แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ฟังธรรมนา หลวงพ่อเป็นผู้พูด ท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟัง ฟังแล้วนำไปปฏิบัติ ไม่ฟังแล้วจำเอา ถ้าจำก็ได้ของปลอม ถ้าทำให้เกิดขึ้นก็ได้ของจริง ที่นี่สอนกันเรื่องปฏิบัติธรรม ไม่ใช่สอนเรื่องพิธีรีตอง ปฏิบัติธรรมก็เข้าถึงตัวธรรมเลยทีเดียว เช่นเรามาสร้างความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็มีอยู่ เราประกอบให้มีต่อเนื่อง ตามรูปแบบของสติปัฏฐาน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มีสติไปในกาย แล้วก็มีกาย ให้สติท่องเที่ยวไปในกายนี้ วิธีใดที่จะให้สติท่องเที่ยวไปในกาย ก็มีกรรมฐานเป็นที่ตั้ง ที่ตั้งแห่งการกระทำ ฐานคือที่ตั้งการกระทำให้มีเจตนาให้รู้ เช่น เรายกมือเคลื่อนไหวไปมานี้ให้รู้สึกตัว เคลื่อนไหวเพื่อให้รู้
สติมันต้องประกอบไม่ใช่คิดเอาท่องเอาเป็นภาษาคำพูด ต้องเอากายไปต่อเอากับความรู้สึกตัว เอาจิตใจไปต่อเอากับความรู้สึกตัว เราก็มีกายมีใจ แต่ใจจับต้องไม่ได้ เราจะมีความรู้สึกตัวไปที่กายก่อน พอรู้สึกตัวที่กาย ใจมันก็อยู่นี่แล้ว เวลามันหลงไปทางความคิด จิตใจเราก็รู้สึกตัวกลับมาที่กาย ไม่ต้องไปยุ่งกับจิตใจ อย่าไปห้ามมัน ถ้าจะคิดก็แล้วแต่มันจะคิด แต่เวลาใดที่มันคิดเราก็รู้สึกตัวกลับมาหากายหาที่ตั้งเอาไว้ ให้รู้จักกลับมาตั้งไว้ที่เดิม ไปเมื่อไหร่ก็กลับมา “ปฏิ” คือ กลับมา มันหลงไปทางใดก็กลับมา ความหลงมันทำให้เรารู้สึกตัว ได้สอนตัวหลงด้วย เรากลับมาได้ มันก็ไม่ยาก ไม่เหมือนเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า มันอยู่กับเราเอง เรานั่งเฉย ๆ ก็กลับมาได้ แม้จิตมันคิดเก่ง ท่องเที่ยวไปทุกสารทิศ แต่ว่ามันก็ไม่ซุกซนดื้อด้าน เราจะมีโอกาสสอนมันได้อยู่เวลามันหลงไปน่ะจากทางความคิดนั่นแหละ เราก็รู้สึกตัวกลับมา เมื่อมันคิดไปหลงไปความรู้สึกตัวกลับมาอยู่กับที่ตั้ง มันก็ถูกสอนจิตแล้ว จิตถูกสอนแล้ว เมื่อจิตถูกสั่งถูกสอนบ่อย ๆ มันก็รู้ ถ้าไม่สอนมันก็ไม่รู้ หลงร้อยครั้งพันหนก็หลงอยู่เช่นนั้น ความหลงไปทางความคิดน่ะไม่มีใครสอนมันเลย กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด มันก็เป็นสำส่อนเป็นจิตที่สำส่อน อารมณ์จะหอบหิ้วไปไหนก็ไปกับเขา ไปยินดีไปยินร้ายไปพอใจไม่พอใจความคิดเกิดขึ้นเฉย น้ำตาร่วงน้ำตาไหลเป็นทุกข์นอนไม่หลับเรียกว่าไม่ได้สอนจิตสักที
เมื่อจิตไม่ถูกสอนมันก็ดื้อด้านซุกซนเช่น ความง่วงเหงาหาวนอนเนี่ย มันดื้อ ว่าให้มันรู้อย่างนี้ไม่ยอมรู้ มันจะหลับอย่างเดียวเหมือนลูกเรามันดื้อ เวลาเราสอนมันไม่ฟังมันเฉย เราก็สอนบ่อย ๆ หาวิธีที่สอนมันบ่อย ๆ พามันทำบ่อย ๆ เช่น ลูกมันดื้อมันซุกซนทำแก้วแตก เราไม่ต้องด่ามันพามันไปจับไม้กวาดมาคนละอันก็ได้ มาแล้วก็กวาดให้มันกวาดด้วย เรากวาดด้วย กวาดใส่กระบะเอาพามันเอาไปทิ้ง ไม่ต้องบอกมันก็ได้พามันทำ ตัวอย่างมันดีกว่าคำสอน บางทีเราไม่ต้องพูดพาทำไปเลยมันลึกซึ้งกว่ากัน
การสอนใจนี้ก็เหมือนกันไม่ใช่ไปคร่ำเครียด เพราะจิตใจมันไม่มีอะไรที่จะไปคร่ำเครียดกับมัน เพียงมันคิดมันหลงเฉย ๆ ถ้ามันง่วงเราก็หาวิธีที่จะให้ปลุกตัวเองให้ตื่น เช่น เรายกมือสร้างจังหวะ อาจจะทำแรง ๆ หรือตั้งต้นมา มองออกไปข้างนอกท้องฟ้า ก้อนเมฆ ความรู้สึกตัว ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันออก มองเห็นเป็นกลางวัน ไม่ใช่กลางคืน กลางวันเป็นเวลาทำงาน กลางคืนจะค่อยนอน ก็บอกตัวเองให้มีความรู้สึกตัวแล้วค่อยกลับมายกมือสร้างจังหวะ มาตั้งต้นใหม่อย่าไปทำอิริยาบถเดียว บางทีมันพร่าได้ อิริยาบถตามกันไปมันก็ไม่ชัดเจน เราจึงตั้งต้นใหม่อยู่เรื่อย หาอุบายเทคนิคการสอนเรานี่เยอะแยะ อย่าไปจนอย่านั่งสัปหงกอยู่ให้คนเห็น หรือมิฉะนั้นก็ลุกขึ้นเดินจงกรมเคลื่อนไหวไปมาจนกว่ามันปกติมันก็ถูกสอน ถ้ามันง่วงก็หลับไปเลย หาวอ้าปากหลับตาอ่อนไปเลย มันก็ไม่ถูกสอนซักทีก็เป็นนิสัยของความง่วงเคยชินออกหน้าออกตา
ความคิดฟุ้งซ่านเหมือนกับไก่เขี่ย ไม่เป็นชิ้นเป็นอันทำให้หลงตัวลืมตนไปกับความคิด แล้วก็จับจังหวะเข้าไปให้นับ 1 2 3 ถึง 14 จังหวะ ให้เป็นจังหวะ อย่าทำมั่ว ชัดเจนแม่นยำ วางหน้าวางตายิ้มแย้มแจ่มใส เวลามันผิดก็หัวเราะความผิด ไม่ใช่เสียใจเพราะมันผิด เวลามันหลงก็หัวเราะความหลง
สติต้องมีสง่าราศีต้องมีที่ตั้งอันมั่นคง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลนกับอารมณ์ต่าง ๆ แล้วก็ให้มันชัดเจนเวลามันวุ่นวาย เช่น ความคิดฟุ้งซ่าน ก็ให้เห็นความคิดแล้วกลับมารู้สึกตัว ตัวคิดเป็นอันหนึ่ง ตัวรู้สึกตัวเป็นอันหนึ่ง คนละอันกัน อย่าไปสนใจมัน กลับมาตั้งไว้ที่ฐาน อย่าหนีออกไป แม้มันไปแล้วก็กลับมา ถูกสอนหลายครั้งหลายหนมันก็รู้ได้ ต่อไปง่ายที่จะไม่หลง ง่ายที่รู้ พอง่ายที่จะรู้สึกตัว มันก็เบาเหมือนเราสอนนักเรียน ครูสอนนักเรียน อาจารย์สอนลูกศิษย์ มันไม่ใช่สอนอยู่ตลอดเวลา สอนจนเขาสอนตัวเขา หลวงตาเคยสอนคนบ้าเวลามันหลงไป มันก็ทำปากทำมือ ชู้ชี้ชู้ชี้ไป เราก็ดูมันห่าง ๆ เวลามันแสดงออก มันก็สบตากับเรา เราก็สบตากับมัน ก็เรียกมาหา “ไหน” มาแล้วก็เอามือบีบขา บีบกลับไปให้แรงเท่าไหร่พอมันเจ็บพอดีแหละ เราบอก “เจ็บไหม” “เจ็บ” ทำไมเราถึงบีบขาให้มันเจ็บเพราะให้มันรู้ “เธอทำผิด บอกให้เดินจงกรมทำไมไปเตะต้นไม้ ทำไมไปทำมือทำปาก” ลงโทษตัวเอง บอกว่า “ไม่เอา ต่อไปอย่าทำนะ” มันก็รับปาก “ไม่ทำ” “ไปไปเดินจงกรม” พอเดินไป มันทำอีก พอมันถีบ มันมองหาเรา มันสำนึกได้มันมองหาเรา เราทำท่า ๆ ไม่สบตากับมัน มันก็ตั้งใจใหม่ เวลามันทำอีกผิดอีก มันก็มองหาเราอีก มันกลัวเราจะบีบขามัน แสดงว่ามีสติแล้ว ต่อไปมันก็ฝึกตัวเอง มันก็ฝึกตัวเอง ก็ได้ดีขึ้น มาสงบเสงี่ยมได้ ถ้าเราทักท้วง มันไม่เห็นตัวมันหลง คนอื่นทักท้วงก็ดีเหมือนกัน
ถ้าเราเป็นคนดีนี่ทักท้วงดูซิ ชีิวิตเราให้ไปอยู่ตรงนี้ ถ้ามันไปทางอื่นทักท้วงมันกลับมา ถ้ามันหลงก็มีความรู้บนความหลง ถ้ามันทุกข์ก็มีความรู้บนความทุกข์ มันปรุงแต่งอะไรไปก็มีความรู้การปรุงแต่ง เรารู้ตัวเดียวเป็นตัวเฉลย ปัญหาที่เกิดกับกายกับใจได้ทั้งหมดเลย หัดใช้ ถ้าเราไม่หัดใช้ตัวรู้ไปเฉลยมันก็ไม่มีบทเรียนไม่มีประสบการณ์ เกี่ยวกับการสอนตัวเรานี้ ได้บทเรียนจากความหลง รีบเรียนจากมัน ผิดมันถูกเรื่อยไป ผิดถูกไม่ใช่เป็นตัวผิดตัวถูก เป็นตัวรู้เสียแล้ว ความทุกข์ก็ไม่ใช่เป็นความทุกข์เป็นตัวรู้ไปเสียแล้ว ความทุกข์ไม่มีค่า ความโกรธไม่มีค่า ความหลงไม่มีค่า มีค่าคือความรู้สึกตัวยิ่งใหญ่กว่าอาการต่าง ๆ เพราะความรู้สึกตัวมันถูกต้อง สัมผัสดูแล้ว หนึ่งวัน สองวัน เคยชินในเรื่องความรู้ เห็นความรู้ความหลงคนละอย่างกัน เลือกเป็นรู้จักเลือกเป็นเลือกได้ ได้บทเรียนมา ไม่มีใครสอนเราเราสอนตัวเอง สัมผัสความหลงความรู้ สัมผัสความทุกข์ความไม่ทุกข์ ความทุกข์ความสุขเราก็รู้เราก็ได้คำตอบ ล่วงพ้นภาวะเดิม ปัญหาเรื่องความหลงเป็นเรื่องง่ายเสียแล้ว ปัญหาเรื่องความทุกข์ความโกรธเป็นเรื่องง่าย แต่ก่อนเป็นเรื่องใหญ่ เวลานอนหาเรื่องมาคิดจนนอนไม่หลับ ก็ยังเอามือเกาหัว พลิกซ้ายพลิกขวายังนอนไม่หลับ พอเราฝึกไป ๆ เวลานอนก็เวลามาคิดหัวเราะมัน กลับมาไม่มีอะไรแล้ว ยิ้มสบาย มันกล่อมซะด้วย มีรสชาติ ถ้ามันคิดทีไรมันกล่อมให้เรารู้ ไม่ตั้งใจมันรู้เอง มันผิดเองมันแก้เอง แก้มันในมัน หลงที่กายๆ มันแก้ หลงที่ใจๆ มันแก้ หลงที่ความคิดๆจะแก้ของมันไปเอง มันอยู่ด้วยกัน เหมือนหน้ามือหลังมือ ความหลงมันหน้ามือ ความไม่หลงมันหลังมืออย่างนี้ เราจึงเป็นการสอนตัวเอง สอนให้รู้อย่างนี้ไม่มีใครสอนเราได้ นอกจากเราสอนตัวเราเอา การสอนให้เป็นอย่างนี้ เมื่อมันหลง รู้ สอนให้เป็นทำเป็นแล้ว ถ้ามันทุกข์ รู้ ทำเป็นแล้ว ถ้ามันโกรธ รู้ ทำเป็นแล้ว แต่ก่อนเมื่อมันโกรธก็เป็นโกรธไปเลย ความโกรธพาให้โกรธ ความทุกข์พาให้ทุกข์ ความหลงพาให้หลงไปเลย ถ้าเราสอนเราไปบ่อย ๆ หนึ่งวันถึงเจ็ดวันเนี่ยความหลงพาให้รู้ ความโกรธพาให้รู้ ความทุกข์พาให้รู้ ความไม่เที่ยงพาให้รู้ อะไรต่าง ๆ พาให้รู้หมดเลย ก็ไปทางนี้เสียแล้วบัดนี้ ความรู้ก็เป็นอินทรีย์ตัวใหญ่ที่เรียกว่า “สติอินทรีย์” ครองเป็นเจ้าของกายเป็นเจ้าของใจเลย กายใจเรานี้ เราไม่ได้เป็นเจ้าของ ความหลงเป็นเจ้าของมานานเหลือเกิน
ลองถามดูตัวเองดู ชีวิตเรามาถึงปูนนี้ เราห้ามความรู้กับความหลงอันไหนมากกว่ากัน เมื่อมีความหลงมันก็ไม่เป็นธรรมต่อชีวิต เมื่อมีความรู้ก็เป็นธรรมเกิดขึ้นต่อชีิวิตได้ เราจึงมาสร้างตัวนี้ จนมันเกิดความเป็นธรรมจนเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เกิดศีล เกิดสมาธิขึ้นมา ภาวะแห่งความรู้สึกตัวก็เป็นตัวศีลแล้ว ไม่ได้คิดไปไหน ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้พูดอะไร สำรวมตรงนี้ รู้อยู่ตรงนี้ ก็เป็นการรักษาศีล สำรวมกายวาจาใจด้วย เมื่อมีความรู้บ่อย ๆ ก็มั่นคง ๆ แม่นยำชัดเจน การใช้ชีวิต ในรูปแบบ นอกรูปแบบ กวาดบ้าน ทำของ ทำงาน ทำการชัดเจน ไม่สองจิตสองใจกวาดบ้านก็อยู่ที่กวาดบ้าน มีสติไป แต่ก่อนกวาดบ้านไม่ใช่อยู่ที่กวาดบ้าน มันคิดไปว่ายากว่าง่ายว่าลำบาก อันนั้นทำไมรก คนนี้ทำให้รุงรัง เป็นภาระต่อเรา คิดไปบ่นไป มันก็ทำงานสองส่วนทั้งกายทั้งใจด้วย เหนื่อย การกวาดบ้านก็เป็นความดีไม่ควรไปคิดเรื่องยากเรื่องง่าย ใช้สติไปด้วยมีแต่กรรมฐานเต็มไปหมดเลย กวาดบ้านกรรมฐาน ล้างถ้วยกรรมฐาน ล้างแก้วกรรมฐาน ทำอาหารกรรมฐาน ซักผ้าซักผ่อนกรรมฐาน ล้างหน้าแปรงฟันกรรมฐาน ทำงานทำการกรรมฐาน เป็นการงานที่เหมาะสม เหมาะแก่การงานอันชอบ ตั้งใจก็ชอบ พูดก็ชอบ คิดก็ชอบ การงานก็ชอบไปตะพึดตะพือไป ถ้าตั้งต้นได้ก็ไปกันได้เลย มันก็มีเท่านี้ มีตัวหลง ตัวรู้ มีสภาวะที่หลง มีสภาวะที่รู้ ถ้าสภาวะที่รู้มันก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง มันทางผ่าน ถ้าสภาวะที่หลงก็ไปไม่ได้ ความหลงอย่างเดียวก็หลงจนตายแต่ทั้งที่ไม่มีประโยชน์ ความทุกข์อย่างเดียวก็ทุกข์จนตาย ความโกรธอย่างเดียวก็โกรธจนตาย ไม่ใช่มันงอกขึ้นมา อันโกรธอันเก่า ความทุกข์อันเก่า ความหลงอันเก่า มันก็ไปไม่ได้ โซ่ไม่แก้กุญแจไม่ไข มันก็ไม่หลุดไป ถ้ามันหลุดไปจากความหลง ความโลภ ความโกรธเรา มันจะเป็นยังไง ลองมาศึกษาดูจะเห็นกระแส จนเข้าใจเห็นรูปธรรม เห็นนามธรรม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีที่ตั้งเลย ไม่มีที่ตั้ง มีแต่รูปแต่นามตามความเป็นจริง หาที่ตั้งให้ความทุกข์ไม่มี หาที่ตั้งให้ความโกรธไม่มี มีแต่สภาพอาการธรรมชาติ ตามความเป็นจริงของรูปของนาม แต่ก่อนเอารูปมาเป็นทุกข์ เอานามมาเป็นทุกข์ พอศึกษาไปเอารูปมาเป็นปัญญา เอานามมาเป็นปัญญา สร้างปัญญา มันจบที่ตรงนี้
แปดหมื่นสี่พันอย่างเกิดจากรูปจากนาม เกิดจากกายจากใจของคนเรา เราจึงต้องมาศึกษาดูมันเป็นตำราเล่มใหญ่ กายเป็นตำรา ใจเป็นตำรา สติเป็นนักศึกษาเห็นหมด เห็นครบเห็นถ้วน อะไรที่แสดงออกทางกายเป็นสุขอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ความไม่เที่ยงอย่างไร ความไม่ใช่ตัวตนอย่างไร เวลาความไม่เที่ยงเป็นความไม่เที่ยง หรือว่าเป็นปัญญา เป็นอะไร ความเป็นทุกข์เกิดขึ้นเป็นความไม่ทุกข์ ความไม่ทุกข์ทำให้เป็นทุกข์ พอมาศึกษาความไม่ทุกข์ ทำให้เกิดปัญญา เพราะทุกข์นั่นแหละทำให้เกิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้หมดทุกข์ เห็นทุกข์เป็นการเห็นอันประเสริฐ เหมือนเราเห็นงูถ้าไม่เห็นมัน มันก็กัดเจ็บปวดถึงเจียนตายไป ความทุกข์ก็เหมือนกัน เสียเปรียบความทุกข์มามากต่อมาก เรามาเห็นว่า โอ้ย ว่ามันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันเกิดจากความหลงเท่านั้นเอง ต้นตอของมัน อวิชชา หรือ วิชชา อวิชชาพาให้เกิดสังขาร ปรุงเแต่งได้ สังขารทำให้เกิดนามรูปปรุงไปอีก นามรูปก่อให้เกิดอายตนะ ขยายไปอีก อายตนะก่อให้เกิดผัสสะ ขยายไปอีก ผัสสะทำให้เกิดเวทนา สังขาร อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ เป็นภพเป็นชาติไป เกิดดับ เกิดดับ อวิชชาไม่มี เป็นวิชชา ก็สังขารดับ รูปนามดับ นามรูปดับ มันก็เป็นธรรมชาติล้วน ๆ สักแต่ว่า ง่าย ๆ กายใจของเราล่ะ ไม่เหมือนการศึกษาอันอื่นมันจบเป็น ศึกษาทางโลกจบไม่เป็น อย่างเชื้อโรคนะ ต้องศึกษาอยู่เรื่อย แต่ก่อนโรคเอดส์ก็มี โรคมะเร็งก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่แต่นี่มีกระทั่งโรค ไข้หวัดนกโรคอะไรต่าง ๆ เยอะแยะไปเลยไข้หวัดนก ไข้ฉี่หนูอะไรต่าง ๆ มากมายเราจึงไม่ควรหยุดนิ่ง ยุคนี้แหละเป็น ยุคทอง ยุคธรรม เพราะมันมีปัญหาเราไม่ยอม เมื่อเราเห็นปัญหาเราก็เกิดก่อยุคทองยุคธรรมขึ้นมา เหมือนเราจนความจนทำให้เราเป็นเศรษฐีก็ได้ ความจนเราใช้ชีวิตทำตัวเป็นคนจนทำให้เราร่ำรวยได้ ถ้าคนจนทำตัวเป็นคนรวยมีแต่ยากจน รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตน ขยันขันแข็งรู้จักใช้ รู้จักรักษา รู้จักหา ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ประมาท
ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็ใส่ใจ มองทิศมองทาง รู้จักเปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนผิดเป็นถูก ชีวิตของเราจึงจะอยู่รอดปลอดภัย ไม่ใช่โง่งมงาย ทุกวันนี้สิ่งที่ทำให้เราโง่หลงมีมากเหลือเกิน ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เขาสร้างให้คนหลง เขาได้ประโยชน์ โสเภณีมากกว่าหมอ แหล่งการพนันมากกว่าโรงเรียน เราสำรวจในคุณธรรมก็ไม่มีเท่าไหร่ การไปไหนมาไหนก็ไม่ปลอดภัย เพราะเราจะเป็นคนดีคนเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกัน ไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น ยังไม่พอต้องไปสอนให้คนอื่นให้เขาไม่เบียดเบียนเรา ให้เขาไม่เบียดเบียนคนอื่น ให้เขามีจิตบริสุทธิ์ หนึ่ง สอง สาม เรื่อยไป ให้มันมากขึ้นมา เราก็อยู่กันร่วมโลกด้วยความสันติสุขสันติภาพ ไม่ใช่เราดีคนเดียวต้องช่วยกัน จึงมีสถานที่แบบนี้ ตั้งท่ามาสอนพวกเราก็มาศึกษา ชวนกันคิดชวนกันดู พี่รู้สองน้องรู้หนึ่ง ถ้าเรามั่นใจตรงนี้มากที่สุดเลย
สภาพที่ความรู้สึกตัวนะ เป็นสภาพที่พบทาง เป็นกระแสแห่งความไม่ทุกข์ได้ทีเดียวเลย วิธีอื่นไม่รู้ถ้ามาที่นี่ก็มาศึกษาเรื่องสติ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมากมาย มาแล้วก็เดินจงกรมสร้างจังหวะ ทำสมาธิ มันก็อยู่กับเราแล้ว เป็นฝึกหัดตัดแต่งแก้ไขตนเอง ถ้าหัดเป็นแล้วไม่ใช่อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหนก็หัดได้ ความหลงก็อยู่ที่เรา ความไม่หลงก็อยู่ที่เรา ความทุกข์ก็อยู่ที่เรา ความไม่ทุกข์ก็อยู่ที่เรา ก็รู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุง เตือนตนสอนตนได้ดีวันดีคืนก็ได้