แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมกันสักหน่อย ฟังธรรมวันละนิดจิตแจ่มใส เราถือว่าเราเป็นนักบวชซะ แม้แต่เป็นเสื้อผ้านุ่มห่มอะไรก็ตาม แต่นักบวชภาษาธรรมะ คือเว้นความชั่ว ทำความดีให้เป็นอาชีพซะหน่อย อาชีพนักบวช ความชั่วมันเกิดขึ้นมาให้เราเว้นอยู่เรื่อย ขึ้นทางกายทางวาจา ทางใจ ให้เราละความชั่ว เพราะละได้ทุกโอกาส อันความชั่วมันเกิดทางกายทางวาจา ทางใจนี้ เช่น ความหลง เราก็ละความหลงได้ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้ดี วิชาที่จะละความชั่ว ทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์คือกรรมฐาน กรรมฐานคือการกระทำ ให้ความถูกมันเกิดขึ้นบ่อย ๆ ถ้าไม่ให้ความถูกมันเกิดขึ้น ความชั่วก็ไม่ได้ละอะไร เพราะไม่มีเครื่องมือ เครื่องมือที่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นเรียกว่า คุณธรรมนี่ มันไม่ใช่วัตถุ ไม่มีใครเห็น นอกจากตัวเราเอง
ไม่เหมือนเราสร้างบ้านสร้างเรือน ทำให้มันเกิดขึ้นมา อาศัยวัตถุ อาศัยทรัพย์สินเงินทอง อาศัยเรี่ยวแรง หลายผู้หลายคนร่วมด้วยช่วยกัน เหมือนกับหอไตรนี้ เราก็ต้องสร้างขึ้นมา ตั้งชื่อให้เป็นหอไตร มันก็ใช้ได้ แต่ก่อนนี้ลานหินโค้ง มีแต่ป่าพง ป่าหญ้าคา เราก็สร้างป่าขึ้นมา สร้างต้นไม้ขึ้นมา โดยการกระทำ ปลูกต้นยาง นาต้นตะเคียนทอง ต้นพยอม ต้นอะไรเยอะแยะขึ้นมา หญ้าคาก็หมดไป ป่าพงก็หมดไป ก็เกิดเป็นป่าขึ้นมา สิ่งแวดล้อมก็ดี ไฟก็ไม่ได้ไหม้ ไม่มีเชื้อให้ไฟไหม้ สิ่งแวดล้อมก็มีเหตุเกิดขึ้นมา ได้กินด้วย เพราะการกระทำของเรา
ชีวิตของเราให้เป็นอาชีพสักอย่าง อาชีพธรรมะ เนี่ย มันปฏิเสธไม่ได้ เราก็มีอาชีพที่ทำกันอยู่แล้ว นักศึกษาก็เป็นอาชีพการศึกษา ตื่นขึ้นมา ก็ตั้งใจจะไปเรียนหนังสือ เรียนหนังสือก็ตั้งใจจะกลับบ้าน ทำการบ้านของตนเป็นอาชีพ เรียนจนจบจนเป็นแพทย์ เป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นครูอาจารย์ ตำรวจทหาร สูงสุดสำเร็จจบลงไป ประกอบอาชีพการงานได้สะดวกสบาย อาชีพชาวไร่ตื่นขึ้นมาก็จะไปทำไร่ ปลูกมันปลูกอ้อย ให้ต้นอ้อยมันเกิดขึ้นจากมือของเรา ให้ต้นมัน มันเกิดขึ้นจากมือของเรา อาชีพชาวนาก็ตื่นขึ้นมา ก็จะไปทำนา ให้ต้นข้าวมันเกิดขึ้น เต็มทุ่งเต็มพื้นที่ อะไรก็ตาม มันต้องเกิดจากการกระทำ ไม่ใช่เลื่อนลอยชีวิตเรานี่ ลำดับลำนำชีวิตนั่นอาชีพนั่นจึงจะสำเร็จ
การปฏิบัติธรรมนี่ก็เหมือนกัน ต้องลำดับลำนำ ไม่ใช่ทำแบบเล่น ๆ สมัครเล่นไม่ใช่ ให้มีการกระทำเจตนาลงไป สร้างความรู้สึกตัวลงไป การสร้างความรู้สึกตัว ก็อย่าไปคิดว่ามันยาก เอาใจคิดว่ามันยาก เอาใจคิดว่ามันง่าย เอาใจคิดว่าทำได้ เอาใจคิดว่าทำไม่ได้ เฉลยไปอย่างนั้นมันไม่ใช่ ต้องเอาการกระทำบุกเบิก ไม่ต้องใช้เหตุใช้ผลอันใด ไม่เหมือนเราทำนาทำไร่ ต้องวางแผนจ้างไถรถไถ มาไถ ต้องวางแผนหาซื้อพันธุ์อ้อย พันธุ์มัน ฝนตกฝนแล้งก็ต้องอาศัยสิ่งอื่น ก็ยังทำได้ อันนี่การกระทำการเจริญสติกรรมฐานนี่ ไม่ต้องอาศัยอะไร มันมีพร้อมอยู่แล้วกับตัวเราน่ะ แทนที่จะมั่นใจในการทำกรรมฐานนี่ ไม่ใช่เราทำคนเดียว มาคิดค้นขึ้นมา มีบรมครูพระศาสนา เหล่าพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ มันก็อุ่นใจ
อ้าวหลวงพ่อเทียน เห็นตัวหลวงพ่อเทียนอยู่ เราก็สอนเหมือนกัน ทำเหมือนหลวงพ่อเทียนบอก เพราะว่าเสีย หลวงพ่อเทียนก็สอนเรา ให้เราทำเหมือนท่าน นี่ก็มีตัวมีตน เราก็ทำ ไม่ใช่เราเพ้อฝันอะไร เราก็ทำอยู่ เวลาเช้าหลวงพ่อเทียนมาพาทำวัตรสวดมนต์ เราก็มา หลวงพ่อเทียนก็ทำวัตรสวดมนต์จบ หลวงพ่อเทียนก็เทศน์ให้เราฟัง เราก็ฟัง เราก็รู้เรื่อง เพราะหลวงพ่อเทียนพูดเรื่องการกระทำของเรา เราก็ สิ่งที่เราทำก็เป็นเรื่องของหลวงพ่อเทียนพูด จะเอาอย่างไงพวกเรา ไปอ้อนวอนที่ตรงไหนกัน ไปรออะไร การกระทำแบบนี้ การรู้สึกตัวแบบนี้ การหลงแบบนี้ เกิดขึ้นกับเราทุกโอกาส ไม่มีกาล ไม่มีเวลา มันจะเกิดความหลงขึ้นมาเมื่อใด มันก็ไม่บอกหรอก เหมือนฝนตกฟ้าร้อง อันนั้นมันบอกเรา แต่ว่าความหลงไม่บอกเรา ความรู้สึกตัวก็ไม่บอกเรา ไม่ตะโกน ไม่มีเสียงอะไร มันอยู่กับตัวเรา มันดังก้องอยู่กับตัวเรา เราก็รู้ขึ้นมา ไม่มีกาล ไม่มีเวลาเรียกว่า อกาลิกธรรม
อกาลิกธรรมนี้ เป็นของวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์อื่นใดเลย ไม่ใช่วัตถุอะไรไปพิสูจน์น่ะ มันหลงหรือเปล่า เอาอะไรไปวัด ไม่มี ไม่มีเครื่องวัด เป็นสมมติเป็นปรมัตถ์ในตัวเราอยู่แล้ว จะเอาอะไรมาต่อรองกับตัวเราเล่า เราต้องศึกษาดูดี ๆ ไปเอาอะไรมาต่อรอง ไปเอาอะไรมาอ้าง เอาความหนุ่มความแก่ เอาเพศเอาวัยหรือมาอ้าง เอาลัทธินิกาย เอาจริตนิสัยมาอ้างไม่ใช่ มันอยู่กับเราแท้ ๆ ให้เราดูดี ๆ มาสร้างตัวรู้ขึ้นมา แล้วก็มาบอกกันดู มาบอกกันนี่ ช่วยกันดู ขวนขวาย ธุระของเพื่อนภิกษุ สามเณร ญาติโยม ญาติโยมขวนขวายช่วยกันเนี่ย เอากันจริง ๆ มาดู ตั้งเป็นสถานที่ เป็นแหล่ง เป็นตักศิลาในการศึกษาเรื่องนี้ ลองดูจริง ๆ มาพิสูจน์กันดู
อย่าไปอาศัยคนอื่น เอาตัวเองไปพิสูจน์ แม้คนพิการเดินไม่ได้ กระดุกกระดิกไม่ได้ มีแต่หายใจ ก็ยังทำได้ เรานี่เดินไปไหนมาไหน อะไรก็ช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง มันหลงก็ช่วยตัวเอง มันร้อนก็ช่วยตัวเอง มันกิน มันถ่ายก็ช่วยตัวเอง คนพิการนี่ก็อาศัยคนอื่นช่วย เขายังเพียรพยายามเช่น อาจารย์กำพล นี่ มีชื่อเสียงโด่งดังหลายประเทศแล้ว แปลภาษาต่างประเทศเผยแพร่ไป เป็นการล่อสังคม ล่อมนุษย์ได้ เป็นอย่างดี เรานี่ไปอ้อ อ้อแอ้อยู่ทำไม ต้องศึกษา ต้องตั้งใจปฏิบัติ เอาอย่างคนดี อย่าเอาอย่างคนชั่ว เอาอย่างความดีในเราด้วย เอาอย่างความชั่วในเราด้วย เห็นมันแล้วก็เบื่อหน่ายความชั่ว ความหลง ความทุกข์ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย น่าเบื่อ
เราจะต้องรอวันนั้น ให้ถึงโอกาสอย่างนั้นน่ะ คอยร้องห่มร้องไห้ หัวเราะดีใจ เสียใจเพราะเรื่องนั้นหรือ เราต้องศึกษาเรื่องอย่างนี้ มันไม่มากมายอะไรที่เราจะเรียนไม่ได้ รู้ไม่ได้ มันก็เห็นอยู่แล้วกับตัวเรา มันเกิดขึ้น เราเห็นอยู่ต่อหน้าต่อหน้า ความหลงก็เกิดขึ้น เราเห็น ความรู้ก็เกิดขึ้นมาให้เราเห็น ทอดมันออกมาความรู้ เหมือนคนมีฝีมืออะไรที่มันสร้างขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาด้วยมือของเรา แม้แต่รถยนต์ เครื่องบิน เกิดขึ้นมาด้วยฝีมือของเขา ด้วยมันสมองของเขา หยูกยาอะไรต่าง ๆ อาหารต่าง ๆ ค้นคว้าออกมา แม้แต่เห็ดหลินจือในป่า ก็ยังค้นคว้าว่าเป็นยาวิเศษ สารพัดประโยชน์ ต้องไปซื้อมากิน รักษาโรคได้สารพัดอย่าง เขายังคิดได้ อันนี้ตัวหลง ตัวรู้นี่ ไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ เอาตัวเราสัมผัสดู มันรู้เป็นอย่างไร มันหลงเป็นอย่างไร สัมผัสดู ต่อดู ชิมดู ความหลง ความรู้ มันถูกต้องไหม อะไรมันถูกต้อง สัมผัสดู สัมผัสไป สัมผัสมา
หลายครั้งหลายคราวมันก็เห็น เห็นความหลง เห็นความรู้ มันต่างกัน เราก็เปลี่ยนมัน เราก็เพราะมันหลงแท้ ๆ มันจึงรู้ เพราะมันทุกข์แท้ ๆ มันจึงไม่ทุกข์ เพราะมันโกรธแท้ ๆ มันจึงไม่โกรธ นี่คือของจริง ของจริงไม่มีคำถาม มีแต่คำตอบ จะให้พูดอะไรต่อไปเล่า จะให้บอกอะไร ถ้าไม่บอกกันอย่างนี้หนา จะให้หลอกลวงกันน่ะ ชอบหลอกหรือ เอาจตุคามมาแขวนปลุกเสกอย่างนั้นหรือ อาศัยอย่างอื่นหรือ ไม่พึ่งตัวเองหรือ และต้องพึ่งตัวเอง แล้วตัวเองมันก็พึ่งตัวเองไม่ได้ ทำให้เราล้มเหลว คนล้มเหลวเพราะตัวเอง สิ่งที่มันชั่วร้ายทำให้เราล้มเหลว เราก็ยังยอมทำตามมัน เป็นขี้เหล้าขี้ยา โลภ โกรธ หลง เบียดเบียนตัวเอง เบียดเบียนคนอื่น นั้นก็ต้องตั้งตัวบทกฎหมาย สร้างคุกสร้างตะรางขึ้นมา ตั้งส.ส.ไปร่างรัฐธรรมนูญอะไรต่าง ๆ มากมาย เรื่องมันไปใหญ่ขนาดนั้น มันอยู่กับเรา จึงมาเอากันจริง ๆ น่ะ มาดู ลำดับลำนำ ติดตามมัน เหมือนเราท่องหนังสือ ติดตามมันทุกวัน ๆ มันก็ติดได้
เราก็ท่องปาฏิโมกข์ ไม่ถึงเดือนมันก็จบได้ บางคนท่องธรรมจักร ไม่ถึงเจ็ดวันก็จบได้ ถ้าลำนำดี ๆ ถ้าไม่ท่องก็หาว่าตัวเองหัวไม่ดี เพราะเราไม่ทำ ไม่ใส่ใจ ถ้าลำดับลำนำทุกวันดู มันก็ติดได้ ทุกคนเหมือนกัน หัวดีไม่สำคัญ แต่ขยันน่ากลัวที่สุด คนขยันน่ะ เป็นคนที่สำคัญกว่าคนหัวดี คนทำนี่มีการกระทำนี่ ความขยันนี่มันจำแนกไป หา.. อย่าไปอ้างว่าหัวไม่ดี ไม่มีหัวคิดปัญญา เป็นความปึกความหนา อย่าไปเอาอันนั้นมาอ้าง เอาการกระทำ เอาความขยันของเรา รู้บ่อย ๆ รู้บ่อย ๆ วัตถุที่รู้ก็มีอยู่กับเราแล้ว สร้างขึ้นมา รูปแบบก็มีแล้ว เอาจากเราแหละ เดินจงกรม สร้างจังหวะ หายใจเข้าหายใจออก มันมีวัตถุอุปกรณ์เอามาสร้างความรู้ วัตถุอุปกรณ์ที่มันเกิดความหลง ก็มีอยู่ด้วยกันน่ะ
หลวงพ่อเทียนบอกว่าเอาจิตดูจิต อ้าวจิตมันก็ดูจิตนั่นแหละ อะไรที่มันเกิดขึ้นกับจิต เอาจิตนั่นแหละดูมันรู้ วิญญาณธาตุรู้อยู่กับจิต มันก็รู้อยู่ในตัวมัน ไม่ได้ไปหาวัตถุอะไร หนึ่งสองไม่มี ในตัวมันเอง มันหลงก็รู้อยู่ในนั้น มันทุกข์ มันก็ไม่ทุกข์อยู่ในนั้น เกิด มันก็ไม่เกิดอยู่ในนั้น มันแก่ มันก็ไม่แก่อยู่ในนั้น มันเจ็บ มันก็ไม่เจ็บอยู่ในนั้น มันตาย มันก็ไม่ตายอยู่ในนั้น มันก็ขนาดนี้เหรอ เอาไปอ้อนวอน ประนมมือขอไหว้ขอกราบอะไรต่าง ๆ โอ้ยหยุดแล้วพวกเราน่ะ เรื่องอย่างนี้มัน มันล้าสมัยไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ น่ะ ต้องเกิดจากการกระทำของเรา เราจึงต้องมาปฏิบัติ
ปฏิบัติคือมาทำกรรมฐานเป็นอาชีพ ให้ขยันรู้ ความขยันรู้เป็นภาวนากรรมฐานภาวนา ภาวนามัย ศีลมัย พลานามัย ภาวนามัยนี่สูงสุด เป็นบุญที่เกิดขึ้นจากภาวนานี่สูงสุด สูงกว่าทาน สูงกว่าศีล ศีลรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ภาวนาคือ เอาทั้งหมดเลย ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ให้มันเรียบร้อยให้มันดี ภาวนาขยันรู้ ตัวรู้มันก็เรียบร้อยหมด ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ เพราะตัวรู้มันเป็นตัวปรมัตถ์ ตัวหลงมันเป็นสมมติ สมมติมันตั้งอยู่นานไม่ได้ ปรมัตถ์มันเป็นของจริง นี่เราจึงภาวนากัน ภาวนาไม่ใช่ บริกรรมพุทโธ พุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอพองหนอ ไม่ต้องว่า เอาตัวรู้เข้าไปเลย อะไรที่มันเกิดจากความรู้ มีมาก อะไรมันเกิดจากความหลง มีมาก เห็นมันหมดเห็นมันครบมันถ้วนแจ่มแจ้ง เอาไปเลย ให้มันเห็นต่อหน้าต่อตา เอาผลประโยชน์จากมัน ความหลงมันทำให้รู้ ความทุกข์มันทำให้เรารู้ ความโกรธมันทำให้เรารู้ เอาประโยชน์จากมัน เรียกว่าหนามยอกเอาหนามบ่ง ตัวมันใช้มัน เหมือนชาวนาทำนา ขายข้าวเอาเงินมาทำนา ได้ส่วนเหลือ เนื้อมันในมัน
ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าฉลาดเราก็ใช้ น่ะการบรรลุธรรมในตัวมัน เพราะมีความเกิด มันก็ไม่มีความเกิด เพราะมีความแก่ ก็ไม่มีความแก่ มีความตาย ก็ไม่มีความตาย ซึ่งอย่างนี้ คนโบราณ เช่น พระพุทธเจ้า ได้พิสูจน์ ได้รับผิดชอบเรื่องนี้ แล้วก็พบเห็นมาแล้ว ได้มาบอกได้มาสอนพวกเรา ชีวิตของเรามันก็ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย มันฝึกได้ เหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้ มาช่วยกันหลาย ๆ คน ให้ความรู้เกิดขึ้นหลาย ๆ คน อย่าให้มีคนเดียว มันจึงจะอยู่ได้ในโลกนี้ ถ้าความรู้เกิดขึ้นเพียงคนเดียว มันก็อยู่ลำบาก คนดีไม่มาก คนชั่วมีมาก เราก็อยู่เดือดร้อน
เหมือนหลวงพ่อพูดวันก่อน ว่าเราไม่เคยตัดต้นไม้สักต้น คนอื่นเขาตัด เราก็เดือดร้อน เราไม่เคยทิ้งของสกปรก ลงในห้วยหนองคลองบึง แต่คนอื่นเขาทิ้ง เราก็เดือดร้อน เราไม่สูบบุหรี่ ไม่มีอะไรซึ่งเป็นพิษเป็นภัยต่อคนอื่น ไม่พอ คนอื่นเขายังสูบอยู่เราก็เดือดร้อน เกิดเป็นปัญหา จึงมาช่วยกัน มาช่วยกัน มาบอกกัน มาชวนกัน จับแขนจับมือ ดูดึงกันไป ใครลากใครเหนื่อยก็รอคอยกัน อย่าทอดอย่าทิ้ง เอาให้ตั้งแต่เณรน้อยมา ให้มานอนฟังก็ได้ น่ารักดี นอนหลับช่างหัวมัน ทะเลาะกันบ้าง หยอกล้อกันบ้างช่างมัน อีกสักวันหนึ่งมันต้องดีแน่นอน เราก็เคยเป็นเด็กเหมือนกัน เอากันให้หมดเลย เป็นพวงไปเลย หา.. ไม่ใช่เราคนเดียว รังเกียจคนนั้น เพื่อนคนนี้ ชอบคนนั้น ไม่ใช่ อย่าไปเลือกที่รักมักที่ชัง การที่ทำความดี วางใจสร้างความเมตตา ให้เกิดด้วยน้ำใจของเรา สร้างกรุณา มุทิตา อุเบกขา ขึ้นในใจของเรา เอาให้มันขึ้นมา เกิดขึ้นมา อย่าให้มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อันนั้นเอาทิ้งไป
เหมือนด้วยการกระทำของเรา เหมือนต้นนิโครธอยู่โรงทานน่ะ มันเกิดขึ้นมาด้วยฝีมือหลวงพ่อ เป็นต้นไม้ขึ้นมา ที่เป็นต้นไม้ขึ้นมาเฉย ๆ อ้าวออกลูก ออกดอก ออกผล กระรอก กระแต นก ก็ได้มาชิม ให้มีเหลี่ยมไว้ตัวเองบ้าง คนเราน่ะ อย่าไม่ทำอะไรเลย ถ้าไม่ทำอะไร ก็ทำตัวเองให้เป็นคนดี อย่าเบียดเบียนตน อย่าเบียดเบียนคนอื่น อย่าทำตนให้เป็นทุกข์ มันก็ดีแล้ว เราจึงมาให้มีเหลี่ยมไว้ตัวเองบ้าง เลิกสูบบุหรี่ได้ ก็ไหว้ตัวเองได้ เลิกหลงได้ ก็ยิ่งดีประเสริฐ เลิกทุกข์ได้ ก็ประเสริฐ เป็นสัตว์ประเสริฐ ได้เป็นพระด้วย ชีวิตประเสริฐได้เลย ไม่มีอะไรที่จะกินแหนงแคลงใจตัวเอง ไม่ใช่เป็นชีวิตหมักหมม ปกปิดซ่อนเร้น เหมือนบ่อที่ทิ้งขยะมูลฝอย เน่าในเปียกแฉะ อย่าให้มี ให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องน่ะมันดี๊ดีนะ ถึงคราวไหนมันก็ดี เราไม่มีอะไรที่จะกินแหนงแคลงใจตัวเอง เพราะเราทำดีมานาน หนึ่งวันแล้วมีความรู้ เราไม่ทำบาป ทำกรรมอะไร สองวันก็รู้อยู่ ดูแลตัวเองอยู่ สามวันก็รู้อยู่ ดูแลตัวเองอยู่ สี่วันห้าวันหกวันรู้อยู่น่ะ มันก็ค่อยสะอาดไป ค่อยสะอาดไป ไม่มีอะไร กรรมก็ไม่มี กรรมใหม่ล้างบาปออกไป เพราะตัวรู้เป็นสิ่งที่ล้างชำระออกไป ไม่ใช่น้ำ ล้างความบาป ล้างอกุศลคือความรู้สึกตัว เหมือนกับน้ำทิพย์ล้างบาป ล้างอกุศล ออกจากกายจากใจเรา พอรู้สึกตัวก็ทำความดี รู้สึกตัวก็ละความชั่ว รู้สึกตัวก็จิตก็บริสุทธิ์ไป บริสุทธิ์ไป มันเป็นอย่างนี้
หลวงพ่อขยัน ๆ เรื่องนี้ แต่เดี๋ยวนี้ก็หมดความขยันบ้างแล้ว ก็บางทีก็ไม่ ไม่สะดวก บางครั้งก็ไม่มีเสียง เพราะเป็นเดนของโรคร้าย อันเราตายไป มันก็เป็นเดนไป มันก็เหลืออยู่ พลังที่จะมาเอากันจริง ๆ มันก็หมดไป จึงอาศัยพวกเรามาช่วยกัน ภิกษุณี สมณะ ชีพราหมณ์ ก็มาช่วยกันน่ะ อยากได้ผู้หญิง อยากได้ภิกษุณีเป็นพลังในการเผยแพร่ เพราะผู้หญิงเนี่ย ดูสินั่งอยู่นี่ใครมากกว่ากัน มีแต่ผู้หญิงมากกว่า ใส่บาตรตอนเช้า ใครใส่ให้เรา มาจังหัน มาเพล ใครมา มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้นมาช่วยกัน มาร่วมกันสร้าง
หลวงพ่อก็พอมีปัญญาที่จะสร้างภิกษุณี แม้แต่พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์สมัยทุกวันนี้ ไม่ ๆ เปิดโอกาส เราก็สร้างกันมาเอง สร้างขึ้นมา ให้มันดีขึ้นมา ให้เป็นประโยชน์ ให้เกิดศรัทธาแก่ผู้คน ให้เกิดคุณภาพขึ้นมาในหมู่คนทั้งหลาย เดี๋ยวนี้คนเราไม่ค่อยมีหลักเท่าไหร่ เชื่อไปตะพึดตะพไป ถ้าบอกกันจริง ๆ อย่างนี้ ปฏิเสธการบอก การสอนแบบหลวงพ่อพูดนี่ ก็เหมือนกับปฏิเสธตัวเอง จะปล่อยให้เราหลงเหรอ จะปล่อยให้เราทุกข์เหรอ มันเปลี่ยนความหลงได้อยู่ ทำไมไม่เปลี่ยน จะปล่อยให้ตัวเองโกรธหรือ มันเปลี่ยนความโกรธได้อยู่ ทำไมไม่เปลี่ยนกัน ไม่เชื่อหรือ ถ้าไม่เชื่อสิ่งคำสอนพระพุทธเจ้า ก็ไม่เชื่อตัวเองหรือ ถ้าคนไม่เชื่อตัวเองล่ะ จะอาศัยอะไรเล่า จะมั่นใจอะไรตัวเองเล่า ต้องมั่นใจ ทำอะไรต้องมั่นใจ ว่าจะทำอย่างนี้เนี่ย มันก็มั่นใจ มันจึงทำได้สำเร็จ ถ้าไปทำความชั่ว มันก็ไม่มั่นใจ ทำแล้วก็เศร้าหมองอยู่
ใครว่าคนทำชั่วจะสนุกสนาน ไม่มี ทำบาปเองก็ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเองก็หมดจดเอง ความเศร้าหมอง ความหมดจด เป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะยังทำให้คนอื่นเศร้าหมอง หมดจด หาไม่ได้ อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย คาถาพระสูตรกล่าวไว้อย่างนี้ เพราะนั้นเราจึงมีการกระทำให้เกิดขึ้นมา แล้วก็ทำได้ด้วย เราก็อบอุ่นอยู่ที่นี่ นั่งอยู่นี้ก็คือพระสงฆ์ มีตัวมีตน มี นี่ไม่ใช่โง่เง่าเท่าไหร่ อยู่นี้ก็มีแต่ปัญญา สามารถที่จะเชื่อมั่นได้นี่ พระเณรก็มี ญาติโยมก็มี ที่อยู่อาศัยก็มี ข้าวปลาอาหารก็มี พอที่จะพึ่งพาอาศัยกันได้ จะเอาที่ไหน ประเทศไหน หาในโลกที่ไหน ถ้าไม่ใช่ในตัวเรา
ในเวลานี้ ในโอกาสนี้น่ะ เราต้องให้ดูดี ๆ อย่าให้มันเสียเวลามากเกินไป มาอยู่ปฏิบัติธรรมออกโน่นออกนี่ เป็นปลิโพธ มันก็ไม่ค่อยดี เอาเลย ไม่ใช่ว่าใครจะพิเศษกว่ากัน มันก็เหมือน ๆ กัน นั่นน่ะแหละเรา เป็นคนเหมือนกัน มีความรัก ความชัง มีความชอบไม่ชอบ มีพ่อมีแม่ มีลูกมีหลาน มีบ้านมีช่องเหมือนกันหมด ไม่มีใครจรจัดเกิดมาจากโพรงไม้ เหมือนหนอน เหมือนไร หนอนก็ยังมีเชื้ออยู่ คนเราแท้ ๆ นี่ พ่อแม่เลี้ยงมา คนช่วยเรามา มีพ่อมีแม่ เลี้ยงดูเรามาทะนุถนอม เราก็มีเป็นอย่างนี้ ก็ต้อง จะทำให้มันคุ้มค่าการเกิดมาบ้าง สักอย่างไม่ได้หรือ ก็นี่แหละ ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
นานเหลือเกิน เราเกิดมานานเหลือเกิน เราก็ พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา ที่ให้กำเนิดเกิดเรามาก็นานหลายชั่วคน นับพ่อของพ่อเรากลับไปข้างหลังเจ็ดชั่วโคตร นานเหลือเกิน ใครจะเป็นคนรับผิดชอบตรงนี้ พ่อแม่เราเคยบอกเคยสอนไหม ปู่ย่าตายายเคยบอกเคยสอนเราไหม มันถึงโอกาสแล้วเวลานี้น่ะ จะไปหาโอกาสที่ใด เราก็พบอยู่แล้ว อย่าไปเป็นปลิโพธอะไรมากมาย การทำกรรมฐานมีอยู่กับเรา เอาทุกโอกาส แม้ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี้ ไม่ได้ฟังหลวงพ่อเทศน์ มันก็อยู่กับเราแล้ว
เราก็เทศน์ให้เราฟังอยู่เสมอ ชี้ผิดชี้ถูกอยู่กับเรา เห็นไหมความผิด มันเกิดขึ้นกับเรา เห็นไหมความทุกข์ มันเกิดขึ้นกับเรา มันชี้บอกเราอยู่ เราจะยอม จะเป็นทาสเป็นขี้ข้าของมันน่ะ จะไม่มีโอกาสที่จะให้มันเป็นนาย อย่างนี้ไม่ได้หรือ ให้ความโกรธ ความหลงเป็นนายเรา เราเป็นทาสของความโกรธ ความโลภ ความหลง ความรัก ความชัง ความทุกข์เหรอ มันก็โอ๊ย เสียชาติแล้วคนเราเนี่ย มาจึงมาช่วยกันมาตั้งใจ ออกจากนี้ ก็เอาไปมาอยู่กับเรา อยู่ในกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อของเรา ความหลง ความรู้ อยู่ที่นั่น มีเครื่องไม้เครื่องมือ ทำความดีตะพึดตะพือไป มีเครื่องไม้เครื่องมือ ละความชั่วตะพึดตะพือไป ได้ยินไหม อ่ะดี ขอบอกขอบใจ ที่พากันมานั่ง มาปฏิบัติ มาอยู่ที่นี่ ไม่รังเกียจเลย ชื่นใจ ดีใจ ผู้ที่ยังไม่มา ขอให้มา ใครก็ตาม ผู้ที่ยังไม่มานั่น ไม่ใช่คนชั่วเลวทราม ก็คิดอยากให้มาเหมือนกัน
ผู้ที่มาแล้วก็อยู่เป็นสุข เป็นสุข อย่าทะเลาะวิวาทกัน ให้เป็นงานอันเดียวกัน ต่างคนต่างละความชั่ว ต่างคนต่างทำความดี น่ารัก ๆ ที่สุดเลย เห็นยกมือสร้างจังหวะ เห็นเดินจงกรม น่ะโอ้ย...เขากำลังละความชั่ว เขาช่วยตัวเองอยู่ เป็นบุญแล้ว มีอะไรช่วยกัน ก็ช่วยกันคนอย่างนั้น เขากำลังละความชั่ว เขากำลังทำความดี ถ้าช่วยคนที่ละความชั่ว ทำความดี เป็นบุญ ไม่ใช่เป็นใช่โจรผู้ร้าย หา..
นี่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ให้ทานแก่พระพุทธเจ้า ให้ทานแก่พระสาวก ให้ทานแก่ปุถุชน ให้ทานแก่พระอรหันต์ ให้ทานแก่สัตว์ อะไรมันจะได้บุญมากกว่ากัน ให้ทานแก่โจร โจรก็ไปปล้นไปจี้เขา ให้ทานแก่ปุถุชน เขาไม่บอกไม่สอนเรา ไม่ช่วยเรา ให้ทานแก่พระสงฆ์ เป็นหน้าเนื้อนาบุญ พระพุทธเจ้าเหล่าพระสาวก ท่านก็บอกเรา ท่านก็สอนเรา มาวัดมาวา มากราบพระ กราบไม่ถูก พระท่านสอน ท่านสอนให้ยกมือสร้างจังหวะ กราบอย่างไร ไหว้อย่างไร ท่านก็สอนเดินอย่างไร กิริยามารยาทอย่างไร ให้เป็นแหล่งการศึกษาวัดวาอาราม ช่วยกัน อย่าโม้ไปไกลคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รับผิดชอบ มาช่วยกัน เห็นพระสงฆ์ห่มผ้าให้เณรน้อยน่ารัก ๆ เดินไปกับเณรน้อย ลูบหัวลูบไหล่น่ารักมาก อย่าทอดอย่าทิ้งกัน ชวนกันไป มองกันในแง่ดี เห็นคนหลง เห็นคนโกรธ ก็น่าสงสาร อย่าไปเกลียดเขา เห็นคนทำดีก็สนับสนุน เห็นคนโกรธก็คิดช่วยเขา เห็นคนชั่วก็คิดช่วยเขา
อาจารย์เซนนี่ นิโกลอิน น่ะหลวงพ่อจำมา มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนมาอยู่ แต่ลูกศิษย์คนหนึ่งน่ะลักขโมยเก่ง แล้วจับได้ นำมาฟ้องอาจารย์ สองครั้งสองครั้งสามครั้ง อาจารย์ก็บอกว่าเราจะสอนเขา ก็พยายามสอนอยู่ ก็ยังลักอยู่ อ้าวพวกลูกศิษย์ทั้งหลายก็เกลียด จะให้ไล่หนี เอามันหนีซะ มันเดือดร้อน อาจารย์เซนก็บอกว่าแล้วจะสอนเขา ถ้าอาจารย์ไม่ไล่หนี พวกผมจะหนี จะหนีซะหมดเลย อาจารย์อยู่กับเขาซะ เอ้อพวกคุณพากันหนีไปซะ พวกคุณเป็นคนดีแล้ว พากันออกไปได้เลย ไม่ทำชั่วแล้ว คนเขาไม่ดีให้เขาอยู่กับเรานี่ ดูซิอาจารย์ ไม่รังเกียจเลย เอาช่วยกัน ช่วยคนอย่างนั้นแหละน่ะ จะดีมากเลย นี่หลวงตาพูดให้ฟัง