แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ อยู่ใกล้ๆ ก็มี อยู่ไกลๆก็มี การศึกษาเรื่องชีวิตของเรานี้อยู่ใกล้ตัวเราก็คือกายคือใจ จับมาใช้ให้ถูกให้ต้องได้ สัมผัสได้ ได้มีสติมีสัมปชัญญะเป็นหลัก เพราะว่าใช้กายใช้ใจ ให้สติให้สัมปชัญญะใช้กายใช้ใจเรา อย่าให้กิเลสตัณหาความโกรธโลภหลงมาใช้ นี่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุดไม่ต้องยื้อไม่ต้องขอไม่ต้องแสวงหา ณ.ที่ใด วันเวลาก็มีให้ใช้เท่าๆกันใครจะใช้ให้เกิดประโยชน์ก็ใช้ได้ ใครไม่ใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์แก่คนนั้น ไม่ควรจะอ้างอันหนึ่งใดมาขวางกั้นสิ่งที่ถูกที่เรามีสิทธิ อ้าวก็ให้รีบใช้รีบทำซะ จะได้มั่งมี ยิ่งใช้ยิ่งมาก โบราณท่านว่ารักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ ก็อยู่ที่ตัวเรานี่เอง ถ้าเราต่อความรู้สึกมีสติสัมปชัญญะไว้ในกายในใจแล้วก็ใช้อย่างนี้ ถ้าเราใช้อย่างนี้สิ่งที่มันสั้นลงก็มี สิ่งใดที่ผิดก็สั้นลง สิ่งใดที่เป็นสุขเป็นทุกข์ก็สั้นลง ความถูกต้องก็ยาวออกไป รอบเรียกว่ารู้รอบๆ เป็นหน้ารอบ เป็นทั้ง เห็นทั้งได้สัมผัส ทั้งได้รู้สึก ทั้งได้เกิดประโยชน์ เหมือนเรามีเงินในกระเป๋าสำหรับใช้เดินทางในกายในใจ เวลาอะไรเกิดขึ้นที่ต้องใช้เงินใช้ทองใช้หนี้ตามระเบียบก็ใช้ได้เลย หรือเสมือนกับเราขับรถจับพวงมาลัย ความเป็นสากลของรถเหมือนกันหมด การวิ่งการหยุดการเร็วการช้าอยู่ที่เราเป็นคนขับ ให้มั่นใจว่าให้เราได้ใช้รถยนต์เราได้ขับเราได้จับพวงมาลัย แม้อะไรจะเกิดขึ้นเราก็จับอยู่นี้ ตามหลักถูกต้องอยุ่นี่ อยากจะหยุดก็หยุดได้ สิ่งอื่นที่มันฉุดให้วิ่งเช่นลงเขาลงต่ำ มันฉุดให้วิ่ง เราก็สามารถช้าๆได้ มันให้ไวเราก็ช้าได้มันอยู่ที่เรา อันนั้นก็เป็นรถยนต์ยังใช้ได้ แต่ว่าตัวเรานี่ยิ่งมั่นใจกว่านั้น ถ้าเรามีความรู้มีวิธีมีปัญญา การใช้กายใช้ใจนี้มันก็ยิ่งมั่นใจจะต้องหัด แต่ถ้าไม่หัดก็ใช้ไม่เป็น หัดไว้ซะให้เป็นตั้งแต่หนุ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว เนื้อแข็งแรงมากหัดเอาไว้ ถ้าไม่หัดมันก็หลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ กิเลสก็พันห้าตัณหาก็ร้อยแปด เกี่ยวข้องกับอะไรก็เกี่ยวข้องกับกายกับใจหมด นินทาก็มาเกี่ยวข้องกับกายกับใจ สรรเสริญสุขทุกข์ได้เสียมันมาเกี่ยวข้องกับกายกับใจทั้งหมด จะวิ่งแก้ตรงนั้นจะวิ่งแก้ตรงนี้แก้ไม่จบ เรื่องเดียวก็แก้อยู่ตลอดภพตลอดชาติ มันก็ไม่จบไม่สิ้น หลายๆอย่างเกิดขึ้นกับกายกับใจ ผิดก็มีถูกก็มี จนถึงกับมีคุกมีตาราง มีตัวบทกฎหมาย ศาสตราอาวุธ มีพิธีต่างๆ จับกุมคุมขัง ติดโซ่ติดตรวนให้คนอื่นมาคุ้มครองกายใจเรา ไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น เราจึงต้องหัดให้มี หัดทำให้เป็น ให้ได้รู้จักตัวเองให้รอบคอบซะ มั่นใจมั่นใจในการมีกายมีใจนี้ อยู่ในโลกแห่งหลายรสหลายชาติก็มีความมั่นใจอยู่เสมอ มีธรรมมันก็มีทุกอย่าง ถ้าไม่มีธรรมเราก็จนทุกอย่าง ทั้งกลัวทั้งกล้าทุกอย่าง เกิดขึ้นจากภายนอกบ้างเกิดขึ้นจากภายในบ้าง แต่ถ้าเราไม่มีความรู้รอบ มีสติเป็นเจ้าของกายเจ้าของจิตใจ มันก็เถื่อน ฝึกไว้ซะ ถ้าเราไม่ฝึกมันก็ป่าเถื่อนนะกายของเราใจของเรานี่ หิ้วไปไหนก็ได้ ไปสู่ภพภูมิต่างๆมากมาย เป็นเปรตเป็นอสุรกายเป็นสัตว์นรกเป็นเดรัจฉาน ภูมิมันต่ำภูมิไม่เจริญ เกิดมาทั้งชาติอยู่ในภูมิไม่เจริญ กายก็เดือดร้อน ใจก็เดือดร้อน แก้ปัญหา สร้างปัญหา มันสามารถที่จะติดอะไรได้ กายกับใจนี้ ติดสิ่งที่ชั่ว ติดสิ่งที่ไม่ชั่ว ที่ถูกที่ผิด ถ้าเราไม่รู้จักใช้สุรุ่ยสุร่าย ก็เปรอะเปื้อนสูญเสียเนื้อแท้จิตแท้ จิตเดิมแท้ ธรรมชาติของจิตธรรมชาติของกาย เราจึงพิจารณาตามหลักความถูกต้อง เช่นเราสาธยายพระสูตรสติปัฏฐานสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอันมีมาก ถ้าเราไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ไม่ฝึกหัด สิ่งที่ถูกมีให้ใช้แต่ไม่ได้ใช้สิ่งที่ถูก มาใช้สิ่งที่ผิดก็มี เช่นหลงเป็นหลงก็ใช้ความหลงซะ ทุกข์เป็นทุกข์ก็ไปใช้ความทุกข์ซะ ไม่ใช้ความไม่ทุกข์ใช้ความไม่หลง ไม่ค่อยจะเป็น ถ้าเราไม่หัดไม่เคยชิน เหมือนคนไม่หัดฝึกหัดการงานต่างๆสิ่งต่างๆก็ทำไม่เป็น แต่ผู้หัดก็ทำเป็น เรียนรู้แล้วก็ทำเป็น รู้จักรู้แจ้ง ชีวิตของเรานี้ไม่มีอะไรมาขวางกั้น บอกตรงตรงมาแบบโง่ๆซื่อๆ หลงก็เป็นหลง ความไม่หลงก็เป็นความไม่หลง ทุกข์ก็เป็นทุกข์ ความไม่ทุกข์ก็เป็นความไม่ทุกข์อยู่เสมอ แต่เราใช้ไม่เป็นเฉยๆนี่ ก็เลยเป็นชีวิตเถื่อนไม่รู้จะแก้อย่างไร วิ่งโน่นวิ่งนี่หาโน่นหานี่ ป้องกันแบบโน้นป้องกันแบบนี้ ด้วยคำพูดคำจาด้วยความคิดต่างๆ พิธีกรรมเกิดขึ้นมากมาย หลักการปฏิบัติความถูกต้องต่อสิ่งที่มันผิดที่เกิดกับกายกับใจก็ยังแก้ไม่ถูก แต่ทำพิธีรีตองเอาต่างๆเกี่ยวกับคนอื่นสิ่งอื่นวัตถุอื่นเอามาทำ ทั้งๆที่มันเกิดกับกายเรานี้กับใจเรานี้ ไปทำพิธีกรรม พิธีกรรมมีมากมายเกี่ยวกับคนอื่น เกี่ยวกับสถานที่ด้วย เช่นเรื่องธรรมวินัย พิธีกรรมต่างๆก็มีเยอะแยะจนมาอยู่ในหลักศาสนพิธี อยู่ในหลักวัตถุ อยู่ในหลักบุคคล อยู่ในหลักธรรมเรียกว่า ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรม เข้าไม่ถึงศาสนธรรม ไปเกี่ยวข้องกับ ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคลก็ทำไม่สำเร็จ แม้แต่ความผิดพลาดก็เกี่ยวกับ ศาสนวัตถุ ศาสนาพิธี ศาสนบุคคล เกิดจากตัวเราเอง มันแก้ได้ ก็ไม่ค่อยแก้ตรงจุดถูก ไปแก้จุดที่ไม่ถูกต้อง มีมาก เสียเวล่ำเวลา เช่น เรื่องพระสงฆ์ ธรรมวินัย วินัย ที่บัญญัติสำหรับแก้ภิกษุผู้แก้ยาก ผู้ดื้อด้าน เหมือนกับตัวบทกฎหมายคุกตะรางที่ว่าแก้คนที่ดื้อด้าน ถ้าคนไม่ดื้อไปกลัวทำไม ไม่ต้องไปให้คนอื่นมาแก้ไข ใส่โซ่ใส่ตรวนจับกุมคุมขัง ว่าถ้อยว่าความ นี่แจงต่างๆมันได้คิดไปถึงโน่นก็ได้ เช่นเรื่องธรรมวินัยสำหรับแก้ผู้แก้ยาก ผู้ไม่แก้ยากก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมต่างๆ เช่น ปริวาส ปลงอาบัติ ปริวาสอาบัติก็มีหนัก มีเบา มีปานกลาง ถ้ามีหนักก็ตัดขาดลงโทษ ถ้ามีเบาก็ปริวาส ถ้ามีเบาที่สุด เป็นครุกาบัติและลหุกาบัติ ครุกาบัติก็หนัก ลหุกาบัติก็เบา เพียงแต่บอกความจริงก็ให้อภัย ถ้าทำกันเช่นคำพูดที่ผิดเกี่ยวกับมิตรกับเพื่อน การทำที่ผิดเกี่ยวกับมิตรกับเพื่อน กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เห็นตัวเองทำผิดก็บอกสารภาพต่อเพื่อน เพื่อนก็ให้อภัยคืนดีกันได้ ถ้าหนักก็ไม่มีใครให้อภัย กรรมของตัวเองที่ทำไป ว่าไปกันไกลเหลือเกิน แทนที่มันอยู่ใกล้ตัวเอามาแก้ใกล้ตัวนี้มีสตินี่มันน่ารอบนี่ อะไรเกิดขึ้นมาแก้ รู้เปลี่ยนร้ายเป็นดี เรียกว่าปฏิบัติสามารถทำได้
แม้แต่ตาบอดก็ทำได้ แก้ได้ แก้ความถูกต้อง หูหนวกพิการเคลื่อนไหวไม่ได้ก็แก้ได้ บาปกรรมหรือว่าความผิดความถูกที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ เช่นความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความแก่ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความเจ็บ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความตาย ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ความทุกข์เกิดขึ้นจากความคิด ความทุกข์เกิดขึ้นกับเหตุการณ์ต่างๆ มันก็ต้องอยู่ที่ตัวเราเองที่จะต้องไปเกี่ยวของกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรานี่ได้ อย่างมีธรรมนี่ ถ้าว่ามีธรรมนี่มันมีความมั่นใจ มันมีหลัก ไม่ได้ทุกข์เพราะความทุกข์ ไม่ได้ทุกข์เพราะความแก่ ไม่ได้ทุกข์เพราะความเจ็บ ไม่ได้ทุกข์เพราะความตาย ไม่ได้สุขเพราะความสุข ไม่ได้หลงเพราะความหลง มันทำได้อย่างนี้ หูหนวกตาบอดก็ทำได้ ถ้าชื่อว่าทุกข์เป็นความไม่ถูกต้อง ความไม่ทุกข์เป็นความถูกต้อง หัดให้มาทางนี้ ส่วนมากถ้าไม่หัดก็ง่ายไหลไปทางต่ำเหมือนน้ำไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ชีวิตของคนนี่มันเป็นอย่างนั้น เราจึงรีบหัดรีบฝึกหัดตัวเองโดยวิชากรรมฐานนี่ทันใจทันใจ มาเป็นศูนย์รวมจุดเดียวกรรมฐานที่ตั้งแห่งการกระทำ มันผ่านมาทางนี้หมด สิ่งที่ถูกก็ผ่านมาสิ่งที่ผิดก็ผ่านมาให้เห็น ถ้ามีวิชากรรมฐานมีวิธีกรรมฐานนี่ ตามหลักที่พระพุทธเจ้าสอนนี้ปฏิบัติตามธรรมนี้ มีสติมีสัมปชัญญะเห็นกายอยู่เป็นประจำ คนก็มีกายเห็นรูปนี้เป็นดุ้นเป็นก้อนนี้ มีอยู่ รูปก้อนของกายที่เป็นธาตุสี่มีขันธ์ห้านี้ มันสามารถที่จะบอกแสดงออกอันความผิดความถูกให้เห็นอยู่นี้ เช่นความหนาวเกิดขึ้นกับรูป ความหิวเกิดขึ้นกับรูป ความร้อนเกิดขึ้นกับรูป ความอิ่มเกิดขึ้นกับรูปมีอยู่จริงๆ ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นกับรูปมีอยู่จริง แต่ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นกับรูปเป็นสมมุติบัญญัติไม่ใช่เป็นธรรมชาติ ความร้อนความหนาวเป็นธรรมชาติไม่ใช่เป็นสมมติ อันธรรมชาติกำหนดรู้ด้วยการรู้เป็นปัญญา ให้มอบให้ความไม่เที่ยง มอบให้ความไม่เที่ยง ความไม่ทุกข์มอบให้ความไม่ทุกข์ อันทุกข์ตามธรรมชาติ แต่ทุกข์สุขที่เกิดจากสมมุติบัญญัติเป็นทุกข์ต้องแก้ต้องเปลี่ยนมัน หัดทำดู มีสติสัมปชัญญะมักจะเห็นช่องทางเป็นกระแส ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานสี่นี้เห็นกระแสพระนิพพาน ทำพระนิพพานให้แจ้งอยู่เรื่อยๆ มันมืดมาก็แจ้งไป มันมืดมาก็แจ้งไป ความแจ้งแห่งกรรมฐานเรียกว่าวิปัสสนานี้ มันไม่ได้มืดเปิดทางให้ทุกวิถีทาง เห็นกายสักว่ากาย มันไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันแจ้งไปทางโน้นแล้ว ถ้ามันมืดเห็นกายเป็นตัวเป็นตน แล้วก็มีสมมุติบัญญัติเป็นดงเข้าไปเลยเป็นอวิชชามืดเข้าไป ไม่เห็นตามความเป็นจริงมืดเข้าไปเลย เป็นตัวเป็นตนเป็นสมมติเป็นอุปาทานไปโน่น ถ้าวิปัสสนานี่มันรู้แจ้งก็สักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขามันไม่ธรรมชาติมอบให้ธรรมชาติมันไป ไปทิ้งมันไปกับธรรมชาติกับความเป็นทุกข์กับความไม่เที่ยง ทุกข์ที่มันเกิดจากธรรมชาติมันมีที่ทิ้งที่วาง ทุกข์เกิดจากสมมุติบัญญัติมันมีที่แก้ แต่มีสติถอนออกมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัวแก้ทันที มันมาให้แก้ ไม่ใช่มาให้หลงให้ลืม ให้เป็นของที่ค้างคาอยู่ ถ้าเราไม่แก้สิ่งที่มันผิด มันก็ติดอยู่ที่รูปที่นามนี้เพราะมันมีรูปมีนาม หัดให้มันถูกทันที ไม่ใช่ทำเล่นๆ สิ่งใดไม่ถูกต้องหัดให้มันถูกในคราวเดียวกันทันทีต้องมันถึงจะชำนาญ มันถึงจะทำเป็น เรียกว่าทำเป็น เวลามันหลงก็รู้ทันที นี่ทำเป็น ทีแรกก็ต้องหัดต่อไปไม่ได้หัดมันเป็นไปแล้วชำนาญแล้วทะลุทะลวงไปแล้วรู้แจ้งไปแล้ว อยากให้มันเป็นสุขให้มันเป็นสุข ทุกข์ให้เป็นทุกข์ มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้นอันสุขอันทุกข์นี้ บอกคืนไปมีสติสัมปชัญญะให้รู้สึกตัวให้รู้สึกตัว ดังพระสูตรที่เราสวดให้รู้สึกระลึกได้ นี่ความรู้สึกระลึกได้มันเป็นการถอนออกมาแล้ว เหนือแล้วเหนือสุขเหนือทุกข์แล้ว ถ้าว่ารู้สึกตัวรู้สึกตัวให้รู้สึกตัวนี่ ความรู้สึกตัวก็ไม่กินพื้นที่ อันสุขอันทุกข์มันกินพื้นที่ บางทีมันยึดก็กินพื้นที่ใหญ่ ยึดครองนั่นยึดครองนี่ สำคัญมั่นหมาย ถ้ารู้สึกตัวนี่ไม่กินพื้นที่ ว่างเปล่าไปเลย ไม่มีพื้นที่ให้อาศัยไม่กินพื้นที่ ธรรมไม่กินพื้นที่ ใช้ชีวิตไม่กินพื้นที่ แม้อยู่กับโลกที่เป็นโอกาสโลกแผ่นดินแผ่นฟ้าก็ไม่ได้กินพื้นที่ อยู่กับโลกแห่งรูปรสกลิ่นเสียงก็ไม่ได้กินพื้นที่ถ้ามีธรรมนี่ ถ้าไม่มีธรรมก็กินพื้นที่แย่งกัน แย่งเอาความสุขบีบคั้นคนอื่น แย่งเอาความทุกข์ขวางกั้นคนอื่นจนเกิดปัญหา เพราะมันกินพื้นที่ของคนอื่น มันมีถ้า มันมีสมมติบัญญัติ มีการแสดงออกเป็นคำพูดคำจาเป็นความคิดเป็นวัตถุก็ได้ มันไปไกล ถ้าสักแต่ว่า มันไม่ไปที่ไหน มันอยู่ตรงที่เดิมตกที่เดิมตกที่เดิมแล้วก็หายไป มีแล้วหายไป ทำให้มันหมดไป เช่นเวลามันดับมันหายไปไหน เวลามันเกิดมันเกิดขึ้นอย่างไร แต่เมื่อเวลามันดับมันไปไหน บาปบุญก็เช่นเดียวกัน สุขทุกข์ก็เช่นเดียวกัน มันไม่มี เราก็เสียเวลากับสมมุติบัญญัติเอามาให้รกรังไปหมดเลย จิตใจของเราเหมือนคอมพิวเตอร์ มันสะสมอะไรได้เยอะ เหมือนโทรศัพท์น้อยๆสะสมรายชื่อบุคคลได้ตั้งห้าหมื่นห้าแสนหรือห้าเท่าไหร่ก็ว่า บรรจุลงไปนี่ ข้อมูลใส่ลงไป กำหนดเวลาวันที่เท่าไหร่ใส่ลงไป เครื่องน้อยๆ เท่า ๒ นิ้วนี่บรรจุลงไป เสียงก็บรรจุลงไป เก็บข้อมูลได้เยอะเยอะนี่ จิตวิญญาณของคนนี่ก็เก็บข้อมูลได้เยอะๆเนี่ย ถ้าเราไม่รู้จักใช้ก็รกรุงรังไปหมดเลย แต่จิตที่รู้จักใช้นี่มันก็ไม่เหมือนกับวัตถุสิ่งของ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน มันจะแก่จะเจ็บจะตาย เป็นทุกข์ความแก่ความเจ็บความตายไม่ได้เด็ดขาด ความแก่ไม่ใช่ชีวิตจริงๆเราไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย คือชีวิตมันถูกต้องจริงๆนี่ ความไม่เป็นอะไรกับอะไรนี่ มันเป็นของที่เหนือทุกอย่าง ยิ่งใหญ่เป็นธรรมชาติ ยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่าง ธรรมชาติมันยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่าง จึงมาฝึกหัดกัน มันทำเป็นทำได้เสียตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นน้อยน่ะอย่าได้ประมาท มันมีให้เราศึกษาอยู่ อย่าเอาสมมุติบัญญัติ เอาสถานที่ เอากาลเวลา ไม่มีกาลไม่มีเวลาดอกการปฏิบัติธรรมนี้ บางทีไปเอานินทาสรรเสริญสุขทุกข์มาขวางมากั้นทำยากอยู่ยาก เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของ เกี่ยวกับผู้กับคน เกี่ยวกับระเบียบแบบแผนต่างๆ มีลงไประเบียบอะไรก็มีลงไป มันอยู่ที่ตัวเรา มาแก้ที่ตัวเราเนี่ย ระเบียบมันแก้อะไรไม่ได้ ถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเรานี้ เหมือนรั้วมีก็มีไปแต่เราไม่ได้ไปมีปัญหาเพราะให้รั้วมาล้อม เราก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ ความถูกต้องไม่มีรั้วล้อม เช่นศีลนี่มันล้อมสำหรับคนที่ดื้อ ถ้าคนไม่ดื้อก็ไม่ต้องเกี่ยวกับรั้ว ศีลก็อำนวยความสะดวก สมาธิก็อำนวยความสะดวก ปัญญาก็อำนวยความสะดวก นิพพานได้ทุกกรณี มีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกกรณี ไม่แต่มีอะไรก็เราก็อยู่ที่นี่แล้ว นึกถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง รู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ แจ้งในสิ่งที่ยังไม่แจ้งอยู่เสมอ ชีวิตที่มั่นคงนี่คือชีวิตที่แท้ๆล่ะนี่ มันต่อยอดมาจากชีวิตที่ไม่แท้ไม่จริง มันเป็นยอดมาอย่างนี้ ต่อยอดมาอย่างนี้ มีรูป รูปมันเป็นทุกข์ รูปมันเป็นสมมุติ รูปมันเป็นบัญญัติ รูปมันเป็นรูปโลกต่อยอดมานี่ ได้รูปได้นามมาต่อยอดให้เป็นมรรคเป็นผล
ถ้าเราไม่มีรูปมีนามมันก็ต่อยอดไม่ได้ น่าจะขอบคุณที่ได้รูปได้นามมานี้ ขอบคุณถึงผู้มีพระคุณให้กำเนิดเกิดมา มีบุญมีคุณ ขอบคุณที่พระพุทธเจ้าได้พาศึกษาธรรมะ ขอบคุณพระธรรม ขอบคุณวิธีปฏิบัติจนเกิดเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาขึ้นพระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติตรงปฏิบัติออกจากทุกข์ปฏิบัติเป็นสถาบัน มันก็อยู่ตรงนี้ทั้งนั้น ปฏิบัติดี มาเลย อะไรจะเกิดขึ้นมาก็มาเลย มาอะไรก็ทำให้ปฏิบัติดี มาอะไรก็ปฏิบัติตรงอยู่เสมออยู่ที่ตัวเรานี่ก็ว่าดีก็ว่าตรง ออกจากทุกข์ ปฏิบัติเป็นสถาบันชำนาญนี่เรียกว่าหลักของการถูกต้องก็มี หลักปฏิบัติคือรั้ว พระสงฆ์คือหลักปฏิบัติ ๔ อย่าง สามารถเป็น สังฆะเป็นสงฆ์ได้ ผู้คนจะเห็น ทำคนกราบไหว้ ทำอัญชลียกมือไหว้ได้ แม้เกิดในตัวเราก็ยกมือไหว้ตัวเราได้ เกิดอยู่กับคนอื่นก็ยกไหว้คนอื่นได้ เคารพคุณธรรมที่มี อยู่กับพ่อกับแม่เคารพคุณธรรมที่มี อยู่กับลูกก็ได้ กับเพื่อนกับมิตรกับใครก็ได้ ถ้าใครไม่มีคุณธรรมก็ไม่จะไปเคารพที่ไหนก็ไม่รู้ เคยไปประชุมกันเรื่องพระรูปหนึ่งที่กล่าวผิดๆกับหลวงพ่อเทียน เขาเอาคลิปมาเปิดให้ฟัง ก็ล้อเล่น สาธุเล่น ภาษาของคนไม่รู้ แล้วก็สรุปให้เพื่อนทราบว่า เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่ตัวเราเองหรอก ถ้าของส่วนตัวของผมเองผมไม่เคารพ พระรูปนี้ที่เป็น คลิปเสียงนี่ ผมไม่เคารพท่านแล้ว บอกท่านพูดความไม่จริง จะพูดให้มีความจริงเป็นอย่างหนึ่ง ความไม่จริงท่านหามาพูดเอง เราไม่เคารพท่าน ก็แค่นี้ ถ้าคนที่พูดสิ่งที่ไม่จริงให้เป็นของเล่นๆนี่มันก็ไม่น่าเคารพอะไร เอาง่ายๆ เราไม่มีบุญคุณไม่มีคุณอะไร มันไม่ยาก ถ้าคนไหนที่เป็นคนดี เราหนักในบุญคุณของท่าน ไม่ใช่หนักหนี้หนักด้วยทรัพย์สมบัติหนักบุญคุณ อันหนักหนี้สินนี่ยังเบากว่าบุญคุณ บุญคุณมันหนักกว่าหนี้กว่าสินมันอยู่ในหัวใจ หนักหนี้สินนี่มันอยู่ในภายนอกนอก จึงมีผู้มีพระคุณ เช่นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณพ่อคุณแม่ คุณครูบาอาจารย์ เพื่อนมิตรผู้มีคุณ เราเคารพทุกคนทุกชีวิต เราก็เลยอยู่ได้ด้วยกับผู้มีพระคุณเป็นเครื่องประดับชีวิตของเรา เพื่อนมิตรเป็นผู้มีบุญคุณนี่เราประดับชีวิตเรา แม้เราเดินไปทางลานธรรมไปอยู่ในแถวนั้นเดินจงกรมอยู่ เห็นพระไตรปิฎกเห็นพระพุทธรูปเห็นเสมาธรรมจักรเราก็ยังอุ่นใจมองเห็นบุญคุณความเป็นจริงที่แสดงเป็นวัตถุเราก็ยังอุ่นใจ เป็นภาพที่อุ่นใจ ไม่เดินไม่เหมือนกับเดินไปจุดเสื่อมจุดเสียหายให้ระมัดระวัง ถ้าได้เดินจงกรมอยู่หน้าพระไตรปิฎก อยู่เสมาธรรมจักร อยู่ที่วิธีปฏิบัติ มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจคิด ตามคำพูดหลวงพ่อเทียนสอน ต่อหน้าต่อตามีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด ทำเหมือนอาจารย์ทรงศีลทำตัวหนังสือทำเป็นรูปเชือกขาดขาดตรงนี้ มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด ทุกทีมันก็ขาดลงๆๆ มันไม่ต่อมันไม่ต่อมันขาดก็ใช้ไม่ได้ เห็นสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด ความคิดไม่สามารถจะต่อไปไหนให้เป็นกิเลสตัณหาได้ เห็นความโกรธความโลภความหลงได้ มันก็ขาด แม้มันเป็นเชือก มันก็ขาดจะใช้อย่างไร มันเป็นสุขมันขาดออกเองล่ะ เวลามาใช้ก็เป็นเชือกอยู่ แต่จะใช้เป็นสุขเป็นทุกข์มันขาดออก เรียกว่าเชือกขาดตรงนี้ มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด มันก็ไม่ขาด เห็นความสุขเพราะความคิด เห็นความทุกข์เพราะความคิด เห็นความรักความชังเพราะความคิด เชือกมันไม่ขาดดึงไปทางซ้ายบ้างดึงไปทางขวาบ้าง ถ้าตามหลักจริงๆมีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิด อย่าเข้าไปอยู่ในความคิด หลวงพ่อเทียนก็สอนอย่างนี้ เรามาปฏิบัติก็เห็นอย่างนี้ เอาเลย ให้คิดอะไรก็คิดมาเราใช้ให้เกิดประโยชน์ ได้ปัญญาได้สติได้ความชำนาญอันเกิดจากความคิดนี่อันเกิดจากกาย มีบางครั้งบางคราวเกิดจากตาก็มี บางครั้งบางคราวเกิดจากหูก็มีบางครั้งบางคราว ถ้าเกิดจากใจนี่ไม่เลือกเวลาไม่เกี่ยวกับวัตถุเป็นคู่ มันมาเอง มันคิดขึ้นมาเองก็ได้ชำนาญ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่คิดมันจะไม่รู้เรื่องนี้ บางคนไปห้ามคิดซะ บริกรรมตัดออกข่มไว้ มันก็ไม่ค่อยถูกต้องไม่ได้บทเรียนจากความคิด การตรัสรู้พระพุทธเจ้าบำเพ็ญทางจิตเกิดจากความคิดไม่ใช่ไปเกิดจากกาย เราใช้กายนั่ง แต่มันอาศัยให้เห็นความคิดที่มันแสดงออกมานี่ อันนี้อะไรได้หลัก ก็ดูดีดี ที่ตะวันออกของลานธรรม มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิดนี้ คิดแล้วมันไปทางไหนล่ะ มันขาดเหมือนเชือกไหม มันมีเชือกอยู่ในนั้นด้วย ถ้าเดินเล่นอยู่แถวนั้นมันก็มีความสุข มันมีความอุ่นใจอุ่นใจ ก็ทำไว้ให้ดู อาจารย์ทรงศีลทำไว้ พวกเราทำไว้ พวกเราทำไว้ช่วยกันเป็นการศึกษา อย่าไปแอบไปอยู่ในกุฏิ ลี้หลับลี้นอนอยู่ เปิดเผยมันขึ้นมา เอาสิ่งแวดล้อมสอนตัวเราลงไป เดินมาดูแถวพระไตรปิฎกอ่านดูซักแถวหนึ่งข้อความหนึ่ง สัมปชัญญะบรรพ กายบรรพ จิตบรรพ มันมีการแสดง กายบรรพก็คือกายเคลื่อนไหว จิตบรรพคือมันคิด กายบรรพธรรมชาติมันมีการแสดง แล้วเราก็มาดูตัวเรา ดูภายนอกกลับมาดูภายใน ตาเห็นภายนอกแต่ปัญญากลับมาดูเรา ตาภายในมันมองกลับ ตาภายนอกมองไปข้างหน้า ตาสติปัญญามันมองกลับมากลับมากลับมา อ้าวเท่านี้ก็พอเนาะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน