แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ข้ามวัฏสงสาร จิตเป็นนายกายเป็นเรือ สติเป็นหางเสือ พายไปอย่าให้เรือหนักเกินไป เรือที่แล่นข้ามวัฏสงสารถ้าสุขก็หนักถ้าทุกข์ก็หนัก จะเป็นเรือพ่วงหลงก็หนัก ผิดถูกก็หนัก หนักมากคือความหลง ความโกรธความทุกข์วิดออก การวิดเรือก็คือมีสติทุกครั้งที่มันหนัก พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายเธอจงวิดเรือของเธอให้มันเบา กิเลสกรรมทั้งหลายอย่าบรรทุกไป เรือของเธอจะแล่นได้สะดวกถึงได้ง่าย ถึงจุดหมายปลายทางได้ง่าย เราก็บรรทุกมานานเหลือเกิน หนักมานาน เป็น ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้า เป็นของหนักเน้อ หนักในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูป มหาภูตรูป เป็น..เป็นรูปอาศัย คือดิน น้ำ ลม ไฟ อุปทายรูป รูปที่มีอุปทานยึดมั่นถือมั่น สำคัญมั่นหมาย กายก็เป็นเราความคิดก็เป็นเรา สุขก็เป็นเราทุกข์ก็เป็นเรา อะไรก็เป็นเราเป็นตัวเป็นตนอยู่ในความคิด ความรูปรสกลิ่นเสียง นั่นเรียกว่า อุปทายรูป อันรูปคือ อุปทายรูป มหาพุทธรูปสมกับเป็นที่อาศัยธรรมว่าใช้ได้ มีกายก็มากำหนดรู้ มีใจก็รู้ ถ้าอย่างนี้ถือว่าใช้ได้ อย่าให้มันใช้เรา ถ้ากายมันใช้เรา ๆ ก็หนัก ถ้าใจมันใช้เรา ๆ ก็หนัก เราจึงวิดน้ำอันนี้ออกโดยมีสติทุกครั้ง เห็นกายในอยู่เป็นประจำเหมือนเจ้าของเรือ ถ้าอะไรมันเกิดจากกายขึ้นมาก็ให้เห็นอย่าเข้าไปเป็น เรียกว่าเรือไม่รั่ว ถ้าเป็นก็เรือรั่ว ถ้าเป็นสุขก็เรือรั่วแล้ว ถ้าเป็นทุกข์ก็เรือรั่วแล้ว มีสติเป็นเจ้าของคอยดูแลอยู่เสมอให้เรือเบาๆ มันก็มีอะไรมานานแล้วต้องมีสตินี่เป็นตัวขยัน ขยันดูแลขยันวิดน้ำ จนมันเบามันที่สุด มีสติเห็นกายสักว่ากายไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา นั่นคือเรือเบา เวทนาก็เหมือนกัน เห็นเวทนาสักว่าเวทนา มันสุขมันทุกข์นั่นไม่ใช่เรา เป็นสักแต่ว่า เวทนาไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เราเขา เห็นจิตที่มันคิดก็สักว่าจิต ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ถ้าเรือแล่นอย่างนี้ก็เบา
เห็นธรรมที่มันเกิดจากจิตใจของเรา เป็นความง่วงเหงาหาวนอน เห็นความคิดฟุ้งซ่าน เห็นความลังเลสงสัย เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิด ให้...ให้ความคิดมาให้สุขให้ทุกข์อันนั้นเรือมันหนัก เห็นสักแต่ว่าธรรมไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อย่างเนี่ย ก็รู้สัมผัสดูว่ามันหลงไม่หลงมันจะเบา ถ้าหลงเป็นหลงมันจะหนัก ถ้าโกรธเป็นโกรธมันจะหนัก ทุกข์เป็นทุกข์มันจะหนัก โลภเป็นโลภมันจะหนักให้เห็น ให้เห็นอย่าเป็น มันจะแล่นสบายเรือเราเนี่ย ไปทางนี้เหมือนกันหมด อันเดียวกัน บรรทุกอย่างเดียวกันเหมือนกันหมดไม่ต่างกัน อย่านึกว่าเราเป็นคนเดียวใครก็เป็น พระพุทธเจ้าได้เดินผ่านทางสายนี้มาจึงบอกว่านี่มันเป็นอย่างนี้ เห็นอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าเห็น ถ้าจะผ่านพ้นไปก็ผ่านที่เดียวกัน เอาความหลงไว้หลังเอาความทุกข์ไว้หลัง เอาความโกรธไว้หลัง เอาความพอใจไม่พอใจไว้ข้างหลัง เอาความสุขความทุกข์ไว้หลัง มีแต่สติสัมปชัญญะ เรือเบาๆ โล้จนขึ้นฝั่งได้ ถ้าสุขทุกข์มันก็ไม่ใช่ขึ้นฝั่งได้ยาก มันมุดลงไปมันหนักลงไปจมลงไป เราจึงขยันซักหน่อยถ่อพาย โบราณท่านว่าพายเถิดพ่ออย่ารั้งรอพาย ตะวันจะสายตลาดจะวายสายบัวจะเน่า มันวายเป็น มันสายเป็น มันเน่าเป็น สังขารร่างกายนี้ถ้าหมดไปแล้วก็เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนที่เขาทิ้งลงแผ่นดินใช้ไม่ได้ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ขณะนี้ยังใช้ได้อยู่แจ๋วอยู่
ถ้ามันหลงรู้ใช้ได้แล้ว ถ้ามันทุกข์ก็รู้ใช้ได้แล้ว ถ้ามันสุขก็รู้ใช้ได้แล้ว ไม่ใช่เราจะให้สุขให้ทุกข์สั่งงานสั่งการเรา เราไม่ต้องเป็นทาสเราเป็นนาย ถ้าเราทำอย่างนี้ฝึกอย่างนี้เราเป็นเจ้าของเราเอง มีสิทธิมันหลงมันผิดมีสิทธิไม่หลง มันทุกข์เรามีสิทธิไม่ทุกข์ มันโกรธเรามีสิทธิไม่โกรธ เรียกว่า “สิทธิ ธรรมาธิปไตย” ใช้สิทธิของเราให้ได้อย่าไปสละทิ้งความดีเราทิ้งไปใช้สิทธิอันนี้ไปเอาอันอื่นเช่นเวลาโกรธไม่อยากจะลืมข้ามวันข้ามคืน เวลาทุกข์ก็ไม่อยากจะลืม ให้แต่ความหลงเป็นเจ้าบ้านเจ้าเรือน หลงมากกว่ารู้
ดูดี ๆ เวลาเรานั่งยกมือสร้างจังหวะวินาทีหนึ่งรู้ที หนึ่งมันหลงกี่ครั้ง แต่ละวินาทีมันรู้ไปตามการเคลื่อนไหวของกายไหม เราพยายามใส่ใจ ลบเขียนใหม่เหมือนกับเราหัดเขียนหนังสือทำงานผิดพลาดถ้ามันผิดก็แก้ใหม่ มันแก้ได้อยู่ปฏิบัติได้อยู่เปลี่ยนได้อยู่ เปลี่ยนใหม่ทำให้มันถูก เวลามันผิดไม่ทำให้ถูกมันก็ผิดอยู่เรื่อยไป เวลามันหลงเปลี่ยนไม่หลงเนี่ยแก้แล้วเหมือนกับซ่อมแล้ว มันเป็นรอยความหลงในชีวิตเรา เราก็ซ่อมแล้ว เหมือนรถมือสองใช้งานมาเยอะ ใช้ให้เป็นความหลงเป็นความพอใจไม่พอใจจนเป็นรอยในชีวิตเราเลยทีเดียว เราจึงมาทำเรื่องนี้กัน ให้มันจบลงไปซะ ความหลงเป็นครั้งสุดท้าย ความทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ความโกรธเป็นครั้งสุดท้าย อะไรเป็นครั้งสุดท้ายมีสิทธิ์สติแล้วอะไรอยู่
ขึ้นฝั่งแห้ง พระพุทธเจ้าเรียกอยู่เสมอ โน้น ฝั่งโน้นจงมาถึงที่ไม่มีน้ำ จากที่มีน้ำขึ้นมาขึ้นมาเนี่ย ไปสุขไปทุกข์ไปหลงไปโกรธทำไม ขึ้นมา ขึ้นมามันมีอยู่ฝั่งน่ะมันมีบกอยู่ไม่ใช่มีแต่น้ำ มันมีบก เหมือนหลวงตาเล่าเรื่องเต่ากับปลาให้ฟังกัน เต่ามันเป็นสัตว์สะเทือนบกสะเทือนน้ำไม่เหมือนปลา นี่คือชีวิตของเรามันเป็นสัตว์ประเสริฐต้องฝึกตนสอนตนถ้าไม่สอนมันก็ไม่ประเสริฐ มันเลวกว่าสัตว์ด้วยซ้ำไป มันมีนรกด้วยนะ มนุษย์ในคนเราน่ะมันมีเปรต มีอสุรกาย มีสัตว์เดรัชฉานด้วย ถ้าไม่หัดน่ะ ถ้าเราหัดมันจึงจะพ้นไปจากสิ่งนี้ ไปสู่มรรคผลนิพพานแห้ง จืดเหลือศูนย์ทุกข์เหลือศูนย์ไม่มีค่า สุขก็เหลือศูนย์ไม่มีค่า โกรธโลภหลงไม่มีค่า ไม่มีค่าเป็นเป็นสูญญตา ชีวิตเป็นสูญญตาวิหาร ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ไม่ควรถือว่าเราว่าของเราว่าตัวว่าตนของเรา
อะไรที่มันเกิดจากกายจากใจ มันเป็นอาการธรรมชาติเรามีความแก่เฒ่าเป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ใช่เราในความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่ใช่เรา มันเป็นธรรมดาของรูป อันตัวไม่ตายคือภาวะที่เห็นเนี่ยไม่ได้เจ็บแต่มันเจ็บที่บอกอยู่เสมอว่า เห็นมันหลงไม่เป็นผู้หลง เห็นมันเจ็บไม่เป็นผู้เจ็บ เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ ลองดูตรงนี้ดู มันจะ มันจะบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์นะ เป็นพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือตรงนี้ คือไม่เปรอะเปื้อนกับความอะไรทั้งหมดมีแต่เห็นอยู่เนี่ย เราก็ทำได้เห็น เห็นทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นกับกาย ถ้าจะ ถ้าจะบอกก็เป็นก็เป็นอาการ ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์เป็นอาการที่เกิดกับกายกับใจ ไม่ใช่หิวไม่ใช่ร้อนไม่ใช่หนาวเป็นอาการที่เกิดกับกายกับใจ งานของเรามันมีอย่างนี้อย่าทิ้งให้มันงานค้างยุ่งเหยิง เป็นงานยุ่งเหยิง “อะนากุลา จะ กัมมันตา” การงานยุ่งเหยิง สับสน หลงแล้วหลงอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก โกรธแล้วโกรธอีก อะไรก็อยู่ตรงนี้แทนที่มันจะหมดไป แล้วมันดีอะไรบางทีเราก็ไปเอาว่าดีด้วย เหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเอา มาเอามาปั่นหัวตัวเองเจ็บปวดอยู่ โกรธทั้งวันทั้งคืนให้ความทุกข์ความโกรธนอนอยู่กับเรา ดูดี ๆมันไม่ทุกข์ก็ได้ไม่โกรธก็ได้ คนในโลกนี้อย่านึกว่าเรา อย่าเอาไปอ้างกันมันเดือนร้อน
เดือนที่ผ่านมาสองเดือนที่ผ่านมา ประเทศชาติเดือดร้อนกรุงเทพเดือดร้อน เพราะความโกรธความโลภความหลง เอาไปอวดกัน ชี้โทษแต่เขา คนพาลชี้โทษคนอื่น บัณฑิตต้องเพ่งโทษตัวเอง มองตนเตือนตนแก้ไขตน ใครก็ผิดใครก็ถูกใครก็หลงได้ ใครก็รู้ได้ แทนที่จะช่วยกันแต่ไปด่ากันมันก็ไม่ใช่ ไม่จบต้องมาแก้ที่ตัวเรานี่เองมันก็จบ เหมือนหนุมานทำให้ไฟไหม้เมืองลังกา ไฟมันอยู่ที่หางหนุมานน่ะ มันก็วิ่งไปที่ไหนเกิดไฟไหม้ ไฟจะดับได้ไงอ่ะ มันก็หมดเลยเมืองลังกา หนุมานมันไม่ยากเพียงเอาหางที่มันมีไฟมาอมเข้านิดเดียวมันก็ดับมอดแล้ว มันวิ่งไปไหนก็ไม่มีไฟแล้วบัดนี่
ชีวิตเราก็เหมือนกันต่างคนต่างเปลี่ยนความร้ายเป็นความดีมันก็จบง่าย ตั้งต้นทุกคนอย่างนี้ เสนอตัวเราก่อนเนี่ย ให้โอกาสตัวเราก่อน ขอต้อนรับในงานนี้เป็นมิตรเป็นเพื่อนกับท่านทุกคน จะไม่พาหลงทิศหลงทางนะ มันมีหลักอย่างนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้นี่ ทางมันไปสู่ถึงจุดหมายปลายทางมีอยู่เนี่ย ทางไปไม่ถึงก็มีนะ เมื่อไรเราจะเดินไปในทางนี่สักที มัวแต่หลงอยู่อย่างนั้นไปไม่ถูกสักที เราจึงมามีสติ เหยียบเส้นทางผ่านหลงเป็นรู้ไป เวลามันหลงก้าวใหม่ ก้าวแรกมันหลง ก้าวหลังไม่ต้องหลง ก้าว..ก้าวแรกผิดพลาด ก้าวใหม่ต้องมั่นใจมั่นคง เปลี่ยนยังเนี่ยมันจะอยู่ไม่ได้
เหมือนหลวงตาพูดเมื่อวานนี้ว่า “อย่าไปเพาะเชื้อมัน” ความหลง ถ้าหลงเป็นหลงเรียกว่า “เพาะไว้” ถ้าทุกข์เป็นทุกข์ก็เรียกว่า “เพาะไว้” โกรธเป็นโกรธก็เพาะไว้ มันก็ไม่เชื่อ เหมือนข้าวเปลือกที่เอาไว้ในฉางในยุ้ง พอเวลาถึงฤดูเอามาเพาะ อันนั้นก็เป็นของกินมันก็มีประโยชน์ อันความหลงความโกรธ ความโลภ ความทุกข์ ความรัก ความชังมันไม่ค่อยมีประโยชน์ มีแต่มีโทษ ถ้าเราไม่..ถ้าเราทำสิ่งนี้ให้หมดไปก็เป็นประโยชน์ มีคุณมีค่าต่อตัวเองและคนอื่นสังคมอื่น สิ่งอื่นและวัตถุอื่น ดีไปหมด นะ จากมือห้านิ้วสิบนิ้วของเรามันทำได้ มันทำได้ถ้าทำดี ถ้าทำชั่วมันก็ฉิบหายไปทั้งโลก เช่นโลก ภาวะโลกร้อนเพราะฝีมือของคน ไม่ใช่เกิดจากอะไรต่าง ๆ
สงครามเกิดจากฝีมือของคน งานหยุดสันติภาพเกิดจากฝีมือของคนเหมือนกัน เหมือนกับหน้ามือหลังมือ ถ้าใช้หลังมือมันก็ผิดถ้าใช้หน้ามือก็ถูก ความหลงเป็นหลังมือ ความไม่หลงเป็นหน้ามือเนี่ยน้า มันก็อยู่ด้วยกันมาพร้อมกัน เหมือนพระสิทธัตถะเห็นความเกิดก็เห็นความไม่เกิดต้องมีแน่นอน เห็นความแก่ก็เห็นความไม่แก่มาด้วยกันแน่นอน เห็นความเจ็บก็เห็นความไม่เจ็บอยู่ด้วยกันนั่นแหละ เห็นความตายก็ต้องมีความไม่ตายอยู่ด้วยกันนั่น จึงเอามาเป็นโจทย์ศึกษาเรื่องนี่ จึงเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นพระพุทธศาสนาขึ้นมา พร้อมทำนายสิ่งเหล่านี้มันมีคู่ไม่ใช่เราจะไม่มีทาง มันมีคู่ ถ้ามีเกิดก็ต้องไม่เกิดจนมาออกผนวชทรงผนวช มาศึกษาก็ผ่านเรื่องนี้ได้ จึงได้ชื่อว่า “พระพุทธเจ้า” เมื่อเอามาสอนคนรู้ตามจึงชื่อเพิ่มขึ้นว่า “สัมมาสัมพุทโธ” จนมาถึงพวกเราเนี่ย เราก็ทำได้เนี่ย ผ่านมาแล้วสองสามพันปีก็ทำได้อยู่ มันมีแต่เดิมแต่ก่อนไม่มีใครเห็น พอพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เรื่องนี้ก็เอามาสอนพวกเรา เราก็รู้ตาม หมู่ชนผู้เชื่อฟังคำสอนปฎิบัติชอบตามธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสอน มันก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่มันหนีไปไหน เราจึงไม่จนหรอกเรื่องนี้ อย่าไปมองคับแคบอย่าไปทุกข์คนเดียว อย่าไปหลงคนเดียว อย่าไปโกรธคนเดียว บอกเขาด้วย ไปนั่งร้องไห้เสียใจอยู่คนเดียวทำไหม ไม่ต้อง
ทำงานก็ได้ มาช่วยกันทำงาน มาช่วยกันอย่างนี้เรา คนหลงทางก็ต้องบอกให้คนรู้จักทาง เหมือนกับชีวิตของเราเนี่ย มันก็คว่ำไว้หงายขึ้นได้มันปิดได้เปิดออกได้ มันมืดก็มีแสงสว่าง เวลามันหลงก็ยังมีแสงสว่างน้อย ๆ อยู่ คือมีสตินั่นแหละทางตาม ไปแม้มันนิดหน่อยก็ยังจะพบสว่างออกถ้าเราตามมันไป อย่าให้มืดเป็นมืด มันก็มีอยู่ในความมืดนั่นความสว่างก็มีอยู่ มันเป็นคู่กันอยู่อย่าจน อย่าจนอย่าจน ให้ขนขวายสักหน่อยมันดีนะ งานอย่างนี้มันงานดีงานสูงสุด เปลี่ยนหลงเป็นรู้เนี่ยมันชอบที่สุด เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์นี่ชอบที่สุด เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธชอบที่สุด อันที่มันไม่ดีเปลี่ยนให้เป็นดีมันดีที่สุดแล้ว ไม่มีงานอันไหนที่ยอดเยี่ยมเหมือนงานอันนี้
งานชีวิตเราอย่างเนี่ย ต่างคนต่างเปลี่ยนอย่างนี่ มันก็จะสงบร่มเย็นได้ ถ้าไม่มีความหลงไม่มีความโกรธไม่มีความทุกข์ก็ไปสอนคนอื่น ให้เขาทำเหมือนเราเนี่ยอย่าอยู่คนเดียว สอนคนอื่นด้วยบอกคนอื่นด้วยจนสุดความสามารถ นี่เป็นงานของเรา เราก็มีพ่อมีแม่มีเพื่อนมีมิตร มีภรรยาสามีมีลูกมีหลานมีแผ่นดินมีแม่น้ำ มีอากาศมีป่าไม้ เราก็ไปช่วยสิ มือห้านิ้วของเรามันสร้างโลกได้เด้ ถ้าไม่..ไม่ทำอย่างนี้ก็ฉิบหายไปเลยล่ะ อย่างพวกเราไม่เคยตัดต้นไม้สักต้นเราก็เดือดร้อนแบบเนี่ย โลกร้อนแบบเนี่ย
เราคน..จะไปดีคนเดียวไม่ได้ต้องไปช่วยคนอื่นอย่าอยู่เฉย แจกของส่องตะเกียง เลี้ยงคนทั้งโลกไปเลย มันอยู่ไม่ได้หรอกไม่มีคำสั่งมา มาสั่งหรอกมันเป็นไปเอง เช่นเรา..เวลาเราไม่ทุกข์เห็นคนอื่นทุกข์นี่อยากช่วย เวลาเราอิ่มเห็นคนอื่นหิวก็อยากช่วย เวลามีความสบายเห็นคนอื่นลำบากก็อยากช่วย เห็นเรานอนอยู่ในหลังคาในฝาในบ้านเรือนดี ก็คิดเห็นคนที่ไม่มีที่นอน มันก็จะคิดจะช่วยเหลือไม่ใช่เห็นแก่ตัว
พระพุทธเจ้าพอเห็นเรื่องนี้ก็คิดถึงใครล่ะ ได้ตรัสรู้นี่คิดถึงใคร คิดถึงคนที่จะต้องบอกคือใครหนอ...คิดถึงหมดเลย เหมือนพ่อแม่ได้อะไรมาคิดถึงลูกก่อน พระพุทธเจ้าพอได้สัมผัสเรื่องนี่เข้าคิดถึงคนที่จะต้องมารู้เรื่องนี้ด้วยจะมีใครหนอ.ทำไมลึกๆลับๆแบบนี้หนอ คิดทีแรกก็ท้อพระทัย มีใครจะรู้ได้หรือเนี่ย มีต้องมีได้ก็มองอยู่ จึง...คิดเห็นปัญจวัคคีย์เหมือนจะวิ่งเอาก็ว่าได้ รีบจากพุทธคยาถึงพาราณาสี อิสิปตนมฤคทายวันเป็นการแสดงธรรมเทศนาครั้งแรกคือ วันเพ็ญเดือนแปดที่ผ่านมาเมื่อสองวันนี้ ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรเป็นวันอาสาฬหบูชา เราก็สวดธัมมจักร ก็บอกเรื่องนี้เรื่องชีวิตเราเนี่ย นั่นก็คือใครล่ะคือเรานี่แหละ เราก็มีรูป มีนาม รูปมันก็มีรูปธรรมมันก็ทำ นามธรรมมันก็ทำ ทำดีทำชั่ว รูปธรรมนามธรรมเป็นธรรมชาติธรรมดาเหมือนกันหมด รูปทุกข์นามทุกข์ก็เหมือนกันหมด หายใจเข้าหายใจออกก็แก้ทุกข์เหมือนกัน กระพริบตาหายใจกลืนน้ำลาย ยืนเดิน นั่งนอน กินข้าว ขับถ่าย กลัวภัยหลบภัยเหมือนกัน
รูปธรรมนามธรรม รูปทำนามทำอันหนึ่งคือมันทำชั่วทำดี รูปธรรมนามธรรมอันหนึ่งคือมันธรรมชาติเหมือนกันหมด รูปโรคนามโรคก็มีรูปเหมือนกัน รูปของรูปก็มี ต้องแก่ต้อง...ต้องไปสู่ความไม่เที่ยง ต้องไปสู่ความไม่ทุกข์ ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์ แจกออกมีรูป มีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดไม่ใช่ตัวตนไม่ควรถือว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเราพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้
จากบอกทางมาต่อถึง “อนัตตลักขณสูตร” สอนปัญจวัคคีย์ มันเป็นอย่างนี้ จนเข้ามาสู่อริยสัจสี่เหตุกับผล หลงเป็นเหตุทุกข์เป็นผล หลงเป็นเหตุโกรธเป็นผล หลงเป็นเหตุโลภเป็นผล ตัวใหญ่ตัวโผมันคือ ความหลงนี่แหละ ก้าวแรกที่สุดพอมีสติมันก็ตรงหน้าคือความหลงตรงกันพอดี ในความรู้มีความหลงตรงกันพอดี ไปเปลี่ยนเลยเปลี่ยนเลยนั้นน่ะ เวลามันมีสติเห็นมันหลงไม่มีใครไม่เห็นน่ะ เจอ...เจอด่านแรกเนี่ย หลง รู้ นั้นน่ะ มันคู่กันเลย มันทุกข์ก็รู้คู่กันไปน่ะ ตัวเฉลยตุลาการพิพากษา พิพากษาตุลาการน่ะ พร้อมให้เกิดความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจากชีวิตเรา ความหลงไม่เป็นธรรม ความไม่หลงเป็นธรรม ความโกรธไม่เป็นธรรม ความไม่โกรธเป็นธรรม ความทุกข์ไม่เป็นธรรมความไม่ทุกข์เป็นธรรม สัมผัสดูแล้ว จริง ๆ ไม่ต้องถามใคร เป็นปัจจัตตังรู้เฉพาะตน นี่คือปฏิบัติ เป็นการสัมผัส รูปโรค นามโรค มันมีโรคน่ะชีวิตเรา รักษาโรคให้หาย “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คือโรคแห่งกิเลสตัณหาราคะโทสะให้มัน เรือลำนี้มันเบาไป มันจะวิ่งได้ด่วนเร็วไวที่สุดแป๊บเดียวลัดนิ้วมือเดียวง่ายๆ เวลาทุกข์เด่ะ ไม่มีอ่ะ ไม่เอามาเป็นตัวเป็นตน มันก็มีแต่ไม่ใช่เรา จะทำไงล่ะเวลาแก่เป็นทุกข์หรือ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์หรือ ไม่ทุกข์ไม่ได้หรือ เราทำไงเตรียมตัวไว้นะ เพียงแต่หลงนิดหน่อยก็ทุกข์แล้ว ถ้ามันเจ็บมันจะตายเข้าเป็นไง มันจะทุกข์ไหม ถ้ามันเก่งตรงนี้ มันลาดไปตอนนี้ก่อน มันก็จึงไปไม่ถึง ต้องๆต้องลาดไปอย่างนี้ก่อนก้าวไปพ้นความหลงเป็นความไม่หลง ก้าวพ้นความทุกข์ความโกรธเป็นความไม่โกรธ มันไปอย่างนี้นะทาง ผ่านไปอย่างนี้ มันจึงจะเหนือการเกิดแก่เจ็บตาย ต้องตายต้องเจ็บแน่นอนหลีกเว้นไม่ได้ ถ้าตายทำไงเรา ถ้าเจ็บจะทำไง ถ้าไม่เห็นตั้งแต่เห็นมันหลง ไม่เป็นผู้หลง เห็นมันโกรธไม่เป็นผู้โกรธ เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ เห็นมันเจ็บไม่เป็นผู้เจ็บ เห็นมันตายไม่เป็นผู้ตายเท่านั้นมันจะยากอะไร เหมือนทางขึ้นเขามันลาดขึ้นตั้งแต่เนิ่นๆมันก็ขึ้นได้ง่าย ชีวิตของเราก็เหมือนกันสูง มันก็ต้องมาจากต่ำก่อน เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ลาดมาแล้ว ถ้าหลงเป็นหลงไม่ได้ไม่ได้ลาดให้ซะหน่อยเป็นหน้าผาชีวิตขึ้นไม่ได้ หักด้ามพร้าด้วยเข่าไม่ได้ จึงลาดเอาไว้กรุยทางไว้ surveyไว้ ให้มันเป็นทางนำชีวิตเราไป เดินเอาเอง พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้บอกส่วนการกระทำเป็นหน้าที่ของเธอทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นหน้าที่ของเรา เหมือนการบอกเดินไปทางนี้ จากศาลาหอไตรไปทานอาหารที่ศาลาอาสนะศาลาข้างหน้าก็เดินไป ถ้าไม่เคยเดินก็จะหลง พอเดินไปแล้วไม่หลงชำนาญมาก ตรงที่มันหลงตรงไหนน่ะมันจะชำนาญตรงนั้น ถ้าคนเดินทางนักเดินผิดตรงไหนจะถูกตรงนั้นมากที่สุด เป็นศิลปะชำนาญมากขึ้น เป็นทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ เหมือนนายช่างก่อสร้าง ทีแรกก็ผิด ๆ พลาด ๆ ทำไม่ค่อยดี ทำไปทำไปมันดี เลื่อยเล่มเก่ามีดเล่มเก่า อะไรก็อันเก่าแต่ว่ามีฝีมือใช้บ่อย ๆ ไม่มีฝีมือ ทำได้ดี เหมือนนักเขียนนักก่อสร้างขีดแป๊บๆปั๊บเดียวเป็นรูปขึ้นมาล่ะ ทำแป๊บเดียวเป็นรูปร่างขึ้นมามองทะลุทะลวงได้ เอามาจากสติปัญญาแล้ว
ชีวิตของเรา มันจะเป็นอันว่า ปฏิญาณ “ญาตปริญญา” กำหนดรู้ด้วยการรู้ ง่ายที่จะรู้ รู้แล้ว “ตีรณปริญญา” แจกแจงออกอะไรที่มันเป็นอะไร แจงออก ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน “ปหานปริญญา” ทำให้สิ่งนั้นหมดไปได้ “ปะหาตัพพันติเม ภิกขะเว,....,จักขุง อุทะปาทิญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิวิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ” ญาณเกิดตรงนั้น ญาณเกิดขึ้นตรงที่มันหลงมันไม่ถูกต้อง ญาณ ข้ามล่วงไปเราจึงไม่เอาที่ใด เอากายนี่เป็นตำรา เอาจิตใจเป็นตำรา มีสติเป็นตัวศึกษาเข้าไป มันจะเปิดเผยไม่ลี้ลับ อะไรไม่ลี้ลับ ในกายกว้างศอก ยาววา หนาคืบ เนี่ย เห็นเป็นหมวดหมู่เห็นอันหนึ่งเป็นอันนั่นไป เห็นอกุศลมันก็บอกนี่คืออกุศล เห็นกุศลมันก็บอก ไปคนละทางแบบเนี่ย สัมผัสดูเดินดู อกุศลคือหลง โกรธคือรูป แล้วก็ความไม่หลง ความไม่โกรธ ความไม่รู้ มันก็ไปทางนี้ เหมือนเห็นกุศลอกุศล ไม่เคยทำบาปทางกาย ไม่เคยทำบาปทางวาจา ไม่เคยทำบาปทางจิตใจบริสุทธิดูสิ มันก็เกิดความบริสุทธิขึ้นมามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ศีลก็กำจัดกิเลส กำจัดทุกข์ไปเอง ศีลจะรักษาเราไปเอง สมาธิจะรักษาเราไปเอง ปัญญาจะรักษาเราไปเอง จึงว่าพระพุทธเจ้าจึงว่าพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ คือคุณธรรม พระพุทธเจ้าจริง ๆ คือธรรมะ พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องมือกำจัดทุกข์ ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า อันที่มันถูกต้องมันมีอยู่ในชีวิตเราเนี่ย จะเอาความชั่วความไม่ถูกได้ไง ก็เป็นที่เคารพของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเคารพพระธรรมพระพุทธเจ้าทุกองค์เคารพพระธรรม ได้เป็นมาแล้ว ได้เป็นอยู่ทุกวันนี้ นี่จะเป็นไปข้างหน้า เราจึงต้องอย่าจนเถอะพวกเรา พวกเราขอเป็นมิตรเป็นเพื่อนกันพออยู่กันได้ก็อยู่ไป เชิญกันมาก็ดี ถือว่ามาได้ทุกโอกาส นี่ก็มีเสนาสนะ สัปปายะพออยู่กันได้ อาหารสัปปายะพอได้อยู่ได้กิน บุคคลสัปปายะก็พอมีเป็นมิตรเป็นเพื่อนไม่เดียวดายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยกันดูแลกันไม่ทอดไม่ทิ้ง ธรรมะสัปปายะก็มาสัมผัสดูว่าเราสอนอย่างนี้เราชี้อย่างนี้ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ธรรมะสัปปายะ
ไม่จนนี่ประเทศไทย เมืองไทย ชาวพุทธ พระสงฆ์ อุบาสกอุบาสิกา แม่ชี ภิกษุณี อืม... เราจึงเราจึง คล้ายกับว่า มีหวังก็ว่าหวังจะว่าหวังก็ว่าได้ ไม่ต้องสิ้นหวังมีหวังอยู่ อย่างน้อยก็คิดถึงพระพุทธเจ้า คิดถึงพระธรรม คิดถึงพระสงฆ์ จะให้ไปบอกตอนนอนในห้องไอซียูก็ไม่ทันนะ ไปตีเกราะ เรียก สวดมนต์ให้ฟัง “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ” คนป่วยก็ยังนอนเฉยอยู่ หลายครั้งหลายรอบเราไปสวดให้คนป่วยนอนอยู่ห้องไอซียูฟัง ตีเกราะ ก๊อก ๆ เรียกก็ยังไม่ตื่นบางที พอตื่นขึ้นมาก็แปล พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าอาศัยพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ข้าพเจ้าจึงพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ โยมเคยใส่บาตรหนอ โยมเคยทำบุญหนอ เคยรับศีลหนอ เคยเห็นพระน๊า... พระเดินมาโยมใส่บาตรเคยทำแล้วน๊า....เรียกแล้วยกมือขึ้นมาไหว้หน่อยๆ ขึ้นมาไหว้มองหน้าเราเห็นหน้าเรานี่หลวงพ่อมาถึงท่านแล้วหลวงพ่อมาเยี่ยม เรียกเอาร้องตะโกนเอา ป่านนั้นก็ไม่ไหวน่ะ (หัวเราะ)
ถ้าเราไม่เริ่มต้นไม่แก้ไขไม่เตรียมตัวเอาไว้ เตรียมตัวก่อนตาย เตรียมใจก่อนตาย เตรียมกายก่อนแต่ง เตรียมน้ำก่อนแล้ง เตรียมเบี้ยก่อนเดิน มีการเตรียมด้วยน่ะ ถ้าไม่เตรียมไม่ได้มันจะพะรุงพะรัง รีบมันเลยอะไรก็ทำไม่เป็น เวลามันทุกข์มันรุ่มร้อนจะทำยังไง เวทนาทุกข์มันใหญ่ เคยว่าไหมเวทนาสักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ว่าแต่ปากใจทำไม่เป็น ไม่เห็นจึงบอกให้ทำเนี่ย เห็นมันสุขเห็นมันทุกข์ ไม่เป็นผู้สุขไม่เป็นผู้ทุกข์ นั่นน่ะทำไว้เดี๋ยวนี้มันดีกว่าชั่วโมงนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ เวลามันหลงเห็นมันหลงหัวเราะความหลงได้ถ้าเห็นน่ะ ถ้าเป็นหัวเราะไม่ออก ถ้าเห็นล่ะ หัวเราะความโกรธได้ แค่นี้ก็โกรธหรือเนี่ย แค่นี้ก็ทุกข์หรือเนี่ย เปราะบางขนาดนี้จะเป็นอะไรได้ เป็นพ่อคนแม่คนได้ยังไง ก็ต้องหัวเราะความโกรธได้ หัวเราะความทุกข์ได้ ถ้าเป็นแล้วหัวเราะไม่ออกมันเป็นตัวเป็นตนไปแล้ว ถ้าเห็นมันคนละอันจึงไม่เปรอะเปื้อนกับมันได้ ปฏิบัติธรรม ประพฤติพรหมจรรย์ก็ทำอย่างนี้ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง นี่คือมันมีแน่นอน สัจธรรมมีแน่นอน มรรคผลนิพพานมีแน่นอนไม่ใช่ ไม่ใช่ล้าสมัย ถ้าเราเปลี่ยนหลงเป็นรู้นี่ไปสู่มรรคสู่ผลก้าวแรก เราก็พูดให้ฟังทุกวัน ๆ แล้วก็พาชวนกันทำ เจริญสติ เอาตัวใครตัวมันสร้างให้กันไม่ได้ ให้เห็นมันหลงเปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง นั่นน่ะมันถูกต้องที่สุดแล้ว อ้าวสมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน