แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันนะ ... ฟังแล้วนำไปปฎิบัติ กับ กาย วาจาใจ ตัวเอง ช่วยกันบอก ช่วยกันสอน ช่วยกันดูแลตัวเองให้มันคุ้ม มีสติเป็นที่ตั้ง มีสติเป็นเจ้าของกาย เป็นเจ้าของจิตใจ แล้วก็รับผิดชอบ กายใจตนเอง จะได้ปลอดภัย อยู่ด้วยกันด้วยความสงบ ร่มเย็น ถ้ามีสติเป็นเจ้าของ มันก็มีความเพียร เรียกว่าพร้อมที่จะละความชั่ว พร้อมที่จะทำความดี ได้ทุกโอกาส เพราะสตินี่เหมือนพ่อเหมือนแม่ที่ดูแลลูก เพราะพ่อแม่ก็ต้องพร้อมที่จะดูแลลูกให้รอดปลอดภัย อยู่เสมอ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกับสตินี้ เหมือนพ่อเหมือนแม่ (มี)อุปการะคุณที่สุด แต่เราต้องสร้าง ต้องประกอบขึ้นมาให้มี ให้มาก ที่จะคุ้มกายใจของตนได้ ถ้าสติไม่มาก ก็คุ้มครองไม่ได้ อกุศลธรรมก็เข้ามาครองแทน ดึงกายไปทำความผิด ดึงใจไปทำความผิดได้ อะไรเกิดขึ้นก็พอใจ ไม่พอใจ มันดึงไปแล้ว จึงถอนออกมา ถ้ามีสติจะถอนออกมา ให้รู้สึกตัว ได้สอนกายแล้ว ได้สอนจิตใจแล้ว ทุกครั้งที่มันเกิดความพอใจ และความไม่พอใจ ได้สอนตรงนี้ และถ้ายังไม่แสดงออกทางคำพูด ทางกาย เป็นทวารที่สอง ที่สาม ก็จะไม่เป็นบาปเป็นกรรม ที่เป็นบาปเป็นกรรมมันเกิดจากจิตใจนี้ก่อนเรียกว่า " เจตนาหัง ภิกฺขเว” ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า สำเร็จอยู่ที่ใจ ถ้าหลงก็ผิดไปแล้ว ถ้าทุกข์ก็ผิดไปแล้ว ถ้าพอใจก็ผิดไปแล้ว ถ้าไม่พอใจก็ผิดไปแล้ว อย่าดื้อด้านกันตรงนี้ ดูดีๆ ให้แยบคายดีๆ อาศัยกรรมฐานเป็นป้อมปราการ ตรวจดูอยู่เสมอ ข้าศึกมาทางใด จะได้ปราบข้าศึก เข้ามาทำลายกายใจไม่ได้ ถ้าไม่มีสติก็ อะไรก็ผ่านมาได้
เหมือนด่านที่บ้านท่ามะไฟหวาน ใครผ่านมาก็มีด่านตรวจสอบ ก็ยังไม่ปลอดภัย แต่ป่านนั้น ก็ยังทำให้เกิดการเสียหาย ตัดไม้ยูงไม้ป่าจนจะหมดแล้ว เมื่อวานซืนนั่นก็จับได้ ตั้งเจ็ดแปดท่อน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ของง่าย ใส่กระเป๋า ใส่อะไรก็ได้ ทั้งกินยาบ้า ให้ต้องต่อรถลากไป หนักก็หนัก ยังลอบลักไปได้เลย โจร เอาไป แล้วก็เก่งพัฒนาไปทางเสื่อม หาวิธีที่จะเอาให้ได้ ความชั่วหาวีธีทำให้สำเร็จได้ ถ้าไม่ได้ยึดกายยึดใจแล้ว เมื่อทำความชั่วได้สำเร็จ เกิดทุกข์ เกิดโทษ เดือดร้อน เราจึงมีสติเป็นป้อมปราการ ตรวจสอบอยู่เสมอ ทุกคนดูแลตัวเอง ให้เหมือนกับป้อม ยาม ตำรวจ ชาวบ้านที่ตั้งด่านตรวจอันนั้นมันไม่เพียงพอ ถ้าไม่ดูแลกายใจของตนเองแล้ว ก็ไม่สำเร็จ ผู้ที่จะลักขโมย มันก็พยายาม เครื่องมือการทำโจรกรรมมันดี ทุกวันนี้เค้าพัฒนา เช่นยาเสพติด มีทุกรูปแบบ ทั้งดม ทั้งอม ทั้งกิน ทั้งทา ก็ติดได้ มาทางกินก็ติดได้ มาทางกายก็ติดได้ มาทางทวารปากก็ติดได้ หมด ดม อม ทา ได้ทั้งหมด แล้วก็มีความสำเร็จ พวกปัญญาเฉโก คิดจะทำความชั่วได้สำเร็จ เราก็ ถ้าจะอาศัยอันอื่นมันก็ไปไม่รอด
คนไทยเรา 60 กว่าล้านคนเนี่ย ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ถ้ามอบให้ใครคนใดคนหนึ่งดูแลคุ้มครอง ก็ไม่รอดปลอดภัย กรรมฐานนี่ควบคุมได้เยอะ ทุกคนจะเห็นอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ จะได้แก้ไข เปลี่ยนความร้ายเป็นความดี เปลี่ยนความผิดเป็นความถูกได้ มันไม่มีที่ลับ ถ้ามีสติเป็นหน้ารอบ ผู้มีสติเป็นหน้ารอบ ไม่เผลอ
นับแต่นี้ ให้มีสติไปในกายเป็นประจำ การหัดเบื้องต้น อาศัยกายเป็นที่ตั้ง เป็นนิมิตที่เกาะไว้ ให้มันติดตรงนี้เสียก่อน เมื่อมันแน่นที่ตรงนี้ ที่กาย มันก็จะมีพลัง จะได้ดูอันอื่นได้เห็นง่าย จะได้แม่น จะได้แม่นยำ ไม่คลุมเครือ เห็นชัดเจน ถ้ามันชัดอยู่ที่กาย มันตั้งอยู่ได้นาน เหมือนชัยภูมิ ที่นักรบที่ยึดได้ดี ก็ย่อมได้ชัยชนะแก่ข้าศึก หลงที่ใดก็กลายเป็นรู้ทันที ปราบไปแล้ว ผิดตรงไหน กลายเป็นทุกข์ทันที ทุกข์ตรงไหนกลายเป็นไม่ทุกข์ทันทีถ้ามีสติ แล้วก็หัด กลับมาตั้งไว้ก่อน ยังไม่เกิดปัญญา ก็กลับมารู้ ความรู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว สุขก็กลับมารู้สึกตัว ทุกข์ก็กลับมารู้สึกตัว สงบก็กลับมารู้สึกตัว ฟุ้งซ่านก็กลับมารู้สึกตัว เป็นทุกข์เป็นโทษเลยกลับมารู้สึกตัว อันนี้เรียกว่าฝึกหัดตั้งต้น ทุกครั้งที่มันผิด ก็ให้มันมีความรู้สึกตัวซะ
ความรู้สึกตัว ตัวนี้ จะกลายเป็นความก้าวหน้าไปหลายๆอย่าง ละความชั่ว ทำความดี จิตก็จะบริสุทธิ์ไปเอง เกิดปัญญาไปเอง เกิดเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาไปเอง และศีลก็จะได้ช่วยกายช่วยใจ สมาธิก็จะได้ช่วยกายช่วยใจ ปัญญาก็จะได้ช่วยกายช่วยใจ เป็นแรงเพิ่ม เป็นเครื่องทุ่นแรงเกิดขึ้นมาง่ายแล้วบัดนี้ ง่ายที่จะไม่หลงได้ อาจจะสะดวกเหมือน ถีบจักรยานขึ้นมอ ขึ้นที่สูง เมื่อขึ้นที่สูงได้แล้วก็ง่าย ลงง่าย ขาลงก็ลงง่าย ขาดู ขาเห็น นี่ง่าย เห็นนี่มันง่าย ถ้าเป็นนี่มันยาก เหมือนขึ้นไป ต้องทวนขึ้นไปเสียก่อน เห็นแต่ไม่เป็น นี่มันง่าย ถ้าเป็นเนี่ยมัน มันหนักอยู่ สุขก็เป็นสุขนี่ เรียกว่าขึ้นๆๆ ไปยาก ทุกข์ก็เป็นทุกข์เนี่ยมันขึ้นไป จะไปละที่มันสุขมันทุกข์ ละที่มันโกรธมันหลงไปแล้ว เช่น ความคิดอย่างเนี้ย มันก็ติดมานานแล้ว 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี ความคิดก็เปรอะเปื้อนไปหมด จิตเดิมแท้ไม่ค่อยจะเห็นกัน เห็นแต่จิตที่มันปนเปื้อนไปแล้ว
อะไรเกิดขึ้นกับเราพอใจ มันติดไปทางนั้น ไม่พอใจมันติดไปทางนั้น จิตน่ะ ไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ ความพอใจ ความไม่พอใจ เอาไปใช้แล้วจิตอ่ะ เมื่อมีความพอใจ ไม่พอใจก็ไปไกล ไปถึงทุกข์ถึงโทษ ถึงข้ามภพภูมิต่างๆ ให้ถอนออกมา หัดทางนี้ ใครก็จะช่วยใครไม่ได้ ต้องช่วยตัวเองให้มากๆ ช่วยกัน ถ้าท่านเปลี่ยนความหลง เป็นความไม่หลง มันก็เกิดอานิสงส์มากมาย จึงช่วยกันช่วยกันสอนกันตรงนี้ อันนี้ก็จะให้อาจารย์สมใจ พูดซักหน่อย คนแก่ก็เลือนลางลง คนหนุ่มก็ขึ้นมาแทนนะ เป็นบรรพบุรุษของเราก็ตายไปมากแล้ว ปีนี้ก็สมเด็จสังฆราชก็สิ้นพระชนม์ไปแล้ว 2 รูป พวกเราก็โอ้ ยังหนุ่มยังน้อยก็ขึ้นมาช่วยกัน ทั้งนักบวช ทั้งฆราวาส ญาติโยม หรือว่าพุทธบริษัท พี่รู้สอง น้องรู้หนึ่ง ช่วยกัน