แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มนุษย์คนเรานี่นะ ตายกันเมื่อไหร่ก็กลับบ้านมหาชัย คนดีอยู่ที่ไหนก็โลกได้อาศัยมนุษย์ สัตว์โลกได้อาศัย มันชั่วอยู่ที่ใด โลกก็สูญ สูญหาย มนุษย์ก็ลำบาก เราจะอยู่ในโลกกันอย่างไร โลกนี้มันก็ มีแผ่นฟ้าแผ่นดินดวงอาทิตย์มันหมุน แล้วก็มีรูปมีนามที่อยู่กับโลก มันก็ฉิบหายเพราะโลกหมุนไป รูปนี้ก็ฉิบหายเพราะโลกที่มันหมุนหมดไปเรื่อยเหมือนกัน แต่ว่าอะไรอยู่ในโลกนี่ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ ตกอยู่ในความไม่จีรังยั่งยืน ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ป้องกันไม่ได้ แล้วเราก็มีนาม มีธาตุ มีนามที่เกี่ยวกับโลก เวลาฤดูต่างๆก็เป็นไปตามโลก ฤดูร้อนก็ร้อน ฤดูหนาวก็หนาว มีสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ แล้วเราอยู่ในโลกอย่างไรกัน
ชีวิตหนึ่งนี้ มีรูปมีนามอย่างนี้ เราใช้ชีวิตอย่างไรให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เราอยู่คนเดียวอยู่กับโลก สัตว์โลกก็มีเยอะแยะ นี่มนุษย์มีโลกนี้ ได้อาศัย มีอาหาร มีอากาศหายใจ มีแผ่นดิน มีป่าไม้ มีแม่น้ำ มีอะไรที่สัตว์โลกได้อาศัยหลายๆอย่าง แต่หลังจากเสื่อมสูญและหมดไป และเราอยู่กับโลกไม่เป็น โลกก็ฉิบหาย เราอยู่กับโลกเป็น โลกก็ยังจะยังอยู่ได้พึ่งพาอาศัย แม้แต่เรามีรูปมีนามนี้ เราอาศัยรูปอย่างไร อาศัยนามอย่างไรกัน ถ้าอยู่โดยชอบก็ได้ประโยชน์ ถ้าอยู่ไม่ชอบเป็นโทษต่อรูปและต่อนามเอง เป็นทุกข์เป็นโทษ การอยู่โดยชอบ ก็ได้ประโยชน์เกิดมรรคเกิดผล เมื่อมันเกิดมรรคเกิดผลในรูปในนาม ก็เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกอื่นอีกต่อไป
เราจึงมาอยู่โดยชอบกันโดยตามหลักศาสนาในระบบนิเวศน์ ตามพุทธศาสนาใช้ชีวิตนี้อยู่โดยชอบ มีรูปก็ใช้รูปให้เป็นประโยชน์ เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปอาศัยให้ทำประโยชน์อันมีธาตุสี่ มีขันธ์ห้า ถ้าเราทำให้โลกอาศัยก็เรียกว่า โลกัตถจริยาประโยชน์ต่อโลก ถ้าชีวิตหนึ่งทำให้มีสิ่งอื่นที่อาศัยได้ ก็เป็นญาตัตถจริยา ประโยชน์ต่อญาติสังคม และก็พุทธัตถจริยาประโยชน์ต่อพุทธศาสนา ต่อสังคม ต่อส่วนรวม ต่อตัวเอง เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา จากรูปนี้จากนามนี้ มีทวารใช้ให้มันถูกต้อง มีรูปใช้รูปให้ถูกต้อง มีนามก็ใช้นามให้ถูกต้อง โดยหลักสัจธรรมมันเป็นรูปทุกข์ มันเป็นนามทุกข์ เป็นรูปสมมติเป็นนามสมมติ เป็นรูปบัญญัติ เป็นวัตถุอาการต่างๆ อย่าหลงรูป ดูดีๆ มีแต่ประโยชน์ แม้มันมีความทุกข์ก็จะเกิดความไม่ทุกข์ในคราวเดียวกัน แล้วแต่เราจะใช้ยังไง ไม่ใช่เรายอมรับจำนน เช่น ความไม่เที่ยง แล้วก็ปล่อยให้ความไม่เที่ยงกลืนกินเวลาเรา ล้มลุกคลุกคลานไปกับความไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงนี้ ก็พาให้เป็นสุขเป็นทุกข์เศร้าโศกเสียใจ พลัดพรากจากของรักของชอบใจอยู่เสมอ ก็ถูกรูปโลกลงโทษ เราจงมามีหลักอยู่โดยชอบกันเถอะ มีสติสัมปชัญญะดูโลกเหมือนพระพุทธเจ้าว่า สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันวิจิตรตระการดุจราชรถที่คนเขลาพากันหมกอยู่ แต่ผู้มีสติ มีสัมปชัญญะจะหาข้องอยู่กับโลกนี้ไม่ มาดูโลกกันมันมีสุขให้ดู มันมีทุกข์ให้ดู ถ้าดูเราก็ไม่เป็นสุข เพราะสุข เราจะไม่เป็นทุกข์เพราะความทุกข์ มันเป็นไม่ได้ เรียกว่าอยู่เหนือโลก เป็นผู้ดูโลก ก็ย่อมเห็นโลกตามความเป็นจริง เราจะได้บทเรียนในการหลุดพ้นจากโลก ไม่ให้โลกทับถม ไม่ให้มันมีโลกธรรม นินทาสรรเสริญสุขทุกข์ได้เสีย เสื่อมยศเสื่อมลาภเสื่อมอะไร บางทีก็มีลาภมียศอย่างนี้ มันเป็นรสของโลก ถ้าอยู่ไม่เป็นก็ถูกโลกเหล่านี้ทับถมได้ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะก็สง่าราศี อยู่กับโลกได้ ไม่สูญหายแม้แต่วินาทีเดียวและทำประโยชน์ด้วยซ้ำไป มีรูปก็อาศัยรูปไปทำความดี มีรูปก็อาศัยรูปไปละความชั่ว มีรูปก็อาศัยรูปให้เป็นประโยชน์ มีทวาร มีมือ มีปากมีจิตใจ ใช้ปากก็เป็นความดี ใช้กายก็เป็นความดี ใช้ใจก็เป็นความดี ไม่มีที่ข้องติดไปได้ ปูพรม ชีวิตที่ปูพรมไปเลย คิดสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา พูดสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา ทำสิ่งใดประกอบด้วยเมตตา ทั้งต่อหน้าและลับหลังในเพื่อนของมนุษย์ สัตว์โลกที่มีเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน นี่ก็เป็นทวารของชีวิตที่เป็นรูปนี้ ใช้ได้อย่างนี้ แต่บางชีวิตก็ใช้ไม่เป็น ประทุษร้าย ทำไม่ดีให้เกิดขึ้น ก็เป็นภัยต่อเรื่องโลกๆ ต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย
เราก็สามารถใช้ได้สิทธิ เช่นเวลามันเกิดอะไรต่อรูป เราก็มีสิทธิที่จะเลือกได้ ชีวิตนี้มันเลือกได้ อยู่โดยชอบได้ แล้วจะไม่เป็นอะไรกับโลก เราจะได้เห็น แต่ไม่เป็นกับมัน แล้วเราก็ใช้ได้ด้วย แล้วก็ช่วยคนอื่นด้วย ช่วยสิ่งต่างๆด้วย แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี สิ่งที่งอกงามสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลกก็เกิดขึ้นได้ ถ้าว่าไม่มีทวาร สิ่งใดไม่ดีทำให้มันดีซะ สิ่งใดมันทรุดโทรมแล้วมันดีขึ้นมาได้ ในโลกนี้ มันมีวัตถุมีอาการ จึงมาอยู่ในโลกแบบสง่างามกันเถอะ ไม่ทำให้อะไรลำบาก แม้โลกจะเป็นยังไง เราจะอยู่ตรงนี้ โดยที่ไม่หลบหลีกไปไหน ด้วยความบริสุทธิ์ใจหมดจดจากเครื่องที่จะเกิดพิษเกิดภัย ไม่เป็นภัยต่อตัวเอง ไม่เป็นภัยต่อคนอื่น สิ่งอื่นวัตถุอื่นอย่างเนี้ย มันเลือกได้ มันสง่างาม จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอนจะคู้เหยียดเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ มันมีระเบียบของมัน รูปนี้ มีระเบียบของความถูกต้อง ถ้าผิดระเบียบก็ผิดพลาด ทำให้ชีวิตที่ผิดพลาดได้ ในความผิดพลาดเกิดความถูกต้องคือบทเรียนที่เรียกว่าปฏิบัติธรรม การปฏิบัติตามธรรม ธรรมก็นำพาไป ถ้าปฏิบัติถูก ศีลก็จะนำพาไป ศีลจะรักษาให้อยู่รอดปลอดภัย สมาธิก็รักษา ปัญญาก็รักษา รูปนี้นามนี้ เรียกว่าธรรมนำพาไปสู่มรรคสู่ผลสู่ความหลุดพ้น
วิธีที่ใช้ชีวิตที่ให้เกิดความชอบมีอยู่ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา การมีสติไปในกายเป็นประจำ หัดก้าว หัดหยุด หัดยืนอยู่ตรงนี้ให้มั่นคง อะไรเกิดขึ้นมาก็มีสติออกต้อนรับ ถ้าเราหัด มันก็มีให้ใช้ ถ้าเราไม่ฝึกหัดมันก็ไม่มีให้เราใช้ อาจจะรับหมดทุกอย่าง เวลามีอาการอะไรเกิดขึ้นก็รับ มันสุขก็รับสุข มันทุกข์ก็รับทุกข์ ส่วนมากจะรับแต่สิ่งที่มันไม่ถูกต้อง กลายเป็นนิสัย จะต้องฝึกหัดกัน ตัวใครตัวมันชวนกันไป ดึงกันไปรอกันไป อย่าทอดอย่าทิ้งกัน มีอะไรที่จะเคลียร์จะบอกกันก็ พูดสู่กันฟัง มันมีปากมันมีวาจามีสมมุติใช้ภาษารู้เรื่องกัน พี่รู้หนึ่งน้องรู้สอง พี่รู้สองน้องรู้หนึ่ง นี่ในโลกนี้ อย่าไปสุขคนเดียวอย่าไปทุกข์คนเดียว แล้วก็ช่วยกันให้เป็น หัดช่วยตัวเอง ช่วยตัวเองอย่างไรก็ช่วยผู้อื่นอย่างนั้น มันมีสูตร เช่นเรามีสติไปในกาย เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับกาย เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิตใจ ไปเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ดี ให้เป็นความดี มันก็เปลี่ยนได้ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองก็เปลี่ยนได้ มันก็เกิดความขยัน เห็นทิศเห็นทาง เลยเดินไปแบบนี้ มันก็เลยเป็นทางไปเอง คราวใดที่มันเกิดความทุกข์ มันก็เห็นความไม่ทุกข์เป็นทางไป ไม่จน เวลาใดที่มันโกรธก็เห็นความไม่โกรธเป็นทางไป เวลาที่มันหลงก็เห็นความไม่หลงเป็นทางไป ถ้าให้หลงเป็นหลงก็รกรุงรัง มันไปไม่ได้ มันขรุขระ ถ้าหลงเป็นรู้ มันราบมันโล่งมันเตียน มันบริสุทธิ์หมดจดเคยเดินแบบนี้มา หลงที่ใดรู้ที่นั่น ก็ยิ่งทางก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจน มีอยู่ตรงนั้นแล้ว มันก็ไม่จน ชีวิตที่ไม่จน หัดใช้ชีวิตให้มันถูกอย่างนี้ ก็ได้บทเรียนจากสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ มันหลงจึงได้ความไม่หลง มันทุกข์จึงได้ความไม่ทุกข์ สัมผัสเอาเอง เป็นปัจจัตตัง เท็จจริงอย่างไร โดยเฉพาะปฏิบัติธรรมนี่มันเจอของเท็จของจริงต่อหน้าต่อตา มันไม่คลุมเครือ ไม่สุ่มสี่สุ่มห้า เลือกได้อย่างงดงามสิทธิความเป็นธรรมความชอบธรรม เกิดขึ้นที่รูปที่นามนี่ รูปนามก็ได้ความเป็นธรรมเพิ่มขึ้นๆ จากความไม่เป็นธรรม เช่นกุศลอกุศลมันมี มีอยู่ มันมีกุศลอกุศล เกิดขึ้นได้ที่รูปนี้ที่นามนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นที่รูปที่นามนี้ ก็เกิดสิ่งแวดล้อม โลกมันหมุน แล้วก็อยู่สัตว์สังคม มีอกุศลเกิดขึ้นที่คนอื่น ผู้อื่นบุคคลอื่น สัตว์อื่น เพื่อนร่วมโลกได้ บางทีก็เป็นรูปหลงที่เราไปประสบเข้าเอา เราก็อยู่โดยชอบ
แต่ว่าคนอื่นทำให้เราได้ผิดพลาดได้ ขวางทางได้ ไปทางขวางก็มี เรียกว่าเดรัจฉาน คนอื่นไปทางขวาง เราจะไปทางที่มันเป็นทาง คนอื่นมาขวางไว้ มีเหมือนกันในโลกนี้ ก็รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางไป รู้จักกาลเทศะ คนดีอย่าไปอยู่ในคนพาล ไปแสดงความดีในหมู่คนพาลก็ไม่ได้ คนพาลจะมาอยู่ในกลุ่มคนดี แสดงในความเป็นคนพาลที่อยู่ในกลุ่มคนดีมันก็ไม่ได้ รู้จักเอาตัวรอด ตามศีลสมาธิปัญญา เวลาใช้ศีลเวลาใช้สมาธิ เวลาใช้ปัญญาเลือกใช้ได้ วันใดที่เป็นศีลเป็นสมาธิ บางทีพูดความจริงไม่ได้ในหมู่คนพาล ในหมู่คนพาลพูดความเท็จไม่ได้ในหมู่บัณฑิตและมีปัญญา เรียกว่าผู้มีศีล รู้จักบุคคล รู้จักสถานที่ รู้จักกาลเวลา การทำดีก็ถ้าไม่ถูกสถานที่ ไม่ถูกบุคคลไม่ถูกเวลาก็ไม่เป็นประโยชน์ เรียกว่า กาลัญญุตาเรียกว่ากาลเวลา ปุคคลัญญุตาเกี่ยวกับบุคคล ปริสัญญุตาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร ธัมมัญญุตา ใช้กิริยามารยาทอาการทางกายวาจาอย่างไร ให้รู้จักเป็นตราชั่ง เราจะอยู่อย่างปลอดภัย ถ้าไม่รู้จักกาลเวลา ไม่รู้จักบุคคล ไม่รู้จักสถานที่ ไม่รู้จักธรรม มันอาจจะเกิดความผิดพลาดได้ เราไม่ทำบาปทำกรรมอะไรมา คนอื่นก็อาจจะทำให้เราล่วงไปได้ เพราะเราไม่รู้จักกาลเวลา ไม่รู้จักบุคคล ไม่รู้จักสถานที่ ไม่รู้จักใช้วาจาคำพูด ไม่รู้จักใช้ศีลใช้ธรรม หมู่นี้ก็ มันก็จะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาให้เราได้ใช้ถูกต้อง ผู้มีสติมีปัญญา มันเป็นไปเอง รอดได้สามารถผ่านได้
ในยุคที่มันเป็นเสี้ยนเป็นหนาม บางทีก็นิ่ง บางทีก็ต้องแสดงบางทีก็ไม่แสดง เช่นเวลามันเกิดกับเรา เวลาใดที่มันมีความโกรธเกิดขึ้นก็นิ่ง ไม่ควรพูดในเวลาโกรธ เวลามันเกิดขึ้นก็นิ่งไม่ควรพูดในเวลาคนอื่นกำลังดุ กำลังด่า กำลังจะเป็นโทษต่อเราก็นิ่งไว้ อย่าออกโต้ตอบ หาเหตุหาผล อย่าไปหาเหตุหาผลกับคนพาลมันไม่ได้ เหมือนกับสัตว์ที่มันคนละภูมิกัน เทวดาจะไปอธิบายให้สัตว์นรกฟังมันก็ไม่รู้เรื่องหรอก เพราะภูมิของเขา เขากำลังเสวยวิบากกรรม กำลังโทโสโมโหอยู่เขาไม่รู้ เหมือนกับเขากำลังกินอาหารกินมูตรกินคูถ เราจะไปอาหารดีๆ ให้ มันไม่เอา เหมือนหนอนอยู่ในคูถ เราไปเขี่ยขึ้นมา ก็ไม่ขึ้นหรอก มันจะมุดลงไปเหมือนเดิม จึงรู้จักบุคคล รู้จักกาลเวลากับใช้ชีวิตในโลกนี้ มีสติมีปัญญา แล้วก็ใช้ชีวิตเป็นปัจจัตตังของส่วนตัวเลือกได้จริงๆ
ชีวิตนี้ ช่างดีเหลือเกิน มีรูป มีนาม มีโลก มีสัตว์โลกอยู่รวมกันเนี่ย ก็มีศาสตร์ มีศิลป์ มีธรรมะ ปฏิบัติ นักปฏิบัติ มันมีศาสตร์มีศิลป์ฝึกเอาไว้ จะได้ใช้นะ ได้ใช้จริงๆ ถึงคราวแก่คราวเจ็บคราวตาย มีอยู่จริง หัดเอาไว้ ถ้าฝึกหัดได้สำเร็จ ก็เรียกว่าได้ปริญญา เหมือนกับปริญญาสวนโมกข์ เขาพูดว่า ที่นี่ปริญญาสวนโมกข์คือ หัดตายก่อนตาย ตายก่อนตาย นิพพานคือตายก่อนตายเรียกว่าปริญญา ญาตปริญญา กำหนดรู้ด้วยการรู้ ตีรณปริญญา กำหนดรู้ด้วยการแจกแจงไม่เป็นดุ้นเป็นก้อน ปหานปริญญาความรู้ ในการทำให้สิ่งที่มันมีหมดไปหมดไป ไม่มีตัวมีตนที่จะไปรับเป็นสุขเป็นทุกข์ เรียกว่าตายก่อนตาย สุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่ใช่ มันเหนือนี่ไปแล้ว มันจะมีอะไรมาทำให้เกิดสุขเกิดทุกข์ไม่ได้ ก็เลยพูดภาษาโคกๆ ว่าไม่เป็นอะไรกับอะไร ในโลกนี้ไม่เป็นอะไรกับอะไรเลย สุขมันมี ก็เป็นช่างหัวมันในความสุข ทุกข์มันมี ก็เป็นช่างหัวมัน ไม่เป็นอะไรกับมัน มันมีความแก่ ก็ช่างหัวมัน มอบให้ความแก่ไป มันมีความเจ็บ ก็มอบให้ความเจ็บไป ไม่ได้เจ็บเพราะความเจ็บ ง่ายๆเห็นมันเจ็บไม่ได้เป็นผู้เจ็บ พ้นจากความเจ็บมันง่ายอย่างนี้ มันไปทางนี้แล้ว มันมีทุกข์ก็เห็นความทุกข์ ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ มันไปง่ายๆ อย่างนี้ เกรดเดียวเกรดเอ ชีวิตเกรดเอ มันมีความตายก็เห็นมันตาย ไม่ได้ตายเพราะความตาย มันพ้นจากความตาย ชีวิตเกรดเอไม่เร็ว ที่ว่านิพพานคือตาย ปริญญาคือตายก่อนตายมีได้ มนุษย์เนี่ย มันเป็นสัตว์ประเสริฐมันหัดได้ หัดกายหัดใจมาใช้เพื่อการนี้ จึงว่าเกิดสัมมาทิฐิ ก็เริ่มจากก้าวแรก มีสติไปในกายเป็นประจำ ทำไมจะไม่เห็น มีความเพียร มีสติถอนความพอใจความไม่พอใจ ที่มันผ่านหน้า ขวางหน้าเนี่ย ออกมา มีสติไป ความสุขก็สักว่าสุข ไม่ใช่ตัวใช่ตนนั่น ทุกข์ก็สักว่าทุกข์ไม่ใช่ตัวตน เมื่อเห็นอย่างนี้ ก็ใช้อันเดียวนี้ เรียกว่าเกรดเอไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เกิดจากความคิด จิตก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ธรรมก็สักว่าธรรม บางทีมันเกิดจากรูปจากนาม มีความเสื่อมมีความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มันก็ไปอย่างนี้ ปลดไปอย่างนี้ มันมีเงื่อนมีปมปลดไปง่ายๆอย่างนี้ ทำไมจะทำไม่ได้ มันสะดวกกว่าที่จะทุกข์ให้เป็นทุกข์ ทุกข์ที่ต้องไม่ทุกข์ หลงที่ต้องไม่เป็นความหลง นี่มันสะดวก มันเรียบ ไม่ได้ทวนอะไร ไม่เสียเวลา ไม่ฟูไม่แฟบไม่ขึ้นไม่ลง เหมือนทะเลเรียบ วิ่งเรือได้ง่ายดี ถ้าทะเลมีคลื่นก็วิ่งไม่สะดวกกระทบกระเทือน สุขเป็นสุขก็กระทบกระเทือน ทุกข์เป็นทุกข์ก็กระทบกระเทือน เห็นมันสุขไม่เป็นผู้สุข พ้นจากความสุข เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ พ้นจากความทุกข์ มันเรียบอย่างนี้ แผ่นดินนี้ถ้าจะเป็นแผ่นดิน มันเรียบอย่างนี้ แผ่นดินที่เรียบอย่างนี้ คืออาการอย่างนี้ จิตใจที่มันเบิกมันบานทางเรียบอย่างนี้
ตามปฐมสมโภชจึงสอนไว้ชัดเจน พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เมื่อแผ่นดินเรียบเป็นหน้ากลองชัย หน้ากลองชัย มันเรียบมันเป็นกลองชนะ ฝึกการฝึกหัดมันได้ทางมันเรียบอย่างนี้ มันจึงไม่เสียชาติที่เกิดมา มันมีทางอยู่อย่างนี้ ทำไมเราจะไม่ต้องเดิน จะทอดทิ้งยังไง มาหัดเดินหัดใช้ชีวิตตั้งแต่เป็นหนุ่ม เนื้อแข็งแรงมากนี่ รีบทำซะ เหมือนหลวงตาพูดเมื่อเช้าเมื่อวานนี้ว่า การทำทางกาย มันทำได้ในเมื่อวัยเนื้อแข็งแรงมาก แต่เมื่อมันเนื้ออ่อนแรงน้อย หนุ่มน้อยลง ความแก่มากขึ้น มันทำไม่ได้ มาใช้วาจาทำมันก็ไม่ค่อยจะได้ประโยชน์ ได้ผลเท่าที่ควร การบอกผิดบอกถูกใช้วาจาสอนกันนี่มันทำได้ยาก เราบอก คนที่ถูกบอกถูกสอนก็ไม่ทำตาม มันก็เป็นไปไม่ได้ แต่กรรมฐานนี่ไม่มีใครบอก เราไปเจอเข้าเอง เราเห็นเอง มีสติดูกายเคลื่อนไหวเห็นใจมันคิดเนี่ย มันจะทำยังไงตรงนี้ เห็นกายเคลื่อนไหว ดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจมันคิด สิ่งที่มันไม่ถูกต้องเกิดกับกายก็เห็น ถ้ามีสติ สิ่งไม่ถูกต้องเกิดกับจิตใจก็เห็น
ผู้มีสติจะเป็นอย่างนี้ต่อหน้าต่อตา เห็นไปต่อหน้าต่อตา ไม่ต้องถามใคร ถ้าเห็นมันหลง มันก็เห็นต่อหน้าต่อตา มันก็ไม่จนตรงนี้ ถ้าเห็นแล้วถือว่าไม่จน เหมือนเราเห็นงู งูก็ไม่ได้กัดเรา ก็รู้จักออกไป หนีไปห่างไป เหมือนพระพุทธเจ้าแสดงอริยสัจสี่ ออกไปเรียกว่าวิมุตสาม หนึ่งเห็น สองออกไป สามพ้นไปไกลแล้ว เหมือนหลีกงู หลีกเสือ หลีกช้าง หลีกคนบ้า หลีกช้างสิบวา หลีกคนบ้าร้อยวา โบราณท่านว่ามันหลีกไปเอง เรียกว่าหลุดพ้นเพราะกำหนดรู้ หลุดพ้นเพราะออกไป หลุดพ้นเพราะไกลแล้ว ไกลแล้ว ไกลแล้ว งูไม่สามารถกัดเราได้ อยู่คนละที่แล้ว เพราะรู้จักว่าตัวเองปลอดภัย ถ้าทำอย่างนี้ทุกครั้ง หรือว่างูไกลห่างแข้ง ยังวิ่งหาฆ้อนมันก็ไม่ทัน เหมือนงูบางประเภท ยิ่งงูสาเนี่ย มันรู้จักเรา ถ้าเจอกัน ถ้าเจอกันมันก็ชูคอใส่ ถ้าหันหลังจะไปวิ่งหาฆ้อน มันก็วิ่งเข้ามาเกี้ยวขานี่กัดเอาก็ได้ งูสานี่มันมีปัญญาเหมือนกันนะ เห็นเสือ เห็นงูจึงไม่ควรจะวิ่งหันหลังให้มัน เจอเสือต้องถอยหลังดูหน้าแววตามันตาต่อตาเข้า เจองูก็ต้องถอยหลังดูมันอย่าหันหลังให้มัน นี่เราหันหลังให้มัน งูใกล้หน้าแข้ง ถึงวิ่งหาฆ้อนหันหลังให้งู งูกัดเอา มันเอาเมื่อเผลอ เหมือนหมา หมาวิ่งมาหาเรานี่ เราหันหลังวิ่งให้มัน วิ่งไปหาฆ้อนมันกัดเอา เวลาหมาวิ่งมาหาเรา ต้องหันหน้าใส่มัน ยกมือขึ้น เคยจนแล้วเรื่องนี่ ไม่รู้จักว่าบ้านหลังนี้หมามันดุ พอไปแล้วมันวิ่งมาไม่เห่าให้รู้เลย มันวิ่งมาแล้วก็เจอตาต่อตามันแล้วก็ยืน มันก็ยืนหยุด ถ้าเราไม่เห็นมัน มันก็กัดเอา นี่เรามองตามันตาต่อตา เมื่อมองตาเราก็มือแขนก็ยกขึ้น ยกมือแขนขึ้นทำท่าจะตีมัน มันก็ดูมือของเรา เมื่อมันดูมือของเรา เราขาก็เตะไปเลยเตะต้นคอมันเลย หมาก็เลยวิ่งหนีเลย ร้องหนีไปเลย นี่คือตาต่อตา เห็นความหลง นับว่าหลงเป็นหลงน่ะ หันหลังให้มันแล้ว เสียเปรียบมันแล้ว เห็นมันหลงไม่เป็นผู้หลง คือดูมันอย่างนี้ พ้นจากความหลง
วิธีปฏิบัติธรรมมันมีศาสตร์มีศิลป์อยู่นะ มันไม่หนักอะไร ทำเรื่องยากให้มันง่ายเนี่ย เมื่อหลีกเร้นนี้เรามีกรรมฐานนี่ กลับมากำหนดรู้ด้วยการรู้นี้ ไม่ต้องไปแก้มัน มันเกิดกิเลสตัณหาขึ้น ไม่ใช่ไปข่มมันไปอดเอา กลับมารู้สึกตัว มันเกิดขึ้น มีกามราคะปฏิฆะเกิดขึ้นกลับมารู้สึกตัวเนี่ย ไม่ได้ไปแก้เลย มาให้ความสำคัญตรงนี้ ตัวนั้นก็ไม่ให้ค่ามันเลย มันเลยกลับมาอยู่ตรงนี้ เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ก็มาทางนี้มาทางนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ายังตรัสว่า ไม่ให้ค่าไม่ให้ที่อาศัย ไม่ต้อนรับ คือมันเป็นอย่างนี้ เรียกว่าอริยสัจสี่ ไม่ให้ค่า ถ้าหลงมันหลงก็ให้ค่ามัน ทำไมๆๆ เรียกว่าให้ค่าความหลง ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ นี่ ทำไม่ได้เลยนะเนี่ย ทำยากเหลือเกิน นี่ให้ค่ามันแล้ว ให้ค่าความหลงให้เป็นเรื่องยาก ให้ค่าความไม่หลงให้เป็นเรื่องง่าย หาความง่ายหาความได้ ถ้าไม่ได้ก็อ่อนแอไปเลย นี่คือสนใจให้ค่ามัน ทำใหม่ ไม่ใช่วิสัยของนักปฏิบัติ ถ้าจะพูดออกมาซักหน่อย ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร กลับมารู้สึกตัว ไม่ให้ค่ามันแล้ว มันก็ไม่มีค่าอะไร ความหลงก็ไม่มีค่า ความทุกข์ไม่มีค่า กิเลสตัณหาไม่มีค่า กลับมาหาความรู้สึกตัวนี่ง่ายอย่างนี้อ่ะ
กรรมฐานเนี่ยมันศักดิ์สิทธิ์จริงๆนะ จึงอาศัยหลักที่เป็นหลัก เป็นที่ตั้ง เป็นที่อาศัย เป็นนิมิตไว้ให้ดีๆ อย่าโทษอย่าทิ้งตรงนี้ บางทีเกิดความสุขก็อย่าไปหลงมัน กลับมารู้สึกตัวซะ เกิดความรู้ เกิดความสงบ ก็อย่าไปให้ค่าความสงบ กลับมารู้สึกตัว เกิดความรู้ เกิดปัญญา รู้นั่นรู้นี่ ก็อย่าไปหลงปัญญา กลับมารู้สึกตัวเนี่ย อย่างนี้มันจะเป็นทาง ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ ผ่านไปเรื่อย ไม่มีอะไรขวางหน้าเอาไว้ข้างหลังหมดเลย มารู้ตัวนี้ออกหน้าไป รู้ตัวนี้ออกหน้าไปๆ มันจะเป็นทางด่วน เป็นการด่วน ว่าอะไรเกิดขึ้นรู้สึกตัวกลับมานี่ นี่ก็พูดสู่กันฟังนี่นะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน