แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรม แล้วปฏิบัติตามธรรม ถ้าเราปฏิบัติตามธรรม ก็เห็นความเท็จความจริงที่มันเกิดจากกายจากใจเรา แล้วคำว่า วิธี สิ่งแวดล้อม เราก็พยายามที่จะทำตามพระพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดา พระองค์ทำอย่างไร สอนอย่างไร เราก็ทำตาม เข้าให้ถึงคำสอน แล้วก็การกระทำให้เกิดขึ้นต่อกายต่อใจเราจริงๆ โน่นโคนไม้ โน่นเรือนว่าง เธอจงไปอยู่โคนของไม้ นั่งลงตั้งกายให้ตรง มีสติ เห็นกาย สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับกาย มีสติเห็นความคิดที่เกิดขึ้นจากจิต มันอยู่ตรงนี้แน่นอน แล้วก็พยายามสร้างสิ่งแวดล้อม อยู่ในปลีกวิเวก พอสมควร เพื่อจะได้เป็นชีวิตส่วนตัว แล้วก็เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรานั่นแหละ มีสติลงไป ตามวิชากรรมฐาน เยอะแยะ เกิดจากกายเอามาใช้ให้มีความรู้สึกตัว เกิดจากใจที่มันคิดเอามาใช้ให้เกิดความรู้สึกตัวได้ อย่าให้กายพลัดเป็นหลง อย่าให้จิตใจไปให้หลง สิ่งที่เกิดภายนอกภายในก็อย่าทำให้หลง ให้มีความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวสามารถรู้สึกตัวได้ทุกโอกาส ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ได้ฝึก ได้หัด ได้เป็นคู่ชกคู่ซ้อม
สิ่งที่มันผิด สติเป็นที่ตั้งเอาไว้ ตั้งเอาไว้เป็นเจ้าถิ่นเจ้าเรือน อะไรเกิดขึ้นมาก็ถือว่า ได้ประสบการณ์ ได้บทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น ภายนอกภายใน ภายในก็คือกายของเรานี้ ใจของเรานี้ ภายนอกก็คือเกิดจากรูป รส กลิ่น เสียง อารมณ์ต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มันคิดออกไปแล่นออกไป มีสิ่งทำให้เห็น มีสิ่งทำให้ได้ยิน ก็อย่าหลง กลับมาได้มารู้สึกตัวนี่ เวลาใดที่มันหลงให้กลับมารู้สึกตัว ทุกครั้งทุกคราว ทุกโอกาส ไม่ใช่มารู้สึกตัวต่อเวลาที่อยู่ในกรรมฐาน
นอกกรรมฐาน นอกรูปแบบ ให้มีความรู้สึกตัว เช่นความคิดนี่มันไม่มีอิริยาบถใด มันคิดได้ทุกโอกาส จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน จะเคลื่อนไหวก็คิดได้ นั่นแหละ เราก็ต้องหัดให้รู้สึกตัวซะ อย่าให้อิสระมัน เราจะใช้ความคิด เราจะใช้จิตคิดทุกเรื่องทุกราว ก็อย่าให้มันเป็นเช่นนั้น นักกรรมฐานต้องสอนมัน เวลานี้อยู่เป็นที่เป็นทาง อยู่ตรงนี้ มีสติดูอยู่ พอเรามีสติเป็นเจ้าเรือนเราหัดไปแล้ว เราหัดไปแล้วเรามีแล้ว ถ้ามีก็ได้ใช้แล้ว มีสติเห็นกายอยู่เป็นประจำ มีสติดูกาย เมื่อมีสติดูกาย ก็เห็นความคิดที่เกิดจากจิต
ตรงนี้นะ ถ้าดูแยบคายดีๆ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ อย่างที่ป้ายที่ลานธรรมที่อาจารย์ทรงศิลป์ทำไว้น่ะ มีสติดูกาย เห็นความคิด นั่น เกิดเชือกขาดตรงนี้ เราเคยรู้สึกอย่างนี้ เหมือนหลอกทุกครั้งทุกคราว คิดอะไรก็เป็นไปตามมัน เมื่อถูกหลอกหลายครั้งหลายหน ตัวรู้สึกตัวนี้ถือว่าถูกหลอกหรือไม่ได้ตั้งใจเลยมันคิดขึ้นมาเนี่ย ได้ประกาศอิสรภาพขึ้นมาภายในหัวใจลึกๆ ว่าตรงนี้เหมือนกัน ต่อไปนี้อันความสุขความทุกข์ที่เกิดจากความคิดหยุดกันเสียทีแล้ว
เหมือนฝ่ามือกับหลังมือ แต่ก่อนฝ่ามือเป็นฝ่ามือ จับอะไรก็ไปกันเลยเป็นไปเลยบัดนี้หันหลังมือ มันก็แยกกันคนละทาง กำก็กำคนละทางไป ในขันธ์ห้าไปกันคนละทางเลย ไม่ร่วมกัน ต่างสิ่งต่างเข้าที่เข้าทาง รูปก็เข้าที่เป็นรูปสู่ธรรมชาติ เวทนาสู่ธรรมชาติ สัญญาสู่ธรรมชาติ สังขารสู่ธรรมชาติ วิญญาณเป็นธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีอุปทานเลย มันเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวนี้ได้เหมือนกัน เพราะมาเห็นความคิด ตัวคิดถูกหลอกก่อให้เกิดกิเลสตัณหาไป เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง
ดึงเราไป มันถูกหลอกมากๆ ก็มีสติรู้ทัน มันจ๊ะเอ๋กัน ไม่ใช่ว่ารู้อะไรน๊า ไม่ใช่รู้ธรรมะ ไปรู้สีรู้แสง รู้เห็นอันนั้นโน้นนี่ ไม่ใช่เลย เห็นความเท็จความจริงที่เกิดจากกายจากใจเรานี่ เป็นขันธ์ห้าที่มันเป็นรูปธรรมชาติ เวทนาธรรมดานี่ ขันธ์ล้วนๆ เป็นขันธ์อาศัย เป็นที่ตั้งให้เกิดแห่งความรู้สึกตัว ใช้ให้เกิดความรู้สึกตัวเท่านั้น ไม่ใช่ให้เกิดอันอื่น แล้วก็ใช้ได้ มันมีให้เราใช้จริงๆ ขันธ์ห้านี่ มหาภูตรูปนี่ เป็นรูปอาศัยให้ทำความดี ให้ละความชั่ว แต่เราใช้ยังไง ใช้รูปใช้นามนี้ เวทนาให้เป็นสุข เวทนาเป็นทุกข์เหรอ
รูปไม่เที่ยงเวทนาไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าก็บอกแล้ว ยังเอามาเป็นทุกข์เป็นสุข พอมันเห็นความเท็จความจริงก็รื้อถอน ไอ้นี่นะปฏิบัติธรรมไม่ใช่นั่งเรียนนะ ทุกคนจะต้องมีอย่างนี้เกิดขึ้นแน่นอน เห็นความคิดหลอก นั่งอยู่นี่มันคิดไปไหน พาให้เบื่อ พาให้ขยัน ให้ความขยันพาทำความเพียร ให้ ให้ความเกียจคร้านพาหยุด บางทีเกิดกรรมฐาน เก็บกระเป๋ากลับบ้านก็มี กลับบ้านกลับวัดก็มี แล้วแต่มันจะคิดอะไร ให้ความคิดพาไปพาอยู่ เลยไม่ได้เห็นความเท็จความจริงที่เกิดจากความคิด ทำตามมันทั้งหมดทุกอย่าง ตายก็ตายตามความคิด เจ็บก็เจ็บตามความคิด สุขก็สุขตามความคิด ทุกข์ก็ทุกข์ตามความคิด มันอะไรกันชีวิตของเรานี่ น่าจะประกาศอิสรภาพได้แล้ว มีสติดูมันนะ ความรู้สึกตัวมันทำให้ยิ่งใหญ่นะ เคยเปรียบเทียบเหมือนช้าง เหมือนนกอินทรีย์ กิเลสจะทำก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง มันจะใหญ่อะไร ช้างมันตัวใหญ่กว่า แมลงก็เหมือนมีประโยชน์อะไร นกอินทรีย์ต้องใหญ่กว่าแมลง
นี่ถ้าเรามีสตินี่ รู้ อุ่นใจนะ ไม่มีอะไรที่จะพ่ายแพ้ ถ้ามีสติจริง ๆ สติปัฏฐานจริง ๆ สติปัฏฐานจะเป็นทวารของสติปัฏฐาน ตอบในใจว่า สักแต่ว่า สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายก็สักแต่ว่า หลายอย่างทุกเรื่องทุกอย่าง ทางกายทางอะไรต่าง ๆแม้แต่การเกิด การเจ็บ การอะไรต่าง ๆ ก็สักแต่ว่า เป็นทวารของสติ เกิดจากใจ ก็สักแต่ว่าเป็นทวารของสติ สักแต่ว่ามันก็ยิ่งใหญ่ ไม่มีค่า สุขก็ไม่มีค่า ทุกข์ก็ไม่มีค่า ความคิดความอะไรต่าง ๆก็ไม่มีค่า สักแต่ว่า มันก็วางเปาะแปะลง สุขก็เปาะแปะลงหล่นลงแล้ว ทุกข์ก็เปาะแปะลงหล่นลงแล้ว สักแต่ว่า เป็น ถ้าจะเป็นอาวุธก็เป็นอาวุธที่กำลังพลที่ทำให้ข้าศึกพ่ายยับแพ้ยับเยินเลย สักแต่ว่าเหรอ กิเลสพ่ายแพ้ อกุศลธรรมพ่ายแพ้ กุศลธรรมเกิดขึ้น ศีลเกิดขึ้น สมาธิเกิดขึ้น ปัญญาเกิดขึ้น สักแต่ว่าไม่ใช่คำพูดนะ มันเป็นคำ เป็นญาณ เป็นฌาน สักแต่ว่า มันเพ่งเผาให้หายวอดไปเลย มีสติอย่างยิ่งคือฌานอย่างยิ่ง มันวอดไป อะไรเกิดขึ้นก็ เหลือแต่ไม่มีซาก หมดไปเลย ไม่มีซากเป็นศพ
ถ้ามันสักแต่ว่ามีซากศพเป็นตัวเน่าเหม็นเป็นภพเป็นชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ ตาย เกิดดับ เกิดดับ นี่พยายามดูดีๆ อาจจะ อาจจะเกิดการบรรลุธรรม บรรลุธรรมคือมันเปลี่ยนแปลง พ้นภาวะเก่า ไม่ใช่หนีไปไหน พ้นจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายกับใจนี่ สิ่งที่ไม่ดีเกิดจากกาย พ้นจากกาย สิ่งที่ไม่ดีเกิดจากใจ พ้นจากสิ่งไม่ดีที่เกิดจากจิตใจ คือบรรลุธรรม ไม่ใช่มนุษย์เราจะเหาะเหินเดินไปไหน มีฤทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ คือทำให้สำเร็จ สิ่งที่ไม่ดีทำให้สำเร็จ ให้เป็นความดีไปแทนที่ นี่คือเรื่องของกายของใจเรา
เราเกิดมาเพื่อการนี้โดยตรง วิธีที่ทำให้รู้เรื่องนี้ก็คือ กรรมฐานทำตามที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนก็นี่ พากันทำอยู่นี่ อยู่ด้วยกันอยู่นี่ อยู่โคนไม้ กางเต็นท์ อยู่กุฏิก็ไม่เหมือนกับอยู่วังอย่างไร อยู่ไหนก็มีโคนไม้ เพราะออกมาอยู่กับความรู้สึกตัวไม่มีอะไรปรุงแต่ง ไม่ได้ติดกุฏิ ไม่ได้ติดอะไรที่สะดวกสบายเพื่อใช้บำเพ็ญภาวนา ใช้สติเพื่อภาวนา ใช้เจริญสติ ใช้ผ้าจีวรเพื่อภาวนา ใช้ชีวิต กินข้าวกินน้ำเพื่อภาวนา ใช้หยูกใช้ยารักษาโรคภัยก็เพื่อที่จะภาวนา เพื่อทำความดี เรียกได้ว่าสิ่งแวดล้อม สร้างสิ่งแวดล้อมให้กับชีวิตของเราเอง
ถ้าสิ่งแวดล้อมดีก็งอกงามนะสตินะ ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดีก็ไม่งอกงาม หลุดไปเรื่อย ถอนไปเรื่อย เหมือนต้นกล้าที่ปลูกลงในดิน ถอนขึ้นเรื่อย ลอยน้ำ น้ำดูดขึ้น มันเลยลมพัดล้มไป ถูกอะไรทับถม ไม่งอกไม่งาม เมื่อวานก็ไปตัดกิ่งไม้มันหักโค่นลงมา ทับต้นไม้ ไม่ได้เดินไปทางนั้น ไม่ได้ไปทางนั้น พอมีรถกอล์ฟไปทั่วเลยทุกวันนี้ เห็นอะไรที่ไม่ดีได้ช่วย ได้ช่วยต้นไม้ที่มันถูกล้มทับจนมันแตกกิ่งขึ้นมาใหม่ มันจะอยู่เป็นเนิ่นนานจะล้มมันอย่างนั้นไม่ได้ ต้องลัดกิ่งให้มันขึ้นมาตรง ๆ สอดแทรกขึ้นมาไปช่วยต้นไม้ ก็มีความสุข
ชีวิตคนเราอะไรที่มันทับ ความเท็จความจริงอ่ะ ความจริงอะไรมันทับถมไว้ เรามาช่วยตัวเอง ไปช่วยใครที่ไหน ทำบุญทำแบบไหน คนดี ศาสนาเจริญเจริญที่ตรงไหน ถ้าคนไม่ช่วยตัวเอง ถ้ามัวหลงไปช่วยให้รู้ ถ้ามีทุกข์ก็ช่วยให้รู้ สักแต่ว่านี่ สติมีสักแต่ว่าคือช่วยชีวิตให้มีชีวิตก่อเกิดขึ้นมา สักแต่ว่าได้ชีวิตขึ้นมา ชีวิตที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เกิดสักแต่ว่านะ ไปดูพระไตรปิฎกอยู่นั่น ใหญ่ที่สุดในโลก ฮ่าฮ่าฮ่า ตั้งอยู่นั่น พระไตรปิฎกตั้งอยู่นั่นมีแต่สักแต่ว่าทั้งนั้น
ชีวิตเราได้จากตรงนี้ ชีวิตที่ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เกิดสักแต่ว่า ที่มาทำมีสติ เป็นทวารของสติ สิ่งที่เกี่ยวกับกายกับใจ คำตอบเป็นคำตอบศักดิ์สิทธิ์ คือสักแต่ว่า ไม่ใช่ตัวใช่ตน อันนี้บางทีเห็นความยากก็เป็นตัวเป็นตน ทำไม่ได้ ถ้าทำได้ก็เป็นตัวเป็นตน เออ ดีทำได้ ตัวตนเต็มไปหมดเลย มันก็ไม่มีสักแต่ว่าก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อะไรผิดก็ไม่ผิด ไม่ชอบตัวตน อะไรถูกก็ชอบก็ตัวตน ถ้าชมก็ดีก็เออดีตัวตน ถ้าทุกข์ก็ไม่ดีตัวตน ตัวตนเกิดแบบนี้ ดับตัวตนคือสักแต่ว่า สักแต่ว่าคือดับตัวตน
ไม่มีภพมีชาติ จะกล้าดับไหม หรือว่ามันมีรสชาติ โลกมันมีรสชาติ ดับยากนะ เกิดจากกายจากใจ กิเลสตัณหาก็ดับยาก ถ้าไปอดไปทน มันดับไม่ได้หรอก ทนเอาอดเอา ไม่ได้อดได้ทนนะ ถ้ามีสติ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกาย สักแต่ว่า เพราะเรามันมีสติใช้ ได้เตรียมตัวไว้แล้ว คู้แขนเข้าเหยียดแขนออกรู้สึกตัวไว้แล้ว มันเกิดขึ้นมา มันสักแต่ว่ามันบอกหมูง่ายๆ ถ้าคนเราไปอดก็เลยไม่มีที่ตั้ง ไม่มีกรรมฐาน ไม่มีชัย ไม่มีสมรภูมิที่เป็นภูมิที่ดี มันก็ทำอะไรไม่ได้
เหมือนคนจะตัดต้นไม้ ถ้าไม่มีที่ยืนมันตัดไม่ขาด ตัดไม่ขาด แม้ขวานจะคม มีดจะคม ก็ตัดไม่ขาด ถ้าไม่มีที่ยืน ยืนไม่มั่น แรงก็ไม่มี ถ้ามีที่ยืนดี ๆนะ มีดก็คม ขวานก็คม ยืนดีมันแรงมาก แรงมากก็ขาดง่าย มีสติ เป็นศีล เห็นเป็นศีล ไม่เป็น เป็นสมาธิ หลุดจากภาวะที่เป็นปัญญา มันคม มันมีที่ยืน เห็นมันมีที่ยืนนะ ถ้าเป็นไม่มีที่ยืนนะ รู้สึกไม่มีที่ยืนนะ ตัดไม่ขาด เกิดกิเลสตัณหา เป็นผู้มีตัณหา มีราคะ มีโทสะ เป็นผู้มีกิเลส ราคะ โทสะ ไม่มีที่ยืน ตัดไม่ได้ ถ้ามีที่ยืน ล่ะก็เห็น เห็นกายเคลื่อนไหว ดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก นี่มันเป็นแบบนี้ ดูก็เห็น ถ้าไม่ดูล่ะก็ไม่เห็น เป็นไปเลย ดูกายเคลื่อนไหว เมื่อดูก็ต้องเห็นใจมันคิด เห็นอะไรที่มันเกิดขึ้นมา หากเห็นล่ะก็ง่าย โตไปอีก สักแต่ว่า ถ้ายิ่งทะลุทะลวง เอาไปทำดูนะ ทะลุทะลวงขาดกระจุยไปเลยนะ
การที่ต้องเอามาให้มันสมน้ำหน้ามันเลย เอาอีกมั้ยล่ะ ต่อรองอีกไหม เอาอีกสิ มาสิมันหน้าดีไหม อย่างนั้นอย่างนี้ เยาะเย้ยมันเลย เหมือนแมวที่จับหนูได้ มันกัดหัวแม่หนูเสียแล้ว มันคาบเอามาให้ลูกมัน มันยังไม่ตาย มันยังวิ่งเลย
วิ่งไปแบบไม่มี ไม่มีวิธีอะไร วิ่งวนหน้าวนหลัง ลูกแมวมาเห็นก็ตะครุบ ตะครุบ ตะครุบเล่น แต่ไม่รู้จักทำให้ตายได้ แม่จะต้องมาช่วย คาบหนูมายังไม่ตายสนิทมาให้ลูกมันหัด ทำเยาะเย้ยมันดูทีนี้ แต่ก่อนยังไม่ถูกทำลายมันก็ยังไว เอามาให้ลูกเล่นไม่ได้ มันกัด จับหนูมันก็กัดหัวมันให้มันเสียหลักเสียก่อน แล้วเอามาให้ลูกมัน เคยเคยอยู่กับแม่สมัยก่อน เวลาแม่เลี้ยงหม่อนตัวไหม แล้วก็กลางคืนแม่เห็นแมวจับหนูมา มาให้ลูกมันก็เลยดู กิเลสบางอย่างก็จับเอามาเล่นๆน่ะ เหมือนแมวฆ่าหนูแล้วแต่ไม่ตาย
ให้มันคิดดูซิว่ามันสุข มันทุกข์มันทุกข์อย่างนี่ ทุกข์ไปทางไหน ให้มันทุกข์อีกซิ มันไม่ไป ให้มันสุขดูสิ มันก็ไม่เอา มันมีสักแต่ว่า ยิ่งใหญ่ มันชำนาญทางนั้น เห็นกายสักแต่ว่ากาย เวทนาสักแต่ว่าเวทนา ความคิดสักแต่ว่าความคิด ธรรมก็สักว่าธรรม ความเสื่อมความเจริญ อะไรที่มันเกิดขึ้นมาสักแต่ว่าหมดเลย หมดตัวเลย หมดตัวตนไปเลย ภพชาตินั้นเมื่อไม่มีตัวตนภพชาติก็หมดไปเลย ได้ชีวิตชีวาขึ้นมา ชีวิตนี้คือไม่เป็นอะไร อาศัยรูปอาศัยนามเป็นที่ตั้งความรู้สึกตัว เมื่อมีสักแต่ว่าอะไรมันเกิดขึ้นไม่มีแล้ว
กิเลสตัณหาราคะไม่มีที่เกิดแล้ว เกิดขึ้นมาก็ไม่เป็นอะไรกับสิ่งเหล่านั้น นี่เรามีกรรมฐานแท้ๆ ไปกลัวอะไร หมั่นเข้มแข็งทุกโอกาส อะไรเกิดขึ้นมาก็เข้มแข็ง ได้บทเรียนได้ประสบการณ์ได้ฝึกตน สอนตน ได้เตือนตน ได้แก้ไขตัวเอง ได้มีสติ สักแต่ว่าเกลี้ยงเกลาไปเลย วันคืน วันคืน เจริญงอกงามขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมา โตวันโตคืนขึ้นมา ได้ความเท็จความจริงขึ้นมา เห็นความเท็จเห็นความจริงขึ้นมากับชีวิตจริงๆ สิ่งไหนที่มันเกิดขึ้นกับกายรู้หมด สิ่งไหนที่มันเกิดขึ้นกับใจรู้หมด ต้นตอมันอยู่ที่นี่ มีสติก็ต้องเห็นทุกอย่าง
ตรงกับความหลง ความรู้ก็ตรงกับความหลง เมื่อมีความรู้ ตรงกับความหลงก็ไปได้เลยบัดนี้ ความโลภ โกรธ หลงง่าย ความทุกข์ก็ง่าย เมื่อมีความรู้ อะไรก็รู้ เห็น ทุกข์ เห็น ได้พบ เห็น ไม่ใช่แบบคิดเห็น ถ้าไม่มีกรรมฐานนั้นแบบคิดเห็น ตอบได้แต่ความคิด แต่ไม่ลงตัว สนุกนะ ปฏิบัติธรรมเนี่ย ไปตบหลังความสนุกยิ่งยิ้มนะ หัวเราะตัวเองเนี่ย มันมีรสชาตินะ หัวเราะความสุข หัวเราะความทุกข์ คนเราก็หัวเราะแต่ความสุข ดีใจ หัวเราะ ไม่ใช่ใจดี ใจดียังหัวเราะไม่เป็นหรอก ยิ้มๆหน่อยๆ
ถ้าดีใจก็หัวเราะอ้าปาก ลืมตัวไปเลย เมื่อยล้า ถ้าใจดี ไม่ใช่ดีใจ ดีใจเพราะทำชั่วก็มี ด่าเขาก็ดีใจ ไปฆ่าเขาก็ดีใจ แต่ใจดี มันไม่ ไม่ปล่อยตัว มันยิ้ม ยิ้มในหัวใจลึกๆ เมื่อเราพ้นความทุกข์ได้ ถ้าใจดี ถ้าดีใจหัวเราะความทุกข์ไม่ได้มีแต่ร้องไห้ ถ้าใจดีถึงหัวเราะได้นะ หัวเราะตัวเองนี่มันสดชื่น แต่คือหัวเราะความชั่ว หัวเราะความทุกข์นะ หัวเราะไม่ใช่เศร้าโศกเหมือนกับคนไม่มีสติ หัวเราะแบบยิ้มแหยๆไม่ใช่ยิ้มแบบสดชื่น มีรสชาติ ไม่มีรสชาติ เห็นทุกข์นี่มีรสชาติที่สุด ไม่ใช่เห็นสุขนะ
เห็นความทุกข์นี่ประเสริฐที่สุดเลยที่เกิดจากกายจากใจเราเนี่ย พระพุทธเจ้าจึงว่าเห็นสิ่งที่ประเสริฐคือเห็นทุกข์ ทำไมจึงเห็นที่ประเสริฐ มันได้หลุดพ้น มันเห็นสิ่งนี้มันจึงมีการหลุดพ้น สำเร็จได้มีตาได้ใช้ให้หลุดพ้น เหมือนเรามีตาเนื้อ เห็นงูจึงได้หลุดพ้นจากงู ใช้ตาสำเร็จได้มีประโยชน์ ใช้ใช้ตาเพื่อพอใจไม่พอใจ ใช้ไปผิดไปแล้ว ถ้าตาในเห็นทุกข์นี่มันหลุดพ้น มันจึงประเสริฐที่สุด ถ้ามันมา อันทุกข์ที่เกิดจากกายจากใจนี่เอามาเป็นเรื่องหลุดพ้นทั้งหมด ไม่ใช่ไปร้องไห้เสียใจที่อะไรที่มันเกิดขึ้นมา
พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ได้ไหม มันเห็นแล้วมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นทุกข์ ไม่ทุกข์ก็ได้ ความไม่สบายกาย มอบให้กายมอบให้ธรรมชาติมันก็สักแต่ว่า เวทนาก็สักแต่ว่า สุขทุกข์ก็สักแต่ว่า ไม่เอามาเป็นตัวเป็นตน ที่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเวทนา พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ เต็มไปหมดถูกความทุกข์ หยั่งเอาคนไม่มีสตินะ เป็นทาสของความทุกข์ เป็นทาสความโกรธ ความโลภ ความหลง
ทั้งๆ ที่มันไม่ดีก็ยังพากันทุกข์ ยังโกรธ ยังโลภ ยังหลงอยู่ หลงเรื่องเก่า หลงแล้วหลงอีก ทุกข์เรื่องเก่าทุกข์แล้วทุกข์อีก สุขเรื่องเก่าสุขแล้วสุขอีก สุขจริงๆ มันสุขแบบไม่มีอะไร ที่ที่จะให้เป็นสุข สุขจริง ๆ ไม่มีอะไรไม่มีอะไรที่ให้เป็นสุข ไม่มีอะไรที่ให้เป็นทุกข์ นี่คือจุดหมายปลายทาง มันไม่มีอะไรมันจึงไม่เป็นสุข มันไม่มีอะไรมันจึงไม่เป็นทุกข์ ทุกข์กับสุขมันจะตั้งอยู่ที่ไหน ไม่มีที่ให้ตั้ง หาที่ไหน เจอที่ไหน นี่เห็นอยู่นี่ ก็สักแต่ว่าหมดแล้ว เวทนาก็สักแต่ว่า สัญญาก็สักแต่ว่า สังขารก็สักแต่ว่า วิญญาณสักแต่ว่า
ไม่มีอะไรที่พาไปสุขไปทุกข์ มันก็ ก็จืดไปเสียแล้ว ไม่มีค่าไปเสียแล้ว ชีวิตไม่มีค่าเป็นสุขเป็นทุกข์ ชีวิตจริงๆ จะรูปนามนี่มีค่า ถ้าไม่เป็นสุขเป็นทุกข์น่ะ จนมีรูปมีนาม ถ้าไม่มีสติเห็น มีกายมีใจนี่จน ถ้ามีเห็นเป็นรูปเป็นนามนี่ไม่จนนะ มันเป็นธรรมชาติ เป็นอาการ ถ้าเห็นรูปเห็นนามแล้วไม่ค่อยจน แตกฉานได้ แต่ถ้ามีแต่กายแต่ใจ จนนะ อะไรก็เป็นตัวเป็นตน ร้อนคือกูร้อน หนาวคือกูหนาว เจ็บคือกูเจ็บ โกรธก็คือโกรธ กูโกรธ กูพอใจ กูไม่พอใจ อันนั้นเป็นกายเป็นใจ ถ้ามาศึกษาดูแล้วเห็นรูปเห็นนามตามความเป็นจริง
ความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนามตามธรรมชาติ เป็นขันธ์ล้วนๆ เวทนาล้วนๆ ไม่ใช่ตัวใช่ตน มันเป็นสัญญาณภัยของมัน ถ้าไม่มีสัญญาณภัยมันก็อยู่ไม่รอด มันหิวไม่เป็น มันร้อนไม่เป็น มันหนาวไม่เป็น มันเจ็บป่วยไม่เป็น มันเมื่อยล้าไม่เป็น มันก็อยู่ไม่ได้ แม้แต่รถเรือถ้ามันร้อนมันก็ต้องดับ ถ้ารถนี่ร้อนที่สุดก็ดับ มันไม่สามารถที่จะไปได้ บางทีก็ไหม้ไปเลยนะ เรียกว่าขืนใช้ไปก็ไม่ได้ อันนั้นเรียกว่าเครื่องยนต์กลไก
ชีวิตเรานี่ก็เหมือนกัน เมื่อยล้ามันต้องหยุด มีพักผ่อนหลับนอน มีการกินการนอนการพักผ่อนรู้จักหลบภัย หนีภัยเป็น ธรรมชาติ นั่นแหละจึงเห็นธรรมชาติ สู่ธรรมชาติ เห็นรูปเห็นนามนี่ไม่ค่อยจนนะ ถ้าเห็นกายเห็นใจนี่ยังจน นี่เห็นรูปเห็นนามแตกฉานไป รูปมันบอก นามมันบอกความเท็จความจริงมันคืออะไร เราก็ได้หลักตั้งแต่นี่ ตั้งแต่เห็นกาย สักแต่ว่ากาย เห็นเวทนา สักว่าเวทนา เห็นกายเป็นรูป เห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นนามธรรม
ไม่มีตัวมีตนแต่มีภพมีชาติ เจ็บได้ ทุกข์ได้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นรูป มันเป็นขันธ์ห้า รูปมหาภูตรูป นาม มันก็มีชีวิตที่ไม่ตาย นามรูปนามมันแยกกันแล้วก็เน่าไปแล้ว นี่มันมีรูปมีนาม ทำดีได้ ทำชั่วได้ โอ้..สนุกดี ศึกษาเรื่องชีวิตของเรานี่ จึงได้เขียนออกมาเป็นพระไตรปิฎก 84,000 อย่าง มีธรรมชาติ มีพระสูตรเป็นสูตร มีพระวินัย ข้อปฏิบัติ ต่อรูปต่อนาม วินัย ความหลงไม่ใช่วินัย ความไม่หลงเป็นวินัย ความหลงไม่เป็นธรรม ความไม่หลงเป็นธรรม
ปฏิบัติตามธรรมวินัย ใช้ธรรมวินัยต่อมันรูปนามนี้ จบง่ายๆ นะ คืนเดียวจะจบนะถ้าดูดี ๆ นะ มันเนิ่นช้า ถ้าหลงเป็นหลงเนิ่นช้า สุขเป็นสุขเนิ่นช้า ผิดเป็นผิดเนิ่นช้า ถ้าเห็นมันผิด ผิดก็เห็นมัน สุขก็เห็นมัน ทุกข์ก็เห็นมัน สุขก็เห็นมัน สงบก็เห็นมัน ฟุ้งซ่านก็เห็นมันอย่างนี้จบง่าย แบบลัดๆไป วิปัสสนาล้วนๆ สุขวิปัสสโก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน ถ้าไปสงบอยู่นิ่งไปเห็นเล่นสีเล่นเสียงเล่นแสง มีปัญญา เตชะ อะไรต่างๆ ที่รู้ไปโน่นไปนี่เนิ่นช้า บางทีก็เสื่อมได้ ตายอยู่ในฌาน นั่งอยู่นั่น ละกิเลสไม่ได้ เสื่อมเป็นนะ
คนฌานสมาบัตินี่ไม่ใช่ อย่างกับ อุทกดาบส อาฬารดาบส เนี่ย ที่เป็นครูคนแรกของพระพุทธเจ้านี่ ครูคนที่หนึ่งได้สมาบัติเจ็ด อุทกดาบส ครูคนที่สอง อาฬารดาบส ได้สมาบัติแปด เก่งในฌาน พระสิทธัตถะไม่พอใจ กลบเกลื่อน มาฝึกด้วยตนเองนี่ มามีสติ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก มันต้องอยู่นี่แน่นอน สิ่งที่เกิดกับกายกับใจนี่ มีสติเห็นนี่ เห็นไม่เป็นนี่ เป็นฌานอย่างยิ่ง เครื่องเผากิเลส ถ้าเป็นแล้ว นาน ลัดๆ ให้ไปไว มันสุขเห็นมันสุขไม่ใช่เป็นผู้สุข พ้นจากความสุข ก็เกิดเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ศีลกำจัดกิเลส
สมาธิกำจัดกิเลส ปัญญากำจัดกิเลส เห็นนี่ยังไม่ละเอียดด้วยศีล ศีลกำจัดกิเลสอย่างหยาบๆ เห็นทุกข์นี่ศีลนะ ยังไม่ได้กำจัดนะ เห็นแล้ว ไม่เป็นผู้ทุกข์สติเข้ามาช่วย กำจัดกิเลสอย่างกลาง พ้นจากความทุกข์เป็นปัญญามาช่วย กำจัดกิเลสอย่างละเอียด หลุดพ้น ทั้งศีล ทั้งสมาธิทั้งปัญญา เป็นเครื่องทำให้เกิดการหลุดพ้น ช่วยกันนะสามอย่างในคราวเดียวกัน สติเป็นพลังให้เกิดศีล เกิดสมาธิ ปัญญาแบบนี้ เห็นไม่เป็นสักแต่ว่า ภาษาพระพุทธเจ้า ภาษาพระสิทธัตถะใหม่ๆสักแต่ว่า
ใช้ได้ตลอดรอดฝั่งคงเส้นคงวา ไปตะพึดตะพือไปเลย สักแต่ว่า ไปตะพึดตะพือ บุกไปตะพึดตะพือ ชนะไปตะพึดตะพือ ดีไม่ทำตะพึดตะพือ ชั่วชั่วไม่ทำ เออ. ดีทำไปตะพึดตะพือไป ใจไม่ติดไปยึดตะพึดตะพือไป สักแต่ว่าไปได้ดีไปได้สวยดี นี่ก็เราก็อยู่ในภาวะกรรมฐาน ตามสมมุติบัญญัติที่เรากำหนดขึ้นมา ก็ให้ช่วยกัน หลวงพ่อกรม อาจารย์ทรงศิลป์ อาจารย์สมใจ อาจารย์วัฒนชัย อาจารย์ตุ้ม อาจารย์โน้ต เพียงพออาจารย์อยู่ที่นี่ สามารถที่จะบอกผิดบอกถูกแก่ผู้ปฏิบัติได้
ญาติโยมก็มีพอที่จะบอกผิดบอกถูกได้ ประสบการณ์หมอสุนทรีย์ก็ไปได้ยินที่เขาพูดเรื่องอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับกายกับใจได้บทเรียนมาพอสมควร ช่วยกัน อย่ารอให้หลวงตาหลวงพ่อยืนแต่เพียงผู้เดียว มันไม่ มันไม่สะดวกทุกวันนี้ เวลาไปถามนักปฏิบัติ เวลานักปฎิบัติเขาพูดก็ไม่ค่อยได้ยิน คนเขาปฏิบัติเขาก็ไม่อยากพูดแรง เขาอยากพูดเบาๆ ไปพูดคนหูหนวก พูดโวยๆวายๆก็ไม่ค่อยดี เลยไม่อยากไปพูด ช่วยๆกันพวกเราเผื่อคนอื่นบ้าง มีอะไรก็แบ่งปันกันบ้าง เอาไปแบ่งกันเล็กๆ น้อยๆ ของฝากเล็กน้อย
ทำอะไรเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ชี้วัดนะเขาพูดอะไรขึ้นมามันเรื่องของเราทั้งหมด ถ้านักกรรมฐานนะ ไม่ใช่นอกตัวเราหมด ถ้าเราเห็นแล้วเหรอได้คำตอบหมด ถ้านักกรรมฐานเขาพูดที่เกิดจากกายจากใจเขานั่น เราก็เห็นการเกิดที่จากกายจากใจเรานี่มามาก สามารถบอกผิดบอกถูกได้ ความสงบความฟุ้งซ่าน ปิติ นิมิต มันไม่จริง อย่าไปหลงมัน มีสติ สติมันออกไปก่อน อะไรๆ ก็กลับมารู้สึกตัว ถ้าไม่มีคำพูด ก็บอกว่าถ้าเขาพูดเรื่อง เขารู้นั้นรู้นี่ ก็บอกว่า กลับมารู้สึกตัว เท่านี้ก็พอแล้ว
อย่าหลงไป มันรู้อะไร รู้อะไรให้กลับมารู้สึกตัว มันทุกข์เรื่องอะไรก็กลับมารู้สึกตัว มันมีอะไรเกิดขึ้น มีปิติ นิมิตอะไรเกิดขึ้น กลับมารู้สึกตัว กลับมารู้สึกตัว ให้เขากลับมารู้สึกตัว ให้เขากลับมารู้สึกตัว เพื่อจะเป็นสุขวิปัสสโก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ ไม่มีสมถะ ไม่มีอะไรมาข้องแวะขวางกั้น เสียเวลา ได้แต่นั่งหลับหูหลับตานั่งนิ่งๆก็ให้กลับมารู้สึกตัว รู้สึกตัวไหม ถ้าอยู่นิ่งก็เป็นก้อนหินก็กลับมารู้สึกตัวนี่ จิตจะเป็นกรรมฐาน เขาบอกกัน เดินจงกรมสร้างจังหวะ เคลื่อนไหว นอกรูปแบบในรูปแบบได้ทุกโอกาสน่ะ