ่งเป็นแพทย์ผู้ดูแลใกล้ชิด เป็นนักปฏิบัติธรรมเหมือนกันมายืนเข้าแถวข้างเตียงบอกว่าผมจบแพทยศาสตร์ที่นี่ เป็นแพทย์ที่ชำนาญในการผ่าตัด ผมรุ่นเดียวกันกับเพื่อนที่ยืนอยู่นี้ 4 – 5 คน จบรุ่นเดียวกัน พวกผมเตรียมพร้อมที่จะช่วยหลวงพ่ออย่างเต็มที่ ถ้าหายใจไม่ได้ก็จะผ่าตัดเจาะให้หายใจออกทางที่ไหนก็ไม่รู้นะ อันนี้ศาสตร์ของเขา ใช้ได้ แต่พอหายใจไม่ได้จริง ๆ ก็มีหลายแพทย์ที่มีศาสตร์จบมาบอกว่าถ้าหายใจไม่ออกผมจะเอา(...)นี้ไปคลุมใบหน้าให้หลวงพ่อหายใจ ถ้าหายใจไม่ได้ผมก็จะเอาท่อนี้สอดเข้าไปในปาก พอเขาพูดอย่างนั้นก็หายใจไม่ได้ก็เงียบไปเลย ศาสตร์ที่มันสำเร็จมาช่วยเราที่ไม่มีทางรอดได้หายใจไม่ได้แล้วก็คืนมาได้
ศาสตร์แห่งอุบัติเทพหรือบริสุทธิเทพเกิดจากการศึกษาธรรมะจากสิทธัตถะได้เกิดขึ้นแล้วในวันที่ 19 ที่ผ่านมา ยังมีไออุ่นอยู่ พวกเราก็มาฉลองกัน ให้มาพิสูจน์มาศึกษาศาสตร์นี้ อย่าได้ปล่อยละเลยเลย ขอให้เป็นวันที่เราฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่แสดงออกโดยเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์ที่ได้รวมกันมาทุกปีนานมาแล้ว แล้วก็เรียกพวกเราว่าสาขา ลูกศิษย์หลวงพ่อเทียนอยู่ทั่วประเทศมารวมกันหลังวันตรัสรู้ มารวมพลังกัน 40 วัน หลังจากที่พวกเราได้ออกเผยแพร่ธรรมทั่ว ๆ ไปตามถิ่นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาฯ - ธันวาฯมาก็มาจบลงวันสองวันนี้ เราทำวิสาขะที่วัดของตนของตนก็มารวมกันที่นี่เพื่อฉลองให้กิจการอันนี้ ประกาศออกไปพลังแห่งธรรมแล้วเราก็รับผิดชอบรู้พร้อมที่จะใช้ศาสตร์นี้ไปช่วยมนุษย์ทั้งหลาย จึงมารวมกัน ปีนี้มาใช้ที่นี่วัดป่าสุคะโต แต่ว่าไม่ค่อยสะดวกเท่าไร ก็อยู่กันไป อย่างที่เราสวดเมื่อกี้นี่ ภิกษุทั้งหลายโน่นโคนไม้ พระพุทธเจ้าชี้มือไป โน่นเรือนว่าง โน่นลอมฟาง พวกเธอทั้งหลายจงทำความเพียรเพื่อเผากิเลส ไม่มีนั่นกุฏิ มีน้ำมีไฟไหม นั่นวิหาร นั่นไม่มีเลย ชี้ไปตรงที่รุขมูลเพื่อศึกษาเพื่อปฏิบัติ ความยากความลำบากฝึกหัดให้เราเข้มแข็งได้ อย่าท้อถอย ฝึกฝนตนเอง
การปฏิบัติธรรมเนี่ยพวกเราก็มีพระสูตรอย่างท้าทายต่อพวกเราอยู่แล้ว ไม่ใช่เราดั้นด้นไป ไม่รู้อะไร ไม่ใช่ ชัดเจนเหลือเกิน พหุลานุสาสนีชี้ไปที่กายที่ใจเรานี้ มาดูสิ มามีสติมาดู ไม่ใช่มาสร้างนะถ้าพูดภาษาปรมัตถ์แล้ว สติไม่ใช่มาสร้าง มาใช้เลย มันมีอยู่แล้วความรู้เราไม่ใช้สักที มันก็ไม่ค่อยมาก ไม่ค่อยงอกงาม มันก็เข้าสนิมหรือมืดบอด เหมือนกับเราใช้อะไรต่าง ๆ สิ่งของที่ใช้ได้เราไม่ใช้ เก็บไว้ มันก็ใช้ไม่ได้สำหรับเราเพราะไม่เคยใช้ เหมือนเราใช้อะไรที่เป็นศิลปะวิชาชีพของเรา เราใช้มัน มันก็ชำนาญขึ้นมา คล่องแคล่ว ไม่ว่าอะไร ช่างที่ก่อร่างสร้างบ้านถ้าเราใช้เลื่อยใช้มีดใช้สิ่วใช้กบมันก็ชำนาญเป็นฝีมือประณีตได้ ถ้าใช้ใหม่ ๆ ก็ทำไม่เป็น การมีสติการใช้สติเนี่ยมันชำนิชำนาญจนเกิดศิลปะ เรียกว่าศิลปะของชีวิตที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องงดงามที่สุดจนเห็นแจ้ง ข้ามล่วงจากความมืดบอดของชีวิตเรา
ทำไมจึง ไปหลง ไปทุกข์ ไปโกรธ ไปโลภ ไปวิตกกังวลเศร้าหมอง เพราะเราไม่มีเราไม่ใช้สติก็เลยอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่ความถูกต้อง เราจึงมาใช้มัน เราก็ใช้ไปเลย มันรู้ใช้ตัวรู้เข้าไป วิธีใดที่จะเกิดความรู้ขึ้นมาเราก็ใช้มันเรียกว่ากรรมฐานคือการกระทำคือที่ตั้ง มันก็มีแบบ ตั้งแต่วันตรัสรู้วันอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ เราอยากรู้ชีวิตจิตใจของท่านผู้ใดเราก็ทำเหมือนท่านผู้นั้น เราอยากเป็นหมอก็ต้องเรียนเหมือนหมอเหมือนครูบาอาจารย์มาบอกมาสอนเรา เราอยากเป็นอะไรก็เรียนตามผู้ที่บอกที่สอน
พระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นศาสดาเป็นบรมครูเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สามารถสอนคนทั้งเทวดา มาร พรหม มีผู้รู้ตามได้ ไม่ใช่ว่าน้อยมากมายเหลือเกินจนมาถึงพวกเรา มาพิสูจน์กันดู วิธีพิสูจน์เรื่องนี้คือกรรมฐาน ที่ตั้งของการกระทำ ที่ตั้งแห่งการกระทำตั้งไว้ที่ไหน เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา มีสติตั้งไว้ที่กาย วิธีตั้งไว้ทำไง กายานุปัสสนาสติมีสติเห็นกายอยู่เนือง ๆ มันก็มีอยู่กายเนี่ยไม่ได้มโนภาพอะไร กายเราก็มี อะไรที่มันจะรู้อะไรที่มันจะใช้ให้เกิดตัวรู้ได้ใช้มัน เราจึงมีรูปแบบการสร้างจังหวะปลุกเขย่าทันเวลา วินาทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง จังหวะที่เราสร้าง 14 – 15 จังหวะ รู้วินาทีและทุกวินาทีเรารู้ เรารู้เนี่ย มันจะเกิดอะไรขึ้น ลองดู พิสูจน์ดู วิทยาศาสตร์มันจะรู้จริงไหม มันเห็นอะไรตัวรู้นี้ ประสบกับอะไร ประสบกับอะไรที่มันเกิดตัวรู้ขึ้นมา ประสบกับการประกอบการทำให้มี
ไม่ใช่ว่าสร้างทำให้มีขึ้นมา แล้วสิ่งไหนที่มันไม่มีตัวรู้มันก็มีตัวรู้ได้ในสิ่งที่มันไม่มีตัวรู้ เช่น ความหลง ความหลงเพราะไม่มีสติ มีสติก็ไม่มีความหลง สัมผัสดู พิสูจน์ดู ความหลงมันใช้ได้ไหม ความรู้มันใช้ได้ไหม มีคำถามใคร เป็นวิทยาศาสตร์ไหม พิสูจน์มาด้วยตนเองไหม มันคือของจริง เรียกว่าพิสูจน์แล้ว เออ! ตัวหลงมันใช้ไม่ได้ ไม่มีคำถาม ตัวรู้มันใช้ได้ ไม่มีคำถาม ใครเป็นคนตอบ เราเป็นคนตอบ เพราะอะไรจึงตอบ เพราะตอบจากการสัมผัส มันจึงเป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์คือความจริงที่พิสูจน์อย่างนี้ แล้วมันอะไรที่มันเป็นความหลง หลายอย่าง ผ่านป่าดงความหลงมันจึงเป็นความรู้ได้ ไม่ใช่อยู่ ๆ จะมารู้เลย เหมือนเวลานี้พระอาทิตย์มีอยู่แต่ว่ามีที่บังไม่เห็นดวงอาทิตย์ มันยังไม่ผ่านโลกขึ้นมา เพราะฉะนั้นเราจึงมาพิสูจน์กัน ง่าย ๆ อย่าคิดว่ามันยาก
การเจริญสติ การมีสติเนี้ยไม่ใช่เอาอันนั้น ไม่ใช่เอาผิดอันนี้ ไม่ใช่เอาถูก ไม่ใช่เอาสุข ไม่ใช่เอาทุกข์ มีสติมันเห็น สุขก็ไม่มีค่า ทุกข์ก็ไม่มีค่า ผิดก็ไม่มีค่า ถูกก็ไม่มีค่า ไม่ให้ค่ามันเลย การไม่ให้ค่าคือว่ายังไง พระพุทธเจ้าสอนยังไง กายานุปัสสนา มีสติเห็นกาย กายมีอะไรบ้าง มันมีอาการที่มันเกิดขึ้นกับกายทำให้เป็นตัวหลงได้ มันเกิดภพเกิดชาติเกิดอาการของกายขึ้นมา มันปวดมันเมื่อย มันร้อนมันหนาว มันหิวมันกระหาย มันสุขมันทุกข์ เกิดจากกาย ก็เห็นเลย มีสติเห็นยังไงกายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่ให้ค่าอะไรที่เป็นเรื่องของกาย มีแต่ตัวรู้ มันจะมีค่า ถ้าเราไม่พอ เรายังไม่พอ ยึดมั่นสำคัญมั่นหมายเอากายมาเป็นภพเป็นชาติเกิดอาการต่าง ๆ เกิดพอใจ เกิดไม่พอใจ เกิดสุขเกิดทุกข์เพราะเรื่องของกาย เกิดกิเลสตัณหา เกิดการปรุงแต่ง เกิดเรื่องของกายทั้งนั้น
เราจึงมีสติดูมัน ไม่ให้ค่ามัน กายสักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นทางไปนี่ เหยียบไป เหยียบไปตรงที่มันรก ๆ มันจะเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา เหยียบมันลงไปให้เป็นรอย รอยแห่งความรู้สึกตัว เป็นรอยเอาไว้ ตรงไหนที่มันรกเหมือนกับเรามาอยู่เนี่ยเดินจงกรมอันไหนที่มันไม่ทางเราเหยียบไป เหยียบไป เหยียบไป เอาไปเอามาก็เป็นทางขึ้นมาแต่เดิมไม่มีทางเลย ในชีวิตเราเหมือนดง ดงอะไร ดงแห่งความอวิชชา อวิชชาเป็นป่าเป็นดงความหลง เรามีความหลงหรือมีความรู้มากตั้งแต่เกิดมาถึงวันนี้ มาดูซิ แล้วเราใช้ชีวิตยังไง เลือกได้ไหม เลือกได้ เรามาเลือกใช้ชีวิตอย่างงดงามอย่างสง่างาม เป็นสิทธิเสรีภาพปลดปล่อยตัวเองออกมาจากความมืดบอด พ้นแล้วจากเมฆหมอก มาเห็นความรู้มาดูมันเนี่ย อ้าวเวลาใดเราเห็นกาย กายสักแต่ว่ากายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา พ้นมาแล้ว มันพ้นทันที มันเป็นมรรคทันที มันเป็นผลทันที เวลามันหลงเป็นเหตุ เวลามันรู้เป็นผล เอาความหลงมาเป็นผลสร้างเป็นตัวรู้ได้ อย่าไปเสียใจเพราะความหลง ไปเอาผิด ผิดแล้ว ไปเอาถูก เอาถูกแล้ว ไม่ใช่ ยังไปไม่ได้ ยังเป็นคู่ ยังมีรส มีรสชาติ ชีวิตที่มีรสชาติอยู่ในโลก พ้นจากโลกเรียกว่าโลกะวิทู เหมือนพุทธเจ้าของเราผู้รู้แจ้ง ไม่หลงอยู่กับโลกจนได้เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย นี่เป็นทางไปนี่ เราไม่ใช่ว่าจะมางมอะไรต่าง ๆ มีชัดเจนเหลือเกิน เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนมาพิสูจน์มาแล้ว ว่ามันเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย เหนือทุกข์ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน
พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาพร้อมพระธรรมในวันที่เพ็ญเดือนหก พระจันทร์ดาวฤกษ์เต็มดวงคือพระจันทร์เต็มดวง ทุกปีเราก็วิสาขากัน มาฉลองกันเถอะพวกเรา อย่าปล่อยให้เป็นเรื่องของใคร เป็นเรื่องของเราแท้ ๆ การตรัสรู้เพราะอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้านี้เป็นเรื่องของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า เราจึงกระตือรือร้นพากันมาทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า อุบาสก อุบาสิกา สามเณร แม่ชี มารวมกันดู มาพิสูจน์กันดู มารับรู้รับทราบกันเรื่องนี้ดู อย่าปล่อยปละละเลยให้ใครคนใดคนหนึ่ง จึงมาวิธีอื่นไม่ได้ จะมอบให้กันไม่ได้เหมือนของฝากทรัพย์สินเงินทองต้องเป็นของส่วนตัว ต้องทำอย่างนี้ไม่มีวิธีใด ต้องมาจุ่มเอา มาต่อเอา เอากายเอาใจมาต่อเอา เอาความรู้สึกตัวให้มันมีให้มันเกิดขึ้น อย่าให้ค่าอะไรนอกจากตัวรู้เข้าไป ฐานมันอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ไปเอาไอ้นั่น มันจะเป็นยังไง มันจะเป็นยังไง ทำไมจึงมาทำอย่างนี้ ไม่ต้องไปใช้เหตุใช้ผล เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม สัจธรรมต้องประสบต้องพบเห็นด้วยตนเอง เป็นการพบเห็นไม่ใช่คิดเห็น คิดเห็นมันไกลอยู่ การพบเห็นมันเดี๋ยวนี้ปัจจัตตัง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตนเองเดี๋ยวนี้ไม่ใช่รอ ไม่ใช่คิดเห็นพบเห็น การพบเห็นไม่มีคำถาม
เหมือนเรามาพบเห็นสุคะโต หอไตรเป็นอย่างนี้ เรามีคำถามถามใครไหมว่าหอไตรเป็นยังไง ไม่มีคำถาม เราตอบเอง อ๋อ! เป็นอย่างนี้หอไตร ศาลาไก่เป็นอย่างนี้ ศาลาหน้าเป็นอย่างนี้ ศาลาสิมน้ำเป็นอย่างนี้ สำนักงานเป็นอย่างนี้ ผลที่สุดก็ 500 ไร่เป็นอย่างนี้ บริเวณสุคะโตเป็นอย่างนี้ ต้นไม้ใหญ่ 300 ปีเป็นอย่างนี้ แต่ว่าอย่าไปรบกวนมันต้นไม้โบราณ บางทีคนจะไปกราบไปไหว้เอาผ้าเหลืองไปห่อ บางทีไปขูดหาเลขหาหวยก็มีบางคนนะ จึงเขียนไว้ห้ามรบกวนต้นไม้โบราณ อ้าวเขาเห็นแล้ว ทำไมจึงบอกว่าต้นไม้โบราณ 300 ปี หลวงพ่อเกิด 300 ปีหรือ ไม่ใช่ เคยไปดูต้นไม้ 300 ปีที่ประเทศอินเดีย เมืองแคชเมียร์กับอาจารย์ทรงศิลป์ เขาประกาศว่าต้นไม้ 300 ปีมีประวัติมาตั้งแต่ไหนแต่ไหน เราไปดูแล้วต้นก็ไม่โตเท่าไร ไม่โตเท่าต้นนี้ด้วย แล้วไม้ของเขาเป็นไม้อวบ ๆ ก็อาจจะไม่สร้างสรรค์มานานเหมือนประดู่ต้นนี้ เราก็บอกอาจารย์ทรงศิลป์ว่าควรที่จะประกาศได้ว่าต้นไม้ต้นนี้ 300 ปี คงไม่ผิด ไม่ใช่เราเกิด 300 ปีมา เป็นความงมงาย เราก็เปรียบเทียบให้มีบ้างนะประเทศไทยเรา อย่ามีแต่ประเทศอินเดีย ถ้าไม่มีที่อื่นก็อยู่ตรงนี้ หลายที่ อยู่มหาวันก็มีนะต้นไม้ 300 ปีอันนั้นเป็นต้นตะเคียนทอง อันนี้เป็นต้นประดู่ อันนี้ก็พูดไป
ก็เห็นแล้วว่าสุคะโตเป็นอย่างนี้เวลาสิ่งที่สอนที่บอกก็เป็นอย่างนี้ ก็นั่งอยู่นี้ พูดอยู่นี้ มีตัวมีตน ที่พูดเป็นสื่อภาษาไทยเหมือนกันน่ะแล้วจะเอาอะไรอีก สิ่งที่พูดอยู่นี้มีกับเราทุกคน เรารู้ มีไหมตัวรู้ เอามือวางไว้บนเข่าพลิกมือขึ้นรู้ไหม ใครเป็นคนรู้ หลวงตาเป็นคนรู้หรือ ไม่ใช่ ใครเป็นคนรู้ เราเป็นคนรู้ ท่านเป็นผู้หญิงท่านรู้ได้ไหม ท่านเป็นผู้ชายท่านรู้ได้ไหม ก็รู้ได้ ท่านเป็นนักบวชท่านรู้ได้ไหม ก็รู้ได้ ท่านไม่ใช่เป็นนักบวชท่านรู้ได้ไหม ก็รู้ได้ นับถือศาสนาอะไร เป็นชาติใด ภาษาใด นุ่งผ้าสีใด รู้ได้ไหม รู้ได้ ไม่ใช่ เราเป็นคริสต์เป็นพุทธเป็นอิสลาม ไม่ใช่เราเป็นคนหนุ่มคนสาว ไม่ใช่เราเป็นคนแก่อะไรต่าง ๆ มันไม่มีเลย มีตัวรู้ตัวเดียว ไม่มีความหนุ่ม ไม่มีความแก่ ไม่มีแม้กระทั่งความเจ็บความปวดเอาเลยทีเดียว มันสักว่ากาย มันสักว่าเวทนา มันเจ็บมันปวดหรือ มันร้อนมันหนาวหรือ สักว่าเวทนา ความสุขความทุกข์ก็สักว่าเวทนา มันเป็นอาการของมัน ไม่ใช่เรา เรานี่ไปตู่เอาเวทนาคือเรา ไปปล้นไปจี้ไปซื้อเอา ที่จริงมันไม่ใช่ เสียเปรียบมันมานานแล้ว เห็นเวทนาสักว่าเวทนา มีไหมในตัวเรานี้ เวทนาเป็นภาษาบาลี ภาษาอินเดีย
ถ้าว่าภาษาบ้านเราก็สุขทุกข์นั่นแหละ ชอบความสุข ไม่ชอบความทุกข์ เวทนามีบวกมีลบ อันหนึ่งชอบ อันหนึ่งไม่ชอบ เรียกว่ารสของโลก ถ้ารู้แล้วมันก็จืด ไม่ให้ค่ามัน รู้แล้วแค่นั้นเอง ง่าย ๆ ถ้าไปชอบมันยากไปหน่อย ถ้าไม่ชอบก็ยากไปอีกแบบหนึ่ง อันชอบอันไม่ชอบไม่ใช่สัจธรรม สัจธรรมคือไม่เป็นไรกับมัน ไม่เป็นไร ไม่มีไม่เป็นอะไร ทำไมจึงไม่มีไม่เป็นเพราะมันเห็นแล้วไม่น่าเป็น มันเป็นสุขก็เห็นแล้ว เป็นทุกข์ก็เห็นแล้ว ไม่มีใครไม่เห็นสุข ไม่มีใครไม่เห็นทุกข์ แต่ว่าสุขทุกข์สมมติเอาไม่ใช่ปรมัตถ์ เป็นสมมติบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ สมมติบัญญัติเนี่ยไม่เป็นธรรม บางคนชอบกินเหล้าเมายา บ้างก็ชอบ สมมติบัญญัติพาชอบ แต่บางคนไม่เอากินเหล้าเมายาไม่ใช่เราไม่ชอบเพราะบัญญัติ อันชอบไม่ชอบเราบัญญัติเอาเอง เราก็รู้ว่า เออ! รู้แล้ว รู้นี่เป็นกลางไม่เป็นส่วนไหนไม่บวกไม่ลบ คำว่ารู้นี้เป็นมรรคที่สุดแล้ว สุดยอดขององค์มรรคผ่านได้ตลอด ท่านจะเป็นดงเป็นป่าติดเปรอะเปื้อนอะไรมาก็ตาม นิสัยยังไงมาก็ตาม จะเป็นลัทธิแบบไหนมาก็ตาม จะเป็นวรรณะใดมาก็ตาม ถ้ารู้อย่างเดียวเป็นหนึ่งเดียวเหมือนกันทุกคน ถ้าเรานั่งอยู่นี่มีความรู้สึกตัวเนี่ยก็เป็นคนๆ เดียวกัน ถ้าเรานั่งอยู่นี้มีความหลงคิดไปต่าง ๆ นานา ก็เป็นคนหลายคน อันตัวรู้นาทำให้เราเป็นหนึ่งเดียว เอตทัคคะ หนึ่งเดียว ลองมาเอาเถอะ มามีตัวนี้กันเถอะพวกเรา ถ้ามีตัวนี้แล้วมันเป็นครบวงจรของการใช้ชีวิต ครบวงจรหมดเลย เหมาะแก่การงาน เหมาะแก่หน้าที่ เหมาะแก่ความเป็นมนุษย์ พัฒนาขึ้นไปจนถึงพระอริยบุคคล ตัวรู้ตัวนี้ที่สุดเลยทีเดียว อย่างพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นิพพานตั้งแต่อายุ 36 จนไปถึงอายุ 80 ปี ยังทำประโยชน์ตั้งมากมายกว่าคนที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน สร้างสรรค์ประโยชน์เยอะแยะเลย ช่วยมนุษย์เทวดามนุษย์ทั้งหลาย
แม้แต่องคุลีมาลจับมีดจับดาบไล่ฟันก็ยังคิดช่วยไม่ได้โกรธเลย เป็นยอดนักรักที่สุดเลย มีใครบ้างที่เขาจับดาบไล่ฟันยังคิดช่วยเขา มีแต่จะต่อสู้กัน จนช่วยองคุลีมาลได้ เพราะฉะนั้นเนี่ยเราจึงมีศาสดาที่สมบูรณ์แบบที่สุดเลย พิสูจน์มา ตัดออกไม่ได้คำสอนของพระพุทธศาสนาของเรา จะเปลี่ยนจะเพิ่มก็ไม่ได้ ว่าทำดีก็ดีทันที ทำชั่วก็ชั่วทันที นี่คือของจริง เราจึงไม่ควรที่จะให้มันพลาดไปชีวิตของเรา วันคืนมันก็ผ่านไปเกิดแก่เจ็บตายไปเรื่อย ๆ ไป แต่ไม่เจริญตัวรู้ตัวเนี้ยมันก็ไม่สมบูรณ์แบบ แล้วก็มีปัญหากับชีวิตเรา การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเป็นทุกข์ เราถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เรามีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ อุททิสสะ อะระหันตังทำแบบพระพุทธเจ้า ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์นี้จึงจะมีแก่ข้าพเจ้าพึงทำอุททิส อะระหันตะสัมมาสัมพุทโธ ทำแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนยังไง ไม่ต้องไปหา มีแล้ว รู้สึกตัวเข้าไป คือเห็นกายเห็นใจ เอากายเอาใจมาเป็นตำรา ให้มันจบตรงนี้ซะ เดี๋ยวนี้กายมีปัญหาใจมีปัญหาไม่จบเลย ปัญหาในตัวเราแล้วไม่พอ ปัญหาเกิดจากคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่นมากมาย ถ้าปัญหาเกิดขึ้นที่ใจแล้ว เหตุมันอยู่ตรงนี้ ถ้าทุกคนมานับหนึ่งจากเหล่าเนี้ย มาเปลี่ยนตรงนี้ มาเปลี่ยนเป็นตัวรู้ ตัวรู้ไปเลย ตั้งต้นจากตรงนี้ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่ใช่ข้อบังคับ มันเกิดจากการกระทำของเราแท้ ๆ มันจะจำแนกไปเอง กรรมฐานมันจำแนกไป ไม่ใช่คิดเหตุผลอะไรต่าง ๆ อย่าหอบเหตุผลมา
ท่านจะศึกษาจบมาขนาดไหน ก็ไม่ใช่เอาเหตุเอาผลที่เกิดจากความคิดเหตุผลต่าง ๆ เอาการกระทำ ทำอย่างนี้มันเห็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้มันไม่มีอย่างนี้ เรียกว่าธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ธรรมคือมันเป็นอย่างนี้ เพราะมีตัวรู้มันจึงไม่หลง เพราะมีหลงมันจึงไม่รู้ ทำไงจึงมีตัวรู้ได้ ก็ประกอบความรู้ขึ้นมาในเวลามันหลง ถ้ามันไม่หลงก็รู้ไปจะไปทำอะไรละ นั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ ทุกอริยาบถเลยเหมาะแก่การประกอบความรู้ขึ้นมา กายของเรา ใจของเราเนี่ยมันเป็นปัจจัยที่สร้างตัวรู้ การสร้างตัวหลงมันยากต้องลำดับลำนำ เช่น เขาว่าให้เรา เราโกรธ พอใจที่จะโกรธ ทำไมจึงทำอย่างนั้น ทำไมจึงทำอย่างนี้ มันมีเหตุมีผล จนเกิดการเข่นฆ่าทะเลาะวิวาทกัน อันรู้ตัวนี้ไม่ใช่ไปถึงโน้น รู้แล้ว แค่นั้นเอง เหมือนลัดนิ้วมือ อะไรที่มันยิ่งใหญ่ก็หลุดไป รู้แล้ว รู้แล้ว
เหมือนอัญญาโกณฑัญญะฟังเทศน์กัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้าก็รู้แล้ว รู้แล้ว พระพุทธองค์แสดงอะไรไป อย่างเราสวดอนัตตลักขณสูตรตอนทำวัตรนะ รูปไม่เที่ยง รูปัง อนิจจัง อนุสาสนี พหุลา ปวัตตันติ เป็นไปเพื่อสาวกทั้งหลายส่วนมาก รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนา อนิจจา เวทนาไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าเป็นคนแสดงผู้แสดงแต่โกณฑัญญาฟัง เอาสิ่งที่แสดงเป็นภาษามาทำในกายในใจตนเอง รู้แล้ว เห็นด้วย จิตใส่ใจตาม เห็นด้วย รูปไม่เที่ยง เห็นด้วย เวทนาไม่เที่ยง เห็นด้วย สัญญาไม่เที่ยง เห็นด้วย สังขารไม่เที่ยง เห็นด้วย วิญญาณไม่เที่ยง รูปัง อนิจจัง รูปไม่ใช่ตัวตนเป็นสักแต่ว่ากาย เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน รู้แล้ว มีไหมสิ่งเหล่านี้กับเรา รูปคืออะไร รูปคือกาย กายคืออะไร คือธาตุ 4 ขันธ์ 5 มันสามารถรู้อะไรได้เรียกว่าวิญญาณธาตุ มันมาให้เรารู้ มันมีให้เราประกอบสร้างมรรคผล ไม่ใช่มีให้เราไปทำความชั่ว มีรูป มีนาม มีกาย มีใจนี่มีสำหรับให้เราสร้างมรรคสร้างผล จนรู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้ว เอวัง พหุลา เอวัง เป็นไปในสาวกทั้งหลายส่วนนี้ สาวกทั้งหลายก็รู้เรื่องนี้จึงได้เป็นสาวกตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า มารู้เรื่องนี้กัน เรานี้ก็เป็นมนุษย์สมบัติ มาแล้ว พร้อมแล้ว มารู้เรื่องนี้เข้า อย่าไปเปรอะไปเปื้อนกับอย่างอื่น อย่ามีร่องรอยกับอย่างอื่น
แม้มีร่องมีรอยก็กลับมาได้ มาทำกรรมมาล้างบาป มาล้างอกุศล ถ้ารู้มันก็ล้างแล้วทำบุญแล้ว ถ้ารู้มันก็ละความชั่วแล้ว ถ้ารู้มันก็ทำความดีแล้ว ถ้ารู้ตัวนี้จิตก็บริสุทธิ์แล้ว ทั้งหมดเลย ปาติโมกข์ย่อ คำสอนย่อ ๆ ละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ เท่านี้คำสอนพระพุทธเจ้า ทำไงจะละความชั่ว ก็นี่แล้วรู้สึกตัวนี้แหละ รู้แล้ว รู้แล้วเนี่ยไม่ไปกับมัน มีตัวรู้ รู้สึกตัวทีไรมันอะไรมันมีไปมันหมดไป เป็นความมืดก็ความมืดหมดไปเพราะตัวรู้เหมือนแสงสว่าง ความหลงเหมือนความมืดก็หมดไป หมดไป หมดไป หมดไป เอาไปเอามาหนึ่งวันก็รู้ สองวันก็รู้ สามวันก็รู้ แล้วอะไรจะเกิดขึ้น มาพิสูจน์ดู ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปเชื่อหลวงตา ไม่ต้องไปเชื่อใคร บุคคลนั้นพูดมีเหตุมีผล บุคคลนั้นทุกคนเชื่อถูกกับจริตนิสัยของเรา อย่ามาอยู่แค่นั้นต้องมาประกอบต้องมาทำ
เหมือนญาติโยมที่มาจากวัดโมกเมื่อวานนี้จะไม่ได้อยู่ เอาปัจจัยมาถวาย โอ้ย! ไม่เอาหรอกปัจจัย เอาคนน่ะ เอาคนนั้นน่ะมาจุ่มมาต่อเอาความรู้เนี้ย ไม่ต้องเอาปัจจัย เอามาให้ เอ้ารับไว้ก่อน ไม่รับ ปัจจัยไม่รับ เอาคนน่ะอยู่ปฏิบัตินี้ ผลที่สุดก็เอาให้คุณหมู เอาปัจจัยให้คุณหมูไปเข้าโรงทาน นี่ก็ดี จะมาถวายหลวงตาไม่เอา อยากได้คนเนี่ยช่วง 40 วันนี้ แหมเราพอใจที่เห็นพวกเรามานั่งอยู่ที่นี่ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้า ชื่นใจ เป็นครั้งเดียวเท่านี้ สุคะโตนะตั้งมาแล้ว 30 – 40 ปี เพิ่งมีครั้งนี้ เรานึกว่าจะไม่มีใครมา วางแผนกับพระที่นี่ถ้าสุคะโตไม่มีคนมาทำไงพวกเรา มันอยู่ไกลเหลือเกิน ชนบท มาก็ลำบาก แล้วก็ใครมาที่นี่ก็อาจจะเข็ดหลาบได้ อ้าวถ้าไม่มีใครมาสุคะโตจะทำยังไง ก็พูดกับคุณหมอประสาท คุณหมอสุนทรี โรงพยาบาลชัยภูมิ ว่าถ้าไม่มีใครมาสุคะโตจะไปอยู่ห้องพระตึกสงฆ์ พอไปเห็นที่นั่นว่าง ๆ อยู่ไม่มีคนพัก ไปขอพัก 2 คืน 3 คืน จะไปอยู่ไปดูคนป่วย ไปยืนแสดงธรรมคนป่วยนอนอยู่บนเตียง เขาคงหนีจากเราไม่ได้เพราะเขาป่วย คนดีเขาไม่มาหาเรา เขาเข้าโรงหนังโรงละครเข้าบิ๊กซีโลตัสไปโน่น แต่คนป่วยมันนอนอยู่ ไปยืนพูดคำสองคำ เพราะอะไรเราจึงกล้าไปเป็นเพื่อนคนป่วย เพราะเราเคยป่วยเคยตายมา เรารู้กันระหว่างคนป่วยเหมือนกันไปพูดกันคงรู้จัก
ก็ขออนุญาตหมอสุนทรี คุณหมอประสาท คุณหมอประสาทเออดี ๆ ก็เลยมีโครงการ 5 นาทีทองก่อนใจจะขาด เราจะไปดูแลคนป่วย แล้วไปทำมาแล้วอยู่ที่สหรัฐอเมริกา อยู่บอสตัน โรงพยาบาลบอสตันไปดูคนป่วย ไปสอนคนป่วย ถ้าเราเป็นชาวพุทธก็ พุทธัง สะระณังคัจฉามิ สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอาศัยสรณะนี้แล้วข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ธัมมัง สะระณังคัจฉามิ สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอาศัยสรณะนี้แล้วจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เอาไปสวดไปยืนพูด คุณหมอคุณพยาบาลไปยืนพูดอยู่ข้างเตียง 3 คน 4 คน 5 คน ปรากฏว่าใช้บ้างแล้ว หลวงตาไปสวดอยู่ที่สหรัฐฯ มหาวิทยาลัยบอสตัน ก็ไปสวดแบบภาษามหายาน อามีโตโก อามีโตโก อามีโตโก ก็สวดไปกับเขาก็ยืนสวดกับอุบาสกอุบาสิกาไปร่วมกันอยู่ คนป่วยก็นอนฟังพนมมือขึ้นน้า ได้ยินอามิตาพุทธ ผู้ใดตายในขณะที่ได้ยินอามิตาพุทธในหูผู้นั้นจะไม่ตกนรก เรียกว่า 5 นาทีทองก่อนใจจะขาด เอองานเราก็มีคงไม่อยู่เฉย ๆ ชวนพระที่นี่ไปโรงพยาบาลต่าง ๆ ขอนแก่นบ้าง บุรีรัมย์บ้าง คุณหมอมะลิจิตรให้ไปไหม เพราะนั้นเนี่ยเราไม่อดน่ะถ้าไม่มีคนเข้าวัดน่ะ คิดอย่างนั้น เราคิดแต่จะช่วยแต่คนอื่น แต่เราไม่มีอะไร
แต่ว่าเดี๋ยวนี้มี มีคนซื้อรถให้ คุณทวี ตอนนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล เอารถมาให้คันหนึ่ง “โอ้ย! หลวงตาเอาดอก หลวงตาคงไม่รอดแล้ว จะตายอยู่แล้ว” “เอา! รับไว้เถิด” ทั้งสามีภรรยาตั้งใจมาแล้วมาหมดครอบครัวแล้ว มามอบให้หลวงตา 2 คัน คันหนึ่งเป็นรถเข็นสำหรับเดินไม่ได้ คันนี้เป็นรถมิวเซเว่นอย่างดี ผมซื้อมาล้านกว่าบาท “ โอ้ย! ไม่เอา ไม่เอามีรถอาจารย์ตุ้มอยู่แล้ว” “เอาเถอะ เอาเถอะ” ก็เลยรับไว้ “ไม่เอาหรอกมันจะตายอยู่แล้ว” “ไม่ให้ตาย ไม่ให้ตาย” เขาว่าอย่างนี้เออ..... คนที่ไม่อยากให้เราตายก็มีน๊านี่ก็เลยพยายามถ่อพาชีวิตขึ้นมา โอ๊ย! ยากเหลือเกินน๊า มันตายมันสบาย ใครว่าคนเจ็บเป็นทุกข์น่ะ ไม่เห็นทุกข์ตรงไหน ใครว่าคนจะตายเป็นทุกข์น่ะ ไม่ทุกข์ตรงไหนเลย
มันสนุกไปเลย นอนอยู่โรงพยาบาลเกือบปี มีคนไปเยี่ยม มีพูดอยู่เสมอว่าสนุกป่วย สนุกป่วย สนุกจริง ๆ การป่วยการเจ็บเนี่ย โรคมะเร็งก้อนเนื้อตับอ่อนโต ปวด เอ้า...มะเร็งเอ๊ย..เป็นเพื่อนกันกับตับอ่อนนั่นแหละ เราไม่รังเกียจอยู่ด้วยกันไป แต่เราไม่เป็นกับท่านนะเราจะอยู่ของเราเอง มันปวดท้อง คุณหมอพยาบาลมาถามว่า “ปวดมากไหม” “ก็ปวดมาก” “กี่เปอร์เซ็นต์” “เอาอะไรเป็นเปอร์เซ็นต์” “ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม” “เกินร้อย” “แล้วทำไมหลวงตานอนอยู่นิ่ง” “อ้าว! ไปแสดงร่วมกับมันทำไม มันปวดก็เป็นอาการอันหนึ่ง ชีวิตเราไม่ได้ปวดกับมัน เห็นมัน” เนี่ย....ใช่ไหม เราเห็นไหมหรือเราเป็น เป็นสุขหรือเห็นมันสุข เป็นทุกข์หรือเห็นมันทุกข์ เป็นผู้โกรธหรือเห็นมันโกรธ เป็นผู้ร้อนหรือเห็นมันร้อน เป็นผู้หนาวหรือเห็นมันหนาว เป็นผู้หิวหรือเห็นมันหิว
เราจึงมาดูมัน อย่าให้ค่ามัน เริ่มซะออกมาซะ อย่าอยู่กับมันในโลกนี้ ถ้าดึงแขนออกมาได้จะดึงกระชากออกมาเลย มันดึงไม่ได้ต้องออกเอาเอง วิธีออกทำไงล่ะ มาดูมัน อย่าเข้าไปเป็นกับมัน มีคนมาปฏิบัติธรรมดูหน้าบูดหน้าบึ้งเวลาทำความเพียร เอ้า...เลยถาม “เป็นไงหนู” “เอย! วันนี้ไม่ไหว เครียด ง่วงนอน” หลวงตาก็ยิ้ม “อ้าว! กรรมฐานนักกรรมฐานเขาไม่พูดอย่างนั้น พูดใหม่” “ ไม่เอา จะให้พูดอย่างไรละมันเครียดจริง ๆ น่ะ มันคิดมาก” หน้าบูดหน้าบึ้ง “อ้าว! หลวงตาบอกให้ดูมัน เห็นมันไหม มันเครียดเห็นมัน มันง่วงเห็นมันไหม ก็บอกให้ดูเนี่ย อย่าเข้าไปเป็น ใช่ไหม” ก็หน้าตาค่อยหย่อนขึ้นมาบ้าง “เออ! ตอบใหม่” “จะตอบยังไงล่ะหลวงตา” “อ้าว! เป็นไงวันนี้ตอบใหม่” “หนูเห็นมันเครียด” “เอ้อ! อย่างนี้สิ กรรมฐานเขาตอบอย่างนี้ เพราะว่าตอบว่าหนูเห็นมันเครียด” รอยยิ้มขึ้นมาละ ใช่ไหม เป็นผู้เครียดหรือเห็นมันเครียด เป็นผู้หลงหรือเห็นมันหลง เป็นผู้สุขหรือเห็นมันทุกข์
บอกแล้วให้ดูมันอย่าให้ค่ามัน เดี๋ยวนี้มันมีค่าเหลือเกินในโลกนี้ ความสุขก็มีค่า ความทุกข์ก็มีค่า ความโกรธก็มีค่า ความหลงความโลภมีค่า ความรักความชังมีค่า มันจึงมีปัญหาแก่ตัวเองและคนอื่น ถ้าเราไม่ให้ค่ามันมีอะไร มีสติ คน ๆ เดียวกัน มิตรภาพ พระศรีอริยเมตไตรยเกิดตรงนี้ ศาสนาที่สูงสุดคือพระศรีอริยเมตไตรย ราบไปเลย ชีวิตของเราราบไปเลยเนี่ย ทำไงล่ะเราจึงจะพบสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติของเรา อุบัติขึ้นจากเราต้องมาประกอบ มาดูมัน มาเห็นมัน มาเห็นมัน ทุกคนทำได้ พระพุทธเจ้าสอนในสิ่งที่คนทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล ตอนเช้า ตอนเย็น ตอนสาย ตอนบ่าย รู้ได้ทันที ไม่มีเวลา อกาลิกธรรม เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไปเชื่อใครเลย จะเอาอย่างไรพวกเรา แต่ว่าอย่ามาเชื่อเราให้ทำเอา จึงมีกิจกรรมอย่างนี้ขึ้นมา ไม่มีวิธีใดแล้ว ขึ้นป้ายไว้ บอกเมื่อวานนี้บอกเอาไว้ก่อนนะ บอกอาจารย์ทรงศิลป์เอาแบบพระพุทธเจ้าเป็นไง ตอนที่พระพุทธเจ้าไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันโปรดปัญจวัคคีย์ ตอนนั้นยศกุลบุตรลูกชายเศรษฐีประมาณนี้ร้องออกมา “ที่นี่วุ่นวายเหลือเกิน ที่นี่ทุกข์หนอทุกข์หนอ” ออกจากพาราณสีไปป่าอิสิฯ(อสิปตนมฤคทายวัน)พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาที่นี่เถิด มาที่นี่เถิด” ยศกุลบุตรได้ยินเสียงก็ตามเข้าไป “อะไรหนอ เสียงอะไร” เลยถอดรองเท้าตามเข้าไป เห็นพระพุทธเจ้าเทศนาอบรมปัญจวัคคีย์อยู่ก็ไปฟัง
อยากจะเขียนไว้ที่นี่ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาที่นี่เถิด เรามีที่ให้อยู่ มีข้าวให้กินตามสมควรแก่ฐานะ แต่ว่าเขียนไว้เพียงแต่ว่า สถาบันสติปัฏฐาน อาจารย์ทรงศิลป์เขียนไว้ ประกาศเป็นสถาบันเพราะชีวิตเราเป็นสถาบัน มีความพร้อมที่สุด กายก็มี ใจก็มี เวทนาอะไรที่เราศึกษามาให้มันจบตรงนี้กัน อย่าไปจบแต่ศาสตร์อื่น เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จบศาสตร์ตรงนี้บ้าง กายเนี่ยมีเวทนา มีสัญญา สังขาร วิญญาณ จบตรงนี้ดู ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นที่ต้องทำไม่มีอีกแล้ว นี่พระพุทธเจ้าอุทานออกมาในวันตรัสรู้เมื่อวันที่ 19 “ชาติของเราสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ของเราอยู่จบแล้ว กิจอื่นที่เราจะทำไม่มีอีกแล้ว” ลองดูสิ รู้สึกเป็นไงชีวิตเรา จะเป็นยังไง เรียกว่าสำเร็จที่สุดเลยชีวิตเรา ถึงจุดหมายปลายทาง แล้วก็อยู่กับครอบกับครัวอยู่กับเพื่อนกับงานทำงานช่วยกัน ตรงนี้ควรที่จะประกาศแล้ว มัน2,551 พรรษา ตั้งแต่ปรินิพพานมา ก่อนปรินิพพานอีก 45/40 พรรษา นับรวมกันยาวเหลือเกิน นานเหลือเกิน เมื่อไรเราจะรู้เรื่องนี้กัน ไปโกรธไปอิจฉาไปเบียดเบียนไปอิจฉากันทำไม เหมือนภาคใต้ 3 จังหวัดเข่นฆ่ากัน ไม่สมควรอย่างยิ่งพวกเรา จะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม ถามอยู่ตรงนี้นะ จะบอกให้ อย่าไปให้ค่ามัน ท่านทั้งหลายปวดเมื่อยเห็นมัน อย่าไปให้ค่าความปวดความเมื่อย ลำบากก็เห็นมัน
เย็นหนึ่งวันนี้ถือว่านิเทศน์เสียหน่อย อย่าไล่เวลาหลวงตาเลย การอยู่ในป่าเนี่ยเราถนอมด้วย ถ้าจะตัดต้นไม้ไผ่ก็ตัดได้ แต่ว่ารู้ต้นใดต้นไหนที่มันแก่ลอดกอ ไม้ที่มันแก่เฒ่าตัดได้แต่ว่าต้องเก็บให้ดี ต้นไหนที่มันอ่อนมันมีผิวอ่อนเหมือนกับคนหนุ่มคนสาวอย่าไปฆ่าอย่าไปตัดเขา มันจะมักอยู่ตามขอบขึ้นห่าง ๆ เราก็มักง่ายไปตัด ไม่ดีนะ ถ้าเป็นต้นไม้เบญจพรรณสามารถสร้างสรรค์ต่อไป ถ้าเราไปตัดต้นไม้อ่อนเหลือไว้ต้นไม้แก่ เหมือนคนเราเนี่ยฆ่าคนหนุ่มตายหมดเหลือแต่คนแก่มันก็ไม่สร้างสรรค์แล้ว หมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะตัดบ้างก็ได้แต่ว่าอย่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่ารบกวนมัน การอยู่ในป่านี้อย่าไปขุดดิน อย่าเห็นรอยจอบรอบเสียม ไม่อยากเห็นรอยจอบรอยเสียม เรารักแผ่นดิน เรารักประเทศชาติ เรารักธรรมชาติที่สุดอยู่ที่นี่ แม้เห็นรอยน้ำไหลก็ไม่อยากเห็น ถ้าน้ำมันไหลไม่มีกักขังไม่มีดูดซึมล่ะมันจะเกิดอะไรขึ้น อาจจะไปท่วมไร่ท่วมนาเขา ไม่อยากเห็นน้ำไหล อย่าไปขุดคลองให้น้ำไหลเด็ดขาด อย่าไปทำรอยจอบรอยเสียมบนแผ่นดินนี้ ที่อื่นเราห้ามไม่ได้ ขอห้ามที่นี่นะ ต้นไม้ต้นใดที่ไม่ควรจะไปตัดก็อย่าไปตัดนะ รอยจอบรอยเสียม เสื่อที่ปูที่นอนที่นี่มีราคาแพงมากก็อย่าไปใช้สุรุ่ยสุร่ายเราเป็นคนจนไม่เหมือนที่อื่น ไม่เหมือนบ้านของท่าน ถ้าจะปูเสื่อบนแผ่นดินน่ะ เดี๋ยววันนี้ให้อาจารย์โน้สรองเจ้าอาวาสไปซื้อสแลนมาปูพื้นดินแล้วก็ปูเสื่อลงไป แล้วสแลนนี่มันดีนะถ้าผืนใหญ่หน่อยตะขาบเข้ามามันไม่กล้า สมัยหลวงตาเดินจงกรมอยู่ลานหินโค้งเนี่ย เอาสแลนปูแล้วตะขาบมันตัวใหญ่วิ่งมาพอมาเจอสแลนมันหลบหนีไป มันวิ่งมาอีกพอมันมาเจอสแลนมันหลบหนีไป อ้าว! สแลนก็ดีนะ สีเขียว ๆ นะ อย่าเอาสีดำนะสีดำมันไม่กลัว สีเขียวมันกลัว เอาปูให้นอน อยู่ไปเถอะมันสนุกดี งูนอนด้วยก็ได้อย่าไปรังเกียจมัน เวลาลุกนอนหรืออยู่ที่ในป่าต้องอ่อนนุ่มสักหน่อย อย่าลุกลี้ลุกลน เวลาบางทีฝนตกตลอดคืนงูมานอนด้วย อย่าทำให้มันตกใจ เคยมีงูมานอนด้วยที่นี่ “อ้าว! เอาเจ้างูเอ๋ยนอนด้วยกันนะ” ฝนตกตลอดคืนนะ มันเข้ามาอี๊ดอ๊าดอี๊ดอ๊าดอยู่ข้างมุงนี่ มันอะไรหนอ เอามือคลำดู คลำดูเห็นหัวมันขดอยู่ ตัวใหญ่นะ “โอ้ยเจ้างูเอ๋ย เจ้าหนาวหรือเปล่าน้อ คงจะหนาวน้อ ฝนตกเนาะ เอาอยู่ด้วยกันล่ะ นอนด้วยกัน” เอาแขนไปพาดใส่ (...) มันอะไรนะ มันอยู่นอกมุ้งนะ เราไม่กลัวตกอกตกใจ เป็นเพื่อนกับงูได้ไหม หรือว่ากลัวจนตัวสั่น อย่าไปกลัว
ความกลัวเป็นทุกข์นะ ทำใจสบาย ๆ เขาทำให้กลัวก็จะไปกลัวอะไร สบาย ๆ ถ้ามดมันกัดหรือ มดมันกัดก็รักมด “เจ้ามดเอ้ย” พูดกับมด “ตัวเจ้าก็เล็กนิดเดียวหนอ อันเรานี่ถ้าเราจะฆ่าเจ้าเราก็ฆ่าไปตายเป็นหมื่น ๆ พัน ๆ เราไม่ฆ่าเจ้านะ เวลานี้เราจะนอน อย่ามากัดกันนะ” พูดกับมดลองดู ทำใจดี ๆ บางทีมดอาจจะรู้เรื่องกัน อย่างอาจารย์วรเทพพูดกับงูจงอางใหญ่ มันตามไป จะขึ้นกุฏิ งูเหลือมใหญ่งูจงอาง “อ้าว! มาทำไมละ มาทำไมมาส่งเราถึงกุฏิหรือ” มันตามไปกุฏิ ชูคอขึ้น “อ้าว! มาทำไม ไปกลับไป” ก็กลับไปได้ หลวงพ่อหงวน งูจงอางไปชูคอขึ้นมา “มาที่นี่ทำไมล่ะ ที่นี่ของหลวงพ่ออยู่นะ ไปทางอื่น ไป” มันก็ไป บางทีพูดกันได้ เสือเจอเจอเสือทำยังไง “อ้าว มานั่งเฝ้ากันทำไม ดี ขอบคุณเน้อ” ก็นอนอยู่ ก็นั่งอยู่เสืออย่างว่านะ ทำใจ ทำใจ อย่าลุกลี้ลุกลน สงบเสงี่ยมสักหน่อย มีเมตตากรุณาไว้ในใจเสมอ อย่าเอาชอบ อย่าเอาไม่ชอบ เห็นมดแดง ๆ ก็คิดโกรธขึ้นมา รู้สึกตัว รู้สึกตัว ทุกวิถีทาง อะไรที่มันจะรู้ ใช้ทั้งนั้นแหละ ความหลงมาก็จั๊กมากมายเหลือเกิน ให้มันพ้นจากป่าอวิชชาคือความหลงนี้ให้ได้ มีความรู้ไม่ต้องออกเรี่ยวออกแรงเสียเหงื่อเสียไคลเลย ตัวรู้มันจะเป็นยิ้ม ๆ นะ ไม่ใช่เป็นอะไร ยิ้ม ๆ นะ ตัวรู้เนี่ยง่าย ๆ