แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อยากได้ดี ไม่ทำดี มีอยู่มาก ที่จะอยาก หากไม่ทำน่าขำหนอ อยากได้ดี ต้องทำดี อย่ารีรอ ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเลย มีสติก็ไม่มีอะไร คือการทำลงไป ความหลงก็มีสติ ก็ทำได้ ความหลงก็หมดไป ความทุกข์ก็มีสติ ความทุกข์ก็หมดไป นี่เป็นมรรคเป็นผลอย่างนี้ มรรคผลอย่างนี้มีมาก ทำนาได้ข้าว เอาข้าวไว้กิน ยังเกิดแก่เจ็บตาย ข้าราชการทำงานได้เงินได้ทอง หามาปัจจัยสี่ มาอยู่ มากิน มาใช้ ก็ยังเกิดแก่เจ็บตาย แต่ว่าพรหมจรรย์ของเรานี้ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย เพราะอะไร เพราะตัวรู้ นำไปสู่ทางวิเศษ สู่ความวิเศษ สู่ความหลุดพ้น เป็นมรรคเป็นผล ผลสูงสุดคือเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย เราจึงมาทำเรื่องนี้กัน จะเป็นพ่อค้า ชาวนา ข้าราชการ ก็ตาม ต้องมาถึงจุดหมายอันนี้ ไม่ใช่ว่าเราเกิดมา เพื่อแก่เจ็บตายไป ไม่มีประโยชน์ มันก็เสียชาติของเรา เรื่องนี้เป็นอริยทรัพย์ภายในของเรา ทรัพย์ภายนอกใช้ในโลกนี้ ไม่จีรังยั่งยืน เปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อย ในช่วงอายุหลวงตาเนี่ย เปลี่ยนไปเยอะ บ้านเรือนเราก็ทำเอง ที่ไร่ที่นาเราก็ สับเซาเอง หลวงตาก็เลยว่าจะอยู่จะใช้ที่นั่น ยังไม่ได้ใช้เลย แม่หลวงตาก็ไม่ได้ใช้ พ่อก็ไม่ได้ใช้ น้องก็ไม่ได้ใช้ คนอื่นเอาไปใช้หมดเลย น้องก็มีลูกสาว ลูกสาวก็แต่งงาน แต่งงานก็มีลูกเขย ที่นา ก็เป็นของลูกเขยเขา หลานหลวงตาก็ตายไป ทั้งๆ ที่ให้มันสืบสกุล ไม่เป็นเช่นนั้น เป็นของคนอื่นไป นี่ทรัพย์สมบัติ ทรัพย์ภายนอกมันมีได้อย่างนี้ ไม่จีรังยั่งยืน มันเปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อย จะไปบ้านก็ไม่กล้าไป เคยอยู่ เพราะเป็นของคนอื่นไป เมื่อวานนี้ก็ไม่ใช่ของเราแล้ว ใกล้เข้ามา อะไรที่เป็นกรรม ที่ทำได้คือเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เราทำอะไรล่ะ นี่ก็เป็นกรรมฐาน ที่เรามาทำอยู่นี่ เป็นปัจจัตตัง ทันใจ ถ้ามีเดี๋ยวนี้ อันนี้ อริยทรัพย์นี่ ถ้ามีเดี๋ยวนี้ มีสติเดี๋ยวนี้ มันก็มีไปอีก ในภพหน้าด้วย เพราะมันเป็นอริยทรัพย์ มันติด แล้งไม่เสีย ท่วมไม่เสีย น้ำไม่เสีย เพราะท่วมเพราะแล้งเพราะไฟ เป็นทรัพย์ของเรา ไปใช้ในการเกิดแก่เจ็บตาย ได้ทุกอย่าง เพราะความรู้สึกตัว ทำให้ได้นี้ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจะไปลังเลสงสัยอะไร ของจริงล่ะ ที่เรามาทำอยู่นี่ กายก็มีอยู่จริง ใจก็มีอยู่จริง วาจาก็มีอยู่จริง มันใช้สำเร็จประโยชน์ได้ ถ้าทำดีก็สำเร็จในความดี ถ้าทำชั่วก็สำเร็จในความชั่วได้ มันก็พร้อมแล้ว มนุษยสมบัติแล้ว อย่าไปอวดอ้างว่าหนุ่ม ว่าแก่ เพศ วัย ลัทธิ จะเป็นอะไรก็ตาม คือมีขันธ์ห้า มีรูป มีนาม มีขันธ์ห้า มีกาย มีเวทนา มีจิต มีรูป มีกาย มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ สิ่งเหล่านั้น ถ้าเราไม่รู้ มันก็ยิ่งใหญ่ มันบังคับขับไสเรา ทำให้เราโง่ ทำให้เราหลงได้ มันใหญ่ รูปก็ใหญ่ เวทนาก็ใหญ่ สัญญาก็ใหญ่ สังขารก็ใหญ่ วิญญาณก็ใหญ่ มันปั่นเรา หลงไปกับรูป หลงไปกับเวทนา หลงไปกับสัญญา หลงไปกับสังขาร หลงไปกับวิญญาณ เป็นภพเป็นชาติอยู่ตรงนั้น นับไม่ถ้วน เวียนว่ายตายเกิด เกิดดับ เกิดดับ กับขันธ์ห้า พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพวกเรา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเด้อ บุคคลนั่นแหล่ะเป็นผู้แบกของหนักพาไป พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว ท่านไม่หยิบเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก มันก็ได้นิพพานก็ตรงนี้ ได้นิพพานคือไม่มีขันธ์ห้า เข้าสู่ธรรมชาติ ไม่มีอุปทานในขันธ์ ว่าโดยย่ออุปทานขันธ์ทั้งห้าเป็นทุกข์ ความดับทุกข์ก็คือไม่มีขันธ์ห้า ให้เข้าสู่ธรรมชาติ เป็นรูปล้วน ๆ เป็นเวทนาล้วน ๆ เป็นสัญญา สังขาร วิญญาณ ตามธรรมชาติ สู่ธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนอยู่ตรงนั้น ที่นี้เรามีตัวมีตน วันหนึ่งเกี่ยวกับรูป เกี่ยวกับเวทนา เกี่ยวกับสัญญา สังขาร วิญญาณ หลายภพหลายชาติเหลือเกิน ทั้งๆ ที่มันไม่มีตัวมีตน เราก็เสวยวิบากกรรมไปกับขันธ์ห้า ไม่ใช่น้อย มันไม่มี เราจะมาเห็นน่ะ มีสติเห็นกาย เอาเฉลยไปได้เลย กายสักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา เฉลยไปแล้ว ลบไปน้อยแล้ว เหมือนเราเขียนผิด เอายางไปลบ ให้น้อย ลบไปลบมา เหมือนหลวงตาเขียนบอร์ด เอาสีน้ำมันเคมีไปเขียน ลืมไป มันลบไม่ได้ ลบครั้งที่หนึ่งก็ไม่ออก สองครั้ง สามครั้ง ไม่ออก ร้อยครั้ง พันครั้งก็ไม่ออกไปเลยทีเดียว เวียนลบอยู่ เขาว่ามีน้ำมันทินเนอร์อะไรมา เราไม่มีน้ำมันทินเนอร์ มันไม่ทันใจ เราจะต้องทำใจ ไม่ให้มันทันใจ เขาจะมีการกระทำ มันจะลบได้ไหม มันต้องมีทินเนอร์นั่นแหล่ะ เพียงแต่เอากระดาษทิชชู่ไปเช็ดไปถูอยู่เป็นชั่วโมง ลองดูสิ มีสติได้มั้ย มีได้ ลบหมด เพียงแต่ว่า วันที่ 16 มิถุนา 51 ลืมไปว่า เอ นี่ปากกานี่ มันปากกาอะไรนี่ โห ผิดแล้ว เพียงเท่านี้ สองสามตัวเท่านี้ เอามันสักชั่วโมงลองดูสิ มันจะทำได้มั้ย ยืนปวดขา ยืนขาเดียว ยืนสองขา เปลี่ยนแขนซ้าย เปลี่ยนแขนขวา ลบไป ลบมา ลบไม่ได้ ไป ๆ มา ๆ มันได้มั้ย ลบที่มันเป็นทุกข์ ในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ มันไม่ยากขนาดเอาทิชชู่ไปลบสีเคมี สีน้ำมัน มันลบได้ แล้วมันมีจริงมั้ยเวทนา เป็นทุกข์ก็เวทนา ดูดี ๆ มันไม่เหมือนเอาตัวหนังสือที่เขียนผิด เขียนไปแล้ว มีสติ รู้สึกตัว ลองดูสิ มันจะเป็นยังไง เวทนาเป็นทุกข์จริงหรือ เวทนาเป็นสุขจริงหรือ มีสติลองดู หัวเราะลองดู มันไม่มีอะไร มันไม่ท้าทายเลย แต่เราไม่ค่อยทำตรงนี้ เอาเวทนาไปเป็นสุข เอาเวทนาไปเป็นทุกข์ เอาจิตมาเป็นสุข เอาจิตมาเป็นทุกข์ไปซะ ลืมตรงนี้ไป ลืมสติ ลืมการกระทำตรงนี้ ไม่ทำตรงนี้สักที ไปงม ไปลูบไปคลำกันอยู่ ไม่มีการกระทำ ว่ามันทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป ไม่ได้ ไม่ทุกข์ก็ไม่ได้ ไม่โกรธก็ไม่ได้ ไม่หลงก็ไม่ได้ เพราะผมเป็นฆราวาสญาติโยมต้องหลงไปตาม ราหู รูป รส กลิ่น เสียง ก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสภาพเช่นนั้น เสมือนพระพุทธเจ้าเรียกว่ามาทางนี้ มาทางนี้ พระพุทธเจ้ายืนอยู่บนฝั่ง เราอยู่ในห้วงน้ำ มุดอยู่ ดำอยู่ ท่วมปาก ท่วมคอ หัวเราะ ร้องไห้ ร้องไปซักหน่อย เอ้ มันมีจริงหรือฝั่งน่ะ มนุษย์ส่วนมากย่อมวิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งนี้เอง พระพุทธเจ้าจงมาถึงที่ไม่มีน้ำ จากที่มีน้ำ ไม่ค่อยได้ยิน เวลามันหลง เสียงความไม่หลงดังมาก แต่เราได้ยินแต่ความหลง ย่อมคิดเรื่องนั้น ย่อมลำดับลำนำ ความโกรธก็เอามาคิด เอามาลำดับลำนำ มันเลยดัง มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เสียงสงบมันดัง อาจารย์พุทธทาสว่าตบมือข้างเดียว เสียงดังก้อง เมื่อท่านตบสองข้างจึงดังได้ เมื่อฉันข้างเดียวเสียงก้องทั่วโลไก มือท่านดังไกลไม่กี่วา หมายถึง ความสงบ ความสงบมันดังถึงพรหมโลก ถึงมรรคผลนิพพานโน่น ความสงบ สมัยที่พระพุทธองค์บำเพ็ญพุทธกิจอยู่ที่ต้นโพธิ์ มีตัณหาราคะมาเสียบแทงพระองค์ เขาเคยบริโภคอย่างนั้นมา พระพุทธเจ้าก็สงบ นิ่ง ไม่หวั่นไหว ไม่ให้แนวร่วมกับมัน เลยอุทานออกมาว่า นัตถิสันติปะรังสุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ตัดไปเลย เนี่ย ความสงบมันเปรียบเทียบกับความสุขอื่นไปได้เลย เราจึงมีอาชีพ เรื่องนี้กัน ไม่ปรี ไม่เสี่ยง รู้เดี๋ยวนี้ คนพวกนี้อาจจะรู้อยู่แล้ว ไม่หมด แต่ความหลงอาจจะหมดไป ถ้ามีความรู้ ความทุกข์ก็อาจจะหมดไป ถ้ามีความรู้ ความโกรธอาจจะหมดไป ถ้ามีความรู้ เกิดแก่เจ็บตายอาจจะหมดไป ถ้ามีความรู้ ใช้ลองดูสิ มันจะเป็นยังไง เสนอให้ใช้ เหมือนคนไทยเราไปเสนอสินค้าที่นิวยอร์ค หลวงตาไปดู เขาไปเสนอสินค้า เสนอให้คนอเมริกันใช้ลองดู มีท่อพีวีซี มีก๊อกน้ำ มีโถห้องน้ำ ครุภัณฑ์ในห้องน้ำ สาธิต ไปสาธิตทั่วโลกอยู่ตรงนั้น ในที่เซนเตอร์ไฮเวย์ ที่เขาขับรถเมล์ไปชน ลานมันใหญ่โตมาก ใหญ่กว่าวัดป่าสุขะโตเรา เสนอสินค้าทั่วโลก คนไทยเราก็ไปได้ เพิ่นไปเสนอ ไปชมเขา ไปเห็นคนไทย เขาก็หัวเราะ ไปดูสินค้าคนไทยสิ เขาเสนอ ก็มีความสนใจของคนนานาชาติมากมาย เพราะอะไร เพราะมันดี คุณภาพ ลักษณะ ท่าทาง ไม่ด้อยเหมือนกัน คนไทยเรา นี่พระพุทธเจ้าเสนอมรรค เสนอผล ให้มนุษย์ดู สวากขาโต ภควตาธัมโม พระธรรมตรัสไปอยู่แล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ศึกษาพึงปฏิบัติได้ด้วยตนเอง อะกาลิโก ปฏิบัติได้ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล เอหิปัสสิโก ควรน้อมมาใส่ตัวเราดู โอปะนะยิโก เอหิปัสสิโก เรียกมาดู โอปะนะยิโก น้อมมาใส่เรา ลองดูสิ จะเป็นยังไง ปัจจัตตังเว จะรู้เอง เห็นเอง ถ้าไทยเรียกว่าเสนอ เสนอมรรคผลให้มนุษย์ ทั่วโลก นี่ดูสิ มันจะเป็นยังไง ทีนี้ก็ขอเสนอเรื่องนี้มา ขออยู่ที่นี่ เสนอเรื่องนี้ ไม่รู้จะเป็นยังไง เราก็เสนอเรื่องนี้เข้าไป ยิ่งทุกวันนี้ น้ำมันแพง อะไรมันก็แพง มันสามารถเปลี่ยนแปลงความยากความจนของคนได้ พวกเรามนุษย์ทั้งหลาย คนทั้งหลาย อาศัยปัจจัยภายนอกมากเกินไป ถ้าน้ำมันแพงก็ทุกข์ อะไรก็ตาม ให้อันอื่นมาเป็นสายบังเหียน มาบังคับชีวิตของเรา ให้ยาก ให้จน ให้ร่ำให้รวย คนไม่กี่คน ทำให้น้ำมันแพง เขามีผลประโยชน์ คนอีกมากเท่าไหร่ได้รับความเดือดร้อน มันเป็นอย่างนั้นได้หรือ มันไม่น่าจะได้ เราก็อยู่ของเราเอง ก็ต้องไม่หลงสิ ไม่ต้องฟุ่มเฟือย อย่าสุรุ่ยสุร่ายเกินไป ก็ยิ่งดี จะได้ระมัดระวัง เสงี่ยมเจียมตัว อย่าดิ้นรนอะไรมากมาย มันทันสมัยจริง ๆ สติสัมปชัญญะ ธรรมมะเนี่ย โลกจะเป็นอะไรก็ตาม เราจะอยู่ตรงนี้ เราจะอยู่ตรงนี้กัน เขาทำให้เราจน เพราะอะไร เป็นปัจจัยภายนอก เขาทำให้เรารวย เป็นปัจจัยภายนอก เอาภายนอกมาเป็นความจน เอาภายในมาเป็นความจน เราก็มอบชีวิตไว้ตรงนั้น เอาไปห้อยไปแขวนไว้ตรงนั้น ชีวิตเราไม่ควรห้อยควรแขวนไว้กับปัจจัยภายนอกมากเกินไป ให้มันอยู่กับตัวเรา มีกาย มีใจ มีสติ มีสัมปชัญญะ อันภายนอกก็ค่อยดีไป เพราะเรามีหลักตรงนี้แล้ว
ถ้าไม่มีหลักตรงนี้ มันก็ไม่จีรังยั่งยืน ถ้าเกิดแผ่นดินไหวเหมือนประเทศจีนล่ะ จะทำยังไง ถ้าเกิดพายุไซโคลนเหมือนพม่าล่ะ จะทำยังไง ถ้าเจ็บจะทำยังไง ถ้าแก่จะทำยังไง ถ้าตายจะทำไง ทำเป็นมั้ย รู้อะไรบ้าง อะไรไปทางไหนกัน เหมือนนิทานเล่ากัน หลวงตาเคยมีสไลด์นะนักเรียนนอก จบมาจากนอก อ๊อดๆมาเดินข้ามเรือ มีคนแจวเรือ นักเรียนนอกก็มานั่งเรือ คนแจวเรือก็พาไป พอไปถึงกลางน้ำ พายุพัด ลมแรง คลื่นยักษ์มา นักเรียนนอกมัวแต่คุยว่า ใครเป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทย คณะฝ่ายค้านคือใคร คณะฝ่ายรัฐบาลคือใคร ใครเป็นแชมป์กีฬาโลก ใครเป็นพระเอกหนังเรื่องนั้น ผมไม่รู้ คนแจวเรือบอกว่าผมไม่รู้ ถามอะไรก็ไม่รู้ มันโง่ปานนั้นหรือ ผมไม่รู้ครับ อะไรก็ตอบไม่ได้เลย นักเรียนนอกก็ดูถูกคนแจวเรือ หาว่าไม่รู้อะไร เวลาคลื่นมาแรงๆ นายๆ ถ้าเรือล่มจะทำยังไง ว่ายน้ำเป็นมั้ย ไม่เป็นเลย ว่ายน้ำไม่เป็นเลย อ้าวจะรอดเหรอ หมายถึง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันรอดได้มั้ย นี่คืออริยทรัพย์ภายใน มันรอดตรงนี้แหล่ะ ไม่ใช่มีความรู้ ความรู้เรื่องนั้นไปเรียนมา จำเอามา แต่ความรู้เรื่องนี้ต้องมีการกระทำนะ มันหลงรู้ มันทุกข์ก็รู้ มันโกรธก็รู้ นี่เป็นของเราแท้ๆ รู้น้อยๆ เท่านี้ ต่อไปมันก็จะมาก มันจะมีอำนาจ มันจะใหญ่ มันจะพอง เป็นใหญ่ในชีวิตเราไปเลย เป็นเจ้าของชีวิตไปเลย เจ้าของชีวิตอันนี้ ไม่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย นี่คือมรรค คือผลของธรรมวินัยเรา ธรรมวินัยเป็นอย่างนี้ วินัยเป็นอย่างนี้ ธรรมอย่างนี้ ก่อนเจ้าชายสิทธัตถะก็รู้ 18 ศาสตร์ มาเหมือนกัน แต่ศาสตร์เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีใครสอน พระเจ้าปู่ พระเจ้าย่า พระเจ้าตา พระเจ้ายาย ในสถาบันที่เรียนมา ครูทั้ง 6 ขี่ม้า ยิงธนู ฟันดาบ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ อะไรก็เรียนมาจบ ไม่มีใครสอนอันนี้เลย จนต้องศีกษาด้วยตนเอง เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา เอาสติเป็นนักศึกษา ให้เห็น อะไรมันมีอยู่ในกาย อะไรมันมีอยู่ในจิตใจ ให้เห็นกับหูกับตา ตาเนื้อของเรา ตาในของเรา เมื่อเรายกมือเคลื่อนไหว ถ้าจะเอาตาเนื้อดูก็เห็น ถ้าจะเอาตาในดูก็เห็น หลับตาดูก็เห็น นี่เป็นของจริง มันรู้ อะไรที่มันมีอยู่ในกายนี้ ที่มันแสดงมาทางใด มันเป็นชื่อ ชื่อภาษา ภาษาบาลีก็ว่า รู้ว่ากาย ว่าสติ ภาษาบาลี ภาษาไทยก็ว่า ความรู้สึกตัว ภาษาฝรั่งก็ aware ความรู้สึกตัวเหมือนกัน ความรู้สึกตัวมีทุกคนทุกชีวิต ไม่มีภาษา เวทนาคือสุข คือทุกข์ สุขทุกข์ชื่อว่าเวทนา ถ้าภาษาธรรมเราว่าอาการ ภาษาสติเป็นอาการ ไม่มีใครสอน ใครตอบ ใครพูดอย่างนี้ ธรรมชาติมันบอก เป็นอาการของกาย มันหนาวเป็นอาการของกาย มันร้อนเป็นอาการของกาย มันเหนียวเป็นอาการของกาย มันโกรธเป็นอาการของจิต มันทุกข์เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวใช่ตนเลย ภาษาธรรม ภาษาคน คือโกรธ คือทุกข์ คือผิด คือถูก คือโลภ คือหลง คือวิตกกังวล สมอง เป็นภาษาคน ภาษาธรรม เห็นแจ้ง เห็นความทุกข์ ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ เห็นความโกรธ ไม่ใช่เป็นผู้โกรธ ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ มันเห็น เมื่อมันเห็นมันก็พ้น ถ้ามันเป็นมันก็ไม่พ้น เรียกว่าภาษาธรรม มันมีสองภาษา ภาษาธรรมนี่ไม่มีโรงเรียนสอน ภาษาคนมีโรงเรียน พวกเราผ่านในรั้วมหาวิทยาลัยกันทั้งนั้น ภาษาธรรมอยู่ในกายใจ มีสติเข้าไปศึกษากายใจนี้ 84,000 อย่าง เป็นภาษาธรรม ไม่ใช่ภาษาเขียน ภาษาเขียนไม่ใช่ภาษาธรรม เป็นสมมติบัญญัติ ตามภาษาของบัญญัติ เขียนเป็นภาษา ใครก็ท่องได้ สติความระลึกรู้ได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ภาษาคน ภาษาธรรมมายกมือเคลื่อนไหว รู้ ก่อนพูด ก่อนคิด ก่อนทำ รู้ ขณะที่พูด ขณะที่ทำ ขณะที่คิด รู้ อันนี้ภาษาคน ภาษาคนอย่างนี้ใครสอนล่ะ ก็เราสอนตัวเรา ทำให้เป็น การทำให้เป็นอย่างนี้ ไม่มีครูสอน การสอนให้รู้มีครูสอน การสอนให้เป็นไม่มีใครสอน เราสอนตัวเราเอง สอนยังไง ให้รู้ เวลามันหลง รู้ สอนมั้ย เวลามันหลง ไม่เคยสอนตัวเอง บัดนี้พวกเรามานั่งสอนตัวเองอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยกัน เวลามันหลงคิดไป รู้ เวลามันสุข รู้ เวลามันทุกข์ รู้ สอนลองดูสิ มันจะสอนได้มั้ยเราเนี่ย ดูว่ามนุษย์ประเสริฐ มันสอนได้มั้ย มันประเสริฐตรงไหน ก็ตรงนี้ เราจึงมาสอนเรา ให้มันรู้เข้าไป ให้มันเป็น ทีแรกก็สอน ต่อไปๆ แล้วไม่ต้องสอน ถ้ามันเป็นแล้วไม่ต้องสอน เป็นแล้วไม่หลง มันเห็นอะไรล่ะ มันเห็นรูป เห็นเวทนา ไม่หลงเลย เห็นรูป เห็นธรรม เห็นรูป เห็นนาม ไม่หลงเลย ภาษาคนนั่นหลง ภาษาธรรมไม่มีหลง เพราะมันสัมผัสได้ สัมผัสความทุกข์ ไม่ทุกข์ นี่มันไม่หลงเลย มีสติ สัมผัสกับความเจ็บ เห็นความเจ็บ ไม่เป็นผู้เจ็บ ทำเป็นแล้ว ทำเป็น ไม่ใช่รู้ มันทุกข์ รู้ ไม่ใช่ทุกข์ เห็นมันทุกข์ จิ๊บจ๊อย ถ้าเห็นน่ะ ถ้าเป็นแล้วใหญ่โต ถ้ามันเป็นผู้ทุกข์ก็ใหญ่โต เป็นผู้โกรธก็ใหญ่โต เป็นผู้ร้อน ผู้หนาว เป็นผู้หิว ก็ใหญ่โต ถ้าเห็นแล้วไม่ใหญ่โต ก็จิ๊บจ๊อย นิดเดียว นิดเดียวเลย เพราะเห็น ไม่ใช่เป็นเข้าไป ก็ไม่มี ไม่มีตัวมีตนอยู่ในความทุกข์ หายหมดเลย หายตัว หายตัวตนไป เหลือน้อยๆ พอใช้เท่านั้นเอง อย่าให้ใหญ่เลย พวกเราอยู่นี่อย่าให้เป็นใหญ่ หลวงตานี่ก็อยากเป็นผู้น้อยๆ ไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากได้ใครกราบไหว้นะ ความเป็นจริงนะ ที่กุฏิก็ไม่มีหน้าครอง ไม่มีอะไรนั่ง มีพระพุทธรูป มีปูเสื่อปูพรม ปูอาสนะ ผ้านิสีทนะ สามชั้นสี่ชั้น กินข้าวด้วยกัน ไปไหนมาไหนไม่ต้องมารับใช้เรา ไม่ต้องมาอุปัฏฐากเราเลย แต่มีผู้ดูแลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย อันนี้เป็นธรรมดา จะดูก็ได้จะไม่ดูก็ได้ แต่นี่เรามีคนดูแลก็รอดมาได้ มีหมอบ้าง มีเพื่อนบ้าง แต่จะอุปัฏฐากกันจริงๆ อาบน้ำให้ ไม่เอา ล้างเท้าให้ก็ไม่เอา ไม่แต่ซักผ้าก็ไม่อยากให้คนอื่นซักเลย ทำเอง มันพอใจ ไม่ต้องอุปถัมภ์อุปัฏฐากมากมาย ไม่ต้องถวายของมากมายเกินไป อยากได้น้อย เป็นผู้น้อยๆ มันน้อยจริงๆ น่ะ มันไม่ใหญ่อะไร มันไม่ใหญ่อะไรเลยนะ มันเหลือแต่ธรรมชาติ ก็เลยสะดวก สุดยอดเลย ผลที่สุด ไม่มีไม่เป็นอะไร