แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการศึกษาวัดป่าสุคะโตนี่ ผู้ไปผู้มา ก็ไม่เห็นแปลกหน้าอะไร เราเห็นใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็ช่าง ถือว่า ญาติกันแล้ว แต่เพิ่งได้พบกัน เป็นความใกล้ชิดสนิทสนม ถ้ามีอะไรที่จะให้ช่วยก็ยินดี ฝากผีฝากไข้กันได้ ตามฐานะของพวกเรา ฐานะของพวกเราก็อยู่ใน สนุกจน จนเท่าไหร่ยิ่งดี ทุกข์เท่าไหร่ยิ่งดี ความสะดวกสบายนี่มันหลงง่าย อันความทุกข์ความยากมันไม่ประมาท ไม่ว่าอะไรก็ตาม ผู้ใดประมาทแล้วในกาลก่อน ภายหลังไม่ประมาท ชื่อว่าสร้างโลกให้สว่างแล้ว เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆ ถ้าประมาทแล้วประมาทอีก ก็ถือว่ามืดมามืดไป ก็ไม่คุ้มค่าชีวิตของเราที่เกิดมา เราจึงนี่แหละการรู้สึกตัว รู้สึกตัวเนี่ย เป็นการพัฒนาต้นๆ ตั้งต้น เมื่อรู้สึกตัวอยู่ก็ไม่ประมาท เพราะว่าความรู้สึกตัวเนี่ย มันตั้งต้นจะทำความดี เป็นมารดาของคนดีทั้งหลาย แบบมีเรื่องมีราวอะไร จริตนิสัยยังไงมาก็ตาม ถ้าเรามีความรู้สึกตัวแล้ว เปลี่ยนได้ ไม่ใช่ว่าโทสะจริต ต้องแผ่เมตตา โมหะจริตต้องสร้างกุศล ราคะจริตต้องเพ่งอสุภกรรมฐาน ไม่ถูกต้องเสมอไป ถ้ามีสตินั่น จะเป็นโทสะจริต โมหะจริต ราคะจริต ตลอดถึงพุทธะจริต ไม่เลื่อมใสศรัทธาในคำสอน เกิดขึ้นมาเลยถ้าเรามีสติ เพราะเราสัมผัสอยู่แล้ว ถึงความถูกต้องที่สุด เวลาเราเดินจงกรม หมกมุ่นครุ่นคิด มันก็มีรสชาติ ความคิดเนี่ย ถ้ามันเคยชิน พอเรากลับมาทำความรู้สึกอยู่กับก้าวที่เราเดินไป เรื่องมันก็จบลง เห็นอานิสงส์ของการมีสติ
เรื่องขนาดไหนก็ตามถ้าเรามีสติเนี่ย จะเฉลยได้ ไม่ต้องไปใช้เหตุใช้ผลอะไร เป็นกรรมฐานล้วน ๆ เป็นของที่ลิขิตได้ทุกอย่าง จะเป็นความทุกข์ ความสุข ความรัก ความชัง ถ้ามีสติแล้วก็ ก็ปกติได้ เราจึงมาฝึกหัดให้ใช้ตามฐานะ ตามกาลเทศะ เวลามันหลงเรารู้ นั่นแหละ เราใช้ถูกกาลเทศะ เวลามันทุกข์เรารู้ เวลามันโกรธเรารู้ มันเกิดอะไรขึ้นก็ตามเรารู้สึกตัว เรากาลเทศะ ถ้าไม่ใช่ตรงนี้มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์ เหมือนยา ยาดีแต่ไม่เอามากิน ดีขนาดไหนก็ไม่สำเร็จประโยชน์ได้
หลวงตาได้ ได้ยาผีบอกมา ลืมไปเลยน่ะ เขาส่งมาให้ ไม่รู้ใครที่ไหน นั่นแหละเขาส่งมา เขาก็บอกว่าห้ามเก็บไว้ ให้ส่งไปให้คนอื่นเรื่อยไป ยาดีถ้าเราไม่ใช้ มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เราเคยสวดพระสูตรเวลาเราไปสวดมนต์ในบ้าน สักกัตวา พุทธะรัตตะนัง สักกัตวา ธัมมะรัตตะนัง สักกัตวา สังฆะรัตตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง สัพพะทุกขา สัพพะโรคา สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะมังคะลัง กับน้ำมนต์ อันนี้ก็โอสถอันหนึ่ง ไม่ว่าสิ่งใดถ้าเราไม่ใช้
พุทธะรัตตะนัง คืออะไร เวลาเราป่วย พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ พระพุทธเจ้าเป็นสรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอาศัยสรณะนี้แล้ว จึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ลองดู ลองดู ลองเอายาขนานนี้ไปใช้ดู เวลาเกิดทุกข์โศกโรคภัยอะไรต่าง ๆ ก็ตาม ให้ระลึกถึง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อย่าทอดทิ้ง เวลาเจ็บ ความเจ็บเอาไปกินหมด ไม่เคยนึกคิด ไม่เคยฝึกหัดตัวเอง แล้วก็หลงเข้าไป ยิ่งเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งเป็นเวลาที่หลง แต่ถ้าเราฝึกแล้ว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเป็นเวลาที่รู้ แม่นยำชัดเจน มากันเป็นไวที่สุด ความรู้สึกตัวเนี่ย เหมือนกระบวนการแห่งการช่วยเหลือ ศีลมาช่วย สมาธิมาช่วย ปัญญามาช่วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาช่วย คุณบิดามารดามาช่วย คุณครูบาอาจารย์มาช่วย คุณศีล คุณทานมาช่วย ถ้าเราไม่ฝึกนะ ไม่มีอะไร ก็จน เราจึงไม่ประมาท เตรียมใจก่อนตาย เตรียมกายก่อนแต่ง เตรียมน้ำก่อนแล้ง เตรียมแบงค์ก่อนเดิน โบราณท่านสอน ไม่มีการเตรียมตัวอะไร มันก็จน ไม่ควรจนก็จน ไปทางอื่นก่อน ดูไม่รู้จักทิศจักทาง ทั้ง ๆ ที่เราฝึกหัดนี่ไม่ใช่ของเล่นๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ บางคนถือว่าไม่เหมาะสำหรับเรา เราก็หลงกันอยู่ทุกวันๆ เราก็มีปัญหาทุกวัน ทำไมคิดว่าไม่เหมาะสม เหมาะสมสำหรับคนอยู่วัด สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ ยิ่งเป็นหนุ่มยิ่งเหมาะสม เพราะคนหนุ่มนี่มันอายตนะมันงอกงาม มันก็ผิดได้ เฉโกไปเลย ฟังอันถูกเป็นเรื่องผิดไป ง่ายที่จะผิด อันคนแก่มันง่ายที่จะไม่ผิด มันเป็นธรรมชาติช่วยเหลือบ้าง เป็นสำหรับคนหนุ่มๆ สาวๆ การฝึกฝนตนเองเนี่ย เราจึงมาหัดเอาไว้ อย่าประมาท แม้ไม่ได้หัดจริง ๆก็เอามาระลึกถึง
สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์เมื่อออกพรรษาแล้ว ต่างองค์ต่างหลบหลีกกันไปอยู่ปลีกวิเวกตามป่าตามเขา เวลาไปอยู่คนเดียวก็จะกลัวช้าง กลัวเสือ กลัวอะไรต่าง ๆ ไม่มีอะไรกลัวก็คิด กลัวความคิดตัวเอง พระพุทธเจ้าก็บอกว่า คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ลองคิด พอคิดขึ้นมาปั๊บมันก็เป็นไปได้ ทำให้ลืมความคิดที่ต้องกลัวไป หันมาคิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยิ่งใหญ่
นี่บางคนเนี่ยไปปลูกบ้านสร้างเรือนในที่ขีดที่ขวาง เอารูปพระพุทธเจ้าไปติดไว้ เอารูปพระเจ้าแผ่นดินไปปักไว้ เป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของโลก พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนไม่มีอันตราย ไม่มีศัตรู มันก็เป็นการพึ่งพาอาศัยได้ เป็นนิมิต ยิ่งเราฝึกหัดได้สัมผัสกับพระธรรมก็ยิ่งดีใหญ่ เวลาจนมา เราเป็นยังไง อาจจะไม่ได้คิดอะไรใช่ไหม ยิ่งจนเข้าไปอีก บอกเขาว่าพุทโธ พุทโธ ก็ว่าไม่ถูก บอกเขาว่า อะระหัง อะระหัง ก็บอกไม่ถูก บางคนเขาว่ามีผู้เฒ่าผู้หญิงคนหนึ่ง หา หาแต่หอย ขัวหอย ฮู้จักบ่แม่เพียร เขาขัวหอย บักหอยมันบ่คือปลา มันบ่หาจับยาก เอาเสียมไปขุดนำคันแทนา ถึงคราวเจ็บป่วยได้มา ถึงคราวเจ็บป่วย มีพระไปสอนว่า อะระหัง อะระหัง แม่ใหญ่ อะระหัง อะระหัง บอกแล้วว่า อะระหัง อะระหัง แม่ใหญ่ก็บอกว่า อาระหอย อาระหอย(หัวเราะ) อย่างหลวงตาเห็นคนตาย ใกล้จะตายนี่ แม่ใหญ่นั่น ตกแต่เบ็ด ไม่ว่าวันไหนตกแต่เบ็ด หน้าฝนหน้าแล้ง ตกแต่เบ็ด ถือตะกร้าหมากแล้วมีคันเบ็ด เวลานอนป่วยอยู่ ไม่มีความรู้สึกอะไรแล้ว จับแขนไว้ไม่อยู่เลย ลูกเต้าดึงแขนไว้ไม่อยู่ ต้องปล่อยให้อยู่เช่นนั้น จนใจขาด พอตกเบ็ดแล้ว ก็ทำอะไรนะ อันนี้ทำอะไร หลวงตาเห็นมากับตาเนี่ย เคี้ยวหมากตำหมาก เอาหมากมาเคี้ยว ซาวอยู่นั่น จับมือไว้ ไปเลย แข็งเลย มันจะเป็นยังไงหล่ะ เมื่อเวลามีชีวิตอยู่ทำไมไม่ฝึกตัวเอง เห็นไหม เวลาเรามามีสติ อะไรมาแย่งไป แย่งไป แย่งไป แย่งไป แล้วกลับมาได้ไหม ใช้สติไหม ถ้าไม่หัดใช้มันก็ไม่เป็นน่ะ เราจึงมาหัดใช้สติของเราเนี่ย เตรียมเอาไว้ มันจะชำนิชำนาญ มันก็หัดตั้งแต่ทีแรกเนี่ย ต่อไปไม่ต้องหัดเลย มันจะเป็นไปเอง ก็เห็นอยู่กับตาแท้ๆ เวลาให้นั่งสร้างจังหวะ ให้รู้สึกตัว 14 จังหวะ 1 รู้, 2 รู้, 3 รู้ มันมีถึง 14 จังหวะไหม รู้ 14 ครั้ง ไหม วินาทีละ 14 รู้ ไหม อาจจะไม่รู้ทั้งหมดเลย เดินอยู่ 100 ก้าว อาจจะรู้สักครึ่งหนึ่ง หัดใหม่ๆเนี่ย
หลวงตาเนี่ยตัวการมัน ชอบงานชอบการ เมื่อมาเดินจงกรม โอ้ เหมือนคนหมดงาน เราก็คิดไปเปรียบเทียบ เปรียบเทียบกับเราเป็นญาติเป็นโยม วันหนึ่งต้องทำแบบคนแก่เขาสอน ไปมาอย่ามาดายเอาไม้ตายมาแจ้งหม้อนึ่ง วันหนึ่งต้องเอาฟืนให้ได้ ถ้าไปไร่ไปนา ไม่เดินเข้าบ้านเปล่า แบกฟืนเข้าไป มาอยู่วัดก็มาเดินจงกรม โอ้ย มันคิดสารพัดอย่าง มันถูก มันผิด มันมีประโยชน์อะไร เหตุผลอะไร แต่แล้วก็มายิ่งกว่าในเวลาอื่นใด เวลาเราเดินจงกรม ในโอกาส อันนั้นแหละดี น่ะ มันเกิดประโยชน์ตรงนั้นหล่ะ ตรงที่มันผิดล่ะมันจะได้เห็นมัน ตรงที่มันคิดล่ะมันจะเห็นมันแหละ การเจริญสติเนี่ยมันกวนนะ สติเหมือนกับน้ำในบวก(ปลักควาย) ชีวิตของเราเหมือนน้ำในบวก(ปลักควาย) ถ้ามีปลาอยู่ แต่ก่อนเนี่ย เป็นเด็กเลี้ยงควายเวลากระโดดลงไปในบวก น้ำไม่ใหญ่ มันงมไม่ได้ จับไม่ได้ ก็ชวนเด็กด้วยกันลงกวน กวน กวน กวน กวน เตะน้ำ กวนจนขุ่น จนแหลกไปเลย กบมันก็วิ่งโหยงเลย มันก็ฟูน้ำ แล้วก็จับเอา ก็มีคราวหนึ่งน่ะ คราวหนึ่งก็ไม่เห็นว่าเป็นตัวกบ แต่ว่าเห็นน้ำกระเพื่อมจุ่มลงไปเลย นึกว่ากบ ก็งมกัน สาวไปเลย ก็ว่านี่แหละถูกแล้วๆ ต่างคนต่างเร็วๆ มันก็ติดอ่ะ จับไปจับมาจับยกขึ้นเป็นงู งูสิง ตั้งแต่นั้นมา โอ้.. ก็บทเรียนทั้งนั้น ทำไมจึงได้บทเรียน มันจับผิดนึกว่าจับกบไปจับงูซะ อันเรานึกว่าจะเอาสติมันก็ไปจับความหลง นั่นแหละบทเรียนที่ดีแล้ว
เวลาจะรู้ อ้าวมันหลงนั่นแหละดีที่สุดแล้ว ดี๊ดีอันมีสติเวลามันหลงเนี่ย อย่าไปเกาหัว โอ้ยทำไมมันหลง อย่าไปคิดแบบนั้น ยิ้มที่สุดเลยเวลามันหลง แล้วเวลามันง่วงก็เหมือนกัน เอาดี ๆ ตรงเนี่ย ถ้าไม่มีจุดแข็งในจุดที่มันอ่อน มันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ฝึกหัด ไม่ฟิต ไม่ส่งเสริม ไม่เสริม อะไรที่มันจุดอ่อนตรงไหน เอาลงไป เหมือนเราปลูกบ้าน จุดอ่อนมันอยู่ที่ footing (ฐานราก) ถ้าตัวนี้หล่มลงไป บ้านก็หล่ม เอาลงไปเท footing ตอกเข็มให้แน่นหนา มันก็มาตรฐาน ตรงไหนมันจุดอ่อน มันก็อยู่กับเราเนี่ย ไม่ใช่อยู่ที่ใครมาทำให้เรา มีแต่เราเนี่ยแหละทำเองน่ะ เราจึงต้องฝึกตรงนี้ เป็นของจริงแท้ๆ เห็นต่อหน้าต่อตา เรามีสติ อ้าวมันคิดลงไป อ้าวมันสุข อ้าวมันทุกข์ แล้วก็มีอันสุขอันทุกข์เนี่ย เราเกี่ยวข้องกับสุขกับทุกข์ยังไง ทำไม่เป็นเลย เวลาสุขก็หมดเนื้อหมดตัวไปกับความสุข เวลามันทุกข์ก็หมดเนื้อหมดตัวไปกับความทุกข์ มันไม่ใช่ เห็นทุกข์ได้เป็นพระพุทธเจ้า เห็นผิดได้เป็นบัณฑิต ถ้าไม่เห็นผิดเป็นบัณฑิตไม่ได้ เห็นถ้าไม่เห็นทุกข์ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันเป็นเรื่องดี พระพุทธเจ้าจึงว่า “เห็นของจริงอันประเสริฐ” ของจริงอันประเสริฐคืออะไร คืออริยสัจสี่ อริยสัจสี่คืออะไร คือทุกข์ นั่น เรียกว่ามันมาสอนเราแล้ว อ๋อ มันอยู่ตรงนี้หรือเนี่ย เราก็จะเห็นมัน หาที่หาแหล่งมัน เหมือนเราไปซ่อมรถ หรือไปปะยางรถมันรั่ว ยางมันรั่วเราก็หา โอ้ พอเห็นเราก็ยิ้มไปเลย มันอยู่ตรงนี้ ถ้าเห็นเราแก้ได้ ถ้าไม่เห็นเราแก้ไม่ได้ ให้ใครแก้ก็ไม่ได้ นี่มันไม่หลบลี้ ชีวิตของเราที่เราศึกษาเนี่ย ใครก็เห็นได้ ไม่มีใครที่ไม่เห็น ยิ่งความรู้เนี่ย ใคร ๆ ก็รู้ได้ ถ้าไม่เป็นคนใบ้บ้าเสียสติจริง ๆ เนี่ย แต่ถ้าไม่ฝึกก็เป็นบ้าเหมือนกันน่ะ พระพุทธเจ้าว่าปุถุชนคือคนบ้า บ้าอะไร บ้าหลง หลงมากกว่ารู้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีประโยชน์ก็ยังเอาอยู่ ทุกข์ก็เอาอยู่ เอาดี๊ดีทุกข์นี้ ยึดไว้ ยึดไว้ 4 ปี 5 ปีแล้วยังเอามาคิดอยู่ นั่นแหละปุถุชนคือคนบ้า ย้ำคิด ย้ำคิด ย้ำทุกข์ ย้ำทุกข์ เหมือนเอากงจักรไม่พ้นหัวตัวเอง เหมือนหาเหามาใส่หัวตัวเอง
ที่จริงประมาทไม่ได้พวกเรา เป็นประโยชน์ นี่คือเมืองไทย นี่คือศาสนา นี่คือพุทธศาสนา ที่จะเป็นพุทธศาสนาของเราคือรู้ คือตื่น คือเบิกบาน ถ้าศาสนาอยู่เป็นวัตถุ ไม่ได้อยู่กับชีวิตเรา ไม่มีประโยชน์สำหรับเรา พระพุทธเจ้าจึงว่าน้อมมาใส่ตัว ก็น้อมมา เวลามันหลงก็รู้ น้อมความรู้มาใส่ตัวเรา เยอะแยะความรู้ ในกาย ในใจเรานี้เป็นแหล่งผลิตความรู้ทั้งสิ้น ใช้ได้ทั้งหมด กระพริบตาก็รู้ได้ กลืนน้ำลายก็รู้ได้ หายใจก็รู้ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ยังรู้ได้ อิริยาบถที่เจตนา อันอิริยาบถไม่เจตนา ก็เก็บเอาในเนื้อมันในมัน ตัวหลงมีตัวรู้ที่นั่น สภาพที่หลงมีสภาพที่รู้อยู่ตรงนั้น มาพร้อมกัน เราจะเลือกอะไร เรามีสิทธิเลือกได้ เวลามันหลงเรามีสิทธิไม่หลง เวลามันโกรธเรามีสิทธิไม่โกรธ สิทธิส่วนตัวส่วนตัว ทุกเวลานาที ไม่มีบุคคลที่ 1 ที่ 2 วัตถุที่ 1 ที่ 2 พระพุทธเจ้าจึงว่า พระธรรมเนี่ยเป็นของอัศจรรย์ อัศจรรย์ยังไง ปฏิบัติได้ให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ผู้ปฏิบัติก็ย่อมรู้ยิ่ง เห็นจริงในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น ตามสมควรแก่ผู้ปฏิบัติ นี่คืออัศจรรย์ ไม่ต้องเสี่ยง มือวางบนเข่ารู้ทันที พลิกมือขึ้นรู้ทันที เดี๋ยวนี้ ปัจจัตตังเดี๋ยวนี้ นี่แหละของจริงไม่ต้องไปลังเลสงสัย ไม่ต้องไปถามใคร มันไม่มีคำถามจริง ๆ มันมีแต่คำตอบ คำตอบแบบนี้ไม่ใช่คิดตอบ มันเป็นการสัมผัส สัมผัสเราตอบเอาเลย ไม่ใช่มาคิดมาตอบ หาคำตอบจากความคิด ไม่ถูกต้อง สัมผัสแล้วมาตอบ เรียกว่าปัจจัตตัง เป็นของเฉพาะตน ไม่ใช่ของใคร เป็นของเฉพาะตน
หลวงตาไปหากินเข่า(กินข้าว) มันแซ่บไปหากินเข่า(กินข้าว) แต่ว่าไปบ้านเขว้าก่อน ไปบ้านเขว้าไปเยี่ยมคนป่วย ผู้เฒ่าป่วย บ่ป่วยดอกเขาว่าเสียประสาท ไปเยี่ยมเลา(เขา)เบิ่ง เมื่อวานก็ไปเยี่ยมคนป่วยบ้านกุ้ดโง้ง อันที่ใกล้บ้านวังแข่(เข้) เคยสิว่ารอด เฮ็ดจังใด๋ กะคึดเซ่ากินเข่ากินน้ำ เลยเว้าเลยว่าจะให้หลวงตาช่วยอันใด๋ก็บอกเด้อ ถ้าพอช่วยตัวเองได้ บอกทางวัดสุคะโต อันนั้นกะ ยามนั้นก็ไปหากัน มันก็บ่ไหว ยามเป็นๆ อยู่เนี่ย เฮาจังมาหัดเจ้าของ มันดีแท้ๆ เคยเจ็บมาแล้ว เคยตายมาแล้ว เคยป่วยมาแล้ว บ่แม่นสอนซื่อ ๆ บ่ทันเจ็บก็เฮ็ด(ทำ)มาแล้ว อย่างน้อยเฮาจะต้องเจ็บขาเจ็บแขน อย่างน้อยก็ต้องหิวข้าวหิวน้ำ อย่างน้อยก็ต้องเคยปวดหัวเจ็บท้อง หั่นรู้แล้วมันบ่มีอิหยั๋ง อันความเจ็บเนี่ย ในความเจ็บมันก็มีความบ่เจ็บ ในความตายก็มีความบ่ตาย ในความทุกข์มันก็มีความบ่ทุกข์ มันเป็นคู่กันจังซี่ พระพุทธเจ้าจึงหาตัวนี้ จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าบ่เห็นตรงนี้ก็บ่แม่นพระพุทธเจ้า บ่แม่นศาสนาพุทธเลย ถ้าบ่เห็นอย่างนี้บ่แม่นพุทธศาสนา เป็นศาสนาซื่อ ๆ ศาสนาอิงอาศัย บ่แม่นใช้ได้ เหมือนกับอิงอันอื่น บ่ค่อยปลอดภัย เฮาจึงมาเห็นกับตาเฮาเนี่ย น้อ
ปีใหม่แล้ว วันที่ 3 แล้ว มันใหม่เอี่ยมชีวิตเฮา ตั้งต้นใหม่ๆ ดี ๆ อย่าอ่อนแอ ที่ใด๋บ่สะดวก ถ้าพออยู่นี่ได้ อยากให้มาอยู่นี่ อยากให้มาอยู่นี่ ครั้นเห็นคนมาอยู่วัดอยู่วาดีใจหลายๆ คือจังมีประโยชน์จักหน่อย ครั้นบ่มีผู้มาก็พายบาตรหนีถ่อนั้นแล้ว ไปติดต่อหมอประสาท หมอสุนทรีย์ ไปถามมาแล้ว หมอสุนทรีย์ก็นิมนต์โล้ด สิไป ไปนอนอยู่ตึกสงฆ์ ไปนอนอยู่ฮั่น ยามมื่อเว็นมา(กลางวัน) ยามมื่อเช้าก็บิณฑบาตรแล้วนั่น กลางเว็นมาก็หาเยี่ยมคนป่วยตามเตียง เว่าคำสองคำไป สิม่วนดี หาเว้ากับคนป่วยเนี่ย บ่มีผู้ใด๋ ถือตะกร้าน้อยเข้าบ้าน ซินอนหั่นหล่ะ มันจนเด้อ คือโชคร้าย มันเจ็บอยู่แฮงซิดี คนเคยเจ็บเว้ากับคนที่เจ็บมันเข้าใจกัน
จั่งหลวงตาไปสอน ไปอบรมพวกยาเสพติด ค่ายดารารัศมี หลวงพ่อบ่เคยติดเฮโรอีน แต่ว่าคนหนึ่งติดเฮโรอีน เขาเลิกได้แล้ว เขาไปนำกันกับหลวงพ่อน่ะ ฮั่นหลวงพ่อเว้าเขาเฉยๆ บ่ฮู้จักหยั๋ง พอคนขี้ยามาเว่าแล้วโอ้ย หันล่ะลุ่ยๆ (หัวเราะ) มันรู้จักกัน บัดหลวงพ่อเว้า เว้าธรรมะดี๊ดีบ่ฟังเลย บัดคนขี้ยาเว้า 2-3 คำ หันหน้ามาพ้อว้อแพ้แว้ (แสดงอาการหลุกหลิก) เฮาจึงเคยเจ็บเว้ากับคนเจ็บ เคยตายเว้ากับคนที่ตาย มันสิดีหลาย รู้จักกันน่ะ ชีวิตเฮาให้มันผ่านตัวนี้ ถ้ามันบ่ผ่านตัวนี้ บ่มีเกรด เกรดที่เป็นของมนุษย์นี่บ่มี ถ้าผ่านตัวนี้ เกรดดี เดินเข้าสวรรค์นิพพานได้ ถ้าเกรดบ่ดีเข้าไปนิพพานไม่ได้ เกรดไปนิพพานต้องเกรดบ่เป็น เป็นผู้เห็น มันทุกข์เห็นมันทุกข์ มันโกรธเห็นมันโกรธ มันหลงเห็นมันหลง นี่เกรดดี อันนี้ผ่านประตูได้ ถ้าเป็นแล้วผ่านบ่ได้นะ ถ้าเป็นผ่านบ่ได้ เกรดไม่ดี เหมือนเราเรียนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าเกรดไม่ดีเขาไม่ให้เข้าหรอก เกรดไปนิพพานเนี่ย ต้องไม่เป็น เห็นมัน เห็นแล้วไม่เป็นนี่ เนี่ยเกรดดี