แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันน่ะ เพื่อจะนำไปปฏิบัติ ให้เกิดธรรมขึ้นมา แก่ตัวเองที่เป็นศาสนธรรม ไม่ใช่เป็นพิธี ไม่ใช่เป็นวัตถุ ไม่ใช่เป็นผู้คนตัวตน เป็นศาสนธรรม ศาสนธรรมอันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน นี่เรียกว่าศาสนธรรม ทำในสิ่งที่จะให้เกิดศาสนธรรมที่กายที่ใจของคนนี่ เกิดที่อื่นไม่ใช่ศาสนธรรม ศาสนธรรมก็เกิด ต้องเกิดขึ้นที่กายที่ใจของคนที่ยังไม่ตายนี้ อันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ ออกจากทุกข์เมื่อยังไม่ตายนี้ เป็นไปเพื่อความสงบ ก็สงบในเวลามีชีวิตอยู่นี้ เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ก็เกิดพระนิพพานขึ้นขณะที่มีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องทำอะไรเพื่อศาสนธรรมให้มันเกิดขึ้นมา เหมือนชาวนาอยากจะได้ข้าว ต้องทำที่สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าว เพื่อจะได้ข้าวเกิดขึ้นมา เพื่อจะได้ข้าวมากิน แม้จะซื้อเนื้อที่นา ซื้อคราด ซื้อไถ ซื้อข้าวปลูกข้าวพันธุ์ หาเครื่องสูบน้ำ หาแหล่งน้ำ ก็ต้องอาศัยสิ่งที่เกิดให้เกิดขึ้น ให้ข้าวเกิดขึ้นมา จึงจะเรียกว่าทำนา
อันนี้เรามาทำกรรมฐานเพื่อให้เกิดศาสนธรรม ศาสนธรรมนั้นเกิดขึ้นที่กายที่ใจนี้ มีสติเห็นกายอยู่เป็นประจำ เนี่ยที่จะให้เกิดศาสนธรรม มีสิ่งที่ให้เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นไปเพื่อความสงบ ความทุกข์ไม่ทุกข์ ความพระนิพพาน เห็นกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียร กายใจให้เห็น ให้ปลุก ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ สิ่งที่ไม่ใช่สติคือศาสนธรรม ก็เกิดขึ้นมาบางโอกาสเขาก็ถอนออกซะ ให้ศาสนธรรมอยู่แทน เหมือนกับว่า กายสักแต่ว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เห็นให้อย่างนี้เรียกว่า ศาสนธรรม จะเกิดขึ้นที่กาย แต่ว่าที่เห็นที่รู้นี้ก็เป็นศาสนธรรมที่เกิดขึ้นที่จิตใจ
เห็นสุขเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจก็เรียกว่า สักแต่ว่าซะ อย่าให้สุขมันเป็นสุข อย่าให้ทุกข์มันเป็นทุกข์ สักแต่ว่าธรรม สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าสุขว่าทุกข์ เห็นจิตที่มันยึดขึ้นมา สักแต่ว่าจิตซะ อย่าให้จิตมาเป็นตัวเป็นตน ตัวตนเราเขา เกิดทุกข์เกิดสุข พอใจไม่พอใจ มันเป็นตัวเป็นตนไปทางอื่น นั่นก็สักแต่ว่าซะ ให้ที่ธรรมเกิดขึ้นในกายในใจ ถอนสิ่งที่ไม่เป็นธรรมออกไป ให้รู้สึกตัว ธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าธรรมซะ แม้จะมีความไม่เที่ยงเกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าธรรม ความเป็นทุกข์เกิดขึ้น ก็สักแต่ว่าธรรม อะไรเกิดขึ้นมากับกายกับใจ ก็ให้เป็นงานการสร้างสรรค์ขึ้นมา ให้สักแต่ว่า อย่าเข้าไปเป็นกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา มันก็มีมากสิ่งที่เกิดขึ้น
เห็นคนปลูกข้าว แทนที่จะได้ข้าว ต้นข้าวเกิดเป็นหญ้าขึ้นมา แซงขึ้นมา ต้นข้าวก็ไม่งาม นี่ถอนออก ถอนที่ไม่ใช่ต้นข้าวออกไป แต่ว่าถอนสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมออกไป เพียงสักแต่ว่านี่เป็นคำถอน มันไม่ยากเหมือนกับปลูกข้าว ถอนต้นหญ้า ตากแดดตากฝน นั่งอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ มันเกิดขึ้นได้ทุกแบบ ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ โลภ หลง กิเลส ตัณหา ราคะ ง่วงเหงาหาวนอน ลังเลสงสัย คิดฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นได้ ก็ถอนออก ให้รู้สึกตัวซะ ให้เป็นแหล่งความรู้สึกตัวเกิดขึ้นที่กายที่ใจ ให้กายให้ใจเป็นสิ่งที่ปลูกอาศัยแห่งความรู้สึกตัว เป็นที่เกิดของความรู้สึกตัว ไม่ให้เกิดเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นดีใจเสียใจ เป็นชอบไม่ชอบ อาจจะเคยใช้แบบนั้นมานานแล้ว อาจจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้น พอมาทำลงไปมันก็มาบ่อย มันเคยใช้มันเคยอยู่ มันใช้ไม่เป็น อะไรเกิดขึ้นมา ก็พอใจไม่พอใจ ถอนออกมา ให้รู้สึกตัว ตรงนี้ต้องทวนกระแสสักหน่อย ต้องใส่ใจสักหน่อย มันจึงจะหมดไป เห็นแจ้ง เห็นความเท็จความจริง เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้เป็นความถูกต้อง
อย่างนี้เรียกว่าสร้างศาสนธรรม ด้วยวิชากรรมฐานเป็นเครื่องมือ แล้วก็มี ไม่ได้หา ไม่ได้ขอจากใคร มีสิทธิทุกโอกาส ทำได้ทุกเวลา ไม่มีกาลไม่มีเวลา แล้วก็มีสถานที่ มีวัฒนธรรม มีประเพณี มีอาชีพ อย่างนี้เท่านั้น ได้รับความสะดวกจากวัฒนธรรมประเพณี ศาสนา ธรรมวินัย คำสอนที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา สร้างเป็นแหล่งเป็นทางเอาไว้ ให้ได้สะดวกในการทำทั้งนี้ มันเพราะมันมีประโยชน์ ผู้ที่ช่วยเราก็ได้ประโยชน์ ผู้ที่ทำก็ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย นี่เรียกว่าเป็นบุญใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ บุญอันใดความดีอันใด ก็ไม่เกิดขึ้นได้มากเหมือนกับคนจะเป็นคนดี เขาทำช่วยเรา ก็เพื่อช่วยให้คนนั้นเกิดเป็นคนดี
เมื่อคนเกิดเป็นคนดี เขาก็มีความสุข เขาก็เป็นที่อาศัย คนดี ใครก็ใครก็อยากได้คนดี อยากมีคนดี มีลูกก็อยากได้ลูกเป็นคนดี มีผัวมีเมียก็อยากได้ผัวเมียเป็นคนดี มีพี่มีน้องก็อยากได้พี่น้องเป็นคนดี มีเพื่อนมีมิตรก็อยากได้เพื่อนมิตรเป็นคนดี เป็นความคิดเหมือนกัน เช่นพ่อแม่ที่ให้ลูก ได้ลูกเกิดมาก็อยากได้ลูกเป็นคนดี อันนี้เป็นศูนย์รวมอันเดียวกัน วิธีปฎิบัติในชีวิตในกายในใจ เพื่อให้เกิดความดี เรียกว่าศาสนธรรมนี้ จึงเป็นความชอบที่สุด และมีวิธีปฏิบัติให้เกิดศาสนธรรมนี่ได้ง่ายสะดวก พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า ปฎิบัติได้ ให้ผลได้อย่างนี้ แล้วก็ยังผู้ที่มีหรือมารับผิดชอบเรื่องนี้ เรียกว่าพระสงฆ์สังฆะหมู่สงฆ์ รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะเพื่อทำเรื่องนี้ขึ้นมา สร้างสิ่งแวดล้อมขึ้นมา อำนวยความสะดวกให้ผู้ปฏิบัติขึ้นมา ให้เกี่ยวกับศาสนธรรมให้เกิดขึ้นที่คน ตื่นเช้าขึ้นมาก็พาทำวัตรสวดมนต์ ให้สิ่งแวดล้อมที่ดีๆ ได้ยินได้ฟัง ได้สาธยายกับวาจากับปาก กับกายกับใจ สัมผัส เหมือนกับต้นไม้ถูกน้ำฝน สัมผัสลงไปก็จะชุ่มเย็น โตวันโตคืนได้
สิ่งแวดล้อมดีก็เป็นไปได้ วิธีอะไรก็มีแต่ศาสนธรรม การห่มจีวรก็ศาสนธรรม การฉันบิณฑบาตรอาหารก็เป็น ศาสนธรรม การอยู่เสนาสนะก็เป็นศาสนธรรม การกินยารักษาโรคก็เป็นศาสนธรรม นี่แต่ว่าสิ่งแวดล้อมอาจจะเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาบ้าง งั้นเรามีภาชนะใส่อาหารกินมันก็อาจจะดีกว่ามือใส่ ถ้าเอามือใส่ก็ถือว่ามือเป็นภาชนะ เหมือนลัทธิผู้ใหญ่ไม่นุ่งเสื้อผ้าไม่มีอะไร เวลาไปขอข้าวกิน ก็เอาใส่มือ ใส่มือเขาใส่มือก็กิน ติดมือคามือไป ทั้งเปรอะทั้งเปื้อน ไปขอกินบ้านอื่นก็เลียมือ ได้ก็กินไป ขอได้ก็กินไป ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ประเพณีวัฒนธรรมของคนประเภท ประเทศนี้ก็ยังมีอยู่ เขาไม่มีช้อน เขาไม่มีอะไร เช่น นักเรียนไปออกค่าย ไปพบกันอยู่ที่ถ้ำอชันต้า นักเรียนไปเที่ยวกับครู ถึงเวลากินข้าว เขาก็มีห่อข้าวใส่ใบตอง วางลงเป็นแถวไป แล้วก็นั่งเอามือเปิบกิน เปิบกิน เปิบกิน เปิบกิน แต่เขามักจะมีกระติกน้ำทุกคน ทั้งเลียทั้งมือ ทั้งกิน กินอิ่มแล้วใบตองก็ไม่ต้องเก็บ ทิ้งไว้นั่น เดี๋ยวก็มีหมูป่า มีวัวมีควายมาเก็บให้ เราเรียกว่าสุขา คือวัวคือควายคือหมูป่า มีอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง เขาไม่ทำลายสัตว์ประเภทนี้ อันนี้ยังมีอยู่
การปฏิบัติธรรมมีรูปมีแบบมีศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรม อำนวยให้เกิดความสะดวกให้เกิด ศาสนธรรมขึ้นมา เมื่อเกิดศาสนธรรมขึ้นมามันก็ไปทิศทาง เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์จริงๆ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อนิพพาน เช่นเห็นมันทุกข์ เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ เนี่ยมันเป็นอย่างนี้ มันแก่เห็นมันแก่ ไม่เป็นผู้แก่ มันเจ็บมันตาย เห็นมันตาย ไม่เป็นผู้ตายนี่ มันถอนออกมาตั้งแต่นานแล้ว ถอนตั้งแต่ความพอใจ ความไม่พอใจ ถอนออกมาแล้ว ไม่ใช่ตัวตน ไม่เอาความพอใจ ความไม่พอใจมาเป็นตัวเป็นตน สักแต่ว่าเห็นความไม่เที่ยง ก็สักแต่ว่าความไม่เที่ยงมันเป็นอย่างนั้น ก็ไม่เป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง จึงเป็นไปเพื่อปรินิพพาน เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่ได้พุ่ง ไม่ได้แล่นไปทางไหน
ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติ ไม่ฝึกหัด ก็แล่นไปไกล อะไรเกิดขึ้นมาก็แล่นไป การห่วงใยกังวล ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร มันก็ไปไม่ได้ก็คล้องไป เชือกผูกคอ ปอผูกศอก ปลอกผูกขา เรียกว่าวัฏสงสาร แม้แต่ความโกรธ เรื่องเก่าโกรธแล้วโกรธอีก มันเป็นวัฏสงสาร มนุษย์คนนี้ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน มันติดวิญญาณ มันมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันติด แล้วแต่มันจะติดอะไร ก็เป็นอันนั้น ติดความหลง ก็เป็นวิญญาณแห่งคนหลง เรียกว่าโมหะจริต ติดราคะกิเลสตัณหา ก็เรียกว่าราคะจริต ติดโทสะ ก็เรียกว่าโทสะจริต ถ้าไปฝึกหัดก็ติดพุทธจริต รู้ตื่นอยู่ทุกเรื่องทุกราว
เราไม่หัด ก็ไม่เป็น ต้องหัด เกิดมาจะให้มันเป็นเลยไม่ได้ อันความดีส่วนมาก มันจะไม่ค่อยดีที่มันเกิดขึ้นมาถ้าไม่หัด เพราะมันมีเหตุมีปัจจัยสิ่งแวดล้อม ตาก็มีรูปเป็นคู่ หูก็มีเสียงเป็นคู่ จมูกก็มีกลิ่นเป็นคู่ ลิ้นก็มีรสเป็นคู่ กายก็มีสัมผัสเป็นคู่ จิตใจก็มีอารมณ์เป็นคู่ มักจะไหลไปสู่ทางต่ำ น้ำไหลจากที่สูง มักจะไหลสู่ลงไปต่ำเรื่อยๆ ไป ถ้าไม่หัด แม่น้ำทุกสายในประเทศในโลก ก็ย่อมไหลลงสู่ทะเล เมื่อถึงทะเลก็กลายเป็นน้ำเค็ม ใช้ไม่ได้ ดื่มไม่ได้ อยู่กลางน้ำก็อดน้ำตาย ถ้าดื่มก็ตาย แม้แต่ต้นไม้ก็ตาย ชีวิตเราก็เหมือนกัน ตาย หลงคือคนตายแล้ว หลงเป็นหลง คนตาย ทุกข์เป็นทุกข์ คือคนตายไปแล้ว ไม่มีชีวิตที่คืนมาถ้าหลงเป็นหลง ทุกข์เป็นทุกข์ โกรธเป็นโกรธก็ตายไปแล้ว ตายไปกับความหลง ตายไปกับความทุกข์ ตายไปกับความโกรธ ให้สิ่งรสของโลกทับถม เราจะทำยังไง มีจริงๆ โลกนี้มีรสชาติ สัตว์โลกย่อมติดรสชาติ เหมือนปลาติดเบ็ดเพราะมันมีเหยื่อ ตัวเองก็ติดรสชาติ มันจึงหลง จึงมีวิธีที่เกิดศาสนธรรมขึ้นมา เพื่อฝึกตนสอนตนเตือนตน แก้ไขตนให้เป็นคนดี และก็มีสิ่งที่เกี่ยวข้อง
โลกนี้ถ้าเป็นคนชั่วทั้งหมด โลกมันก็ชิบหาย ที่มันเหลือใช้อยู่นี้ก็เพราะคนดี ชีวิตเราที่พออยู่ได้ก็เพราะความดีที่ทำ เราเคยโกรธ แต่ความไม่โกรธก็ยังช่วยเราอยู่ ความโกรธหายไป ความไม่โกรธเข้ามาแทนยังช่วยได้อยู่ แต่เรามาช่วยความไม่โกรธให้งอกงามให้มากขึ้น มักจะต้อนรับ อะไรเกิดขึ้นมาก็พอใจไม่พอใจ มักจะต้อนรับ รสของโลกอย่างนั้น แทนที่จะถอนออกมารู้สึกตัวซะ ไม่ค่อยทำกัน เป็นล่ำเป็นสันเป็นอาชีพ พวกเราอยู่ในวัด สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของพวกเรา เป็นอาชีพ ให้มีอาชีพเรื่องนี้ ไม่ต้องทำมาหากินอันใด ค้าขายทำสวนทำนาทำไร่ ไม่ต้องทำ มีอาชีพเรื่องนี้ เมื่อมีอาชีพได้แล้วเป็นกอบเป็นกำเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ไปบอกไปสอนคนอื่น
พระสงฆ์ปฏิบัติชอบ หมู่ชนผู้เชื่อฟังคำสอน ปฏิบัติชอบตามธรรมวินัย เรียกว่าพระสงฆ์ เมื่อปฏิบัติได้แล้วสอนคนให้รู้ตามด้วย นี่คุณพระรัตนตรัย และเมื่อรู้จริงแล้ว ก็อดไม่ได้จริงๆ สอนใช้ชีวิต ชอบบอกความผิดความถูกต่อคนสุดหัวใจ เพราะว่าเคยทุกข์ คนที่เคยทุกข์ ก็ย่อมเห็นใจคนที่ทุกข์ คนที่เคยเจ็บ ก็ย่อมเห็นใจคนที่เจ็บ คนที่เคยหิว ก็ย่อมเห็นอกเห็นใจคนที่เคยหิว คนที่เคยหิวเมื่อเห็นอกเห็นใจกัน ก็ช่วยกันไม่ได้ปล่อยกันทิ้ง คนใดเวลาทุกข์ไม่เคยพ้นทุกข์ ก็ไม่รู้จักช่วยกันหรอก คนที่หิวไม่เคยช่วย ถ้าไม่รู้จักคนเป็นทุกข์ความหิว ก็ไม่รู้จักช่วยคนที่หิว เพราะเขาไม่เห็นตัวของเขา เหมือนคนเห็นคนตกน้ำ ก็เฉยไม่ได้ ต้องช่วยเหลือเขาขึ้นมา ขึ้นมา
ฉะนั้นคนเรานี่ต้องอาศัยกัน และจริงๆ ถ้ามีธรรม ถ้าไม่มีธรรมก็มีแต่เอาเปรียบ เอารัดเอาเปรียบกัน คนโง่ก็ย่อมเสียเปรียบคนที่ฉลาด เป็นอันครบวงจรหมด แม้แต่อาชีพการงาน เอาเปรียบ คนจนก็จนลงไป คนรวยก็รวยล้นฟ้า ไม่เหมือนเศรษฐีสมัยพระพุทธเจ้า อนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้ช่วยคนอื่นมากมาย สร้างวัดสร้างวา เป็นโยมอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เราจึงเฉยไม่ได้เรื่องนี้ เพราะความชั่วอยู่ที่คน เราไม่บอกเขา เราก็เดือดร้อน จึงเป็นหน้าที่บอก ถ้าไปบอกแล้วเขายังไม่ดี ก็ไม่ใช่ความผิดของเรา ก็ยอม ยอมลำบากเพราะเขาทำชั่ว ต้องระวัง ไปทางไหนทิศใดก็ไม่ค่อยจะปลอดภัย ดั่งพูดเหมือน ผู้ก่อภัยมือสอง เราไม่เป็นผู้ผิด เขาผิด ทำให้เราเดือดร้อน สุขภาพมือสอง เราไม่สูบบุหรี่ คนอื่นเขาสูบ เราก็เดือดร้อน คนอื่นเขาเมาขับรถชนเรา เราก็เดือดร้อน เราไม่เมา เรามีสติดีอยู่
แต่คนขาดสติคนหลงมีมาก เราจึงเป็นอาชีพของพวกเรา ที่จะต้องบอกต้องสอน บอกผิดบอกถูก ว่าความทุกข์มันไม่จริง ความไม่ทุกข์มันจริง มันมีอยู่ มันมีอยู่ ความทุกข์ ความดับทุกข์ มันมีอยู่ ดับได้อยู่ พระพุทธเจ้าประกาศอย่างนี้ ทุกขัง อริยสัจจัง ภะเวติปัณติ เม ภิกขเว อิเมสุ ปะเตสุ วิสัสเตสุ มีอยู่ ความทุกข์มีอยู่ ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจเป็นทุกข์ มันมีอยู่ ความคับแค้นใจ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น มันก็เป็นทุกข์ มันมีอยู่ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจมันเป็นทุกข์ ก็ยังมีอยู่ ความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ก็ยังมีอยู่ ความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ความไม่ทุกข์ก็ยังมีอยู่ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ปล่อยให้คนเป็นทุกข์นี่ มันเป็นความบกพร่อง เพราะมันกระทบกระเทือนเรา ต่อโลกด้วย ไม่ใช่เราคนเดียว จากนี้ไปอุทกภัย มี ภัยเกิดจากน้ำก็มี ภัยธรรมชาติ วาตภัย ภัยเกิดจากลมก็มีในโลกนี้ อัคคีภัย ภัยเกิดจากไฟก็มีในโลกนี้ โจรภัย ภัยเกิดจากโจรผู้ร้ายก็ยังมีอยู่ในโลกนี้ ใครจะไปปราบ ปราบไม่หมด ถ้าไม่เริ่มต้นที่ตัวเรา มาสอนกันเรื่องกรรมฐานนี่ เราฝึกหัดเรื่องนี้ ให้เขาได้เห็นตัวเขา เหตุที่เกิดก็จะเป็นเหตุโน้น ไม่ใช่ไปฆ่าเขา ไปฆ่าคนมันก็ไม่ถูกเหตุกัน ที่คนทำชั่วก็เพราะมันหลง คนฆ่ากันตาย เพราะมันโกรธ มันหลง มันโลภ เบียดเบียนกันเอาเปรียบกัน เพราะมันโลภ
เพราะว่าการมีสติ ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกมาได้เนี่ย เหตุมันอยู่ที่นี่ ถอนออกมา มีสติ ความเพียรเครื่องเผากิเลส ถอนออกมา นั่นแหละมันเป็นกิเลส ทำให้เศร้าหมอง เป็นโทษต่อตัวเองและคนอื่น อะไรเกิดขึ้นมา ก็ถอนออกมา จากสี่ด่านนี้ได้ มันก็ง่ายก็ ไปได้ ถ้ารู้จักถอนออกมา กาย เวทนา จิต ธรรม เริ่มต้นอยู่ที่นี่ เหมือนกับเซอร์เวย์(survey)ได้แล้ว เป็นทางไปได้แล้ว เดินไปได้แล้ว เดินไปบ่อยๆ ถอนบ่อยๆ มันจะโล่งจะเตียนขึ้นมาเป็นทาง ทีแรกก็ขรุขระหน่อยหนึ่ง หลงแล้วหลงอีก ก็ขรุขระหน่อยหนึ่ง ต่อไปๆ ก็เปลี่ยนหลงเป็นรู้เรื่อยไป ก็เรียบขึ้น เรียบขึ้นๆ กลายเป็นทางเรียบ เป็นมิตรภาพราบเรียบ เป็นทางสะดวก ถ้ามันเกิดความสะดวก ไหลไปสู่ความดี เอียงไปไหลไปสู่มรรคสู่ผล ไปถึงจุดหมายปลายทาง มันก็เป็นคนคนเดียวกัน เอียงไปไหลไปสู่มรรคสู่ผล เหมือนน้ำไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำ ต่ำที่ต่ำ ทะเลเหมือนมหาสมุทร เป็นมรรคผลนิพพาน ก็ไหลไปสู่ทางนั้น ลุ่มลึกลงไป เป็นอันเดียวกันน่ะ น้ำอะไรต่างๆ รสต่างๆ กลายเป็นน้ำรสเค็มเหมือนกันหมด เหมือนธรรม เป็นธรรม เหมือนกันหมด เป็นคนคนเดียวกัน เดินคนเดียว ไปทางเดียว ถึงที่เดียวกัน เป็นคนคนเดียวกัน
นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ เรียกว่าศาสนธรรม ไม่ใช่ลัทธินิกายชาติภาษาเพศวัย ไม่มีสิ่งที่อ้างศาสนธรรมนี้ มีสิทธิทุกชีวิต มันหลง มันมีสิทธิที่ไม่ให้หลง เปลี่ยนได้ มันโกรธมีสิทธิไม่ให้โกรธ เปลี่ยนได้ มันทุกข์มีสิทธิไม่ให้ทุกข์ เปลี่ยนได้ อย่าเพิ่งด่ากัน อย่าเพิ่งฆ่ากัน อย่าเพิ่งเอาเปรียบกัน หัดเปลี่ยนได้เป็นดีอย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรม ไปบังคับกันไม่ได้ ต้องทำเอาเอง ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติต้องศึกษาด้วยตัวเอง ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ยิ่งเห็นจริง ในทางธรรมที่ควรรู้ควรเห็นตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ ทำแค่ไหน วิชากรรมฐาน 14 จังหวะ เคลื่อนไหว 14 ครั้ง มีรู้ทุกครั้งไหม ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ หมกหมุ่นครุ่นคิด ในอารมณ์ที่ครุ่นคิด ไม่รู้จักมีสติ มันก็ไม่ใช่ เวลาเท่ากัน แต่ใช้คนละแบบ เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ประมาทในเมื่อผู้อื่นประมาท ตื่นอยู่ในเมื่อผู้อื่นหลับ ย่อมละคนโง่ไปไกล เหมือนม้ามีฝีเท้าดี ละม้าที่มีกำลังฉันนั้น