แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ โอกาสนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสำหรับการฟังธรรมกัน อย่าทำจิตอื่น อย่าเพิ่งง่วง อย่าเพิ่งคิดตลอดทางอื่น ให้จัดสรรเวลาให้แก่ตัวเราบ้าง แล้วเราก็เป็นเพื่อนกัน เป็นผู้ที่แสวงหาความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงกับชีวิตของเรานี้ ก็ถือว่าบรรยากาศดีเหมาะสมอยู่แล้ว โอกาสเช่นนี้ทุกคนก็ตั้งใจมาศึกษาหาความหลุดพ้น ก็เกิดความพร้อมเพรียงกัน ทำวัตรสวดมนต์ สาธยายพระสูตรคำสอนของพระพุทธเจ้า และอยู่ในบรรยากาศที่โอโซนวิเวกทางพุทธศาสนา อากาศบริสุทธิ์ พยายามหายใจเข้าหายใจออกยาวๆ ใส่ความรู้สึกเข้าไปพร้อมทั้งได้ยินเสียง เสียงศีลเสียงธรรม ให้ซับซึมเข้าไปในจิตใจด้วยอาหารกายอาหารใจพร้อมกันไป มันหายใจเข้าหายใจออกเป็นอาหารกาย ปอดจะเป็นผู้ที่ผลิตอาหารโอบออกซิเจนเข้าไป อะไรที่เป็นคาร์บอนปอดจะฟอกทิ้งไปทำให้อากาศดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
คำสอนแต่ละคำสอนอาจจะจำได้ เช่น คำสอนของพ่อแม่จำได้หลายคำ ถึงขั้นพ่อแม่บอกจนไม่ลืมแทบทุกวันนี้ เหมือนกับพ่อแม่บอกสอนเราตลอดเวลา อายพ่ออายแม่ เคารพมาก อันใดที่ผิดคำสอนพ่อแม่ถือว่าอาย ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ทำไว้ในใจอยู่เสมอ คำสอนของครูอาจารย์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ยังจำได้อยู่ ยังใช้ได้อยู่ รู้บุญคุณของครูอาจารย์อยู่ตลอดเวลา เพราะได้อาศัยฐานะเราเป็นคนไทยต้องเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ ภาษาไทยอยู่เป็นประจำ จะได้บทเรียนจากครูบาอาจารย์มา ธรรมในใจ ลืมไม่ได้ หนักอยู่ในหัวใจของเรานี่ คำสอนของอุปัชฌาย์อาจารย์ยังได้ยินอยู่ หลวงพ่อเทียนสอน อาจารย์อีกหลายอาจารย์ที่สอนเราให้เราได้รู้เรื่องของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ลึกซึ้งลงไป แต่เมื่อยังไม่ได้ฟังคำสอนครูอาจารย์ที่เป็นบรรพบุรุษ บูรพาจารย์หลายๆ รูป เราก็ไม่ซึมซับถึงพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ก็ยังไม่ลืมแม้จะนานมาแล้วก็ลืมไม่ได้ มันไม่ลืม มันเป็นของจริง เมื่อนี้ยิ่งเรามีโอกาสปฏิบัติธรรม เมื่อได้ยินมาเอามาทำดู ยิ่งวิเศษ เช่น พระพุทธเจ้าสอนว่าทางไปสู่มรรคผลนิพพาน เป็นทางสายเอก คือ สติปัฏฐาน ไปที่เดียวกัน ไปเส้นทางเดียวกัน ไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน ทางนี้เป็นทางเดินคนเดียว ตัวใครตัวมันว่าอย่างนี้ เราก็ต้องพยายามทำตาม ทำอย่างไร เราได้ยินมากแล้ว ทุกคนได้ยินแล้ว สวดเป็นภาษาบาลีทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น อริยมรรคมีองค์แปดบ้าง ธัมจักกัปปวัตตนสูตรบ้าง เกี่ยวกับทางสายนี้ทั้งนั้น ที่แยกแยะไปให้ได้เป็นสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ชำนาญในทางเส้นนี้ว่ามีสติเห็นกายอยู่เป็นประจำ
เราทุกคนก็มีกาย ทุกคนก็มีจิตใจ มีสติเห็นกายอยู่เป็นประจำ การจัดการกระทำอย่างนี้คือ วิชากรรมฐานก็เป็นวิชาที่เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อจะทำให้เกิดความรู้สึกไปในกายเป็นประจำได้ อาศัยกายอาศัยใจเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกตัวอย่างนี้ เราจึงได้หัดตรงนี้ หัดเอาใครเอาเรา อาศัยกันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน มันจะเกิดขึ้นก็เพราะการประกอบ การประกอบเป็นการกระทำที่เรียกว่ากรรมฐาน มีสติไปในกายเป็นประจำ ทำอย่างไรจึงจะมีสติไปในกายเป็นประจำ ก็บอกแล้วสอนแล้ว แต่การกระทำอยู่ที่เราเท่านั้นที่ยังไม่ทำ เมื่อทำอย่างนี้อะไรเกิดขึ้น เยอะแยะ เห็นทางที่มันผิดเป็นภูเขากั้น ไม่ให้เดินไปได้ก็มี สะดวกก็มี คนเดินทางก็ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า คนทำงานก็ต้องมีการผิดพลาด ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานฝึกหัดก็ต้องมีการหลงไปบ้าง ผิดพลาดไปบ้าง ยุ่งยากไปบ้าง แต่ว่าผู้ที่เดินทางก็ต้องเดินอย่างเดียว เป็นจิตอาสาที่ต้องสมัครเดิน ไม่เรียกร้องความช่วยเหลือ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเกิดอะไรขึ้นก็พยายามเดินอยู่บ่อยๆไม่ท้อถอย เช่น ความหลงแล้ว รู้อีก หลงที่ใดก็รู้อีก หลงกี่ครั้งร้อยครั้งพันครั้งก็รู้ร้อยครั้งพันครั้ง ไม่ยอม มันทุกข์มันสุข มันเครียด มันอะไรต่างๆ เกิดขึ้นก็รู้ไป สนุกดี บทเรียนที่ดี ประสบการณ์ที่ดี เดินทางสายนี้ สำเร็จไปเรื่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่ที่เก่า ความหลงไว้หลัง ความทุกข์ไว้หลัง ความโกรธไว้หลัง ความผิดไว้หลัง ความถูกไว้หลัง ความสงบไว้หลัง ความฟุ้งซ่านไว้หลัง ผ่านได้ทุกเรื่อง อะไรที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ผ่านได้ทุกรูปทุกแบบ เรียกว่าทางสายกลาง เดินคนเดียว ผิดเองก็ต้องแก้เอง ถูกเองก็ต้องรู้เอง อันใดที่ผิดก็ละ อันใดที่รู้ก็ทำไป มันเป็นอย่างนั้น การสัมผัสกับความผิดความถูกไม่ต้องถามใคร เช่น เท้าเราเดินทาง ก็ต้องรู้จักว่าผิดเพราะว่า... เท้ามันบอก เหมือนคนตาบอดมันก็ต้องรู้ได้ ผิดทางก็รู้ได้ สัมผัสเอาก็รู้ได้ ถ้าหัดมันก็มีสัญญาที่ได้บทเรียนทำให้รู้ได้เหมือนคนตาบอดนับเงินไว้บาท ห้าบาท สิบบาท ใบร้อยใบพัน รู้จัก ถ้าหัด อะไรมันบอก มันมีความไวต่อระบบอื่นก็มี เช่น คนตาบอดหูหนวกอะไรต่างๆ คนตาบอดเล่นดนตรี มันมีสัญญาณที่โน้ต จับได้ดีกว่าคนตาดีเพราะไม่ถูกแบ่งแยก การฝึกสติก็เหมือนกันอาจจะมีได้ไวขึ้น ความรู้สึกตัวจะมาไวก่อนความหลง ฝึกไป ฝึกไป ทำใหม่ๆ จะง่ายที่หลง ต่อไปต่อไปจะง่ายที่จะรู้ ตรงกันข้าม ระหว่างความหลงกับความรู้ตรงกันข้าม ให้ใส่ใจดีๆ สักหน่อยให้ซึมซับ สัมผัส มันเป็นอย่างไร ทุกข์เป็นยังไง ไม่ทุกข์คือรู้สึกตัวเป็นอย่างไรไม่ต้องมีใครมาบอก ผู้ฏิบัติจะต้องฝึกเองเห็นเองรู้เอง เป็นปัจจัตตังอย่างนี้เรียกว่าผลของการปฏิบัติ ทำไมต้องมีผล โดยเฉพาะปฏิบัติฝึกสติ เหมือนหน่อโพธิหน่อนี้ โพธิตั้งต้นจากสติ สติต้องมีในกายจึงจะเป็นสติปัฏฐาน ถ้าไม่ประกอบก็ไม่เกิดขึ้นได้ ไปซื้อไปหาไม่ได้ ประกอบขึ้นมาเรียกว่าภาวนา ขยันประกอบขยันรู้เรียกว่าภาวนา จำได้ แข่งกับความหลง ในคู่แข่ง ความหลงกับความโลภคู่แข่งกัน ความทุกข์กับความไม่ทุกข์คู่แข่งกัน ความโกรธความไม่โกรธคู่แข่งกัน ทำคู่แข่งกุศลอกุศล มันจะชำนาญตรงนี้ บอกผิดบอกถูก เพราะมันได้สัมผัส จึงเป็นศาสตร์เป็นศิลป์ ความชำนาญเรื่องนี้มันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ศีลมันก็ทำบ่อย กิเลสความเศร้าหมองความไม่ถูกต้องให้เกิดความถูกต้องขึ้นมา สมาธิก็ทำบ่อย ปัญญาก็ทำบ่อย สิ่งที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นมาเป็นความดี เป็นปัญหามันก็ได้ปัญญาจากปัญหา ได้ความรู้จากความหลง ได้ความรู้จากความทุกข์ ได้ความรู้จากความโกรธ ก็มันปล่อยสิ่งไม่ดีไว้กับกายกับใจ จำสิ่งไม่ดีมาเท่าไหร่สัญญามันติดมาเท่าไหร่ วิญญาณมันติดความไม่ดีมาเท่าไหร่ ติดความโกรธก็มี ติดความทุกข์ก็มี โกรธก็ลืมไม่เป็นก็มี ทุกข์ก็ลืมไม่เป็นก็มี เป็นคนอมทุกข์ รูปทุกข์นามทุกข์ การที่จะเป็นรูปไม่ทุกข์ นามไม่ทุกข์ หนัก ยึดมั่นถือมั่น อุปาทานนึกว่าตัวเรา ยึดเอาความทุกข์มาเป็นตัวเป็นตน ทำตามความทุกข์เสียผู้เสียคนก็มีเพราะเราไม่รู้
บัดนี้เรามารู้สึกตัวเนี่ย เมื่อเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมา ศีลก็มาช่วย สมาธิมาช่วย ปัญญามาช่วย มีแรงเป็นเครื่องทุ่นแรงเพิ้มขึ้น การขับเคลื่อนชีวิตไปสู่ความดีความหลุดพ้นง่ายขึ้นสะดวกมากขึ้น เช่น พูดภาษาศาสนาเรียกว่าเรื่องฌาน เรื่องญาณ เรื่องอะไรต่าง ๆ สุดแท้แต่ความชำนาญ สตินี่เอง สติเป็นยานขนส่ง สติเป็นฌานเผาไหม้ สติเป็นฌานที่ดูอะไรเห็นทันที สตินี่แหละเป็นฌานอย่างยิ่ง สติมันไวเนี่ยไม่มีอะไรเหลือ เพราะว่าอกุศลนี้มอดทีเดียวไหม้ไปเลยเรียกว่าฌาน บางทีเรียกว่าฌาปนกิจนี่เป็นฌานที่เผาเพ่งเผาให้ซากศพที่สกปรกมันหมดไป การที่ไปเพ่งเผาความไม่ดีที่มันเกิดขั้นในกายกับใจมันหมดไป เหลือแต่ความดีนี่มันมีหลายอย่าง ที่เราเรียกว่าเป็นภาษาสมมุติบัญญัติเพื่อให้คนเข้าใจ แต่จริงๆ มันคือสติ ที่มันสติปัฏฐาน เป็นสติ มันยิ่ง ที่ว่าศีลยิ่ง สมาธิยิ่ง ปัญญาอันยิ่ง ศีลธิขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาธิขันธ์ ถี่เข้าไป ถือว่าแก่เข้าหาเสี้ยนได้ ไม่มีคำว่าทุกข์ จากเห็นทุกข์ มีกำจัดทุกข์แท้ๆ เพราะทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นดับไป เมื่อไม่มีทุกข์มันก็ไม่มีอะไรหรอกชีวิตนี้ ก็เป็นนิพพานไปเลย สติมันจะไม่ใช่สติธรรมดามันจะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไป เกิดจากสตินี่เป็นที่ตั้งของอกุศลของกุศลทั้งหลาย สตินี่ทำลายกุศล ทำลายอกุศล
ลิ้นมันแข็ง บางทีสิ่งที่พูดมันหลั่งมามันพูดให้ไม่ทัน มาเป็นหมู่เป็นหมู่มาพร้อมกันก็มี ลิ้นมันเลยแข็งไปไม่ค่อยได้ เสียงก็ไม่ค่อยจะดี ต้องใช้พลังงานมาก ไม่ค่อยสนุก ผู้ฟังก็จะไม่ค่อยสะดวกเพราะภาษา บางทีมันลิ้นมันตวัดไปก่อน มันพูดให้ไม่ทัน จึงเป็นส่วนประกอบเล็กๆน้อยๆ การพูดการบอกเนี่ย อยากจะพูดอยากจะบอก อดไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้บอก ถ้าไม่ได้บอก บอกผิดบอกถูก ถูกแต่พูดบอกคน ปล่อยกันทิ้งไม่ได้ ปล่อยกันทิ้งไม่ได้เรื่องนี้คอขาดบาดตาย ถ้าผิดก็ผิดไปเลย ทดลองไม่ได้ กายของเรา ใจของเรา ถ้าโกรธก็โกรธไปเลยแล้ว เอาคืนไม่ได้ ทดลองให้โกรธให้ทุกข์ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้มันโกรธมันทุกข์มันหลงอยู่มันก็ไปไกล อกุศลทับท่วม กุศลหายวอดไปก็มี จึงปล่อยกันทิ้งไม่ได้ มันผิดทาง เสียดาย ชีวิตบริสุทธิ์ดีๆ ไปเปรอะเปื้อนเนี่ย เหมือนของใช้ดีๆ เคยเก็บมีดที่วัดป่าสุคะโตได้หลายเล่ม มีดดีๆ ทิ้ง เอาไปใช้ในภูเขาทองก็มีเดี๋ยวนี้ เก็บเอาที่นี่ ของดีมันมีอยู่แต่ว่าไม่ใช้ ไม่รู้จักซ่อมแซม ความคิดของเรานี้ก็เหมือนกัน ในความหลงมันก็มีความไม่หลงอยู่ ในความทุกข์มันก็มีความไม่ทุกข์อยู่ ในความโกรธมันก็มีความไม่โกรธอยู่ จึงเป็นคู่ น่าจะไม่จนเรื่องนี้กัน ไม่ควรที่จะไปให้คนเห็นถึงกับเบียดเบียนคนอื่น ทุกคนควบคุมได้ ถ้าไม่ควบคุมนั่นแหล่ะเกิดปัญหา เกิดตัวบทกฎหมาย เกิดศาสตราอาวุธ เกิดกองทัพ เกิดคุกเกิดตะรางขึ้นมาเพราะไม่รู้จักควบคุมความชั่ว ความไม่ถูกต้องที่เกิดกับกายกับใจเรานี้ จนไปเบียดเบียนคนอื่นทำให้ตัวเองเป็นทุกข์แล้วไม่พอ ทำให้คนอื่นร้อนอีก ไปทั้งโลก เม็ดดิน ป่าไม้ อากาศ แม่น้ำสูญเสียหมด ถ้าเป็นส่วนรวม ตกมาเป็นส่วนรวมก็รับโทษเท่าๆ กัน เช่น ดินฟ้าอากาศ ฟ้าฝนชลธารไม่ถูกต้องตามฤดูกาล เพราะคนทำไม่ถูกต้อง ทำลายธรรมชาติ ผู้ที่ไม่ทำลายธรรมชาติก็ได้รับความเดือดร้อน อันนี้เป็นเรื่องรีบด่วน ต้องดีคนเดียวไม่ได้ มันจะเป็นโทษร่วมกัน ส่วนรวมที่เกิดกับเราเป็นส่วนตัวจะเป็นส่วนรวม จะเป็นความชั่วกะความดีก็เป็นส่วนรวมที่เกิดความดี อันนี้ทิ้งกันไม่ได้ เรื่องนี้ต้องรีบแก้ไข บอกผิดบอกถูกต่อกันและกัน ถ้ายังไงก็จะพยายามแก้ มายังไงก็ไม่ทอดไม่ทิ้ง จะเป็นมิตรเป็นเพื่อน ผู้ที่มีปัญหา ผู้ที่มีปัญหา ผู้ไม่มีปัญหาก็ยิ่งมาเป็นเพื่อนกันก็ดี จะได้ประคับประคองกันไป พี่รุ่นสองสอนน้องรุ่นหนึ่ง เป็นแรงสนับสนุนกองเชียร์กันไป ก็จะมีชัยชนะเกิดความดีขึ้นในโลกนี้แน่นอน ไม่สายเกินไป ไม่นานจนเกินไป เพราะอยู่ที่คนเราทุกคน ถ้าทุกคนเรามาแก้ไขปฏิบัติ คิดเปลี่ยนร้ายเป็นดีซะ ก็เกิดดีขึ้นไม่นาน รอไม่นานจนเกินรอคนไทยหกสิบกว่าล้านคนเนี่ย ทุกคนก็นับหนึ่งจากตัวเราก่อน จะเกิดสันติสุข สงบร่มเย็นไปทั้งประเทศ ปฏิบัติธรรมนี่แหละ เป็นจุดหมายปลายทางเริ่มต้นที่ดี ท่ามกลางที่ดีจุดหมายปลายทางที่ถูกต้องที่สุดไปที่เดียวกันจริงๆ ถึงที่เดียวกันจริงๆ ไปคนเดียวจริงๆ ช่วยกันไม่ได้จริงๆ มีแต่มาบอกมาเป็นเพื่อนเป็นมิตร จัดสถานที่ให้ เอาจริงๆ แล้ว ตัวใครตัวมัน เป็นครูอาจารย์ของตัวเราเองไม่มีใครช่วยเหลือเราได้พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เช่น พระฉันนะซึ่งพาพระสิทธัตถะออกเสด็จออกผนวช ก็ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าโน่น จนได้สิทธัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฉันนะบวชตาม ก็ได้ฟังคำสอนทุกเรื่องทุกราว แต่ฉันนะไม่ปฏิบัติ ยกตัวเทียมท่าน มีทิฐิมานะว่าเป็นผู้นำพาออกบวช อวดอ้างภิกษุอื่นๆ จนภิกษุอื่นๆ ตักเตือนแล้วก็ไม่ยอม เสนาบดีซ้ายขวา โมลคัลลา สารีบุตร อานนท์ ซึ่งเป็นสหชาติเดียวกันก็เตือนก็ไม่เชื่อฟัง อย่าเอาที่พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเป็นอุปัฏฐากมาขู่ อย่าเอาพวกเป็นสาวกซ้ายขวามาขู่ เรามันยิ่งใหญ่กว่าท่าน พาพระพุทธเจ้าออกบวชออกผนวชครั้งแรกที่สุด ท่านจะรู้เรื่องอะไร ไม่เชื่อฟังใคร จนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จนใกล้ปรินิพพาน สงฆ์ไปถามไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าทำไงกับพระฉันนะนี้ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าปล่อยทิ้งซะ อย่าไปเกี่ยวข้อง อย่าตักเตือนปล่อยทิ้งให้อยู่คนเดียว จะว่ายังไงก็ให้เขาว่าไป จนป่านนั้นก็มีพระพุทธเจ้าช่วยไม่ได้ ทั้งที่เป็น สหชาติ คือ ฉันนะ ม้ากัณฐกะ พิมพา ศรีมหาโพธิ กาฬุทายี เป็นสหชาติ เกิดวันเดียวกัน ปีเดียวกัน เวลาเดียวกัน พระเจ้าสุทโธทนะพามาอยู่ที่พระราชวัง ปานนั้นก็ยังสอนไม่ได้ ดังนั้นจึงตัวใครตัวมัน
โอกาสก็มีแล้ว และพยายามหาโอกาส อย่าทอดธุระให้สนใจเรื่องนี้ชีวิตจะมีค่า ถ้าไม่ศึกษาเรื่องนี้จะไม่มีค่าที่ไม่คุ้มค่าเลย จะได้พูดสักคำหรือว่าสำนึกได้สักคำ เอาละตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพราะว่าความสุขความทุกข์เกิดจากใจจะไม่มีอีกแล้ว เกิดจากกายจากใจจะไม่มีอีกแล้ว จะไม่เอากายเอาใจมาเป็นสุขเป็นทุกข์อีกแล้ว จะไม่เอากายเอาใจนี้ไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกต่อไปแล้ว คุ้มค่าแล้วที่พ่อแม่ให้กำเนิดเกิดมา คุ้มค่าแล้ว ยกมือไหว้ตัวเอง คิดถึงบุญคุณพ่อแม่ คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สำนึกขึ้นมาอย่างนี้จริงๆ ดูสิจะเกิดอะไรขึ้นในโลกเนี้ย ถ้าเรามาคิดแต่เรื่องอื่น จะเรื่องดี เรื่องอื่นเป็นเรื่องอื่นชนะแต่เรื่องอื่นไม่ชนะตัวเองนี่ มันก็ไม่ชนะอันประเสริฐ พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ชนะตัวเองนี่แหละเป็นชนะประเสริฐ ชนะคนอื่นร้อยครั้งพันหนไม่เท่าชนะตนแม้ครั้งเดียว พระพุทธเจ้าสรรเสริญเรื่องนี้มาก