แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกัน เราก็มีการมีงาน เราก็พูดเรื่องการงานของเรา ให้มันเป็นส่วนที่ให้การงานก้าวหน้า หลายๆอย่าง ทุ่นแรงเข้าไป เวลานี้เรามาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมมันเป็นจริง งานที่เป็นจริง งานสำเร็จเสร็จสิ้นได้ไม่เหมือนงานอันอื่น งานอันอื่นไม่ค่อยจะสำเร็จ เช่น เรากินข้าวก็กินข้าวอยู่ทุกวัน เรื่องกินข้าวเรื่องกินอาหาร ก็เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องหลับเรื่องนอนการใช้ชีวิตเกี่ยวข้องกับหลายๆอย่างมันก็เสร็จไม่เป็น ให้เรามีการมีงานหาเงินหาทอง ได้เงินได้ทองมา มันก็ไม่เป็นจริง อาจจะเป็นของคนอื่นไป เปลี่ยนกันใช้ไป มีไร่มีนามีบ้านมีเรือน สิ่งต่างๆ วัตถุต่างๆ มันก็ไม่เป็นของใคร มันเป็นเปลี่ยนกันใช้ไป
เรามีกายเรามีจิต มันก็ไม่เชื่อฟังใคร มันก็ไหลไปเรื่องตามเรื่องของเขา เอาจริงเอาจังกับกันเกินไปก็ไม่ได้ เราจึงมาใช้ชีวิตให้อะไรที่มันวิเศษ ที่มันเด่นที่มันโชว์ พอที่เราจะยกมือไหว้ตัวเองได้ เช่น เรามีสติ เรามีความหลง เรามีสติ เรามีความทุกข์ เราก็มีสติ มีความทุกข์เรื่องใดๆ มีสติ มันเป็นงานอันนี้ อาจจะเป็นงานชิ้นสุดท้าย เหมือนการเกิดแก่เจ็บตายได้ งานอย่างเนี้ย เป็นงานชีวิตของเราจริงๆ งานส่วนกินข้าว การหลับการนอนการหายใจการเคลื่อนไหวงานโรคภัย ไม่ใช่งานชีวิตที่มันเป็นส่วนของเรา อันนั้นเรา เป็นวิธีที่เราป้องกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หน้าร้อนก็น้ำ มันหนาวก็ผิง มันหนาวห่ม ห่มผ้า มันเป็นงานแก้ งานบรรเทาไม่ใช่งานแก้ งานแก้จริงๆ มันหลงเปลี่ยนเป็นรู้ เป็นงานแก้ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ มันทุกข์รู้ เป็นงานแก้ เป็นงานเปลี่ยน เป็นงานพัฒนา เป็นงานมนุษย์ งานอันอื่นเป็นงานของธรรมชาติของสัตว์โลก
มนุษย์นี่ก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่ง นอกจากสัตว์เดียรัจฉาน แต่ว่างานที่เป็นงานของมนุษย์จริงๆเนี่ย เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เปลี่ยนทุกข์เป็นรู้ เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ จนความโกรธความทุกข์ไม่มี จนมันหมดไป อันนี้ยกมือไหว้ตัวเองได้ สิ้นภพสิ้นชาติ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย อันนี้เป็นงานที่ควรที่จะโชว์กว่างานอื่น งานอื่นเนี่ยละวาง ฉันมาตัวเปล่าๆ ฉันต้องไปตัวเปล่า ฉันไม่เอาอะไรไปเลย เอาเงินใส่มือให้ก็ไม่เอา บางทีเอาเงินใส่ปาก ไปเผาไปแล้ว เขายังไปคุ้ยไปเขี่ยเอาคืนทั้งหมด อันนั้นเป็นงานที่ฟรี ไม่ค่อยจะเป็นส่วนของเราได้ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
แม้แต่เนื้อหนังร่างกายเรานี้ อาหารดีๆลงไป มันก็ยังต้องบูดต้องเน่าต้องแก่ต้องตายไป ไม่มีจริง ส่วนที่ ที่มันเป็นจริง ที่เราจะพอที่จะภูมิใจ คือเนี่ย คือสภาพที่หลงที่รู้เนี่ย สภาพที่ทุกข์ที่ไม่ทุกข์เนี่ย สภาพที่มันร้ายเปลี่ยนเป็นดีเนี่ย อันที่มันเกิดกับกายกับใจเราเนี่ย มันทำเสร็จได้ นี่มันเป็นงานมนุษย์ จึงคุ้มค่า อันอื่นไม่คุ้มค่า ไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ อาจจะเสียเวลาได้ แทนที่จะมารู้เรื่องนี้กันบ้าง ก็หลงไปตะพึดตะพือไป แม้แต่ของที่มันไม่มีวัตถุสิ่งของ เป็นรูปธรรมก็ยังหลง ความสุขความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ยังเป็นใหญ่ในชีวิตเรา บางทีตลอดภพตลอดชาติ บางครั้งนี่ มองเห็นอยู่ บางทีก็ยังวางไม่เป็น เช่นคนจะตาย มันเจ็บมันก็พาลหายใจ หายใจมันเป็นทุกข์ หายใจไม่ได้ก็เป็นทุกข์ คนจะตายมันเจ็บปวด เอาความปวดมาเป็นทุกข์ เราจะต้องยอมเรื่องนี้กันทำไม มันเป็นของอย่างนี้เกิดแก่เจ็บตาย เป็นสมบัติของทุกข์อยู่แล้ว เราไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ
เราจึงมาเริ่มต้นเรื่องนี้เนี่ย ให้เห็น เห็นมันหลงเห็นมันรู้เรื่อยไปก่อน ลาดไปๆๆ เหมือนทางขึ้นเขา เดี๋ยวก็ขึ้นบนหลังเขาได้ เรียกว่ามนุษย์ผู้ใจสูง เหนือการเกิดแก่เจ็บตายได้ ถ้าเราไม่รู้จักเริ่มต้น มันหลงเป็นรู้ มันก็ไม่ไปถึงไหน อาจจะพอกพูนไปกว่าเก่า ทับถมเรามากกว่าเก่าก็ได้ ในรสของโลก จนเป็นภาระหนัก หนักหลายอย่าง มันเรียกรวมๆว่าขันธ์ทั้งห้า ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป ตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อะไร พาให้เราทำผิด คิดผิดไปเป็นทุกข์ เป็นปัญหาเสียเวลา พระอริยเจ้าวางของหนักอันนี้ลงแล้ว ว่าโดยย่ออุปทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เราก็เห็นอยู่ เราก็มีขันธ์เนี่ย มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ มันเหมือนกับคนห้าคน แข่งขันกันทำงาน ขยัน เจ้าสังขารก็ขยัน เจ้าวิญญาณก็ขยัน สัญญาก็ขยัน เวทนาก็ขยัน แสดงความเป็นใหญ่ จนต้องเรารับใช้มัน เวลาใดเวทนาเกิดขึ้น ที่มันสุขมันทุกข์ ก็ต้องยอมสุขยอมทุกข์ไปกับเขา เวลาใดมีสัญญาเกิดขึ้นก็จุ่มไปย้อมเอา เอาความรักเอาความชังมานอนเนืองในชีวิตจิตใจของเรา เวลาใดมันปรุงมันแต่งก็หมดเนื้อหมดตัว นอนก็นอนไม่ได้ กินก็กินไม่ได้ เพราะมันปรุง อะไรที่มันปรุง มันก็ไปหมด ดึงกระชากลากเราไป ในรูปในรสในกลิ่นในเสียง ก็มีวัตถุมีตามีหูเป็นคู่กัน วิญญาณก็พยายามติดเอาๆ ไปจุ่มอะไรก็ติดอันนั้น ไปจุ่มเอาทุกข์ก็ติดทุกข์ ไปจุ่มเอาสุขก็ติดสุข ไปจุ่มเอาดีใจเสียใจติดหมด พะรุงพะรังเหมือนมันดินพอกหางหมู เรียกว่าวิญญาณ มันเปรอะเปื้อน ก็นึกว่าเรา เป็นอุปาทานเอา ว่าเป็นตัวเป็นตน ความสุขก็เรา ความทุกข์ก็เรา ทั้งๆ ที่เจ็บปวดอยู่ก็ยังนึกว่าเรา เพราะเราไม่มีสติ เราไม่รู้
บัดนี้เราจึงมาเปิดออกให้มันเห็นแจ้ง มีสติเข้าไป ถลุงเข้าไป ย่อยเข้าไป อย่าให้มันเป็นดุ้นเป็นก้อน มันเป็นดุ้นเป็นก้อน มันก็จึงเป็นภพเป็นชาติ ถ้าเราเห็นมันๆ ก็ไม่เป็นดุ้นเป็นก้อน เวลามันหลงเห็น มันรู้สึกตัว เวลาอะไรเกิดก็รู้สึกตัวเนี่ย มันไม่ไป ถ้ารู้สึกตัวแล้วมันไม่ไป มันไม่เป็นใหญ่ได้ มันโกรธรู้สึกตัว เอาความโกรธไม่เป็นใหญ่ มันหลงรู้สึกตัว ความหลงไม่เป็นใหญ่ ความทุกข์รู้สึกตัว ความทุกข์ไม่เป็นใหญ่ มันไปไม่ได้ ของเท็จของจริงมีอย่างนี้ เราจะปล่อยปละละเลยได้ยังไง เอาเรื่องนี้ก่อน ชีวิตเราจะมียาวไกลขนาดไหน ถ้ารู้จักหลักอันนี้แล้ว ก็คุ้มค่า ไม่เสียชาติ ไม่รู้จักเรื่องนี้ก็ต้องวิ่งตามเขาไป เขาก็ลากเราไป เป็นสุขเป็นทุกข์ จนถึงเกิดแก่เจ็บตาย ตายเกิดดับๆ สุขก็ดับไป ทุกข์ก็ดับไป รักก็ดับไป โกรธก็ดับไป หลงก็ดับไป ดีใจเสียใจดับไป มันเกิดมันดับมันภพใหม่ๆๆ เกิดเรื่อยๆ แก่เจ็บตายไปเรื่อยในอาการต่างๆที่มันเกิดขึ้น เราก็ยังให้มันหลอกเราอยู่ หลงแล้วหลงอีก โกรธแล้วโกรธอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก นี่มันเป็นเจ้าของชีวิตเรา แทนที่เราจะมีเจ้าของที่เป็นอิสระ นี่แหล่ะ กรรมฐานเป็นอย่างนี้ มาปลดปล่อยตัวเอง มาเปิดเผยตัวเอง ทะลุทะลวงออกไป อย่าให้มันกลบเกลื่อนได้
เมื่อมีมืดก็มีแสงสว่าง เมื่อมีทุกข์ก็มีไม่ทุกข์ มีโกรธก็มีไม่โกรธ มีแก่มีเจ็บมีตายก็ต้องมีไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายอยู่ เรื่องนี้ต้องมีสิทธิหน้าที่ ที่เราจะต้องใช้สิทธิของเรา เวลามันหลงไม่หลง เวลามันโกรธไม่โกรธ เวลามันทุกข์ไม่ทุกข์ สิทธิของเรา หัดใช้ ถ้าเราไม่หัดใช้ มันก็เป็นธรรมไม่ได้ เหมือนประชาธิปไตย ถ้าใช้ผิดก็ผิด ประชาธิปไตยจริงๆ มันไม่รู้เรื่องนี้ อันนี้เป็นธรรมาธิปไตย มันรู้อย่างละเอียด ของเท็จเป็นของเท็จ ของจริงเป็นของจริง ความหลงไม่จริง ความรู้จริง ความโกรธไม่จริง ความรู้สึกตัวจริง มันเทียบไหล่กันได้ รู้จักเลือก ถ้าเราไม่มีสิทธิ ไม่ใช้สิทธิ มันก็ยอม ความหลงนอนอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน ความโกรธอยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน ความทุกข์อยู่กับเราข้ามวันข้ามคืน สติปัญญาไปไหนหมด ทำไมไม่ใช้ บางทีมันก็ปิดบังไม่รู้ ทำให้มืดบอด ความหลงก็ทำให้บอดไปเลย ความโกรธทำให้บอดไปเลย เกิดแก่เจ็บตายทำให้บอดไปเลย ต้องยอมร้องไห้เสียใจเป็นทุกข์ คนที่อยู่เบื้องหลังก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย
เราจึงถือว่างานของเรา ที่เรามาศึกษาเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องงานของใคร งานชีวิตของเราแท้ๆ ถ้าเรามีหลัก เราก็ไม่เป็นอะไรกับอะไร มีแต่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง ได้ประโยชน์ได้ปัญญา ถ้าเราไม่เห็นแจ้ง เรามีแต่ทุกข์แต่โทษ ตัวใครตัวมัน ทำให้พอดี ศึกษาแบบพอดีๆ พอเพียงไม่ทุกข์ไม่จน อย่าไปทุ่มเท อย่าไปรีบตัวเองจนเกินไป มันจะได้อยู่ มันจะสำเร็จอยู่ ไม่ต้องไปรีดหลายแรง เช่น เราไปขุดดิน เขาให้หลุมละ 80 บาท กว้างเมตรหนึ่ง ยาวเมตรหนึ่ง ลึกเมตรหนึ่ง ขุดเป็นหลุม 80 บาท คนหนึ่งก็ไปขุด ขุดดินเฉยๆ ไม่คิดอยากได้เงิน คนหนึ่งขุดเพื่ออยากจะได้เงิน มันหมดแรงสองแรง ขุดไปร้องเพลงไป สบายใจไป หาบดินไป ยกดินไป ถ้าดินนั้นเสร็จ ก็มีสิทธิได้เงิน แต่ถ้าคนหนึ่งขุด ทั้งหิวทั้งอยากต้องรีบต้องร้อน ต้องทุ่มเท อาจจะทุกข์ในเวลาทำงานนั้น ถ้าดินมันเสร็จก็ได้เงินเท่ากัน มันเป็นกรรมต่างกัน ทำความเพียรก็เหมือนกัน บางคนเอาความอยาก ให้ความอยากพาทำ ให้ความขยันพาทำ ให้ความขี้เกียจมาหยุด ให้ความเบื่อหน่ายพาหยุด บางทีก็เบื่อหน่ายต่อการกระทำ เบื่อหน่ายต่อคำสั่งสอน บางทีก็ขยันจนไม่รู้จักหลับจักนอน มันไม่ใช่นักทำงาน นักทำงานจริงๆ มันต้องสนุกไปกับการงาน ทำอะไรก็ไม่เป็นทุกข์หรือว่าการกระทำ เป็นอาชีพไปเลย ถ้าเป็นชาวนาก็ชาวนาอาชีพ ถ้าเป็นชาวไร่ก็ชาวไร่อาชีพ เป็นชีวิตไปเลย มั่นใจ ทุกวันนี้ชาวนาก็ไม่ชาวนาอาชีพ ชาวนาสมัครเล่น ฝนตกตั้งแต่ต้นปี น้ำเต็มทุ่งเต็มท่า ไม่รู้จักปิดคันนา คันนาก็เล็กๆ น้อยๆ ไต่ก็ไม่ได้ ไม่เหมือนเราเป็นชาวนาสมัยก่อน ถ้าน้ำเต็มทุ่งละก็ มีหวัง ไม่ต้อง คำว่าแล้งไม่มี ถ้ามีคันนาปิดน้ำไว้ เราเฉลี่ยน้ำของเราที่ไหลไปตรงไหนก็ได้ รู้จักคัดน้ำใส่นาตัวเอง ท่วมอยู่ที่ไหนให้ไหลไปที่อื่น แห้งอยู่ที่ไหนให้มันไหลไปสู่ คัดได้ เจ้าของนา ก็นาอาชีพ ทุกวันนี้ โอ๊ย ไม่ใช่ชาวนาอาชีพ สมัครเล่น ถ้านาในข้าว 200 ปี๊บ หมดเงินไป 3หมื่นบาท คุยอวด มีครูคนหนึ่งได้ข้าว 200 ปี๊บ หมดเงินค่าแรงไป 3หมื่นบาท มันสมัครเล่น น้ำเต็มทุ่งปล่อยให้น้ำแห้งหมด คันนาไม่ขุดไม่ปั้น ไม่เหมือนคนโบราณสอนกัน ปิดน้ำนา ฝนตกเนี่ย ไปปิดร่องน้ำ นา แบกจอบ วิ่งลงในนาของตน ปิดน้ำไว้อย่าให้มันพลาด น้ำมันไหลมาให้มันกักขังไว้ที่นั่น เดือน 3 ขึ้น 3 ค่ำ เป็นวันปิดคันนา เอาฝุ่น(ปุ๋ย)ไปใส่ มีระเบียบแบบนั้นคนโบราณ ร่องนาผืนไหนที่ไปปล่อยออก ก็ไปปิดไว้ เวลาฝนตกปั๊บกลางคืนมันจะได้กักขังเอาไว้ บางคนไม่รู้จักปิด ก็แห้งอยู่ตลอดเวลา คนที่ปิดไว้มันก็มีน้ำหว่านกล้าได้ นี่เขาชาวนาอาชีพ
การใช้ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ให้เป็นนักปฏิบัติอาชีพสักหน่อย อย่าสมัครเล่น ขยันเราจึงทำ ขี้เกียจเราหยุด เอาความอยาก เอาความเบื่อ พาทำพาไม่ทำ ไม่ใช่ แม้แต่เราทำไปเราหยุด ก็ไม่ใช่เบื่อ หยุดเพื่อสู้ ไม่ใช่หยุดเพื่อเบื่อหน่าย เวลาเรานั่งหรือเดินจงกรมนานๆ มันก็หมดแรงเหมือนกัน ไปนอนลง หายใจเข้าหายใจออก ใจมันยังสู้ ยังขยันกว่าเวลาเดินด้วยซ้ำไป เวลานอนนะ รู้จักลุกขึ้นมาทำงานต่อ เช่น เราปั้นคันนา มันก็เหนื่อยหมดแรง ยืนอยู่ตั้งสองสามชั่วโมง มันก็เหนื่อย เหนื่อยก็วางด้ามจอบลง นอนบนคันนา ก็เพื่อจะปั้นนา ปั้นคันนา พักผ่อนเพื่อทำงาน ไม่ใช่พักผ่อนเพื่อขี้เกียจ มันก็ต่างกัน อะไรก็ทำได้ เราก็รู้อยู่ ลำดับลำนำอยู่ งานแบบนี้เรียกว่า สัมมาทิฎฐิ การงานชอบ เพียรชอบ ตั้งใจไว้ชอบ ตั้งสติไว้ชอบ พูดชอบคิดชอบ มันก็เป็นองค์มรรค ไม่เบื่อหน่าย ก็ทำใจให้เป็น วางตัวให้เป็นในการทำงาน เดินจงกรมอย่าไปเพ่งอย่าไปจี้ สร้างจังหวะก็อย่าไปเพ่งเกินไป ก้มเกินไป เงยเกินไป วางตัวให้ดีๆ ถ้านั่งอยู่ก็ให้มันได้ฉาก แสงตา มันจะอยู่ได้นาน ถ้านั่งอยู่ก้มเกินไป มันก็ไม่ได้ฉาก บางทีก็ง่วงได้ เครียดได้ เงยเกินไป มันก็ฟุ้งซ่าน ถ้ามีหลักอยู่ เราต้องวางตาพอดี เช่น เรานอนอ่านหนังสือ หงายหน้าขึ้น เพ่งขึ้นข้างบน อ่านหนังสือไม่ได้นาน ต้องวางลงให้มันได้ฉาก ถ้ามันได้ฉากแล้ว มันจะอยู่ได้นาน ความเพียรก็เหมือนกัน การตั้งไว้ดีมันจะอยู่ได้นาน เดินจงกรมก็อยู่ได้นาน นั่งสร้างจังหวะก็อยู่ได้นาน ตั้งสติก็อยู่ได้นาน มันมีที่ถูกอยู่ ความชอบมีอยู่ ความไม่ชอบมีอยู่
แม้แต่เดินทาง บางคนก็ เอาความเดินทางเป็นเรื่องยาก บางคนก็เดินทางด้วยความสนุกสนาน แล้วมันผ่านไปทุกก้าว บางคนเมื่อไหร่จะถึงๆ จะไหวไหมๆ เอาความไหว เอาความ ไม่ไหวขวางกั้น เอาความได้ เอาความไม่ได้ขวางกั้น ไม่ใช่นักทำงาน ต่อรองอย่างนั้นไม่ได้ บางที 3 เดือนเอาจริงๆหละ ถ้าไม่รู้ธรรมก็จะสิกขาลาเพศ มีเหมือนกัน ถ้ามาอยู่ที่นี่ มาสัญญากับเรา ผมจะตั้งใจปฏิบัติ 3 เดือนเนี่ยเอาให้เต็มที่ ถ้าไม่บรรลุธรรมก็แสดงว่าไม่มีบุญวาสนา ก็จะได้สึกไป แล้วเขาก็สึกจริงๆ (หัวเราะ) อันนั้นไปต่อรองแบบนั้นไม่ได้นะ เราต้องทำไป มีมรรคเป็นองค์พาทำงาน เพียรชอบ การงานชอบ ตั้งสติชอบ ตั้งใจชอบ หลายๆส่วน การทำงานอยู่ก็ตั้งใจชอบอยู่เรื่อย ตั้งสติไว้ชอบอยู่เรื่อย คิดชอบอยู่เรื่อย สนับสนุนในการทำงาน
นี่บางทีมันการงานชั่วโมงหนึ่งอาจจะต่างกัน วันหนึ่งอาจจะต่างกันไป ถ้าคนทำงานไม่เป็น เอาการงานเป็นเรื่องเข็ดหลาบ ปฏิบัติธรรมก็เข็ดหลาบ เมื่อพูดถึงการปฏิบัติหล่ะยอมแพ้ ถ้าเราทำถูก ถ้าการปฏิบัติเรามันกระตือรือร้น เวลาใดแล้วใดนั่งสร้างจังหวะ อยู่กุฏิของตนๆ มันสุดหัวใจ เวลาใดเราเดินจงกรมอยู่ เส้นทางเดินจงกรม มันก็สุดหัวใจ สง่างาม อยากเดินจงกรมให้แม่เห็น อยากเดินจงกรมให้พ่อเห็น ชีวิตแบบเนี่ย ยิ่งเป็นนักบวชห่มจีวร ห่มผ้าขาว มันก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี เช่นนุ่งกางเกง ใส่เสื้อ ไปนอนอยู่ในป่า ในกลด มันก็ว้าเหว่อาจจะมีภัยได้ ถ้าห่มจีวร ไปนอนในกลด มีบาตรตั้งอยู่บนหัว มันอุ่นใจ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แล้วก็คนก็ไม่มอง คนก็ไม่ได้มองว่าจะเป็นพิษเป็นภัยต่อใคร ไม่มีอะไร มันก็เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี ช่วยเราได้สะดวก ไม่ต้องไประแวงอะไร คนอื่นก็ไม่ระแวงเรา นี่เมืองไทยเรามีนักบวชแบบนี้ ถ้าใครเห็นนักบวชเค้าก็มีศรัทธาแล้ว ยกมือไหว้ มีโอกาสสะดวกกว่าเป็นฆราวาส จึงถือโอกาส บวชเนี่ยเป็นอุบายช่วย
เช่น พระสิทธัตถะเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องอุบาย ถ้าใส่ชุดอะไรไปอยู่ในป่าในดงมันก็แปลก จึงถอดทิ้งไป ต้องห่มผ้าฝาดๆ สีฝาด ก็สะดวกอยู่กับเก้งกับกวางก็ได้ นี่จึงเป็นเรื่องดีสำหรับเมืองไทยเราเนี่ย แต่เมืองอื่น เช่นประเทศอื่นอาจจะไม่ดี บิณฑบาตก็ไม่ได้ ไม่มีสถานที่ ถ้าเป็นวัดอยู่ประเทศอื่นก็เหมือนบ้าน เป็นรั้วเดียวกันกับบ้าน เหมือนบ้านหลังหนึ่ง ข้างซ้ายข้างขวาก็เป็นบ้านโยม วัดก็เป็นอย่างนี้ มันไม่เหมือนวัดเมืองไทยเรา เหมือนกับเรือนบ้านหลังหนึ่งที่ปนชาวบ้านกันอยู่ ถ้าเป็นตึกคอนโดก็อยู่ห้องหนึ่ง ข้างห้องออกไปก็เป็นของชาวบ้าน เดินเข้าเดินออกผ่านไปผ่านมา เพียงแต่สมมุติว่าเป็นวัด มันไม่เป็นรูปแบบเหมือนประเทศไทยเราจริงๆ มันโชคดีที่เราเป็นคนไทย มีศาสนาแบบคนไทย มีวัฒนธรรมแบบคนไทย มีวัดวาแบบคนไทย มีรูปแบบ แบบพระในเมืองไทย นับว่าโอกาสนี้หาได้ยาก แล้วมีคนไทย ที่เป็นญาติเป็นโยม องค์อุปถัมภ์ตั้งแต่พระราชาลงมาจนถึงปุถุชน สาธุชน ประชาชนทั่วไป นี่เรียกว่า สะดวกมาก แล้วถ้าจะพลาดโอกาสนี้แล้ว จะไปอยู่ประเทศใดโลกไหน ถ้าคนไทยไม่ได้บรรลุธรรมแล้ว ไม่มีคนชาติใดบรรลุธรรมแล้ว บรรลุธรรมก็ไม่เหมือนคนไทย
การตั้งสำนักงานพุทธศาสนาแห่งโลก แข่งขันกัน นี่ประเทศคู่แข่งญี่ปุ่นบ้าง มีหลายประเทศแข่งกันเพื่อจะเป็นสำนักงานกลางของพุทธศาสนาทั่วโลก เราก็อ้างอะไรหลายอย่าง สถานที่ก็อ้าง เงินก็อ้าง กรรมการก็อ้าง แต่เมืองไทยก็อ้าง แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ พระราชามหากษัตริย์เป็นศาสนูปถัมภกทุกองค์มา เขาก็ยอมเรื่องนี้กัน ส่วนประเทศอื่นไม่มีพระราชาเป็นองค์อุปถัมภ์ เราจึงโชคดีเป็นคนไทย มีศาสนาแบบไทย ประเพณีแบบคนไทย ปฏิบัติธรรมแบบไทยๆ แม้แต่ประเทศจีนที่เขามาเนี่ย เขาก็มานั่งอย่างเราไม่เป็น เขาจะมานั่งอย่างเราไม่เป็น เขาจะมาใช้ชีวิตแบบนี้ไม่เป็น ไม่มีประเทศไหนนั่งพับเพียบเหมือนเราเนี่ย นั่งขัดสมาธิก็นั่งไม่เป็นด้วยซ้ำไป
บางประเทศหลวงตาเคยไปสอนฝรั่งอยู่วัดถ้ำ บอกเขานั่งขัดสมาธิ เขามายืนถามเรา มาชี้หน้าเรา เราก็นั่งอยู่ เขามายืนถามว่า คุณรู้อะไร คุณมาสอนนี่เรื่องอะไร เราก็บอกว่า ให้นั่งลง นั่งก็นั่งไม่เป็นนะ ขัดสมาธิไม่เป็นเหมือนเรา ก็บังคับให้นั่ง นั่งเหมือนเราเนี่ย ก็นั่งลงแต่มันขัดสมาธิไม่เป็น ก็เลย พอเขานั่งลงก็บอกเขาว่า เรารู้ตัวเอง ก็รู้ตัวเองก็รู้ยังไง เราก็บอกเขา ยกมือสร้างจังหวะ เพราะฉะนั้นไม่มีชาติใดนั่งเหมือนคนไทย พับเพียบ เทพพนม ขัดสมาธิสองชั้น สวยงาม ยิ่งมานั่งขัดสามาธิ นั่งสมาธิยิ่งดูดี ไม่เหมือนนั่งเก้าอี้นะ นั่งเก้าอี้นี่ก็ ไม่ค่อยกลมกลืนเท่าไหร่ อริยาบถของพุทธเจ้าในพุทธรูปทั้งหลายปาง ไม่มีปางไหนนั่งเก้าอี้เลย (หัวเราะ) ก็มีแต่นั่งขัดสมาธิหรือยืน วางมือต่างกัน ท่านี้เรียกว่า ปางมารวิชัย อันนี้เรียกว่า ปางตรัสรู้ ตามปางต่างๆที่ท่านั่งของพระพุทธเจ้า แต่ก่อนก็เอามืออยู่อย่างนี้ มารวิชัย ยกมือมานี้ อาจจะอะไรขึ้นมา คิดตัวคิดกิเลสมันครอบงำมาก ยกมือออกมา พอยกมือออกมาเนี่ยมารก็พ่ายแพ้ รู้สึกตัว ยกมือเข้ายกมือออก มี งามสวยงาม เดี๋ยวนี้ไม่มีนะในอินเดีย ไม่มีแล้ว การนั่งที่จะให้เหมือนพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธสาปสูญไปจากอินเดียนาน แล้วมาอยู่เมืองไทยเนี่ย แล้วก็ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราช มาฟื้นฟูขึ้นมาหลายร้อยปี จึงมาฟื้นฟูใหม่ สมัยอังกฤษครองประเทศอินเดียน่ะ ค้นพบหลักฐานของพุทธศาสนาหลายแห่ง เลยฟื้นขึ้น ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช สั่งธรรมทูตออกไป 5 สายมาสู่เมืองไทยเราเนี่ย เราก็ได้พุทธศาสนาตอนนั้น พอมาถึงเมืองไทย มันเข้ากันได้ กลมกลืนกันเลย
เราจึงมีดีมาตลอด เราอย่าให้พลาด ในช่วงชีวิตเรามีอยู่เนี่ย ศึกษาเรื่องนี้กันจริงๆเถอะ ถ้าไม่มีคนศึกษาเรื่องนี้มันก็หมดไปแล้ว ดีใจที่เห็นพวกเรามาอยู่ร่วมกัน กลัวอย่างเดียวคือกลัวคนจะไม่อยู่ในวัด นี่ขวนขวายเรื่องนี้ อยากให้มาอยู่ สุขด้วยกันทุกข์ด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกันแบบนี้นะ อันนี้คืองานของเรา เป็นงานที่มันมีศักดิ์ศรี เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เนี่ย เปลี่ยนโกรธเป็นความรู้เนี่ย นี่ศักดิ์ศรีของมนุษย์ อย่าให้หลงอย่าให้โกรธเป็นใหญ่ เรามีสิทธิได้ ใช้สิทธิของเราส่วนนี้ให้มาก มันก็จบเป็นๆ แค่นี้เอง การรู้ธรรมก็เห็นมัน เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายกับใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่ไปเห็นอะไรนอกจากกายจากใจเรา รู้ตัวเรานี้ ไม่ไปรู้ที่อื่น ไม่มีขอยืมขอใช้ ไม่มีคำถามใดๆ ทุกคนรู้เองทุกคนก็หลงเอง เวลามันหลงเปลี่ยนหลงเป็นรู้เอง สุขสนุกตรงนี้แหละ สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าความหลง ถ้ามันโกรธยิ่งดี จะได้สมน้ำหน้าความโกรธ เหมือนยุงกัดเราไล่ยุงออกหัวปักไปโน่น มันก็ชนะ มันก็วิเศษเรื่องนี้กัน เปลี่ยนความทุกข์เป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนความโกรธเป็นความไม่โกรธนี่ มันวิเศษจริงๆนะ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย มันเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติได้ตรงนี้ เปลี่ยนนิสัยก็เปลี่ยนได้ตรงนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหนเรื่องนี้ อยู่กับเรานี่แหละ ไม่ต้องไปเปิดที่ไหน ศึกษาแบบลึกซึ้งไม่ใช่ลึกลับ ลึกลับมันต้องหา คิด ใช้เหตุใช้ผลอะไร ไม่ใช่เลย มันจ๊ะเอ๋กันแล้ว
ความหลงกับความรู้ ความทุกข์กับความรู้ มันจ๊ะเอ๋กัน มันจะมาทางไหน อันที่ว่าหลงก็คือหลงนั่นแหละ หลงทางตาคือหลง หลงทางหูคือหลง หลงทางจมูก ลิ้น กาย ใจ คือหลง มันทุกข์ก็ทุกข์ที่กายที่ใจ ที่เป็นทุกข์เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ มีเหตุมีปัจจัยอยู่ ไม่ใช่เป็นดุ้นเป็นก้อน เราก็รู้ นี่หลักอริยสัจ4 ให้มาก มีกันทุกคน มีสูตรกันทุกคน เราก็ต้องไม่พลาดได้ ไม่สงสัย ชัดเจน แม่นยำ ทั้งการลึกซึ้งเห็นทันที การลึกลับมันมองไม่เห็น เป็นปัจจัตตังไม่ได้ ถ้าลึกซึ้งเป็นปัจจัตตัง ถ้าลึกลับไม่เป็นปัจจัตตัง เป็นอดีต เป็นอนาคตไป คิดเห็นกับพบเห็นมันต่างกัน นี่คือ สัจจะ ความเป็นจริง แม้มันหลงก็จริง มันหลงจริงๆ ไม่หลงก็ไม่หลงจริงๆ มันทุกข์ก็ทุกจริงๆ แต่ไม่ทุกข์ก็ไม่ทุกข์จริงๆ มันแก้กันได้ ความไม่เที่ยงก็มีอยู่จริง แต่มันจริงแบบความไม่เที่ยง มันไม่จริงแบบความเที่ยง นี่มันมีอยู่เนี่ย เรียกว่าอริยสัจ 4 ไม่ต้องไปถามใคร
เราจึงเห็นอะไรไปแก้ตรงไหน ไม่ต้องตามแก้ มีจุดเดียว เวลาเรารู้อยู่ ก็มีจุดเดียวที่นี่ มันจะแก้เอง ไม่เหมือนกับโรคภายนอก โรคร่างกาย ปวดหัวก็กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล เป็นไข้เป็นแพ้ก็กินยาแก้แพ้ไป แต่ว่าโรคที่มันเกิดจากใจอันเดียว อันเดียว มันก็คืออันเดียวเนี่ย ทุกข์ก็ไม่มีพันธุ์ใหม่ หลงก็ไม่มีพันธุ์ใหม่ โกรธก็ไม่ใช่พันธุ์ใหม่ คือโกรธอันเดียว ไม่ใช่พันธุ์ใหม่สาย 5009 ที่เขาว่ากันอยู่เนี่ย อันนี้มันอันเดียว ความโกรธก็อันเดียว กุศลก็อันเดียว โอสถก็อันเดียว รากเหง้าอกุศลอันเดียว รากเหง้าของกุศลก็อันเดียว รากเหง้าอกุศลคืออะไร มันมีรากมีเหง้า รู้จักไหมแม่ชีน้อย รากเหง้าของอกุศลอะไร รากเหง้าของกุศลคืออะไร มันไม่เกิดพันธุ์ใหม่อันเดียวคืออะไร พระพุทธเจ้าสอนว่า โลภะ โทสะ โมหะ เป็นรากเหง้าของอกุศล โทสะ โลภะ โมหะอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่เราเนี่ย รากเหง้าของอกุศลก็คือ อโทสะ อโมหะ อโลภะ มันก็อยู่ที่เนี่ย เกิดที่เดียวกัน ดับที่เดียวกัน อโมหะคือไม่หลง อโทสะคือไม่โกรธ คือโลภ โกรธ หลง ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นแบ่งกันตรงนี้ เส้นแบ่งกัน สายพันกันตรงนี้
เหมือนสันแบ่งเขต สันแบ่งเขตน้ำ วัดป่าสุคะโตก็มีสันแบ่งเขตน้ำ ที่ป้ายจุฑารัตน์ สันแบ่งเขตน้ำ ทางตะวันตกก็ไหลจากตรงนี้ไป ตะวันออกก็ไหลจากตรงนี้มา สันแบ่งปันเขตน้ำ ก็น้ำที่ ทางที่มันตก มันก็ไม่ไหลเข้าสระ ทุ่งไร่ทุ่งนาเขา มันก็ไหลออกสระไป ถ้าสันแบ่งเขตน้ำทางนี้ก็ไหลซึมลงไปในสระในบ่อของเรา ปันสันปันเขต อันกุศลอกุศลคือ หลง โกรธ โลภ ถ้าหลงก็โกรธได้ ถ้าหลงก็โลภได้ ถ้ารู้ก็โกรธไม่ได้ ถ้ารู้ก็ทุกข์ไม่ได้ มันแบ่งกันตรงนี้ มันยากไหมเนี่ย มันไม่มีพันธุ์ใหม่ มีเท่านี้ ใครโกรธก็เหมือนกันหมด บางคนทุกข์ก็เหมือนกันหมด ใครหลงก็เหมือนกันหมด มันจึงมีอันเดียวนี่ มีสติเนี่ยเข้าไป จึงว่าปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ไม่มีทำไม่ได้เรื่องเนี้ย เวลามันหลงเรารู้ได้ไหม ไปขอยืมใครมา ต้องรอวัคซีนจากใครมาแก้ความหลง มันก็อยู่กับเราเนี่ย เวลามันหลงก็รู้ขึ้นมา ให้มันตรงกันข้ามให้เป็น แบ่งให้เป็น ถ้าไม่แบ่งตรงนี้ มันก็ไปไม่ถึงไหน มันก็อยู่ด้วยกันมาตลอด ถ้าเราแบ่งก็ไปคนละทิศละทาง น้ำไหลจากสุคะโตทางทิศตะวันตกก็ลงลำปะทาวทางโน้น ถ้าน้ำสุคะโตไหลมาจากสวนจุฑารัตน์ก็มาลงทางนี้ ลำปะทาวเหมือนกันแต่ลำปะทาวตอนบน อันหนึ่งลำปะทาวตอนล่าง ความโกรธก็ลงไปตามล่างไป ต่ำลงไปเป็นเปรตเป็นอสุรกาย ความไม่โกรธก็ไหลขึ้นทางเหนือไป เป็นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นมรรคผลนิพพานไป มันแยกตรงนี้เท่านั้นเอง
ให้ทุกคนทำหน้าที่อันนี้ แยกให้เป็นเปลี่ยนให้เป็น เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนหลงเป็นรู้เนี่ยแหล่ะ เรียกว่าเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนหลงเป็นรู้เนี่ยแหล่ะ เรียกว่าภาวนา นี่เรียกว่าวัฒนะ ภาวนานี่จะพาไป หายนะคือหลงเป็นหลง เรียกว่าหายนะก็นำไป นี่จึงปฏิบัติได้ ให้ผลได้ ควรที่จะภูมิใจ ชีวิตของเรามันทำได้อย่างนี้ เอาให้มันแหลกไปเลย เหอ เหมือนเราจะทำไร่ เอาให้มันแหลกไปเลย จึงจะเหมาะสมการปลูก เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ ปลูกแล้ว ปลูกมรรค ปลูกผลแล้ว เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ปลูกลงไปแล้ว โพธิงอกขึ้นมาแล้ว ถ้าหลงเป็นหลง รกรุงรัง ถ้าหลงเป็นรู้ โล่งแล้ว มองความหลงเป็นความรู้ไป เหมือนคนมีความเพียร มองป่าเป็นทุ่งไป โบราณท่านว่า ขยันแล้ว เห็นดงก็เป็นดง ถ้าขยันแล้ว เห็นดงก็เป็นทุ่ง ขี้คร้านแล้ว กลางบ้านก็ว่าดง ภาษาอีสานนะใช่ไหม ใจประสงค์สร่างกลางดงกะว่าทุ่ง ใจประสงค์จะสร้างกลางดงก็เป็นทุ่ง ถ้าขี้คร้านแล้วกลางบ้านก็ว่าเป็นป่าเป็นดง โบราณท่านว่า ใจประสงค์แล้ว เมืองแกวสิเดินฮอด ใจประสงค์ยอดแก้ว ในถ้ำจะค้นหา ฮกกะสิหม่น หมานส่นกะสิผ่า ป่าขี่อ้น ขวางหน้าสิถาง (หัวเราะ)ฟังรู้เรื่องไหม ใจประสงค์แล้ว เมืองแกว(เวียดนาม)สิด้นฮอด ไกลเท่าไหร่ก็ไปให้ถึง ใจประสงค์ยอดแก้ว ในถ้ำจะค้นหา ยอดแก้วคืออะไร คือมรรคผลนิพพาน
อยู่ในถ้ำจะขุดหา ฮกกะสิหม่น รกรุงรังก็จะหม่น(มุด)เข้าไป รกรุงรังก็จะหม่น(มุด)เข้าไป หนามส่นจะมีขนาดไหนก็จะผ่าเข้าไป ความยากเป็นความง่าย ความโกรธเป็นความไม่โกรธ ผ่าไป ความทุกข์เป็นความทุกข์ ผ่าหนามสน สน หมายถึงความทุกข์น่ะ กิเลสตัณหามันหนามสนไปไม่ได้ เหมือนสินไชยตามหาสุมณฑา ช้างซ่อนงา ปลาซ่อนเงี่ยง น้ำกัดเหล็กกัดทอง สินไชยก็ยังตามเอาสุมณฑาคืนมาได้ ช้างซ่อนงา งาช้างอยู่ไหน จะไปได้หรือ ปลาซ่อนเงี่ยง มันเป็นซอน ๆ ไม่มีทางไป น้ำกัดเหล็กกัดทอง ยื่นดาบลงไป น้ำกัดเหล็กเลย จะข้ามไปหรือ ตั้งแต่ดาบของสินไชยก็น้ำกัดไปแล้ว สินไชยก็ยังตามเอาอาขึ้นมาได้ สุมณฑาถูกยักษ์กุมภัณฑ์ขโมยไป จนตามเอาอาคืนมาได้ เมื่อสินไชยสู้ไม่ได้ก็ร้องหาสีโห พี่ชาย นายช่วยด้วย ถ้าสีโหช่วยไม่ได้ ร้องเอาสังข์ทองมาช่วย สามคนช่วยกันไป พากันไปถึงสุมณฑาอยู่ในถ้ำ กุมภัณฑ์ลักพาไป ตามไปถึงสุมณฑาแล้ว สุมณฑาก็ยังไม่อยากมา เพราะติดกับยักษ์ เป็นเมียของยักษ์ไปแล้ว สังข์ทอง สีโห สินไชยก็บังคับ จะไปหรือไม่ไป จะกลับหรือไม่กลับ ถ้าไม่กลับจะตัดคอทิ้งเลยเดียวนี้ (หัวเราะ) สุมณฑาก็ยอมเนอะ กลับก็กลับ ได้กลับมาแล้ว เฮ้อ ขอลาพี่กุมภัณฑ์สักหน่อยเถอะ ให้ไปลาก่อน ไปแล้วก็ต้อง สังข์ทอง สีโหตามไปอีก กระชาก(กลับ)มาอีก จนในที่สุดกลับเมืองได้ คือใคร สังศิลป์ชัยคือใคร สังข์ทองคือใคร สีโหคือใคร อันนี้เป็นชาดก เป็นนิทานธรรม สินไชยคือศีล สีโหคือสมาธิ สังข์ทองคือปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มีอะไรสู้ได้นะ ใช่ไหม มีไหมในเรานี้ ระดับไหน พากันอ่อนแอกันไป หนักแน่นอยู่ในใจ หูมันอ่อนแอหนักแน่นไว้ เวลามันโกรธอย่าพูดดักไว้ก่อน เนี่ยมันซอนแล้ว ยักษ์คือใคร กิเลสตัณหา มันพอใจ มันติดแล้ว อย่าโกรธแต่เพื่อนเลย ไม่โกรธไม่ได้ ศีลก็อย่าโกรธกับเพื่อน สำรวมกายวาจาใจให้ดีๆ ไม่โกรธไม่ได้ สุมณฑาไม่อยากกลับมา คนมีความโกรธก็ออกจากความโกรธได้ คนมีทุกข์ไม่ออกจากความทุกข์ได้ ต้องช่วยเอาศีล เอาสมาธิปัญญา สุมณฑา สุคืออะไร คือจิตบริสุทธิ์ มณฑาคืออะไร คือมลทิน จิตของเรานี้มันเหมือนผ้าขาว บริสุทธิ์อยู่ แต่มลทินมาเปรอะเปื้อน กิเลสตัณหามาเปรอะเปื้อน อันมลทินไม่ใช่จิต ล้างออกไป ศีลสมาธิปัญญา ล้างออกไป ก็เลยได้จิตบริสุทธิ์สู่เมือง เข้าสู่พระนครได้ คือมรรคผลนิพพาน