แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มีโอกาสก็พูดเอ้า ... พูดเอาหลวงพ่อ เพราะว่ามันก็ถือว่าเป็นความชอบ การบอกการสอนให้ทำความดีให้ละความชั่วให้ทำจิตบริสุทธิ์นี่มันสุดยอดของการศึกษา เรามีศาสนา เรามีพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้ง 9 พระองค์เป็นพุทธศาสตร์ เป็นผู้อุปถัมภ์ภก ผู้บำรุงพระพุทธศาสนา มีคณะสงฆ์ มีพระราชบัญญัติในประเทศไทย มีอุบาสกมีอุบาสิกา พวกเราเป็นนักบวชอยู่วัดวาอารามก็มีครูอุปัชฌาย์ครูบาอาจารย์ มีเพื่อนมีมิตร อยู่ที่นี้ก็มีนักบวช มีพระสงฆ์ มีสามเณร สามเณรรี มีแม่ชี มีอุบาสกอุบาสิกา วัดวาอารามที่เราอยู่ก็เป็นสถาบันก็ว่าได้ มีกุฏิ มีศาลา มีที่โรงทานโรงอาหาร มีสำนักงาน มีคลังสิ่งของ มีผ้าห่ม มีจีวร มียารักษาโรค มีไฟฉาย มีเครื่องใช้ให้เกิดความสะดวกแก่พวกเรา
พวกเรามีสิทธิที่จะไปใช้ได้ ไม่สงวนเป็นลิขสิทธิ์ส่วนตัว ของที่อยู่ที่นี่เป็นส่วนรวมทั้งหมดเพราะว่าเป็นของสงฆ์ แล้วเราก็มีธรรมมีวินัยอยู่ร่วมกันด้วยสามัคคีธรรม สามัญลักษณะเสมอกัน มีศีลเสมอกัน ทุกชีวิตที่มาที่นี้ต้องการศึกษาปฏิบัติธรรม แสวงหาสิ่งประเสริฐเรียกว่า “อริยปริเทสนา” แสวงหาสิ่งประเสริฐคือมรรคผลนิพพาน
การที่เราแสวงหาวิธีที่เราศึกษาก็มีแบบในแผน มีพระศาสดา มีพระพุทธเจ้า มีคณะกรรมการยิ่งใหญ่คือพระสาวกผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า เป็นหลักฐานในตัวในตน แม้พระองค์พระศาสดาของเราปรินิพพานไปพระองค์ก็มอบให้ธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัยยังมีตัวมีตน การทำบาปเองก็ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเองก็หมดจดเองนี้เรียกว่า ศาสดาคือธรรมะ คือข้อวัตรปฏิบัติ พวกเราจึงไม่งมๆซาวๆ เป็นความชัดเจนไม่สุ่มที่ไหน โดยเฉพาะวิธีปฏิบัติธรรมที่เราทำอยู่ เจริญสติตามหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรามาจับเส้นทางเส้นนี้เพื่อไต่เต้าเพื่อเดินตามไป ให้เราจะเป็นผู้ศึกษามามากผู้คงแก่เรียนมามาก หรือผู้ที่ใหม่ต่อการศึกษาก็อันเดียวกันถือว่ารวบยอด ร่วมยอดของการศึกษา
ถ้าเราจะเรียนพระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย มันก็อยู่ตรงนี้แหละคือการเจริญสติ ขณะที่เรามีสติมันก็ละความชั่วแล้ว ขณะที่เรามีสติมันก็ทำความดี ขณะที่เรามีสติจิตของเราก็บริสุทธิ์แล้ว ถือว่ายอดของปาติโมกข์ สุดยอด ยอดของปาติโมกข์ทำอย่างเดียวมาเป็นพวงๆ ความถูกต้องทั้งละความชั่วทั้งทำความดีทั้งทำจิตให้บริสุทธิ์ เจริญสติ สติมันก็มี เมื่อมีสติมันก็จะเห็นอะไรที่ไม่ใช่สติมากมาย ที่มันเกิดขึ้นขณะที่เรามีสติ เหมือนที่เราลืมตามันก็ต้องเกิดการเห็น เมื่อเรามีการเห็น เราก็ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ไปไหนมาไหนรอบโลกได้ การเห็นของเรา มันก็บอกผิดบอกถูก บอกพิษภัยต่าง ๆ ที่มันจะทำให้เกิดการเสียหายแล้วก็รอดพ้นมาด้วยสายตา ตาภายในของเราคือสติสัมปชัญญะ เนี่ย มันเป็นดวงตาภายใน มันเห็นทั้งวัตถุมันเห็นทั้งนามธรรม
วัตถุก็คือรูปทั้งหลายๆ เสียงทั้งหลายก็เป็นวัตถุ กลิ่นทั้งหลายก็เป็นวัตถุ รสทั้งหลายก็เป็นวัตถุ อารมณ์ที่เป็นนามธรรมมันก็เป็นวัตถุ เป็นทั้งวัตถุเป็นทั้งนาม เจ็บปวดเหมือนกันอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นกับจิต เช่น ใจนี่อารมณ์ก็เจ็บใจๆ เจ็บปวดเป็นนามธรรมเป็นความคิดที่มันส่ายแส่ไปหาอารมณ์ หาอาหาร รูป รส กลิ่น เสียง ความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับจิต เรามีสติเราก็เห็นเอ๊า..เห็นเอา โต้ตอบทักท้วงอารมณ์ต่าง ๆ อาการต่าง ๆ ธรรมชาติต่าง ๆที่มันเกิดขึ้นขณะที่เราเจริญสติ อย่าไปถือว่าเป็นเรื่องยากเรื่องง่าย อย่าไปถือว่าเป็นเรื่องทำได้ทำไม่ได้ ให้เป็นการศึกษาเพียงว่าเห็น รู้แล้ว อย่าไปเอายากอย่าไปง่าย อย่าไปเอาผิด อย่าไปเอาถูก อย่าไปเอาสุขอย่าไปเอาทุกข์ ความรู้สึกตัวจริง ๆ จะเป็นคำตอบว่ารู้แล้ว รู้แล้วว่าอย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นนักปฏิบัติ รู้แล้วก็กลับมา ตัวรู้แล้วไม่ใช่เป็นคำพูดเป็นคำตอบของสติสัมปชัญญะ รู้แล้ว รู้แล้วน่ะ มันไว ๆ มันแล้วไปแล้ว มันสุขก็เห็นมันแล้วไปแล้ว มันก็รู้มาใหม่ ความทุกข์ก็เห็นแล้ว มันแล้วไปแล้วความทุกข์นะ มันหลงก็รู้แล้ว มันแล้วไปแล้วความหลง ความรู้สึกตัวก็เดินก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ก้าวล่วงไปเรื่อย ๆ ข้ามพ้นไปเรื่อย มันไปนะความรู้สึกตัวนี่ มันไป
ถ้าจะเรียกว่าเราเป็นนักบวช บวชมันก็ไปแล้ว ไปจากอะไร ไปจากความผิด ความสุขทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงต่าง ๆ คำว่าบวชนี่ บ-ว-ช เป็นภาษาบาลี ถ้าเป็นภาษาบ้านเราก็เรียกว่าไปจากความชั่ว ไปไหนละ ไปสู่ความถูกความต้องความดีสู่ศีลสู่ธรรมสู่มรรคสู่ผล ไปไกลถึงที่สุดถึงมรรคถึงผลจุดหมายปลายทาง ปะวะชะ แปลว่าไปจากความชั่ว หนีหันหลังให้ความชั่ว
ท่านทั้งหลาย พวกเราชาวพุทธยังถือว่าการบวชเป็นบุญใหญ่กว่าการทำบุญอันอื่น เพราะคนจะเป็นคนดี ถ้าเป็นลูกของพ่อของแม่ก็จะเป็นคนดี สั่งลาแล้ว สั่งลาความชั่วแล้ว ถ้าพ่อแม่ได้ลูกเป็นคนดีก็สุดหัวใจแล้ว สึกออกไปจนเรียกว่า “ทิด” บัณฑิตผู้รู้ บัณฑิตแปลว่าผู้รู้แล้ว พ้นจากความหลงไปแล้ว พ้นจากความโกรธไปแล้ว พ้นจากความทุกข์ไปแล้ว เห็น เห็นแล้ว เห็นมาแล้ว พ้นมาแล้ว โดยเฉพาะภาคปฏิบัตินี่สมบูรณ์แบบในการบวช พาให้เป็นนักบวชได้การเจริญสตินี่ พาให้เกิดเป็นนักบวชได้ เอ้า..ถ้าญาติโยมยังนุ่งกางเกงขาสั้นขายาวยังใส่ผ้าถุงยังใส่เสื้อผ้าก็เป็นคุณธรรมเป็นบวชเหมือนกัน
คำว่า “บวช” เป็นคุณธรรม ถ้าบวชที่เป็นสมมุติเหมือนกับพวกเราน่ะ ถ้าเข้าถึงคุณธรรมก็เรียกต่างกันไปเลยว่า เรียกว่า “พระสงฆ์ พระอริยเจ้า เป็นพระอริยเจ้า” ถ้าเป็นฆราวาสญาติโยมเขาเรียกว่า “พระอริยบุคคล” ไม่มีคำว่า “เจ้า”เหมือนพระมหากษัตริย์ ถ้าเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส คือเป็น เจ้า ถ้าไม่ใช่เป็นเจ้าก็สมเด็จพระสังฆราช อะไรก็ว่าไม่มีเจ้า ถ้าเราเป็นนักบวชเป็นเพศนักบวชโกนผมห่มจีวรถ้าได้บรรลุธรรมเขาเรียกว่า “พระอริยเจ้า” ถ้าเป็นฆราวาสญาติโยมเรียกว่า “พระอริยบุคคล” คุณธรรมเท่ากัน เป็นคุณธรรมเสมอกันเรียกว่า “สามัญลักษณะ” เสมอกัน อันนี้สิทธิพวกเรา
แต่ว่านักบวชสะดวกกว่าฆราวาสญาติโยม หน้าที่โดยตรง เวลาก็เพื่อการปฏิบัติธรรมโดยตรง ถ้าเป็นนักบวชไม่ปฏิบัติธรรมถือว่าใช้ชีวิตผิด ผิดหน้าที่พอบวชเข้ามาแล้วพระพุทธเจ้าก็บอกเรา “สิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลายออกบวชจากเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว” เราอุทิศต่อพระพุทธเจ้าเราจึงมาบวช เอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยเป็นธงชัยสะพัดหวิวๆอยู่ข้างหน้าเรา ไม่ใช่บวชเพื่อบนบานศาลกล่าว ขึ้นต่อพระรัตนตรัยเราจึงปฏิบัติธรรมเป็นการเดินทาง
การเจริญสติเป็นการเดินก้าวไปหาพระรัตนตรัยให้ถึงพระรัตนตรัย จนเกิดพระรัตนตรัยในชีวิตเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การเจริญสตินี่ความรู้สึกตัวเป็นหน่อโพธิ เป็นหน่อพุทธะ เป็นหน่อนะ เป็นหน่อโพธิ น่ะ ปลูกลงไปในกายในจิตของเรา ดังที่พูดเมื่อวาน หน่อโพธิ เนี่ย ก็มีโอกาสงอกงามได้ไว อาจจะไม่งอกงาม แกนไปเลยก็ได้ ถ้ารักษาไม่ดีเหมือนต้นไม้ หรือเหมือนต้นกล้าขาดน้ำ ต้นไม้ขาดน้ำ ต้นกล้า ต้นอ่อนปลูกอะไรทับถมมันก็ไม่งอกไม่งาม ต้องพอดี ๆ สม่ำเสมอ เช่น การปลูกต้นไม้นี่ถ้าเร่งเกินไปให้ปุ๋ยเกินไปก็เสีย เสียนิสัย เสียนิสัยต้นไม้ ให้ๆ หยุดๆ หย่อนๆ บางทีก็พอปลูกใหม่ให้ปุ๋ยบำรุงอย่างดี พอต่อไปอีกไม่ให้ปุ๋ยไม่ให้น้ำไม่ให้ปุ๋ยต้นไม้ต้นนั้นก็เสียนิสัยอ่อนแอแกนไปเลย การทำอะไรก็ต้องมีความพอดีความเป็นกลาง อย่างต้นอ้อยที่เขาให้ปุ๋ยกันมาก ๆ พอแล้งแล้วก็เหี่ยวตายไปเลย มันโลภเหมือนคนเรา ความโลภได้เอาเก็บเอาอันโน้นก็เป็นของกู ของกู ของกู พอสิ่งเหล่านั้นเสียหายไปเสียใจทำใจไม่เป็น นักบวชอ่อนแอสุขุมกุมารชาติ ทำอะไรไม่ได้ ขี้อ่อนแอกว่าฆราวาสญาติโยม งอมืองอเท้าไม่ใช่นักบวช นักบวชต้องเข้มแข็งกว่าญาติกว่าโยม
ชีวิตของพระพุทธเจ้าเป็นชีวิตที่เข้มแข็ง ชีวิตของพระสงฆ์เป็นชีวิตที่เข้มแข็งไม่ใช่อ่อนแอ การใช้ชีวิตก็เกี่ยวข้องกับสิ่งไหนก็ถูกทำให้เข้มแข็ง อย่างเราสวด ตังขณิกปัจจเวกฯ การเกี่ยวข้องเกี่ยวกับจีวรนุ่งห่มเพื่อบำบัดความหนาว เพื่อบำบัดความร้อน เพื่อป้องกันเหลือบจมลมแดดและสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย เพื่อปิดอวัยวะอันให้เกิดความละอายเท่านี้ ไม่ใช่หรูหราโก้สวยงามเพื่ออวดเพื่ออ้างใคร อาหารบิณฑบาตเพื่อบรรเทาความหิวเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อมีความผาสุก เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ในชีวิต เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ไม่ใช่เพื่อลาภสักการะสรรเสริญเยินยอ ไม่ใช่
ที่อยู่อาศัยก็ป้องกันลมแดดและสัตว์เลื้อยคลาน เพื่อดินฟ้าอากาศฝนตกแดดออก เพื่อบำเพ็ญภาวนาหลบหลีกหนีหามุมสงบให้กับตัวเอง ไม่ใช่เพื่ออยู่เพื่อความสะดวก มีน้ำมีไฟมีเฟอร์นิเจอร์มีเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่ใช่ เพื่อบำเพ็ญภาวนาอยู่ที่ไหนเพื่องานนี้เพื่อภาวนา
แม้เจ็บไข้ได้ป่วย ยารักษาโรคเพื่อบรรเทาทุกขเวทนาอันเกิดขึ้นแล้วมีอาพาธต่าง ๆเป็นมูล ไม่ใช่หา หยูกหายามากินเพื่อบำรุง ยาดองไอ้นั้นยากินนี้ เวทนามันมีจึงใช้หยูกใช้ยา ถ้าไม่มีเวทนา อาพาธฉันยาลงไปเพื่อฟุ่มเฟือยเป็นอาบัติ กินยานู้นกินยานี่ ไม่ใช่ เราก็เหนือแล้ว มาแบบเหนือๆธรรมวินัยไม่หลงกับสิ่งใด ยิ่งพวกเรามาปฏิบัติเสริมเข้าไป แจ๋วไปเลยชีวิตเรา บริสุทธิ์ไปเลย รู้สึกตัว รู้สึกตัวเนี่ย รู้สึกตัว รู้สึกตัวนี่นะ มันสร้างพรหมจรรย์ บริสุทธิ์ทั้งกายทั้งจิต ความรู้สึกตัวเห็นอะไรต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจไม่เข้าไปเป็นกับสิ่งใด มันหลงเห็นมันหลง ความหลงไม่ได้เปื้อนแล้ว มันทุกข์เห็นมันทุกข์ ความทุกข์ไม่ได้เปื้อนแล้ว มันโกรธเห็นมันโกรธ มันมีกิเลสตัณหาราคะ เห็นมันไม่เปื้อนแล้วนั้นแหละพรหมจรรย์
ภาวะที่เห็นที่ดูแล้วก็รู้สึกตัวแสดงว่าอาบล้างไปแล้ว บริสุทธิ์แล้ว ภาวะที่เห็นเป็นทั้งศีลเป็นทั้งสมาธิเป็นทั้งปัญญา ศีลทำให้บริสุทธิ์สมาธิทำให้บริสุทธิ์หมดจด ปัญญาทำให้สะอาดหมดจดหลุดพ้น ก็หลุดพ้น เห็นความหลงหลุดพ้นจากความหลง เห็นความโกรธหลุดพ้นจากความโกรธ เห็นความทุกข์หลุดพ้นจากความทุกข์ เห็นอะไรที่มันเป็นอาการเกิดขึ้นกับกายกับใจ ตัวสติ ตัวรู้สึกตัว ตัวเห็นเข้าไปรองรับเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นนายทวารบาล เป็นนายประตู อะไรที่มันมีเกิดขึ้นภายในกายในจิตใจของเรา ชำระๆ ถ้าเห็นแล้วมันก็หลุดไปเลยมันอยู่ไม่ได้ มันไม่ดื้ออะไรเท่าไรหรอก
กิเลสตัณหาราคะ ความชั่วอกุศลธรรมทั้งหลายมันขี้แพ้อยู่แล้ว ไม่มีท่า เห็นความหลงเกิดขึ้นเรารู้สึกตัวนี่ความหลงไม่มีท่าเลย ไม่มีท่า มันไม่ดื้อด้านอะไร ความรู้สึกตัวเนี่ย ความรู้สึกความระลึกได้นี่มันเป็นธรรมที่ชำระอะไรๆก็ได้ เหมือนกับเสื้อผ้าที่มันติดสิ่งสกปรกโสโครกมีน้ำยาซักฟอกมันอยู่ไม่ได้ ความสกปรกมันไม่ใช่เนื้อผ้า ความบริสุทธิ์ความหมดจดชีวิตของเราก็เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกตัวมันก็รักษาธรรมชาติความบริสุทธิ์นี้ไว้
เดี๋ยวนี้เราไปใช้ชีวิตแบบซุกๆซนๆไปเปรอะไปเปื้อนอะไรไม่เคยดูไม่เคยแล บางทีจะติดมามากบ้างน้อยบ้างสำหรับชีวิตเราเป็นจริตนิสัย เป็นจริตนิสัย พอมารู้สึกตัว มารู้สึกตัวก็ยิ่งดี ยิ่งดีมากจะได้บทเรียนจะได้ประสบการณ์กับภาระปัญหาต่าง ๆ จะได้ไปบอกไปสอนคน เขาเกิดอะไร เขาเป็นอะไรเราก็เคยผ่านเคยพ้นมาแบบนั้น อย่างคนติดเหล้าพอมาปฏิบัติธรรมก็ เหล้ามันก็โชว์ ติดบุหรี่ บุหรี่มันก็โชว์มากที่สุดเลยเพราะว่ามันเป็นนิโคตินมันเสพติด มันมีสารนิโคติน มันมีเข้าไปอยู่ในสายเลือดมันก็โชว์ พอเขาอดเขาพ้นไปเขาก็เก่ง เวลาไปสอนคนเขาก็สอนได้ เหมือนสมัยหลวงพ่อเป็นหนุ่มไปสอนพวกติดยาเสพติด มีเข้าไปในค่ายตำรวจด้วย เข้าไปในแหล่งยาเสพติด จับมาสอนไปด้วยกันกับฆราวาสคนหนึ่ง ฆราวาสนั้นเขาก็เป็นคนติดยามาก่อน เขาเลิกได้ เขาเลิกได้เขาก็ไปสอน เวลาเขาสอนเขาเคยเป็นขี้ยาไปสอนขี้ยา ขี้ยาฟังคำพูดของเขา เขาชอบมากพอใจ เวลาหลวงพ่อพูดหลวงพ่อไม่เป็นขี้ยามีแต่สอนธรรมะ พอสอนเขาๆก็ง่วงเหงาหาวนอน พอขี้ยาสอนเขาก็ โอ้ย..ตาสว่างขึ้นมาเลย พอพูดจบลงไปเข้ามาเคารพเป็นแถวๆ คนที่มีประสบการณ์ความเลวร้ายต่าง ๆ เขาชนะได้เนี่ยก็ประสบการณ์ของเขาไปบอกไปสอน ชีวิตเราก็เหมือนกันดีแล้วที่มันเกิดอะไรขึ้นมาก ๆ จริตนิสัยแบบไหน ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต เราจะได้เห็นและได้ผ่านพ้นได้โดยวิธีนี้ วิธีนี้ เอ้า.. วิธีไหนก็ตามจะเป็นราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต สติสัมปชัญญะทั้งนั้น ไม่ใช่วิธีอื่น
บางทีเขาก็บอกว่า ราคะจริตต้องเพ่งอสุภกรรมฐาน โทสะจริตต้องแผ่เมตตา โมหะจริตต้องเจริญสติเป็นคู่ปรับ ไม่ ไม่ใช่ เอาความคู่ปรับคือความรู้สึกตัวอย่างเดียวไปได้เลยหลุดสบายมาก จะไปเพ่งอสุภกรรมฐาน อสุภะก็คือเห็นความคิดมันน่าเกลียด มันหลง ความหลงนี่แหละเป็นอสุภกรรมฐาน ไม่ใช่ไปเอาซากศพ เคยมีเพื่อนกรรมฐานสมัยเป็นหนุ่ม เขาบอกว่าเขาจะทำหนังสือกรรมฐานที่สมบูรณ์แบบ แล้วคุณจะทำแบบไหนละ จะอยากได้ศพผู้หญิงสาวสวยตายสดๆ จะถ่ายเอาต้องโป๊ต้องเปลือยให้มันขึ้นอืดให้มันเน่าให้มันเละให้มันกระจุยกระจายจนเหลือแต่กระดูก โอ้ย.. มันไม่ใช่ๆอสุภะ แบบนั้น
อสุภะจริง ๆมันหลงนี่แล้ว หลงก็คิดไปก็ปรุงแต่งเป็นกิเลสตัณหา ไม่ใช่ไปเอาภาพแบบนั้น ภาพแบบนั้นก็ได้แต่ว่ามันไม่จริง ของจริงมันเกิดจากความหลง มีสติเข้าไปเห็น มีสติเข้าไปเห็นๆความหลงต้นตอมันก่อนที่มันจะเกิดราคะจริตมันต้องเกิดความหลง ก่อนที่มันจะเกิดโทสะจริตมันต้องเกิดความหลง ก่อนที่จะเป็นโมหะจริตนี่ โมหะจริตนี่ตัวแปรที่ทำให้เกิดโลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาราคะ เกิดอิจฉาเบียดเบียนได้เพราะตัวหลง คู่ปรับตัวหลงคือความรู้สึกตัวพอดีกันเลยกับพวกเราที่มาสร้างอยู่นี่ ที่เรามาสร้างนี่พอดีกันเลย มาทีไรก็ปั๊ปทันทีเลย ตัวรู้ตัวหลง ไม่ต้องไปเอาเหตุเอาผลอันใด ง่ายๆปฏิบัติธรรมได้หลักอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าบุกเบิกให้พวกเราใช้ไปเลย ใช้วิธีปฏิบัติไปเลย ก่อนพูดก่อนทำก่อนคิดรู้สึกระลึกได้ใช้ตรงนี้เลย มันไม่พูดไม่ทำไม่คิดก็รู้เป็นฐาน
กรรมฐานมันเป็นกรรมฐานมันเป็นการกระทำอยู่แล้ว มันที่ตั้งไว้อยู่แล้วมันตั้งไว้อยู่แล้วสมบูรณ์ เราก็มีจริง ๆ รูปของเราก็มีจริง ๆ เอามาทำเอามาสร้างกรรมฐานมาสร้างตัวรู้ มันก็สร้างได้ ไม่ใช่สร้างไม่ได้ ไม่มีใครทำไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้ เราเอามือวางไว้บนเข่า เราก็รู้ว่ามือเราอยู่บนเข่า ถามใครก็รู้กันทั้งนั้น เราเอามือวางไว้บนเข่า มือคุณอยู่ไหน เขาก็ตอบได้ว่ามืออยู่บนเข่า อะไรที่รู้ว่ามืออยู่บนเข่าเป็นความรู้สึกตัว ก็นั้นแหละสติ เขาก็ตอบได้เรียกว่าปฏิบัติได้ให้ผลได้
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนในสิ่งที่คนเราทำไม่ได้ สมบัติของคนเรานี่แหละความรู้สึกตัว ความหลงไม่ใช่สมบัติของเราหรอก เป็นความชอบธรรมที่สุดแล้วความรู้สึกตัวนี้ ให้พากันกระตือรือร้นสักหน่อย อย่าทอดทิ้งอย่าทิ้งหน้าที่ กายของเราใจของเราน่ะ สมบัติของกายของใจของเราคือความรู้สึกตัว คือความรู้สึกตัวนะ อย่าไปปล่อยให้ความหลงมาครองกายครองใจเรา มันเสียโอกาส มันไม่มีประโยชน์อะไรไม่เป็นธรรมต่อกายต่อใจ มากอบกู้มาใช้สิทธิอันชอบธรรมให้กับชีวิตเรา ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตให้ชอบธรรมแบบนี้ ไม่ ไม่มีประโยชน์ เสียชาติ เสียค่าน้ำนม เสียการเลี้ยงดู พ่อแม่ที่ปรารถนาที่จะให้เราเลี้ยงลูกให้สำเร็จ บัดนี้ต่อยอดพวกเรา พ่อแม่ลงทุนให้พวกเราเป็นผู้เป็นคนเป็นความพร้อมมาถึงป่านนี้ ต่อยอดให้พ่อให้แม่เอามาทำความดีไปเลย ต่อยอดไปเลย เอากายมาทำความดี เอาใจมาทำความดี มาปฏิบัติธรรม มันก็เป็นผลกระทบต่อพ่อต่อแม่ด้วยในทางที่ดี นะ
ถ้าเราไม่ต่อยอดตรงนี้แล้ว เสียแรงการมีชีวิตที่เกิดมา การปฏิบัติธรรมนี่ มันมีสูตรอยู่แล้ว มันมีสูตรอยู่แล้ว กายานุปัสสนามีสติเห็นกาย เอ้า..ทำไงมันจึงจะเห็น นี่แหละอิริยาบถ 14 จังหวะ หลวงปู่เทียนในยุคนี้สมัยนี้เป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในการสอนให้คนมีความรู้สึกตัว ในการสอนเรื่องสติสัมปชัญญะ มีตัวมีตนหลวงพ่อก็เห็น ได้เห็นกัน ตาต่อตา ปากต่อปาก พูดให้ฟังสอนบอกเราตรง ๆ เข้าไป
พระพุทธเจ้าของเราก็เป็นศาสดาได้วางหลักอันนี้ไว้ มีผู้ทำตามได้ผล ผ่านมาแล้ว 2,500 กว่าปี ยังเป็นมรรคเป็นผลไม่ว่างจากไหน “ สะเกเม ภิกขเว ภิกขู สัมมา วิหะเรยยุง อสุญโญ โลโก อรหันเตหิ อัสสาติ” “ภิกษุทั้งหลายเมื่อพวกเธออยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์” นี้แหละ อยู่โดยชอบคือมาเจริญสติ เนี่ย แล้วพวกเราก็จงใจที่สร้างวัดสร้างวา ญาติโยมให้ความอุปถัมภ์เพื่อให้พวกเราได้อยู่โดยชอบ ไม่ต้องไปทำมาหากินเด้อ ไม่ต้องไปค้าไปขายที่ไหน ไม่ต้องขวนขวายเรื่องอื่น ทำไม่ได้ผิดวินัย ไปค้าไปขายไปขวนขวายหาลาภสักการะไม่ได้ เขาอุปถัมภ์บำรุง
อย่างวัดป่าสุคะโต 500 ไร่ มีกุฏิอยู่คนละหลังรูปละหลัง เขตอุบาสิกา เขตพระภิกษุสงฆ์ มีผู้ปรุงอาหาร มีบิณฑบาต มีกิจกรรม มีวิจิตรวัตรวิธีวัตร ตื่นขึ้นมาก็มาร่วมกันสวดมนต์ไหว้พระ สาธยายธรรมให้ตัวเองฟังพร้อมกันสวด สิ่งที่เราสวดเป็นธรรมที่ทำให้เกิดเป็นพระอรหันต์นะ เราสวดทำวัตรเนี่ยทำให้เกิดเป็นพระอรหันต์ได้ อนัตตลักขณสูตรบ้างบทต่าง ๆ ที่เรามาสวดลำดับมาแล้วก็แปล มันเจริญมาถึงป่านนี้แล้ว แต่ก่อนนี่ ทำวัตรไม่ค่อยแปลหรอกมาถึงยุคเจ้าคุณพุทธทาส อาจารย์พุทธทาสนี่เอามาแปล เป็นภาษาบาลีเป็นภาษาไทย
การแปลหนังสือทำวัตรสวดมนต์มี 2 รูป อาจารย์พุทธทาสกับอาจารย์มหาธนิต อาจารย์มหาธนิตนี่เปรียญ 9 ประโยค กับอาจารย์พุทธทาสเปรียญ 3 ประโยค ถ้าจะว่าแล้วอาจารย์พุทธทาส นี่ เพราะที่สุด เช่น “ภะวะตุสัพพะมังคะลัง ด้วยอาณุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง” เป็นอาจารย์มหาธนิตแปล แต่อาจารย์พุทธทาสว่า “ด้วยอาณุภาพแห่งพระพุทธเจ้า...” โอ้ มันเพราะดี ไม่ต้อง “ทั้งปวง” “สัพพะธัมมานุภาเวนะ ด้วยอาณุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง” อาจารย์พุทธทาสว่า “ สัพพะธัมมานุภาเวนะ ด้วยอาณุภาพแห่งพระธรรม...” มันโก้มันไปได้สวย ตัดทั้งปวงออก เนี่ยมี 2 รูปที่แปลให้พวกเราสวด ส่วนมากก็แพร่หลายเป็นของอาจารย์พุทธทาส เราก็สวดเอ๊าสวดเอา เราก็แปลเราได้เรื่องได้ราว
พุทโธ โอ้..ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ตื่น ใครเป็นผู้เบิกบาน ก็เรื่องของส่วนตัวเรา ไม่ใช่ว่าเป็นภาษานกแก้วนกขุนทอง อะไรทำให้เรารู้ตื่นเบิกบานคือความรู้สึกตัวนี่เอง ไอ้เรามาพูด พุทธะ พุทโธนี่ รู้สึก รู้สึกน่ะ พุทธะเกิดขึ้นตรงนี้เกิดขึ้นที่ความรู้สึกตัว ไม่ใช่อ้อนวอน ไม่ใช่เกิดอยู่ศรีมหาโพธิ์ โพธิ ก็คือตัวสติตัวปัญญาเป็นภาษาธรรม ได้ทั้งภาษาธรรมได้ทั้งภาษาคน โพธินี่คือตัวสติปัญญาไม่หนีจากที่นี่ ไม่หนีจากสติสัมปชัญญะ ลองดู
ผู้ใดเจริญสติสัมปชัญญะต่อเนื่อง 1 วันถึง 7 วัน อานิสงค์เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ 1 เดือนถึง 7 เดือน 1 ปีถึง 7 ปี เนี่ย พระพุทธเจ้าท้าทายแล้วเหมือนกับพวกเราเนี่ย ท้าทายต่อเราด้วย เราพิสูจน์กันหรือเปล่า ที่เราฐานะเป็นพุทธบริษัท ถ้าใครไม่พิสูจน์ตรงนี้เนี่ย ประโยชน์จากการมีพระพุทธศาสนานี่ น้อยมาก ถ้าเรามาพิสูจน์ตรงนี้ เออ..เอาหมดนะ.ศาสนาก็คือเราเนี่ย ไม่หลงไม่ทุกข์ แล้วก็ไปช่วยบอกช่วยสอนกันต่อไป มันอดไม่ได้
พุทโธ ตัวนี้รู้ตื่นเบิกบาน เพราะเราเคยมัวหมองเศร้าหมองไม่ตื่นไม่เบิกบาน พ้นออกมาได้ พ้นออกมาได้ ก็คิดถึงมีความเมตตากรุณาอยากจะไปบอกคนอื่น อย่างหลวงพ่อเทียนสอนให้เรารู้จักรูปนาม โอ้ย..รสชาติรสชาติของไปพบเห็นรูปธรรมนามธรรม โอ้ย...อยากไปสอนคนอื่นให้เขารู้อย่างนี้เหมือนหลวงพ่อเทียนสอนเรา จิตใจเราก็เปลี่ยนไป เป็นพุทธะขึ้นมา
แต่ก่อนเป็นครึ่งผีครึ่งคน บัดนี้พ้นจากความเป็นคนมาเป็นมนุษย์บ้าง ถ้าไม่รู้รูปรู้นามยังเป็นคน มันจะเป็นมนุษย์ตอนที่มารู้จักรูปธรรมนามธรรม สามารถเป็นพระได้ บัดเนี่ย “มนุษย์โสสิ” เวลาเราไปบวชอุปัชฌาย์ถาม พระกรรมวาจาจารย์ ถาม “ มนุษย์โสสิ” เป็นมนุษย์หรือยัง เราก็ “อามะ ภัณเต” เป็นมนุษย์แล้ว เออ..ถ้าเป็นมนุษย์เป็นพระได้ ถ้าเป็นคนอยู่ยังเป็นพระไม่ได้ ต้องเป็นมนุษย์ มนุษย์หมายถึงจิตมีสติมีศีลมีสมาธิรับผิดชอบรักความดีเพียรที่จะละความชั่วทำความดีนี่ ไปทางสูงๆ คนนี่ไปทางต่ำ ๆ ความคิดก็คิดไปต่ำ ๆ มนุษย์นี่ก็คิดไปสูงๆ คิดถึงศีลถึงธรรมละความชั่วทำความดี เอากายมาทำความดีเอากายมาละความชั่ว เอาจิตใจมาทำความดี เอาจิตใจมาละความชั่ว ทำได้สำเร็จมันก็ทำได้สำเร็จจริง ๆ เอารูปเอานาม มาละความชั่ว เอารูปเอานามมาทำความดี
แต่ก่อนนี่ เอารูปเอานามไปทำความชั่ว ความหลงมากกว่าความรู้ แต่ก่อนนะ หลงที่มันหลงมากที่สุดคือหลงไปในความคิด พอมามีสติเห็นตัวหลงเกิดจากความคิด โอ้.. เปลี่ยนตรงนี้อีก ชนะตัวเองชนะตรงนี้ชนะตรงที่มันหลงไปกับความคิด ไม่หลงอีกต่อไปแล้ว บัดนี้ชนะ ชนะตัวเอง แต่ก่อนแพ้ก็แพ้ตรงนี้ แพ้ตัวเองก็แพ้ตรงนี้ ชนะตัวเองก็ชนะตรงนี้ มันสุดยอดนะ การชนะตัวเอง ถ้าแพ้ตัวเองก็เศร้าหมอง พอมาชนะตรงนี้ โอ้...เปลี่ยนไปเลย เบาหวิวเลย ชีวิตจิตใจของเรานะ เห็นไหมเห็นมันหลงไปทางความคิดไหม เห็นทุกคน ไม่มีใครไม่เห็น ถ้ายังเห็นมากก็รู้เอ๊ารู้เอา มันหลงเท่าไรก็รู้เอ๊ารู้เอา มันก็ทำได้ มันก็ทำได้ความหลงนี่มันทำให้มีชีวิตชีวาเมื่อเรารู้สึกตัว ให้มันหนำใจกับความหลงไป รู้สึกตัว รู้สึกตัว ต่อไปไม่มีโอกาสเหี่ยวแห้งเหมือนกันนะความหลงเนี่ย เหี่ยวแห้งหมดเชื้อไปเลย ความหลงที่เกิดจากความคิด ความคิดที่เกิดจากความหลงไม่ได้ใช้เลย มีแต่ความรู้ที่ไปอยู่กับจิต แต่ก่อนเขายึดครองไป เรียกว่ากุมภัณฑ์ เรียกว่ายักษ์มันเอาชีวิตจิตใจของเราไปครองอยู่ ความหลงเกิดขึ้นจากจิตใจมากที่สุด ผ่านว่า “ศีลใส่สีโหสังข์ทอง ตามเอานางสุมณฑากลับคืนมา” สุมณฑาแต่ก่อนเป็นสุมณฑา ต่อมาเมื่อไปอยู่ในยักษ์แล้วก็เป็นมณฑา มณฑาแปลว่ามลทิน สุแปลว่าดี แปลว่างาม แปลว่าง่าย แปลว่าบริสุทธิ์ ต้องเอาคืนมา เอาคืนมา เอาคืนมาเอาจิตที่บริสุทธิ์คืนมา อย่าปล่อยให้มันไปหลง ไปโกรธไปทุกข์มันเป็นผลกระทบต่อส่วนรวม ถ้าเราไม่หลงตรงนี้เราก็เป็นผลกระทบต่อส่วนรวมในทางที่ดี ได้ยินบ่ที่ต้องอยู่