แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อันนี้ก็ต้องฟังธรรมก่อนเนาะ หลังจากทำวัตรจบก็พูดธรรมะสู่กันฟัง เป็นฤกษ์เป็นโอกาสพอเหมาะพอดี เราก็ได้สาธยายธรรมเป็นบทสวดมนต์มีแต่คำสอนที่ดี ๆ เรานำมากล่าวมาสาธยาย เราได้สัมผัสกับคำที่เราสาธยายคำพูดออกไป เราก็ได้นั่งในสมาธิมีสติอยู่โดยชอบ นี่ก็เป็นการศึกษาหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะพวกเราก็ให้ชัดเจนในการศึกษาบ้าง ไม่ใช่โง่เง่าเต่าตุ่น มีมากมายคำสอนมีวิธีการสอนกันหลายอย่างในประเทศไทย หลายครูอาจารย์ที่สอนโดยเฉพาะวิชากรรมฐาน จนมาถึงยุคหลวงปูเทียน ประมาณหกสิบปีมานี่ ก็มีผู้ศึกษาปฏิบัติตามคำที่หลวงพ่อเทียนสอนโดยเฉพาะวิชากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐานสูตร รูปแบบของ รูปแบบของสัมปชัญญะบรรพะ กายบรรพะคือการเคลื่อนการไหว เข้าถึงตัวรู้สึกตัวเป็นที่สุดจุดหมายปลายทาง ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย พระธรรมวินัยเป็นองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยก็สรุปลงมาก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา เราก็สามารถศึกษาได้ เอามาศีล สมาธิ ปัญญา สรุปลงมาอีกเหลือมีเพียงหนึ่งคือมีสติสัมปชัญญะ จึงจะเกิดเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมาได้ สติสัมปชัญญะก่อให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ก่อให้เกิดธรรมวินัยเป็นรูปแบบแสดงออกทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นภาคทฤษฎีเป็นภาคปฏิบัติที่เป็นธรรมวินัย การนุ่งห่มผ้า การขบ การฉัน การข้อห้าม ข้ออนุญาต ธรรมวินัยก็รวมมาไว้เป็นศีล เป็นสมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ก็รวมมาอีกเป็นสติสัมปชัญญะ นี่คือความเป็นจริง ใครจะศึกษาแบบไหนก็ได้แต่ว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เหมือนเราดูช้างทั้งตัว บางคนไปดูขามันก็ว่าช้างเหมือนเสาเล่า บางคนไปดู ข้างมันช้างเหมือนฝาเล่า บางคนก็ไปดูหูมันช้างเหมือนกับกระด้ง บางคนก็ไปดูงวงมันมือมันช้างเหมือนปลิง บางคนก็ไปดูหางมันช้างเหมือนไม้ฟอยไม้กวาด แต่เราศึกษาเห็นช้างทั้งตัวมันก็จะเป็นช้างได้
การปฏิบัติธรรมก็ต้องเป็น เริ่มต้นจากสติ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นธรรมวินัย ไปทั้งหมดเลย เป็นได้อย่างไร เรามีสติสัปชัญญะ แต่พอภาคปฏิบัติดูกายเคลื่อนกายไหวเห็นใจมันคิดมันนึกรู้เท่ารู้ทัน ขณะที่ตั้งใจรู้สึกตัวอยู่นี่ เราก็ไม่ได้ทำความชั่ว ไม่ได้คิดชั่ว ไม่ได้พูดชั่ว มันก็เป็นศีล เราก็ใส่ใจที่จะให้มันเกิดความรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ การใส่ใจ การใส่ใจ สิบสี่จังหวะ สิบสี่รู้ รู้แล้วรู้อีก รู้แล้วรู้อีก รู้เป็นชั่วโมงหนึ่ง เป็นพันๆ รู้ เป็นมากรู้ เป็นมหารู้ ใส่ใจอยู่เป็นสมาธิแล้ว เวลาใดที่มันหลงไปไม่ใช่ความรู้ ก็เปลี่ยนความหลงความผิดความถูกความทุกข์อะไรต่างๆ เป็นตัวรู้ได้ เขาเรียกว่าปัญญา เป็นธรรมเป็นวินัยอย่างไร ก็คือตัวเราทั้งหมด ธรรมก็คือฝ่ายกุศล เราก็เว้นความชั่วทำความดีจิตบริสุทธิ์ วินัยก็คือความเป็นไปโดยความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรียกว่าทำของที่น้อยให้มาก ทำของที่มากให้น้อย นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าก็สอนแบบนี้ พระองค์เปรียบเสือสอนคำสอนของพระองค์เหมือนใบไม้ทั้งป่ามากเหลือเกิน แต่เอามาสอนพวกเราเหมือนใบไม้กำมือเดียว เราจึงมีการศึกษาที่ถ้วนทั่วก็ว่าได้ การเจริญสตินี้ มันก็คือมีกายมีจิตเราก็เห็นมันอยู่ วิธีที่ปฏิบัติก็มีสติเข้าถึงความรู้สึกตัว เข้าถึงความรู้สึกตัว ให้มันลัดๆ ตรงๆ เข้าไป อย่าไปพึง อย่าพึงไปหารายละเอียด ให้ถึงความรู้สึกตัว ให้ถึงความรู้สึกตัวไปก่อน เกี่ยวกับความรู้สึกตัวเมื่อมีเมื่อมาก เมื่อเจริญมากมันก็รู้ทีหลัง ไปถึงแล้วค่อยรู้ทีหลัง ไปแล้วค่อยรู้ ผ่านไปแล้วค่อยรู้ว่ามันผ่านอะไร ทำใหม่ๆ เริ่มต้นใหม่ๆ ก็ตรงกันข้ามกับความหลงทันที ไม่ใช่เรื่องงมๆซาวๆสุ่มๆ มีตัวหลงตัวรู้ก็หันหลังให้ตัวหลงทันที ถ้ารู้มากความหลงก็น้อยลง ถ้ารู้มากที่สุดความหลงก็หมดไป อย่างนั้นมันเป็นอย่างนั้นการปฏิบัติธรรม
เมื่อความหลงมันหมดไปมันเป็นยังไง มันก็มีผลกระทบไปถึงความโลภ ความโกรธ กระทบไปถึงปัญหาต่างๆ แก้ปัญหาต่างๆ เกิดความสงบร่มเย็นไปเลย ส่วนตัวของเราก็เป็นส่วนรวมไปเลย ถ้าเรามานับหนึ่งจากตัวเรา ทุกคนมีความสงบคอยดูแลตัวเองอยู่เสมอ มันก็สงบไปทั้งหมดเลย ก็เรียกว่าศึกษา เรียกว่าย่อมาดู เอามาดู ดูอะไร ชีวิตของเรา ทั้งแปดหมื่นสี่พันเรื่องย่อมาดูให้มีความรู้สึกมีตาใน กิเลสก็พันห้าตัณหาก็ร้อยแปด เกิดขึ้นมันก็ผ่านให้เห็น มันไม่ลับไม่ลี้ผ่านมาให้เห็น ให้รู้สึกได้ ให้เห็นได้ เห็นมันหลง เห็นมันหลง มันทุกข์เห็นมันทุกข์ มันโกรธเห็นมันโกรธ มันง่วง เห็นมันง่วง มันพยาบาทเห็นมันพยาบาท มันเกิดกามราคะเห็นกามราคะ มันเกิดลังเลสงสัยก็เห็นมัน เกิดความคิดฟุ้งซ่านก็เห็น กลับมาหาความรู้สึกตัว มันก็ผ่านเวทีผ่านสนาม ลงสนามรบกับอันนั้นรบกับอันนี้ เราก็เปลี่ยนมาเป็นตัวรู้ รู้เห็น รู้เห็น กลับมาสร้างตัวรู้ กลับมาสร้างตัวรู้ เพราะว่าการสร้างตัวรู้มันมีฐาน มันมีกรรม มีการกระทำ แล้วกลับมาได้ทุกคน มันจะเป็นอะไรนอกจากความรู้สึกตัว เราก็กลับมา
โดยเฉพาะสติปัฏฐานรูปแบบของกายบรรพะ สัมปชัญญบรรพะ จิตบรรพะ บรรพะคือการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของกาย การเคลื่อนไหวของจิต การเคลื่อนไหวของจิตก็คือมันคิด ที่ไม่ได้ตั้งใจ การเคลื่อนไหวของกายก็คือ การยืน เดิน นั่ง นอน เนี่ยมีกันทุกคน มักจะเห็นเหมือนๆกัน เห็นตัวหลง เห็นตัวรู้เหมือนกัน เห็นความง่วงเหงาหาวนอน เห็นความลังเลสงสัย เห็นความคิดฟุ้งซ่าน เห็นพยาบาท เห็นราคะ เห็นความโลภความโกรธ ความหลง สิ่งที่มันเห็นต่อหน้าต่อตาก็คือเห็นกาย กายก็คือของจริงที่เอามาเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตให้เกิดความรู้ เอากายมาสร้างความรู้ แต่ก่อนเราไม่เคยใช้กายให้มาสร้างความรู้เลย แล้วแต่มันจะเป็นอย่างไร ใจก็เหมือนกันแล้วแต่มันจะเป็นยังไง บัดนี้เราจับมันมาใช้ให้เกิดความรู้สึกตัว เอาความรู้สึกตัว เอากายมาผลิตความรู้สึกตัวเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตความรู้สึกตัว เอาจิตเอาใจมาผลิตความรู้สึกตัว เอาความหลงมาเป็นความรู้สึกตัว เอาความโกรธมาเป็น ความรู้สึกตัว เอาความทุกข์เอาความสุขเอาความง่วงเหงาหาวนอนมาเป็นความรู้สึกตัว เนี่ยจึงจะเป็นการปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติคือเปลี่ยน เปลี่ยนร้ายมาเป็นถูก นอกจากความรู้สึกแล้วเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึก อะไรที่ไม่ใช่ความรู้สึกตัวเปลี่ยนมาเป็นความรู้สึกตัว หลักก็คือความรู้สึกตัวเป็นตัวเฉลยเรื่องกายเรื่องจิต เนี่ยปฏิบัติธรรมเราโง่ไหมเราทำอย่างนี้ เราติเตือนตัวเราโดยศีลได้หรือไม่ ไม่ต้องไปถามใครเราหลงเราก็รู้ เราก็เปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้แล้ว มันจึงจัดเจน ชัดเจนจัดเจน ไม่มีอะไรจะมั่นคงเท่ากับการเจริญสติ เอากายมาเป็นวัสดุอุปกรณ์ผลิตมันออกมา เอาความจริงมาศึกษา เอาของจริง มาศึกษา เราก็เห็นเหมือนๆกัน การศึกษาเหมือนกัน ความรู้สึกตัวก็เหมือนกัน ความรู้สึกตัวไปอยู่กับฆราวาส ญาติโยม ความรู้สึกตัวไปอยู่กับหญิงกับชายกับคนหนุ่มคนแก่ คนชาติใดลัทธิใดคือความรู้สึกตัวกันทั้งนั้น ทำให้เราเป็นคน คนเดียวกันได้ทันที นี่แหละว่าอัศจรรย์ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ผู้ศึกษาปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็นเหมือนกันหมดทุกคน เรียกว่าเป็นอัศจรรย์ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ นี่แหละของจริง เอาให้ถึงจุดนี้ เริ่มต้นจากตัวนี้ อย่าไปข้องไปแวะคำสอนของครูบาอาจารย์มากมาย ซื้อตำรับตำรา โอ้ยเยอะแยะไปหมดเลย เอาแปลเอาไปแปลออกไปคัดออกไปจากพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย ในหนังสือพระไตรปิฎก จะเอาไปพูดอย่างไร จะเอาไปทำอย่างไร บางคนเอาไปเป็นการบริกรรม เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ฤทธิปาฏิหาริย์ เช่นยอดพระไตรปิฎก ยอดพระไตรปิฎก ยอดพระปาฏิโมกข์ อุทิสสะ วิยัสติ อายัสตัสจะ อาปิตัสจะ สุวิตัสจะ สุวิเลคคิตัสจะ เอาไปเป็นคาถากันปืนมันก็เป็นแบบนั้น คาถาองคุลิมาล ยะโตหัง ภะคินิ อะริยายะ ชาติยา ชาโต โหติ เอาไปเป็นคาถาทำให้เกิดเอาคนออกลูกได้ หลวงพ่อเคยใช้สมัยเป็นโยม ที่แท้เป็นคำสอนเอามาทำลายกิเลส แต่เราก็เอาไปทำอันอื่น สัพพา ตา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า ๓ หน) สัพพา คะรุละหุกา อาปัตติโย อาโรเจมิ (ว่า๓หน) อะหัง อาวุโส สัมพะหุลา นานาวัตถุกาโย อาปัตติโย อาปัชชิง ตา ตุยหะ มูเล ปะฏิเทเสมิ เป่าตาแดงปู๊ดลงไปตาแดงหาย ก็ใช้กันไปหลายอย่าง ก็เอาไปจากคาถาพระพุทธเจ้า ยึดมั่นถือมั่นบางทีก็เป็นไปตามอุปาทานที่เขายึดเอา
บัดนี้เรามาศึกษาเพื่อความหลุดพ้น อะไรที่มันเกิดขึ้นมา ให้รู้ๆ ไปทางด่วนๆนี้ก่อน เอามาเป็นเรื่องวิมุตติหลุดพ้น ไม่ใช่ศึกษาเพื่อเจ้าลัทธิ เพื่อเป็นใหญ่ เพื่อพวกพ้องบริวาร เพื่อลาภสักการะ สรรเสริญ เยินยอ เพื่อวิมุตติหลุดพ้นต่างหาก พอมันหลงก็รู้พ้นจากความหลง พอมันโกรธก็รู้ รู้แล้วความโกรธก็โชว์ไม่ได้ และตัวรู้มันไปขี่คออะไรก็กลายเป็นตัวรู้ทั้งหมด เรียกว่าปฏิบัติคือเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ เนี่ยปฏิบัติมันต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะเรียกว่าปฏิบัติ จึงจะเรียกว่ากรรมฐาน จึงจะเรียกว่าลิขิตชีวิตกรรมจำแนกไป ไม่ต้องไปทำอันอื่นสิทธิเท่าเทียมกัน เราก็มีกายเราก็มีจิตใจ เราก็มีสติเราก็มีความหลงยิ่งดี ไปเปรอะเปื้อนอะไรมายิ่งดีจะมีประสบการณ์ พอมาปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นจะขวางหน้าขวางตาก็เห็น ก็เก่งล่ะ เก่งในเรื่องปัญหากลายเป็นปัญญา ความโลภ ความโกรธ ความหลง กลายเป็นปัญญา ความรักความชังกลายเป็นปัญญา ความง่วงหงาวหาวนอนก็กลายมาเป็นปัญญา เป็นสติสัมปชัญญะ เนี่ยผู้สอนก็มั่นใจ ก็มั่นใจก็ไม่ต้องกลัวอะไร ก็จะบอกความจริงอยู่แล้ว ความเท็จอยู่แล้ว ทุกคนก็เห็นความเท็จ ทุกคนก็เห็นความจริง ทุกคนก็เห็นความหลง ทุกคนก็เห็นความรู้ ทุกคนก็เห็นความโกรธ ทุกคนก็เห็นความไม่โกรธ ลองศึกษาดูมันจะเป็นไป เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน การศึกษาธรรมะเนี่ย ไม่ใช่เป็นไป เพื่อเข้ารกเข้าพง เราสร้างความรู้ได้หนึ่งวันพอมันหลงก็รู้ชัดเหลือเกิน เห็นความหลงนี่ชัดกว่าอย่างอื่นตรงกันพอดีกับความรู้สึกตัว แล้วเราไปหาอะไร ได้เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เป็นการศึกษาสุดยอดแล้วสูงสุดแล้ว ความหลงนี่แหละเป็นตัวการ ตัวสมุทัย ตัวสังขาร เริ่มต้นจากตรงนี้เป็นแม่ของอกุศล เป็นแม่ของบาป ความรู้สึกตัวนี่แหละเป็นตัวกุศล เป็นแม่ของบุญ เนี่ยก็เห็นกับหูกับตาทำได้กับมือเรา นี่จึงจะเรียกว่าปฏิบัติธรรม
แล้วใครสอนแบบนี้ในยุคนี้ในสมัยนี้ หลวงพ่อก็ไม่เคยเห็นใครสอนเห็นแต่หลวงพ่อเทียนสอน แต่ก่อนก็ทำสมถะ ทำพุทโธ บริกรรมพุทโธ หายใจเข้าหายใจออก บริกรรมเข้าไปหลับตาเข้าไปให้มันนิ่งบังคับให้มันสงบ พอสงบแล้วก็ยกตนออกจากความสงบได้ยาก เพราะมันมีอัสสาทะ มันมีความสุขสบาย มันก็ติดจะเข็ญตัวออกมา ยกจิตขึ้นรู้มันก็ยกได้ยาก เหมือนคนถูกความง่วงเหงาหาวนอนครอบงำอ่อนแอไป ความสงบที่เกิดจากสมาธิยิ่งรสชาติมากกว่านี้เข้าไปอีกสมถะ หลวงพ่อเทียนสอนเราไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องบริกรรม ให้สร้างความรู้สึกตัว โอ..ไม่เคยเห็นใครสอนเลย เลยฝึกวิธีนี้มาสี่สิบปีแล้ว ก็ไปสอนกัน สอนกันมากที่สุดก็วิธีแบบนี้ วิชาแบบนี้กัน ทุกวัน เดี๋ยวนี้ยังมีทุกวัน เดี๋ยวนี้เขาสอนอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดขอนแก่น อำเภอเมือง บ้านเหล่าโพนทอง หลวงพ่อก็ไปอยู่นั่น กลับมาเมื่อวานนี้ ออกจากขอนแก่นก็ลงโคราชเลยบาดนี่ ครบุรี วันที่ยี่สิบ ต่อกันไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกาจนถึงเดือนมิถุนา เข้าพรรษา ก่อนเข้าพรรษา พระสงฆ์ที่ไปแสวงสอนธรรมะไปเผยแผ่ก็เข้าเก็บอารมณ์ เข้าเก็บอารมณ์สี่สิบวันให้ถึงสุดยอดของการศึกษา ที่วัดป่าสันติธรรม อำเภอปากชม ไปรวมกันอยู่ที่นั่นสี่สิบวัน ปฏิบัติเข้มถ้าใครอยากไปก็ไปได้จึงค่อยกลับมาเข้าพรรษา กลับมาเข้าพรรษาพวกเราก็มาปฏิบัติต่อไปอีกมาสอนกันอีกนะ
พวกเราไม่ได้พูดแต่ปากพวกเราก็ทำกันนะ อะไรเล่าที่เรายังค้างคาจิตใจเราอยู่ เห็นความหลงไหม เห็นความทุกข์ไหม ที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจที่ไม่ใช่สติเห็นมันไหม แสดงว่ามีการบ้านเราเคยเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ไหม เปลี่ยนได้ไหมเคยเพียรตรงนี้ไหม เราปล่อยปะละเลยไหม อะไรที่เราทำให้ดีกว่าเก่า ลองพ้นภาวะเก่าๆมีบ้างไหม พอมาปฏิบัตินี่ โถ มันเป็นงานเป็นการเป็นกอบเป็นกำ ถ้าสตินี่รู้ทีหนึ่งเหมือนเงินบาท ก็เก็บเอาๆๆ ชั่วโมงหนึ่งได้ตั้งสามพันหกร้อยบาท ถ้ารู้ทุกข์ๆๆๆ แล้ว ไม่มีอะไรเป็นแก้วสารพัดนึกเหมือนวิชากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐานสูตร ตามรูปแบบของการเคลื่อนการไหวทันอกทันใจ เนี่ยเรามันหลงเลยเปลี่ยนตัวหลงเป็นตัวรู้ มันทุกข์เปลี่ยนตัวทุกข์เป็นตัวรู้ มันโกรธเปลี่ยนตัวโกรธเป็นตัวรู้เนี่ย สุดยอดของการศึกษาแล้ว ไปลังเลสงสัยอะไรกันอยู่ หาคำตอบจากความคิดกันหรือ คำตอบอันเป็นสัจธรรมไม่ใช่ตอบจากความคิด คำตอบที่ได้ตอบได้จากความคิดเป็นสมมุติบัญญัติ คำตอบที่ได้ประสบพบเห็นเป็นปรมัตถ์สัจจะ เช่นเห็นความหลง สร้างความรู้สึกตัวเป็นคำตอบที่เป็นปรมัตถ์ ความหลงที่มันเกิดขึ้นตอบไปด้วยเหตุด้วยผลต้องมีสติ ต้องมีสติ มีสติหรือเปล่าหรือเป็นคำพูดเป็นสมมุติ ท่องเอาจำเอาเป็นภาษานกแก้วนกขุนทอง ไม่ใช่ นี่คือการปฏิบัติธรรม ทุกคนก็เติบโตไปด้วยลำแข้งของตัวเองไม่ใช่เป็นอนุบาล วิชากรรมฐานบางอย่างเป็นอนุบาล ยี่สิบปียังเป็นอนุบาลอยู่
หลวงพ่อเคยไปสอนธรรมที่ประเทศมาเลเซีย ไปอยู่สำนักหนึ่ง ลูกศิษย์พาไปเยี่ยมสำนักปฏิบัติธรรมของอาจารย์มาจากพม่า อยู่ในป่าลึกเข้าไปขึ้นไปกุฏิอาจารย์ อาจารย์ก็อยู่ในห้อง โยมที่พาไปรู้จักกันกับอาจารย์ ก็ไปเคาะประตูเรียกอาจารย์ ว่ามีพระไทยมาสอนกรรมฐานที่ประเทศสิงคโปร์มาแวะเยี่ยมที่ประเทศมาเลเซีย เคาะประตูเรียก อาจารย์องค์นั้นก็ค่อยๆเปิดประตูแย้มออกมาค่อยย่องมาหา หลวงพ่อก็นั่งไม่ไกลประมาณซักห้าเมตร หกเมตรนี่ ที่นั่งท่านก็ค่อยย่องออกมา ย่องหลับตาปี๋ ย่องออกมา ย่องออกมา แล้วก็มานั่ง ค่อยๆนั่งยองลง ค่อยๆลืมตาขึ้น ค่อยๆยกมือ กว่าที่จะพูดได้คำหนึ่ง ตั้งแต่เดินออกมาจากประตูมานี่ก็ใช้เวลาไม่น้อยแล้ว จะต้องเป็นอย่างนั้นหรือการปฏิบัติ จะต้องช้าปานนั้นหรือ
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นเราจะทำอะไรได้ จะไปทำอะไร เป็นอาจารย์มันควรที่จะเป็นผู้คงแก่เรียน เป็นปริญญาบ้าง ไวกว่าเก่า ญาตปริญญา รู้ปั๊บไปได้แล้ว ตีรณปริญญา แจกแจงไม่เหลืออะไรเลย ถ้ามีกิเลสก็เหลือศูนย์ ปหานปริญญา ทำให้มันหมดไป ความโกรธหมดไป ความหลงหมดไป ความทุกข์หมดไป การศึกษามันก็มีปริญญาคือชำนาญ ไม่ใช่จะไปหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ไม่ใช่แบบนั้น เหมือนกับเราเรียนหนังสือ ทีแรกก็หัดเขียนค่อยๆ ก.ไก่ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องค่อยแล้ว ก.ไก่ ไม่ต้องไปดูกระดาน เขียนออกมา ญาตปริญญา ความรู้ไวกว่านั้นเข้าไปอีก ไปแก้ความหลงไวกว่านั้นเข้าไปอีก แก้ความโกรธไวกว่านั้น มาก่อนๆๆๆ ความรู้สึกตัวมาก่อน ความรู้สึกตัวมาก่อน ถึงไวๆๆ ไวเหลือเกิน ไวกว่าแสงไวกว่าเสียง ความรู้สึกตัว เอาไปเอามามันไม่ได้อะไรมันก็อยู่ตรงนั้น ทำใหม่ๆก็มีกายมีจิตทำไปทำมามันก็อยู่ด้วยกัน มีจิตดูจิต มีสติดูสติ มีจิตดูจิต หลวงปูเทียนบอกพวกเราสอนพวกเรา มีสติดูสติ เอ้ามีสติดูจิต เอ้ามีจิตดูสติเข้าไปอีก เอาไปเอามาเป็นอันเดียวกันเลย ของที่มันเป็นหนึ่งเดียวจะต้องไปทำอะไรอีก จะต้องไปค่อยไปทำอะไรมันอยู่ด้วยกันแล้ว เนี่ยปฏิบัติธรรม ต้องไปต้องเหมาะแก่การทำงานทำการ ตัวรู้สึกตัวเนี่ยสร้างขึ้นมา ไม่ใช้ความรู้อย่างเดียวมันพัฒนาไป เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นธรรมวินัย ธรรมวินัยก็กลายมาเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา กลายมาเป็นสติ กลายมาเป็นหนึ่งเดียว เป็นมรรคเป็นผล ภุ ชง กา ยัง ปะ ริ มุก ขัง ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ เหมือนพระขีนาสพ ผู้มีสติเป็นวินัย พระขีนาสพ ก็คือพระอรหันต์ มีสติเป็นวินัย อ้าว พระอรหันต์ไม่มีอะไรเหรอ มีสติเป็นวินัย มีสติเป็นหน้ารอบ สติมันทำให้เกิดพระอรหันต์ได้หรือ ก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะเชื่อก็ได้ จะไม่เชื่อก็ได้ ทำดูก่อนก็ได้นะ ถ้ามันมีจริงๆ มีจิตดูจิต มีสติดูสติ นั่นนะ รอบแล้วๆๆ
เนี่ยวิธีปฏิบัติที่เราทำอยู่นี่ พวกเราที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่ตาสีตาสา หลวงพ่อก็ไม่ ก็ตาสีตาสาหลวงพ่อซะ แต่หลวงพ่อเป็นผู้พูดเรื่องนี้ เป็นตาสีตาสาตะเปะตะปะจริงๆ มาพบหลวงพ่อเทียน มาพบหลวงพ่อเทียนก็ถือว่า ถ้าจะเรียกว่าโชค หรือจะเรียกว่าอะไร ถ้าโชคก็เป็นสมมุติ ถ้าจะเรียกว่าโอกาส โอกาสเหมาะ มีโอกาส ได้โอกาสได้พบได้เห็นหลวงพ่อเทียน โอ้ย เมื่อมองก่อนหน้านั้นขนหัวลุก เคยเป็นอย่างไร แต่ก่อนเป็นยังไง เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ขนหัวลุก เหมือนคนบ้วนเสลดออกจากปาก ความสกปรกออกไปมันก็สะอิดสะเอียนน่ะ ความบริสุทธิ์เกิดขึ้น มันก็ต้องล่วงข้ามภาวะเก่าๆได้ เป็นเกณฑ์วัด ชี้วัดของการปฏิบัติ อย่างน้อยก็ทำลายความหลงมีความรู้ขึ้นมา ล่วงพ้นจากความหลงได้
การบรรลุธรรม บรรลุตั้งแต่ธรรมทีแรกเลย ทำลายความหลงลงได้มีความรู้สึกตัวได้บรรลุธรรม นานเท่าไร ชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้นได้ บรรลุได้ตั้งแต่ทีแรกเลยการบรรลุธรรม ชิมลองยังไม่ถาวร แต่ว่าได้ชิมรสธรรม ได้กระแส เห็นความหลง เห็นความรู้ เวลาใดมันหลง ตรงกันข้ามกับความรู้สึกตัวได้กระแสแบบนี้ เวลาใดมันโกรธ ตรงกันข้ามกับความไม่โกรธได้กระแสแบบนี้ แล้วก็ความโกรธหยุดลงไปได้ ความไม่โกรธเกิดขึ้นมา ได้มรรคได้ผลชั่วช้างสะบัดหู ชั่วงูแลบลิ้น แม้ยังไม่ถาวรก็ได้ชิมลอง ได้รสสัมผัสกับรสพระธรรม ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่รอคอย พลิกมือขึ้นก็รู้สึกตัวทันทียกมือขึ้นก็รู้สึกตัวทันที วางมือลงก็รู้สึกตัว คว่ำมือลงก็รู้สึกตัว นี่แหละของจริง ของจริงนะ ก็ขอท้าทายแบบนี้ เอาคอเป็นประกัน คำสอนพระพุทธเจ้าต้องเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ ไม่ใช่อ้อนวอนต้องสัมผัสได้ด้วยตนเอง