แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราก็มาฝึกตน สอนตน มีสติไปในกาย มีสติไปในใจ เพราะกายเพราะใจเป็นฐาน เป็นดุ้นเป็นก้อน ที่แปรสภาพเป็นอื่นไป ปนเปื้อนไปกับสิ่งต่าง ๆ เป็นพิษเป็นภัยก็มี เป็นประโยชน์ก็มี ในโลกนี้ เราจึงต้องฝึกตนสอนตน มันมีบุญ มันมีบาป มันมีกรรมคนเหล่านี้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มีสวรรค์ มีนรก มีเปรต มีอสูรกาย มีทุกข์ มีสุข เราจึงรู้จักสอนตนเองให้ใช้ชีวิตถูกต้อง โดยเฉพาะวิธีฝึกกรรมฐานเนี่ย มันรวบยอด มันสรุปย่อ กวดวิชา จึงมีสติไปในกาย มันก็ทำดีหลายอย่างแล้ว ละความชั่วทำความดี มีศีลเกิดขึ้น เราจึงมาฝึกหัดเอาให้ชำนิชำนาญ อะไรก็ตามเป็นไปเพื่อการฝึกตน การใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งเรามีหน้าที่โดยตรง เวลานี้กาลนี้ ยิ่งมีชีวิตที่ส่วนตัว ไม่ถูกแบ่ง มาอยู่วัด มาอยู่สถานที่ร่วมกัน มีความคิดอันเดียวกัน เวลานี้ก็ต่างคนต่างขยันหมั่นเพียร อาศัยสิ่งแวดล้อมช่วยบ้าง อาศัยการฝึกตนเอาไปบ้าง ถือโอกาสสอนตนทุกเวลา ไม่ใช่หาโอกาส
โอกาสที่มีสตินั่นมี มีได้ทุกโอกาส ในตัวเรานี้ก็มีอุปกรณ์ที่นำมาให้มีสติได้ อิริยาบถต่าง ๆ ยืน เดินนั่ง นอน คู้เหยียด เคลื่อนไหว ตั้งแต่หยาบถึงละเอียด หายใจ กระพริบตา กลืนน้ำลาย กระดิกนิ้วก็ได้ ถ้าเราเอามาฝึก เอามาเป็นวัสดุอุปกรณ์ฝึกตนให้รู้สึกตัว ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็เป็นอุปกรณ์สร้างความหลงได้ เช่นตาเห็นรูปเกิดความหลง หูได้ยินเสียงเกิดความหลง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจคิดนึก เป็นบ่อเกิดแห่งความหลงได้ ถ้าเราฝึกเข้ามาเป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกได้ ถ้าเราไม่ฝึก ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราฝึกก็ได้ประโยชน์ ความหลงก็ได้ประโยชน์ ให้เกิดความรู้ได้ ความทุกข์ก็ได้ประโยชน์ ให้เกิดความรู้ได้ อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น มันมีกาย มันมีเวทนา มีธาตุสี่ขันธ์ห้า เป็นสิ่งที่ต่อเป็นอันอื่นได้ กายก็เป็นได้หลายอย่าง ถ้าเราไม่ฝึกน่ะ มีกิเลสตัณหาทำชั่วได้ เวทนา เวทนาก็เป็นที่ไปต่อเอาอันอื่น เป็นสุขเป็นทุกข์ เมื่อมีสุขมีทุกข์ เกิดวิชา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ยึดมั่นถือมั่นในเวทนา เวทนาในเวทนา เวทนาล้วน ๆ ไม่เป็นไร ให้มันร้อน เวทนาล้วน ๆ ถ้าเป็นผู้ร้อน เวทนาในเวทนา ในความร้อนเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นเวทนาในเวทนา แล้วก็ยึดมั่นถือมั่น เป็นขันธ์มีอุปทาน เกิดทุกข์เกิดโทษได้ ถ้าเป็นขันธ์ล้วน ๆ มันก็มีประโยชน์ มันเป็นสัญญาณภัย เวทนานี่ก็ไปไกล ไปปล้น ไปจี้ ไปข่มขืน ไปลักไปขโมยได้ ไปบังคับผลักไสทำชั่วได้ ฉิบหายวายวอดได้ เพราะเวทนา ทำให้เป็นทาสของเวทนาได้น็็้
วันที่ 31 ที่ผ่านมา พฤษภา เป็นวันเลิกสูบบุหรี่ทั่วโลก ทำไมจึงมีวันอย่างนี้ขึ้นมา เพราะเวทนา เวทนาก็เป็นทุกข์เป็นโทษ เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศชาติ ต้องซื้อหยูกซื้อยามารักษา เป็นโรคมะเร็ง เป็นโรคปอด เป็นโรคสารพัดอย่าง ในเวทนาที่มันในเวทนา มันเกิดไป แล้วก็ไปติดคนอื่นได้ เช่นคนสูบบุหรี่คนหนึ่ง เราอยู่ใกล้ควันบุหรี่ เราก็สามารถเป็นพิษกับเขาได้
สัญญาคือ มันก็ติด สัญญาคือมันติด มันจุ่มเอา เหมือนผ้าสีขาวไปเอาสีแดง มันเป็นสีแดงได้ ผ้าสีขาวไปเอาสีดำ ก็เป็นสีดำได้ จิตของเราแต่ก่อนมันบริสุทธิ์เหมือนผ้าสีขาว เมื่อมันใกล้สิ่งใดก็ไปติดสิ่งนั้นได้ เป็นจิตที่ปนเปื้อน เปรอะเปื้อนได้ เกิดความโลภความหลงในจิต เกิดความรักความชังในจิต กิเลสตัณหาในจิตได้ เรียกว่าสัญญา
สังขารก็คือขยัน ขยันคิดเรื่องนั้น ขยันปรุง ขยันรับใช้ สังขารตัวนี้เป็นความขยัน เป็นอาชีพไปเลยของสังขาร อยู่นิ่งไม่เป็น ปรุงตะพึดตะพือ จากการปรุงการเกิดจากสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน มันก็ยังขยันปรุง บางทีมันปรุงขึ้นมาเป็นทุกข์ มันก็ยังปรุงให้เป็นทุกข์อยู่ มันเพราะมันเป็นอาชีพของเขา ปรุงให้สุข ปรุงให้ทุกข์ หลงไปในความสุข หลงในความทุกข์ ความสุขความทุกข์เป็นสังขาร ไม่เที่ยง ก็ยังปรุงอยู่ คิดขึ้นมาแล้ว ปรุงขึ้นมาแล้ว ทำลงไปแล้ว ก็ยังไม่เข็ดไม่หลาบ เพราะสังขารมันมีอาชีพอย่างนั้น
วิญญาณคือติดต่อ เมื่อไปจุ่ม สัญญาคือจุ่ม วิญญาณก็ติด เมื่อมันติดก็เป็นเลยไปน่ะ วิญญาณแห่งความเป็นเปรต โลภไม่รู้จักอิ่ม อยากได้ความคิด บางทีร่างกายมันไม่อยาก มันหิว แต่กิเลสมันอยาก ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเบื่อ เนี่ยวิญญาณ มันติด มันมีอย่างนั้น มันมีรูป มีนาม มีกาย มีใจ เราจึงมีวิธีปฏิบัติ มีความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสติ มีสัมปชัญญะ ถอนความพอใจ และความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้ เวทนาในเวทนา จิตในจิต ในจิตนี้มันก็มีจิตอีกซ้อนจิต จิตเฉยๆ คิดเฉยๆ มันรู้อะไรได้ ไม่เป็นอะไร แต่ความรู้ที่มันเกิดจากจิต มันไปไกลเหมือนกัน เป็นภพภูมิต่าง ๆ เป็นบุญเป็นบาปได้ ถ้าทำไม่เป็นน่ะ มันมักจะเป็นบาป ถ้าไม่ฝึกตนน่ะ มันง่ายที่จะเป็นบาป การฝึกตนนั้นก็คือ ทวนกระแสสักหน่อย เราก็ทวนอยู่เรื่อย มันหลง รู้ เนี่ยทวนไปแล้ว อะไรที่มันเกิดขึ้น เป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้น รู้ อย่างเนี่ยเรียกว่าฝึก ว่ารู้ มันไม่เป็น มันก็ชำนาญเรื่องนี้ มันเข้าออก มันง่ายที่จะฝึก เหมือนบ้านใกล้ทางเข้า
ออกได้สะดวก ถ้ามันอยู่ไกลหน่อยก็ลำบาก เข้าถึงความรู้ได้ยาก ความหลงขวางกั้นเอาไว้ มีสติ มีสัมปชัญญะเนี่ย เพื่อยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือมีอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้ไม่เกิดขึ้นอีก มันทำได้อย่างเนี่ย การฝึกได้อย่างนี้ มันทำได้ ฝึกได้
ชีวิตของเรานี่มันเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เนี่ยเป็นสัตว์ประเสริฐ ฝึกได้ สอนได้อย่างนี้ แต่มันก็มีหลักสูตรอยู่อย่างนี้ มีไหมสติ มีไหมความหลง ความหลงกับความรู้สึกตัวเนี่ย มันมีอยู่แล้ว เรียกว่ากุศล อกุศล กุศลคือความรู้สึกตัว อกุศลคือความหลง บาปคือความไม่รู้ บุญคือความรู้ เพราะไม่รู้มันมืด เหมือนกลางคืนมันมืด บุญมันรู้ มันสว่าง เห็นรูปเห็นนาม เห็นความรู้ เห็นความหลง เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ เหมือนกับเราเปิดสวิทซ์ไฟ รู้แจ้งแล้ว อันเนี่ย มีบุญ มีบาป มันมีศาสนา ศาสนาคือตัวเรานี้ แม้แต่เป็นคำสอน ศาสนาคือคำสอน ก็สอนเรานี่ ไม่มีไว้ในตำรา เอามาสอนเรา ศาสนาคือกาย คือวาจา คือใจ มีสิ่งอาศัย ร่างกายมีศาสนา เวลามันหิว มันก็กินข้าว เวลามันร้อน มันก็อาบน้ำ มันอาศัย เวลามันหนาว มันก็ห่มผ้า มันปวดหนักปวดเบา ก็อาศัย มันก็หลุดออกพ้นออก อันนั้นเป็นธรรมชาติ ศาสนาที่ภายในจิตใจนี้ มันหิวน่ะ มันจะเป็นสุข มันไม่เป็นทุกข์ อิ่มมันเป็นสุข ไม่ใช่อย่างนั้นศาสนา พุทธศาสนาคือตัวปัญญา ที่มันไปรู้ รู้รูป รู้นาม คือพุทธศาสนา คือตัวปัญญา เมื่อเห็น รูปเห็นนาม มันเป็นปัญญา เรียกว่าศาสนา พุทธศาสนา
พุทธศาสนาเป็นปัญญา พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ปัญญาแห่งความกำจัดทุกข์ พระธรรมเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ พระสงฆ์เป็นเครื่องกำจัดทุกข์ ศาสนานี้มันเป็นเครื่องกำจัดทุกข์ เวลามันทุกข์ มันไม่ทุกข์น่ะ เวลามันโกรธ มันไม่โกรธ สิ่งไหนที่เป็นทุกข์ เป็นหน้าที่ของพระพุทธศาสนา ถ้ายังทุกข์อยู่ โกรธอยู่ แม้เราจะว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ก็ไม่มีประโยชน์ เวลามันทุกข์ รู้สึกตัว เปลี่ยนความทุกข์เป็นความรู้สึกตัวนี้ เรียกว่ามีพุทธศาสนาแล้ว ศาสนาคือคนเป็นคนดีแล้ว ไม่เบียดเบียนตนเองแล้ว ไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้ว อันนี้คือพุทธศาสนา ถ้ายังเบียดเบียนตนเองอยู่ ยังเบียดเบียนคนอื่นอยู่ ไม่มีพุทธศาสนาเลย ศาสนาเอาไว้ที่ไหน เอาศาสนาไว้ที่วัด เราอยู่บ้าน สร้างวัดใหญ่โต เหลืองอร่ามเลื่อมระยิบระยับ แต่คนยังไม่ดีเลย ศาสนาเจริญหรือยัง ยังไม่เจริญ ศาสนาคือพระสงฆ์ สามเณร เหลืองอร่ามเต็มวัดเต็มวา พระสงฆ์ แม่ชี ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานุ่งเครื่องนุ่งขาวเพียบ เจริญหรือยัง ยัง
ศาสนาคือพิธีกรรมต่าง ๆ สวดมนต์ไหว้พระเก่ง เป็นพระสวด เป็นพระเสก เก่ง มีพิสดาร เก่ง ไปบิณฑบาตบนสวรรค์ เก่ง แต่พระพุทธเจ้าได้ คนอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นตัวแทนไป เก่ง อ่า..คือทำพิธีกรรมเก่ง ปลุกเสก เสกดิน เสกโลหะเป็นพระได้ เก่ง ศักดิ์สิทธิ์ ปืนยิงไม่ออก มีดฟันไม่เข้า เก่ง น่ะอันนั้นแหละศาสนา พระเครื่องแขวนค่อยห้อยคอ ตะกรุด มนต์ยันต์ ปลุกเสกสันสะบั้น ตะกรุด พะรุงพะรัง ขี้ขลาดตาขาว กลัว แล้วก็ เวลาอะไรก็ฆ่ากัน นอนตายก่ายเครื่องรางกอง ธรรมะต่างหากเป็นพระพุทธศาสนาตัวจริง มีธรรมจะมีใครมาฆ่า เป็นคนดีน่ะ ถ้าขาดศีลขาดธรรม ก็ตายเหมือนกัน ถูกฆ่าตาย ยิงไม่เข้าดีไหม มีดฟันไม่เข้าดีไหม คนก็แสวงหาอย่างนั้น มันดีกว่านั้น ถ้ามีพุทธศาสนา ทำตัวเองจนให้เขาไม่ได้ยิง ทำตัวเองจนเขาไม่ได้ฆ่า เขารัก เขาเมตตา เพราะคนเป็นคนดี อันนี้ดีที่สุด ศาสนาอยู่ที่ไหนล่ะ ศาสนาอยู่ที่คน คนเป็นคนดี
นี่ เห็นอย่างนี้ แต่ก่อนเราก็มีคาถาเยอะแยะเลย เป็นหมอไสยศาสตร์ มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่เทียนกลับไปบ้าน เพื่อนๆ ครูอาจารย์นักไสยศาสตร์ด้วยกันเห็นเราไป ชวนเราไปปลุกเสก ว่าปีนี้จะออกพระเครื่องรุ่นนั้นรุ่นนี้ นิมนต์มาปลุกให้สัก 7 วันด้วย จะออกพระเครื่องในพรรษา เราก็พูดออกไป หลุดออกไปเลย โอ้ เรานึกว่าคนในโลกนี้โง่เหมือนเราหรือ เรานึกว่าคนเราในโลกนี้โง่เหมือนเราหรือ คนฉลาดก็มีน๊า.. ไม่ต้องไปปลุกเสก เขาก็ไม่พอใจ แต่ก่อนเราก็เอา แต่บัดนี้เราไม่ ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เรามาเอาธรรมะ ไม่เอาพระห้อยคอ ศาสนาเจริญ คือคนเราเป็นคนดีเนี่ย ตรงนี้น่ะ นั่นจึงไม่ใช่ปลุกเสก ไม่ใช่อะไรต่าง ๆ
น่ะเราปฏิบัติธรรมไป มันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ อย่างน้อยเอาชนะความหลง เอาชนะความโกรธได้บ้าง ความโลภ โกรธ หลง ลดน้อยลงบ้าง เบาบางลง เหมือนพระสกิทาคามี ทำลายตัวนี้ลงได้ ถ้าไม่ทำลายตัวนี้ลงน่ะ มันจะเป็นพุทธศาสนาไม่ได้ มันจะต้องทำลายความโลภ โกรธ หลง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังเป็นของหยาบอยู่ ยังเป็นของหยาบอยู่ ละเอียดกว่านั้นคืออนุสัย ที่มันเคยชินน่ะ หัดนิสัยมา ง่ายที่จะรู้ ง่ายที่จะปล่อยวาง เป็นนิสัย หัดให้มันได้ อะไรเกิดขึ้นรู้ ง่ายๆ อย่าเอ๊ะใจ ทำไม ทำไมจึงทำอย่างนั้น ทำไมจึงพูดอย่างนี้ ทำไมจึงทำกับเราอย่างนั้น อันนั้นมันไม่ง่าย มันยากไปแล้ว ถ้าเปลี่ยนนิสัยตัวนี้ได้น่ะ มันง่าย ง่ายที่รู้ ง่ายที่จะไม่เบียดเบียนตนเอง เนี่ย เรามาศึกษาตัวนี้ สอนตนน่ะ ได้ประโยชน์ ยกมือไหว้ตนเองได้ ถ้ายกมือไหว้ตนเองได้ ก็ถือว่าใช้ได้
สมัยปี 2514 หลวงตาไปสวนโมกข์ อาจารย์พุทธทาส ไปกราบท่าน “มาจากไหน มาจากไหน”น่ะ ภาษาคนใต้ มาจากชัยภูมิ อ้อ พระชัยภูมิมาทำลายแผนงานผมเสียหายเลย อ้าว ทำอะไรละน้า.. เราไม่ เราก็ไม่สะดุ้งอะไร เราก็เป็นคนชัยภูมิเหมือนกัน พระชัยภูมิมาทำแผนผมพังเลย พูดแล้วหัวเราะ หึ ๆ ๆ ทีแรกวัดโมกข์เนี่ย ไม่รับพระไม่มีเปรียญน่ะ รับตั้งแต่เปรียญ3 ขึ้นไป ถ้าไม่มีเปรียญ ที่นี่ไม่รับ พระชัยภูมิมาทำลายแผนนี้เสร็จเลย แล้วมาดื้อ มาขออยู่ มาแล้ว ก็จะเข้าพรรษาแล้ว จะกลับไปก็ไม่ไหวแล้ว เงินก็หมดแล้ว ขออยู่ มันจะอยู่อย่างไร กุฏิเต็มหมด เต็มผมก็อยู่ตามโคนไม้ ต้นอะไรไปหรอก ปักกลดผมก็อยู่ ไม่ได้ ที่นี่มันฝนชุก งูพิษก็เยอะ ช่างหัวมัน ฝนไม่หายก็ไปไม่ได้แล้ว ต้องขออยู่ที่นี่ก่อน ร่มไม้ชายคาที่ไหน พอจะได้อยู่ก็อยู่ไป แต่ก่อนพระอยู่นั่นมีแต่พระเปรียญ มีหลวงตาพระชัยภูมินี่ ไม่เป็นเปรียญกับเขา มันไม่ได้ ที่นี่มีระเบียบ มันรับแต่พระมหาเปรียญ ท่านได้เปรียญไหม ไม่ได้อะไรเลย ก็เลยจำเป็นให้อยู่ พออยู่ไปอยู่มา อ้าว มันดีกว่าพระเปรียญอีกสิ (หัวเราะ) อาจารย์พุทธทาสฉีกระเบียบนี้ทิ้งเลย ไม่รับ เอา เอาทุกรูป แต่ก่อนรับเฉพาะมหาเปรียญน่ะ อาจารย์ก็หัวเราะ แล้วก็ถามเราว่า สวดปาติโมกข์จบไหม? ไม่จบ ท่องได้ไหม? ไม่ได้ ไม่ได้ ได้ไม่หมด สวดธัมมจัก ได้ไหม? ได้ สูบบุหรี่ไหม? ไม่สูบ
อืม ถ้าท่องปาติโมกข์ได้ สามารถยกมือไหว้ตัวเองได้ เลิกสูบบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ สวดธัมมจักได้ ก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ มีความขยันพอสมควรน่ะ เอาให้อีกน่ะ เอาให้สวดปาติโมกข์ให้ได้ จะมีเหลี่ยมไหว้ตนเองได้ อ้าวทำไมไม่ถามว่า มีสติไหม ทำไมไม่ว่า ที่นี่เราจะต่อยอดสักหน่อย มีสติไหม ทำลายความโลภ โกรธ หลง ได้บ้างไหม น่าจะถามแบบนั้นบ้างน่ะ (หัวเราะ) เหมือนกับมุ่งไปตรงนี้จริง ๆ
มันเหมือนกับปลอกกาบกล้วย ปฏิบัติธรรมเนี่ย เห็นรูปเห็นนามนี่ รู้ต้นกล้วย จะเอาหยวกมัน จะเอาแกนมันมาแกงเลียง ต้องปลอกกาบออกเสียก่อน จึงจะเอาหยวกมันได้ ภาษาเขาว่า แกนมัน ปลอกออก เห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม เห็นรูปทุกข์ นามทุกข์ รูปโรค โอ้ย ปลอก ๆ ๆ ๆ ปลอกออก ปลอกออก ปลอกออก อ้าว ทำลายอนุสัยได้บ้าง สังโยชน์ได้บ้าง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้บ้าง ไม่มีตนในกาย สักกายทิฏฐิ ไม่มีตนในจิต ไม่มีตนในเวทนา ไม่มีตนในสัญญา ไม่มีตนในสังขาร ไม่มีตนในวิญญาณเลย เห็นแต่สักแต่ว่า สักแต่ว่า ทำไมจะทำลายไม่ได้สักกายทิฏฐิเนี่ย แต่ก่อนมันมีตนเต็มไปหมดเลย ร้อนคือกู หนาวคือกู สุขทุกข์คือกู กูผิด กูถูก กูได้ กูเสีย กูแพ้ กูชนะ พอมาทำลายตัวนี้ เห็นรูปเห็นนามตัวนี้แล้ว โอ้ยไม่มีตนในกาย สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ไม่สงสัย เนี่ยที่สุดเลย พอทำแบบนี้ มันเป็นอย่างนี้ขึ้นมา แต่ก่อนก็ติดอะไรเยอะแยะ
วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในการปฏิบัติ สีลัพพตปรามาส ไม่ยึดมั่นถือมั่น เอาศักดิ์สิทธิ์ เอาอะไรจริงจัง ความรักจริงจัง ความโกรธจริงจัง ความอะไรต่าง ๆ จริงจังกับสิ่งต่าง ๆ รู้จักปล่อย รู้จักวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สัพเพ ธัมมา อะไร สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทำได้ ทำดีก็วางได้ ไม่ติดดี ความชั่ววางได้ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลย เป็นพระมาลัยไม่มีอะไรเลย ทัวร์สวรรค์ได้ หา ทัวร์นรกก็ได้ สุขเป็นอย่างนี้ ทุกข์เป็นอย่างนี้ไม่มีใครหลอกเราได้ ใครจะมาคุยเรื่องสุขเรื่องทุกข์ให้เราฟัง ไม่ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ มันทัวร์สวรรค์ทัวร์นรกได้ เนี่ยไม่ยึดมั่นถือมั่น
ตอนหนึ่ง ไปสอนธรรมที่หาดใหญ่ มันเป็นพวกอิสลามแถวนั้น แล้วก็ อิจฉาเรารึเปล่าก็ไม่รู้ มา เราก็นั่งอยู่ เขายืนอยู่ คุณเก่งรึ? ถ้าเก่งจริง พาเราไปทัวร์สวรรค์นิพพานได้มั้ย เขาว่าอย่างนี้น่ะ(หัวเราะ) ขอจับมือ เอาจริงไหม เราก็กล้าเหมือนกันน่ะ เดินไปขอมือ ขอจับมือ คุณจะเอาจริงไหม เอาจริงอย่างเนี่ย เอาจริงไหม ถ้าเอาจริงก็มาสิ เขาก็ยอมมา หงอยๆไป จะไปติดอะไร สีลัพพตปรามาสทำลายลงได้บ้าง ปลอกเปลือกบ้าง ปลอกเปลือกได้บ้าง เห็นกระแสในการทิศทางบ้าง ไม่มืดมน ดีใจขึ้นมา รู้จักรูป รู้จักนามเนี่ย เห็นทิศทางจริง ๆ น่ะ ได้หลักสูตร แต่ก่อนมันไม่ ดีใจอ่ะ ไม่ใช่ ใจ ใจดีน่ะ ไม่ใช่ดีใจน่ะ ใจมันดี มันรู้ โอ้ยใจดีนี่คือบุญแล้ว บุญคือใจดีน่ะ บาปคือใจร้าย โอ้บาปมันคือความหลงนี่ เพราะหลงมันจึงโกรธ เพราะหลงมันจึงทุกข์ เพราะหลงมันจึงเศร้าหมอง ถ้าใจดี มันไม่เป็นไร ไม่ใช่ดีใจน่ะ ดีใจยังใช้ไม่ได้น่ะ บางทีได้ด่าเขาก็ดีใจน่ะ อันใจดีมันด่าไม่เป็น มันเบียดเบียนใครไม่เป็น
ดีใจนี่ ได้เหยียบเขาก็ดีใจ โอ้ยด่ามัน มันก็ดีใจแล้วล่ะ บางทีกูได้ฆ่ามันกูก็ยอมแล้ว ไปสอนเณรภาคใต้ ภาคฤดูร้อน แถวสงขลารอบทะเลสาบสงขลา เณรทะเลาะกัน ต้องออกมาห้าม ขอโทษขออภัยกันแล้ว ต่างคนต่างอภัยกันแล้ว ไม่เอา จะเอายังไงอีก เขาก็ขออภัยแล้ว เขายอมแล้ว ถ้าให้ผมต่อยมันซะหน่อย ผมจะดีใจ ให้ผมได้ตีมันสักหน่อยจึงจะดีใจ ได้ตีกันก็ดีใจเหรอ มันไม่ใช่ เณรเอ๋ย มันเจ็บ ไปตีกันทำไม มันเป็นบาป ให้อภัยกันซะ ก็พูดจนลงได้ ขนาดให้ตีมันสักหน่อย จะดีใจหรอก บางทีดีใจน่ะ มันได้ตีกันแล้ว ตีมันสักหน่อยผมก็ดีใจหรอก ว่างั้น ไม่ต้องไปตีกัน ใจดี ตีกันไม่ลง นี่เป็นอย่างนี้ นี่บุญ นี่บาป เห็นแน่นอน เห็นบุญ เห็นบาป แน่นอนเลย เห็นศาสนา เห็นพุทธศาสนา เห็นศีล มีแล้วจึงรู้ โอ้ยเราอยู่กับศีลมาตั้งหลายวัน โอ้ย.ศีลคือปกตินี่เอง มีสติก็สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปาติโมกข์ ไม่พุ่งพรวด ไม่ฟุ้งซ่าน โอ้เป็นศีลนี่ ศีลนี่คือสมาธิ คือมันมั่นคงชัดเจนแม่นยำ ชีวิตนี่ งดงาม สมาธิไม่หวั่นไหวเลยน่ะ ปัญญาก็รู้จักเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยน มาเท่าไหร่เปลี่ยนเป็นดีหมด
เชื่อความทุกข์นี่ เหมือนน้ำมันกับน้ำ น้ำมันกับน้ำนี่เราไปเทให้มันปนกัน มันไม่ยอมปนกันหรอก น้ำมันจะต้องอยู่เหนือน้ำตลอดเวลา ปัญญาเนี่ยมันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับน้ำมันเหนือน้ำ ใจจะทำให้น้ำมันปนลงไปในน้ำ มันไม่ยอมปน เพราะปัญญามันรู้จักผิดถูก มันไม่เอาจริง ๆ ผิด มันถือว่าทุกข์เนี่ย โกรธมันสักหน่อยไหมล่ะ น่าโกรธน่ะ คนนี้น่ะ โอ้ยข่มขืนตัวเอง แม้แต่คิดเป็นมันก็ไม่ไป มันไม่ยอมไป มันไม่เอา ที่ว่าความทุกข์ โอ้ยเรามีศีลแล้วจึงรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา คือภาวะอันนี้นี่เอง บุญคือภาวะอันนี้ ศาสนาคือภาวะอย่างนี้ พุทธศาสนาคือรู้ คือตื่น ไม่หลับ ไม่ไหล เพราะอานิสงส์ของการฝึกตนมันมีกระแสไปอย่างนี้น่ะ
หลวงพ่อเทียนฉลาดแท้ มาสอนให้คนรู้รูป รู้นามเนี่ย ให้รู้จักตนเองเนี่ย รู้จักคิดว่า เอ้า ครูคนสุดท้ายของเรา หลวงพ่อเทียนเนี่ย ตั้งใจปฏิบัติไป นี่คือไม่ต้องไปเชื่อหลวงพ่อ เชื่อเราเอง เราทำไปเกิดอย่างนี้ขึ้นมา มันเกิดอย่างนี้ขี้นมา ไม่ใช่ไปคิดเห็น มันพบเห็นเข้า ไม่ใช่คิดเอา มันพบเห็น มันต่อหน้าต่อตาอย่างนี้น่ะ เวลามันหลง รู้ได้มั้ย หัดตรงนี้ ถ้ามันไม่มีอะไร ก็รู้เรื่อยไป ความรู้ไม่ได้หนักหนาอะไร ไม่ได้แบกได้หาบอะไร ยิ่งรู้เท่าไหร่ยิ่งเบา นอนอยู่ก็รู้ได้ ทำอะไรก็รู้ได้ ยิ่งเรามีคนแก่มีอายุเนี่ย สนุก ปฏิบัติน่ะ อ้างได้ ไม่มีใครคิดจะใช้คนแก่ อย่างแม่ออกแก่ ๆ แม่ออกแม่ใหญ่ ไปทำข้าวให้หน่อย ไม่มีใครกล้าใช้เราหรอก มีแต่เขาให้น่ะ อย่าไปถือคนแก่เลย เป็นผู้มีอายุแล้ว เขาไม่ถือ เขาเคารพคนแก่ ยิ่งป่วยเหมือนหลวงตา เขาก็ยิ่งไม่รอใช้อะไรหรอก อันนี้น่ะเรามีสิทธิ 100% สบายที่สุดเลย แก่มาเนี่ย มือแดงแจ๋วเลย สมัยกำลังมาก ๆ เนี่ย มือจับจอบจับเสียม เท้ามันแตก เป็นเกล็ดเป็นกลาก ทำวัตรเสร็จ ลงวัตรเสร็จแล้ว ไปแบก ไปหาบต้นไม้ ถ้าหาบตอนกลางวัน กลัวพระเณรจะเห็น หาบกลางคืน ไปปลูก (หัวเราะ) ลุยน้ำค้าง น้ำฝน น้ำค้าง ฝ่าดงพงไพรไป แตกเป็นเกล็ดเป็นกลาก อันนี้เยี่ยงคนร่อนเร่ เฮ้อ...แก่มันก็ดี น๊า.. สนุกแก่ สนุกเจ็บเหมือนกันเน้อ ไม่มีหรอกทุกข์น่ะ มาเถิดพวกเรา คนไทย ประเทศไทย มีวัดวาอาราม มีพระสงฆ์ มีอุบาสก มีอุบาสิกา มีพุทธศาสนาประจำชาติ มีคำสั่งคำสอน เชิญชวนมาแล้ว มาเถอะ ออกโบรชัวร์ วัดป่าสุคะโตปฏิบัติธรรมเข้ม 40 วัน ประกาศไปแล้ว มาแล้วก็อย่าคิดถึงแต่บ้าน ให้ใช้ชีวิตไม่มีอะไร ไม่มีอะไร อย่าปลิโพธเกินไป
อาวาสปลิโพธ พระสงฆ์ก็ห่วงแต่วัด แม่ชีก็ห่วงแต่วัด อาวาสปลิโพธ ญาติปลิโพธ ห่วงอาจารย์ ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงลูกศิษย์ลูกหา บางทีมันก็เป็นอุปสรรคเหมือนกันน่ะ อย่างพระปิงคิยะน่ะ มานพ 16 คน ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้า อาจารย์ให้ไปถามปัญหาพระพุทธเจ้า มอบกันไป 16 คน ตั้งคำถามให้คนละปัญหา แข่งกันลัทธิสมัยก่อนครูทั้งหก มีมานพคนหนึ่ง ไปฟังพระพุทธเจ้าตอบปัญหา มานพแต่ละคนถามไป พระพุทธเจ้าก็ถามตอบไป ตอบไป ๆ ๆ มีมานพคนหนึ่ง อาจจะเป็นปิงคิยะมานพ หรืออะไรก็ไม่รู้ ขออภัย คิดถึงลุงตัวเอง ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่สอนอยู่ที่โน่น เป็นลุง โอ้ย ...อยากให้ลุงมาฟังธรรมบ้าง.... เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ตอนไหน เรื่องใด คิดถึงแต่ลุง ส่วนมานพ 15 คนนั่นน่ะ ตั้งใจฟัง ตามคำสอนไปเรื่อย เกิดบรรลุธรรมทั้งหมด 15 คน เหลือมานพคนเดียวนี่ห่วงแต่ลุงตัวเอง เหมือนโยมน่ะ ห่วงแต่หลาน ห่วงแต่ครอบครัว ห่วงแต่วัดวาอาราม เลยไม่บรรลุธรรมกับเขา เป็นห่วงมันก็ดีอยู่หรอก แต่มันเป็นปลิโพธน่ะ ดูดี ๆ มันไม่ห่วงเฉพาะวันนี้ มันห่วงไปจนตาย จนตายไปก็ยังตายอยู่ในห่วง เป็นงูเหลือมเฝ้าสมบัติไปน่ะ ตายเป็นอึ่ง เห็นไหม อึ่งน่ะ ห่วงไร่ ห่วงนา
ฟังนิทานมั้ย พี่น้องสองคนได้รับมรดก พ่อแบ่งนาให้ ไปแบ่งนาให้ แบ่งนาก็ เอาคนนี้เอาจากนี้ไปนี้ จอมปลวกนี้ ห่างจอมปลวกนี้ไปวาหนึ่ง อันนั้นให้น้อง ว่างั้นเถอะแบ่งกันไป พอฝนตกลงมา ไปไปห่วงนาของตัวเอง คิดแต่เรื่องนา ทำอย่างไรจึงจะได้อีกสักวาสักศอก พ่อบอกให้เอาจากจอมปลวกไปวาหนึ่ง น่าจะกว่าสักหน่อยก็ดีน่ะ คิดก็ไปปันคันนา เป็นห่วงน่ะ ห่วงแต่นา แต่ไร่ แต่สวน พอกลับบ้าน ตัวน้องชายก็ อ้าวพี่ พ่อบอกให้ห่างจากนี่มานี่วาหนึ่งน่ะ มันกว่าน่ะ มันวากว่าน่ะ วาเดียว ไม่ใช่มันกว่าน่ะ มันโลภ ตัวน้องชายว่ามันวาเดียว วาหนึ่งนะเนี่ย วาหนึ่ง วากว่า เถียงกันไปเถียงกันมา ฆ่ากันตาย มันห่วง ไปเป็นอึ่งอ่างเฝ้านา ได้ยินไหมเวลาฝนตก มันเถียงกันอยู่ วาหนึ่ง วากว่า
ได้ยินไหม บ้านนอกขอนแก่น มีอึ่งอ่างนะ เอามาปล่อยก็ไม่ร้องให้ฟังสักตัวเลย งูกินหมดนินา ซื้อมาจากทรัพย์ใหญ่นะ เอามาตั้งถุงกระสอบปุ๋ยหนึ่ง ซื้ออึ่งมาน่ะ มาขุดสระให้ เอาทรายมาใส่ให้ เอาไปปล่อยให้มัน ให้มันม้วนทรายอยู่นั่น ถึงหน้าฝนตรงนี้ ที่ใกล้ๆ กุฏิอาจารย์โน้ต แต่ก่อนมีหนองน้ำอยู่นั่น เอาทรายใส่อย่างดีเอาไปปล่อยอย่างดี เป็นกระสอบทราย กระสอบปุ๋ยหนึ่งน่ะ ซื้อมา ไม่มีร้องสักตัวเลย อยากฟังมัน วาหนึ่ง วากว่า เอามาสอนแม่ชี ทะเลาะกันแบบนี้ อย่าห่วงอะไรเกินไป ปลิโพธกังวลอุปสรรคต่อการบรรลุธรรมน่ะ