แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราสวดมนต์ตอนเช้า ปลุกเสกตัวเอง ไม่ใช่ไหว้สวดมนต์เพื่อเป็นพิธี เอาบุญเอากุศลอันอื่น ต้องเป็นเรื่องของเรา รูปไม่เที่ยงเสกลงไป เวทนาไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน เสกลงไป รูปเกิดขึ้นทุกโอกาสให้เราได้เห็น เวทนาเกิดขึ้นทุกโอกาสให้เราได้เห็น สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นในตัวเรานี้ อย่าให้หลงเป็นว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ เพราะรูป เพราะเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นเป็นขันธ์ที่มีอยู่ในรูป เป็นนามที่มีอยู่ในรูป แต่ขันธ์มันเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อเราไปยึดว่าเรา ว่าเป็นทุกข์เป็นโทษ ว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าไปยึดเป็นตัวเรา ว่าต้องเป็นการเกิดแก่เจ็บตาย เกิดดับเกิดดับ เป็นภพเป็นชาติอยู่ที่นี่ เสกลงไป รูปก็ไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง เกิดขึ้นทีไร เราก็เอามาใช้ เพื่อให้เป็นมรรคเป็นผล ถ้ารูปมันเกิดขึ้นที่มันแสดงออก รูปไม่เที่ยง นั่นทางไปสู่มรรคสู่ผล สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับรูปมันเป็นสุขเป็นทุกข์ ทางไปสู่ความเกิดแก่เจ็บตาย เราจะเลือกเอาอย่างนี้ หรือจะเลือกยังไง ตรงนี้เป็นทาง อย่าหลงตรงนี้ ทางก็คือตรงนี้ เดินทางแบบนี้ ทางจิตวิญญาณ กำหนดเตือนตรงนี้ ไม่มีประโยชน์ชีวิตเราที่มีรูปมีนามมานี่ ทางเดินของรูปที่มันผิดทางเดินของรูปที่มันถูกในขันธ์ 5 นี้ ไม่ใช่ไปอยู่ที่ไหน ไปกราบไปไหว้ ไปเอาอะไรไปเป็นบุญเป็นกุศล บุญเป็นกุศลต้องเอาให้เกิดจากที่นี่ เกิดจากกายจากใจ เกิดจากรูปจากนามนี่
แล้วก็อีกอันหนึ่งก็คือเรื่องปฏิบัติธรรม ก็ปลุกเสกตัวเองมีสติไปในกายอยู่เป็นประจำ ก็จะได้เป็นพละเป็นกำลัง ให้ได้เห็นรูปว่าไม่ใช่ตัวตนจริงๆ เพราะเห็นมีสติรู้สิ่งที่กาย อะไรเกิดขึ้นที่กาย รู้สึกตัว ก็ไม่ต้องไปถึงว่าไปหลงที่รูป มันเป็นความชำนาญไว้ตั้งแต่ทีแรก จบไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว มีสติภายในกาย สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายเป็นสักแต่ว่าอาการธรรมชาติ เป็นบทเรียนไปเรื่อยๆ มีสติไปในกายก็เห็นจิตที่มันคิด ก็ให้รู้สึกตัว ความคิดก็เป็นรูปที่มันเกิดขึ้นมา ความคิดเป็นรูปเป็นอุปทายรูป ไปยึดความคิด ว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นความโกรธโลภหลง นั่นเรียกว่าอุปทายรูป เป็นรูปปลอมๆ ถ้าเราเห็นรูป อาการที่เกิดขึ้นกับรูป เป็นอาการ ความคิดเกิดขึ้นจากจิตใจ เป็นอาการ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิด ให้มีสติ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม มันก็ไม่ไปถึงความเกิดแก่เจ็บตายได้ มีสติไปในกายนี้เป็นประจำ เราก็มีอาชีพเรื่องนี้ พวกเราเป็นชีวิตนักบวช อาชีพสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต ชีวิตเกิดขึ้นอย่างนี้ ไม่ใช่ชีวิตได้มายืนเดินนั่งนอนได้ ชีวิตที่เดินไปสู่ความไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย มันจึงเป็นชีวิต ไม่ใช่เกิดมาเพื่อรอวันตาย มันเจ็บก็เป็นความเจ็บ ความทุกข์ก็เป็นความทุกข์ รอวันตาย เป็นคนป่วยที่รักษาไม่ได้แล้วรอวันตาย อันนั้นไม่มีค่าอะไร อันนี้มันป่วยทางจิตวิญญาณก็เลยมาเป็นตัวเป็นตน ปุถุชนคือคนป่วย สุขเป็นสุข ทุกข์เป็นทุกข์นี้คือปุถุชนคือคนป่วย รักเป็น ชังเป็น ดีใจ เสียใจ นี้คือคนป่วย ถ้าป่วยแบบนี้ก็ต้องมีรอวันตาย วันเจ็บวันตาย ถึงคราวเจ็บก็เจ็บ ถึงคราวตายก็เป็นทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ถ้าเรายอมจำนนแบบนี้จะมีค่าอะไรชีวิตเรา
มันมีวิธีปฏิบัติตามหลักพระธรรมคำสอน มีผู้ปฏิบัติตามธรรม ตามวินัยได้หลุดพ้นเรื่องนี่มาแล้วมากมาย แล้วเราต้องมาสัมผัสดู ไม่ต้องไปเชื่อใคร เวลาเรามีสติ อะไรก็ขึ้นก็รู้สึกตัว อะไรเกิดขึ้นขณะรู้สึกตัวมันก็ไม่มี มันจบแล้ว ถ้าไม่ใช้สติถ้าไม่หัดไปเราก็ใช้ไม่เป็น มันมาก่อน เข้าถึงก่อน เข้าถึงความสุข เข้าถึงความทุกข์ เป็นสุขเป็นทุกข์เสียแล้ว เขาไม่มีเจ้าของไม่มีผู้ดูแล มันก็เลยแก้อะไรไม่ได้ อดเอาทนเอา เวลามันโกรธก็อดเอาเวลามันทุกข์ก็อดเอา เวลามันเกิดกิเลสตัณหาก็อดเอาทนเอา บางทีก็ทนได้ บางทีก็ทนไม่ได้ ส่วนมากถ้ามันเข้าถึงตัวแล้ว ก็ทนได้ยากนั้นคนเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เรียกว่าใช้ชีวิตที่ผิดพลาด เจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อโรคถึงตัวแล้วก็มีบุคคลที่หนึ่งที่สอง หรือวัตถุที่หนึ่งที่สองมากขึ้นไปอีก ป้องกันดีกว่าแก้ไข ชีวิตเราก็เช่นกัน ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความทุกข์ วิตกกังวลเศร้าหมองนี้เป็นโรค โรคทางจิตวิญญาณ ถ้าจิตวิญญาณมีโรคเขาก็ควบคุมทั้งหมด รูปก็เป็นโรค รูปโรค นามโรค เมื่อมีโรค รูปทุกข์นามทุกข์ ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว ไปเลยถ้ามีโรค ถ้าหลงเป็นหลงเป็นหลง เรียกว่าเป็นคนมีโรคแล้ว ทุกข์เป็นทุกข์ว่าเป็นคนมีโรคแล้ว นั่นหละมีโรคอย่างนี้ไม่รักษา ก็ยอมรับอยู่ทุกโอกาส วันหนึ่งเกิดดับเกิดดับ ทุกข์กี่อสงไขยทุกข์ หลงกี่อสงไขยหลง ไม่ค่อยรู้จัก ยิ่งต้อนรับสิ่งเหล่านี้ด้วย ความไม่หลงความไม่ทุกข์มีอยู่ เมินเฉยปล่อยทิ้งไป ไม่ต้อนรับ เป็นผู้ปิดประตู ผู้ปิดประตูเรื่องนี้ไม่ใช่ชาวพุทธ ชาวพุทธต้องเปิดประตูต้อนรับ สัจธรรมความเท็จความจริง ความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ความทุกข์ไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง นี่คือสัจธรรม แต่ปุถุชนปิดประตูซะ เป็นผู้ปิดประตู ไม่ใช่ชาวพุทธบริษัท สิ่งเหล่านี้ไม่มีพิธีกรรมอันอื่นนอกจากปฏิบัติให้เป็นเท็จเป็นจริงสัมผัสเอา ไม่ใช่จำเอา มีสติ มันเป็นการสัมผัสได้ทุกรสทุกชาติ รู้จักเลือกทุกรสทุกชาติ อันมีสติเป็นเกณฑ์ไว้เป็นเกณฑ์ชี้วัดไว้จะเฉลยได้ทุกเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจ แต่ถ้าสติน้อย
เหมือนหลวงพ่อเทียนว่าแมวตัวน้อยก็จับหนูไม่อยู่ ทำบ้างไม่ทำบ้างแมวไม่โตซักที เหมือนเราเรียนหนังสือท่องบ้างทิ้งไปบ้าง ท่องไปบ้างทิ้งไปบ้างก็ไม่ติดซักทีละ จำไม่ได้ซักที หนังสือก็อยู่ในตำราหมด คืนให้ตำราหมด เวลาจะรู้อะไรอ่านอะไรต้องไปอ่านเอาเปิดหนังสือเอา อันนั้นไว้ใช้สำหรับจิตวิญญาณ สำหรับใช้กับความแก่ความเจ็บความตายจะไปทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่มีตำราที่ไหนมันเกิดขึ้นมาเอง ในรูปก็มี ในเวทนาก็มี ในสัญญาก็มี ในสังขารก็มี ในวิญญาณก็มี ซึ่งเป็นขันธ์ 5 ที่มันอยู่กับรูป เรียกว่ารูปนาม รูปคือเป็นรูป เป็นดุ้นเป็นก้อนสัมผัสด้วยมือด้วยกายได้ ฉิบหายเพราะดินฟ้าอากาศเพราะกาลเวลา รูปนี้ฉิบหายไปตามกาลเวลา บัดนี้ก็ฉิบหายไปแล้วรูป ความแก่เฒ่านำเข้ามายั่งยืน ส่วนเวทนานั่นมันไม่สัมผัสไม่ได้ไม่เห็นด้วยตา แต่มันเป็นเรื่องที่ใหญ่ มีอยู่สี่พลัง สี่แรงงานกับแรงงานเดียว รูปเป็นส่วนเดียว ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันมากกว่ารูป มันก็รุมเอารูปเป็นตัวเป็นตนของมันได้ เบียดเบียนรูปได้ เช่นความโกรธ ทำให้เบียดเบียนรูปได้ รูปมันโกรธไม่เป็น
ความทุกข์ทำให้เบียดเบียนรูปได้ รูปมันทุกข์ไม่เป็น ความรัก ความชัง ความวิตกกังวลเศร้าหมอง มันเป็นเวทนา มันเบียดเบียนรูป รูปก็ทรุดโทรมได้ง่าย แล้วเจียนตายไปเลย ถ้าเราไม่ฝึกสติเป็นพลังช่วยเหมือนกับโอสถรักษาโรคที่มันเกิดกับรูป กับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้มันหายเสีย เหมือนพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คือโรคอย่างนี้มีกันทุกคน เราจะไม่รักษาจะถนอมมันไว้หรือ ก็เป็นทุกข์เป็นโทษกับตัวเอง สิ่งที่เราทุกข์คนอื่นก็ไม่ทุกข์แล้ว ผู้ที่เข้ารักษา สิ่งที่เราโกรธคนอื่นเขาไม่โกรธแล้ว เพราะเขารักษาหายแล้ว แล้วสิ่งที่โกรธที่ทุกข์ที่เราเป็นสุขเป็นทุกข์นั้น มันก็ไม่มี เราไปยึดเอาต่างหาก เป็นอุปาทานไปยึดเอา ก็บอก พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญา สังขารไม่ใช่ตัวตน ยังดื้อไปยึดเอาว่าเป็นตัวเป็นตน กูชอบ กูไม่ชอบ กูรัก กูเกลียด กูโกรธกัน กูจะฆ่าจะตีกัน ทำตามความไม่ใช่ตัวตน เสียเปรียบความชั่ว เบียดเบียนตัวเองเบียดเบียนคนอื่น ไม่ได้ดูตัวเองเลย เสียใจ ที่ทำอะไรผิดพลาดมา แต่ก่อนไม่รู้ เจ็บปวดบ้าง ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ ทำให้อันอื่นเป็นทุกข์ สิ่งอื่นเป็นทุกข์ทำร้ายอะไรมามาก แต่คนอื่นทำให้เราเป็นทุกข์นั้นไม่ประสีประสา แล้วก็มองตนแก้ไขตนอยู่เสมอ ส่วนคนอื่นแก้ไขได้ไม่ได้ มันยาก แต่แก้ไขตนเองนั้นแก้ไขได้ จะไปเกณฑ์ให้คนทั้งโลกให้เขาไม่ว่าเราไม่ทำลายเรามันเป็นไปไม่ได้ แต่เราต้องรักษาตัวเราให้ดี
ปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นเรื่องของใครของมัน เราจะหนีไม่พ้นอันเรื่องของโลกนั้น แต่เราจะอยู่เหนือโลก ดังที่เราอยู่ในโลกนี้ เขามีนินทา เขามีสรรเสริญ เขามีสุข เขามีทุกข์ เขามีได้มีเสีย เราก็จ้องดูเหนือมัน อันสุขทุกข์เราไม่อยู่แล้ว ได้เสียกันไปอยู่แล้ว นินทาสรรเสริญเราไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เราเห็นว่ามันเป็นโรค ว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วไม่กระทบกระเทือนกับชีวิตเรา เพราะเราไม่มีตัวตนอยู่ในรูปแบบนั้น สิ้นซากไปแล้วสิ้นภพสิ้นชาติไปแล้ว จึงสมควรที่จะเป็นมนุษย์ที่เกิดมามีค่าขึ้นมา และก็มีอยู่จริงในการศึกษาเรื่องนี้ ไม่ใช่สุ่มหาเอา มันมีเกณฑ์ชี้วัด ยกมือขึ้นรู้สึกตัว เวลามันคิดขึ้นมารู้สึกตัว เวลามันสุขก็รู้สึกตัว เวลามันทุกข์ก็รู้สึกตัว เกิดอะไรขึ้นรู้สึกตัว รู้สึกตัวดูซิ ยากเป็นง่าย หนักเป็นเบา ถ้าเรามีความรู้สึกตัว ลงที่ความรู้สึกตัว จนชีวิตทั้งชีวิตมีสติเท่านั้นเอง มีสติแล้วเราอยู่ มีสติแล้วเราอยู่
พระพุทธเจ้าปรินิพพานแบบนี้ ไม่ได้ปรินิพพานที่ต้นนางรัง สองต้นที่เมืองกุสินารา สวนมัลละกษัตริย์ อันนั้นเป็นภาษาคน ภาษาธรรมคืออยู่ที่นี่ มีสติแล้วเราอยู่ เวลาสุขและทุกข์เสียดาย สุขไม่มีทุกข์ไม่มี มีแต่สติรู้ อยู่ที่ไหนสตินี้ ขอใคร ขอกับพระพุทธเจ้าหรือ ไม่ใช่เลย อยู่ที่ตัวเรานี่ ทำตามพระพุทธเจ้าสอนไว้นี่ นั่งคู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก เอ้านานแล้วหนิ ชี้นาฬิกา นาฬิกาถูกไหม ที่นี่บิณฑบาตไกลนะต้องไปแต่เช้า อันนี้ธรรมนำพาให้พูด ไม่ได้จำใครมานะ ธรรมนำพาให้พูด ให้พูดอย่างนี้ ผิดถูกฟังเอาทำดูอย่าไปเอาเหตุเอาผลจากสมองความคิดตัวเอง พระพุทธเจ้าสอนกาลามชน อย่าเชื่ออย่าเชื่อ ทำนี้เป็นกุศล ทำแล้วเป็นกุศล ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนคนอื่น อันนั้นเรียกว่าเป็นธรรมเป็นวินัย ถ้าทำสิ่งใดลงไปเป็นการเบียดเบียนตนและผู้อื่นไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย บัณฑิตเขาติเตียน ผู้รู้ติเตียน อันนั้นไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย พวกกาลามชนเป็นทุกข์ อาจารย์สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุธกัจจายนะ อชิตเกสกัมพล มักขลิโคสาล มาสอน เขาเป็นลูกศิษย์ของพวกนั่น ชาวกาลามชนนั่นแหละ หมู่บ้านกาลามชนนั่นแหละ พอพระพุทธเจ้าสอน ไปสอนเรื่องรูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ถือว่าตัวว่าตนของเรา พวกกาลามชนร้องขึ้นว่า โอ้ยยาก ยาก ยาก อาจารย์นั่นก็สอนอย่างนั่น อาจารย์นี้ก็สอนอย่างนี้ ไม่รู้จะเชื่อใคร พระพุทธเจ้าจึงตรัสกาลามสูตรขึ้นมา พวกเราได้สวดมนต์จบลงไปนี้
วันนี้ก็สมควรแก่เวลา