แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฟังธรรมเพื่อให้เป็นส่วนประกอบกับการปฏิบัติธรรม ที่นี่มีการศึกษาอยู่ 2 รูปแบบ ไม่ใช่ท่องจำ เป็นภาษาคำพูด มีการฟัง ฟังเพื่อเอาไปทำ ไม่ใช่ฟังเพื่อจำ ฟังแล้วเอาไปทำดู ทำอะไร ทำกรรมฐาน กรรมฐานทำยังไง มีที่ตั้ง มีสติตั้งไว้ที่กาย ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ตามรูปแบบของกรรมฐาน ที่นี่เราฝึกกรรมฐานแบบสติปัฏฐาน จึงได้ตั้งชื่อว่า สถาบันสติปัฏฐาน เป็นแดนการศึกษาเอากายเอาใจเป็นตำรามีสติเข้าไปดูไปเห็น การที่จะมีสติไม่ใช่คิดรู้เอาให้ประกอบให้สัมผัส สติไปอยู่ในกายจะเป็นลมหายใจก็กาย การเดินก็เป็นเรื่องของกาย การเคลื่อนไหวมือสร้างจังหวะก็เป็นเรื่องของกาย
ตามคำสอนพระพุทธเจ้าในตอนต้นๆ พระพุทธเจ้าได้ศึกษาเรื่องนี้กันมีสติเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ วินาทีหนึ่งอาจจะมีวิธีที่จะรู้ครั้งหนึ่ง วินาทีละรู้ วินาทีละรู้ หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าวินาทีหนึ่ง หายใจออกวินาทีหนึ่ง พอดีๆ ไม่ช้าเกินไปไม่ไวเกินไป การสร้างจังหวะวินาทีหนึ่งเคลื่อนไหวทีหนึ่ง วินาทีหนึ่งเคลื่อนไหวทีหนึ่ง ก็รู้ทีหนึ่ง วินาทีละรู้ ถ้าเดินจงกรมก็วินาทีหนึ่งก้าวหนึ่ง ก้าวหนึ่งก็รู้ทีหนึ่ง พอดี ๆ ไม่ช้าเกินไปไม่ไวเกินไปเหมือนเราลำดับลำนำให้มันถี่ ๆ ถ้าเราลำดับลำนำให้มันถี่ ๆมันก็จะติดเหมือนเราทำอะไรที่ทำบ่อย ๆมันก็ติดได้ ทำเป็น
การมีสติความรู้สึกตัว ใจเวลามันหลง มีสติมันจะติดความรู้สึกตัว แต่ก่อนกายของเราใจของเรามันติดอะไรมา ติดสุขติดทุกข์ เรื่องของความสุขก็เป็นเรื่องของกาย เรื่องของความทุกข์ก็เป็นเรื่องของกาย เรื่องของความสุขก็เป็นเรื่องของใจ เรื่องของความทุกข์เป็นเรื่องของใจ เราไปติดแบบนั้น นอกจากนี้แล้วยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา เบียดเบียน ความยินดียินร้าย พอใจไม่พอใจ ดังที่ว่ากิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดเป็นเรื่องของใจ เราจึงมาหัดให้มันรู้ว่าเนี่ย ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่ล้าง ล้าง สิ่งที่มันเปรอะเปื้อนมาจะเป็นอะไรก็ตามที่เกิดจากใจเรามันเปลี่ยนได้ มันปฏิบัติได้ มันให้ผลได้
เราจึงต้องมาฝึกหัดไม่ใช่มาเรียนรู้ หัดเอา อย่าหาคำตอบจากความคิด อย่าหาเหตุหาผล ให้เอาการกระทำเป็นหลัก เรียกว่า ”ที่ตั้ง” การกระทำนี้มันจำแนกไปเอง มันเป็นกรรมที่มีผล เรายกมือเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง วินาทีละรู้ ละรู้ ทำตัวรู้ตัวนี้รู้บ่อย ๆ 1 วันถึง 7 วัน 1 เดือนถึง 7 เดือน 1 ปีถึง 7 ปี ลองพิสูจน์ดู ฝึกตนสอนตน ใครจะเป็นยังไงมา ฝึกได้ทั้งนั้น จะเป็นจริตเฉยๆแบบไหน ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต มีทุกข์มีสุขอะไรมาฝึกได้ให้มันเหนือ ให้มีสภาวะที่รู้ สภาวะที่รู้เนี่ยมันไม่เป็นอะไรกับอะไร มันหลงก็รู้ ไม่ใช่หลงเป็นหลง มันรู้ก็รู้ ไม่ใช่รู้เป็นรู้ มันสุขก็รู้ ไม่ใช่สุขเป็นสุข มันทุกข์ก็รู้ ไม่ใช่ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วก็ไม่มีค่าเพราะความรู้สึกตัวมันเป็นสิ่งที่ชอบกว่า ถูกต้องกว่า ความสุขความทุกข์มันเป็นฟูๆแฟบๆ ความรู้สึกตัวมันตรง มันมั่นคงไม่ฟูไม่แฟบ มันเที่ยงตรง ลองสัมผัสอย่างนี้ดู ฝึกใหม่ๆมันก็อาจจะทวนกระแสสักหน่อย มันง่ายที่จะหลงนั่นแหละมันดี ใจมันหลงที่ไรก็รู้นั่นแหละ มันดีมันอยู่ดีมันมีอยู่ตรงนี้ มันเดินอยู่ที่นี่ มันเคลื่อนไหวอยู่ที่นี่ มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงนี้ ถ้ามันหลง ให้มันรู้ เปลี่ยนความหลงเป็นความรู้เสียแล้ว
ปฏิ คือเปลี่ยน ปฏิบัติคือเปลี่ยน เปลี่ยนร้ายเป็นดี เปลี่ยนอะไรๆก็ตามเป็นความรู้ที่ว่า ความรู้สึกตัวนี่เป็นกำเนิดของโพธิ เป็น โพธิ โพธิคือปัญญา ปัญญานี้คือการตรัสรู้จะเหนือการเกิดแก่เจ็บตายได้ ไม่ใช่ โพธิ ต้นโพธิ์ พระพุทธเจ้าอาจจะ อุปมัยอุปมาเป็นบุคลาธิษฐานหรือธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน ว่าข้าพเจ้าจะไม่หนีจากที่นี่ แม้เลือดเนื้อเหงื่อเอ็นกระดูกจะผุพังไปก็ตาม จะไม่หนีจากที่นี่ คือไม่หนีจากต้นโพธิ์ นี่เป็นว่าบุคลาธิษฐาน ถ้าเป็นธรรมาธิษฐานก็ไม่หนีจากสติ สติคือโพธิ นี้มันหลงมันไปคิดไปถึงวิมาน ไม่ไปกับความคิด มันคิดถึงราหุลไม่ไปกับความคิด มันคิดถึงปราสาท 3 ฤดู ไม่ไปกับความคิด กลับมา มันคิดถึงสาวสนมกำนัลใน ไม่ไปกับความคิดกลับมา สอนมันทุกครั้งที่มันไม่ใช่ความรู้ สอนให้มันรู้ ฝึกให้มันรู้ มันจะไปไหนได้ มันฝึกได้สอนได้ ชีวิตของเราเนี่ยมันเป็นสัตว์ประเสริฐ
สติมันทำให้เปลี่ยนชีวิตได้ ไม่ใช่เปลี่ยนชีวิตไปตกแต่งอันอื่น ถ้ามีสติก็เปลี่ยนชีวิตได้ทั้งหมดเหมือนกันหมด ถ้าเรานั่งอยู่นี่มีสติก็เป็นคนคนเดียวกัน แต่ถ้าเราหลงก็เป็นคนละคน มันจริงอย่างนี้ไม่ต้องหาเหตุและผลมา มาแยกแยะ ให้เป็นการกระทำไป ให้กรรมการกระทำเป็นสิ่งที่ตอบออกมาอย่าให้ความคิดเหตุผลเป็นการตอบ ให้เขาคิดได้ เหตุผลก็คิดได้ เหตุผลจะฆ่ากันตายก็ได้ ไม่เป็นปรมัตถ์ ไม่เป็นสัจจะ สัจจะมันต้องเป็นสัจจะ เป็นธรรม ความรู้ความรู้สึกตัวเป็นธรรม ความหลงไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรม ความทุกข์ ความโกรธ โลภ หลง ความเกิดแก่ เจ็บ ตาย ไม่เป็นธรรม ความรู้สึกตัวเป็นธรรมกว่า แต่วันนี้เราเอาสมมุติมา มาสร้างให้เราเป็นอะไรก็ได้ การสมมุตินี่ต่างกัน ความสุขของบางคนอาจเป็นความทุกข์ของคนอื่น เพราะสมมุติบัญญัติเอา ไม่ใช่ปรมัตถ์สัจจะ นั่นสมมุติบัญญัติ ของใครก็ถือว่าเรื่องนั้นตัดสินใจทำ เขาว่า
บางคนเขาว่าสูบบุหรี่ดีเขาก็ตัดสินใจสูบบุหรี่ อันนั้นเป็นสมมุติของเขา แต่ผู้ที่สมมุติว่าสูบบุหรี่ไม่ดีมันเป็นโทษเขาก็ไม่สูบบุหรี่ บางคนว่ากินเหล้าดี ดีกว่าไม่กิน ดีกว่า แต่บางคนกินเหล้าไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องกินเหล้า บางคนก็ตัดสินใจทำตามความโกรธ พอใจในความโกรธคืนหนึ่งแล้วยังไม่ยอม พอใจในความทุกข์ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่มีสติ ให้ความทุกข์นอนเนืองอยู่ในจิต บางทีพอใจเลือกเอาเรื่องที่มีทุกข์มาคิดอยู่บ่อย ๆ ความสุขความทุกข์เกิดจากความคิด ไม่มีใครมาทำ ให้เรา มันเป็นความคิดของเราที่เกิดขึ้น เราก็สุขก็ทุกข์ไป คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมากินข้าวไม่ลง คิดขึ้นมาน้ำตาไหล ไม่มีใครทำ เกิดจากความคิด ทำไมมันยังคิดเพราะมันหลง ทำไมจึงหลงเพราะไม่เคยรู้ไม่เคยฝึกหัด เวลามันคิดก็คิด เวลามันสุขก็สุขสุดๆไป ความสุขพาให้สุข ความทุกข์พาให้ทุกข์ ความโกรธพาให้โกรธ ความหลงพาให้หลง ถ้าเรามาฝึกหัดแล้ว ความหลงทำให้รู้ ความสุขทำให้รู้ ความทุกข์ทำให้รู้ มันไม่มีค่า นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกหัดตรงนี้กัน ทำให้มันเป็น ไม่ใช่เรียนรู้ทำให้เป็น
การเรียนรู้ใครก็เรียนรู้ได้มีสถาบันการศึกษาทั่ว ๆไปใคร ๆก็รู้ทั้งนั้น แต่การทำให้เป็นนี่เราต้องสอนตัวเรา คนอื่นสอนเราไม่ได้ ที่มันหลงรู้เป็นไหม หรือ หลงเป็นหลง ถ้าหลงเป็นหลงไม่ได้สอนตัวเองทำไม่เป็น ถ้าหลงก็หลงไป ทุกข์ก็ทุกข์ไป สุขก็สุขไป อันนี้ไม่ใช่รู้ ใครก็รู้ว่าทุกข์ไม่ดีแต่ยังทุกข์อยู่ ใครก็ว่าโกรธไม่ดีแต่ยังโกรธอยู่ ความรู้ใช้ไม่ได้แต่ต้องฝึกเอา ไม่ต้องรู้ดีไม่ดีหรอก ถ้าเราฝึกเราสัมผัสดู ความหลงไม่เป็นธรรมเลย ความโกรธไม่เป็นธรรมเลย ความทุกข์ไม่เป็นธรรมเลย ความไม่โกรธ ความไม่ทุกข์ ความรู้สึกตัวเป็นธรรมกว่าเนี่ย ก็ไม่ต้องถามใคร ทุกคนต้องตอบเอาเอง สัจธรรมไม่มีคำถาม สัจธรรมมีแต่คำตอบ คนอื่นตอบให้ไม่ได้ เราต้องตอบเอาเอง นี่คือสัจจะ
อันถ้าตอบนี่มันเป็นอันเดียวกันสัจจะ ถ้าสมมุติมันต่างกัน ของจริงต้องเป็นอย่างเดียว ของไม่จริงก็เป็นได้หลายอย่าง เช่นความรู้สึกตัวอยู่กับใครก็เหมือนกันหมด อยู่กับญาติโยมอยู่กับพระสงฆ์อยู่กับคนหนุ่มคนสาวอยู่กับผู้หญิงผู้ชายอยู่กับชาติไหนภาษาใดเป็นอันเดียวกันหมด ถ้าอันที่ว่าความรู้สึกตัวแล้วเหมือนกัน นี่คือของจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าความหลงมันต่างกัน พิสูจน์ดูอย่าไปเชื่อใคร ไม่ใช่เชื่อครูบาอาจารย์พูดในสิ่งที่ควรเชื่อ พูดในสิ่งที่มีเหตุผล พูดให้ถูกกับจริตนิสัยของเรา อย่าไปเชื่อแบบนั้น ให้เชื่อการกระทำของเราทำอย่างนี้ มันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา เมื่อทำอย่างนี้ มันเกิดอย่างนี้ขึ้นมา ก็มีความเพียร มีความเพียรก็มีความใส่ใจใส่ใจอยู่เสมอ ประกอบสิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ เมื่อเวลามันเป็นอื่นก็รู้จักเปลี่ยนให้มันเป็นของเดิมของเก่า ซึ่งความรู้สึกตัวเนี่ยอะไรเกิดขึ้นก็มีความรู้สึกตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่เฉลยปัญหาชีวิตของเราเกิดจากกายเกิดจากใจได้ทั้งหมด
นี่พระพุทธเจ้าศึกษาตรงนี้กันจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะล่วงพ้นภาวะเก่า ล่วงเกินภาวะเก่าเปลี่ยนชีวิตเก่าเป็นชีวิตใหม่ ขึ้นมา จนชื่อว่า พรหมจรรย์เราก็เป็นเพื่อนกันมีเพื่อนดีมีสหายดีมีมิตรดีมาทำเรื่องนี้กัน ไม่เบียดเบียนกันไม่เบียดเบียนตัวเองไม่เบียดเบียนคนอื่น เพื่อนดีสหายดีมิตรดีไม่ใช่เพียงอยู่ด้วยกันอาศัย กันกินข้าวกินปลาด้วยกันเท่านี้ไม่พอ มันถึงที่โน่นเหนือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย โน่น ผู้ที่มีทุกข์ พ้นจากทุกข์ มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตายได้โน่น ในที่สุดคือทั้งหมดของชีวิตเราเลย
ที่นี่ขอเป็นมิตรเป็นเพื่อนกับทุกคน ไม่เป็นอาจารย์ของใคร ไม่ปล่อยกันทิ้งไม่สบายกายพาไปหาหมอ ไม่สบายใจให้หาธรรมะมีสติสัมปชัญญะ มันไม่อยู่ที่ไหนอยู่ที่เรา ความไม่สบายกายหมอรู้พาไปหาหมอได้ พรุ่งนี้จะมีหมอมาประมาณ 30 คน มาเข้าคอร์สกันที่นี่เดือนละ 2 ครั้ง ใคร ๆ เขาก็ปฏิบัติกันแล้ว ถ้าคนไหนไม่ปฏิบัติถือว่าคนนั้นล้าสมัย ถ้ายังโกรธยังหลงยังทุกข์อยู่ล้าสมัยมากแล้ว เขาไม่หลงกันแล้วเขาไม่โกรธกันแล้วเขาไม่ทุกข์กันแล้วในโลกนี้ ทำไมเราจึงมาอยู่ตรงนี้กัน ปลอดภัยยังไง เราจะอาศัยตรงไหน อะไรเป็นแก่นสารของเรา ความรักกลายเป็นความเกลียดชัง ฆ่ากันตายเพราะความรักก็มีทั่ว ๆไป อะไรมันเป็นแก่นสาร เราไปฝากเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งไหน เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนกับความรักมันไม่ใช่ บางทีเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไปกับความเกลียดชัง ให้ความรักให้ความเกลียดชัง สั่งแล้วก็ทำตามมันไป เกิดทุกข์เกิดโทษทั่ว ๆไป สิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่ชีวิต ชีวิตมันต้องไม่เป็นอะไร มันไม่เป็นอะไร ชีวิตจริง ๆน่ะ อันความแก่ความเจ็บความตายไม่ใช่ชีวิต นั่นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมชาติของสัตว์ของโลก แต่ชีวิตมันไม่อยู่ตรงนั้น
เราก็หัดไป มันหลงเห็นมันหลงน่ะไม่เป็นผู้หลงเนี่ยมันก็แยกไปจากนี้แล้ว มันทุกข์เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์มันแยกไปแล้ว มันโกรธเห็นมันโกรธไม่เป็นผู้โกรธมันแยกออกไปแล้วจนชำนิชำนาญ เห็นการเกิดไม่ใช่เป็นผู้เกิด เห็นการแก่ไม่ได้เป็นผู้แก่ เห็นการเจ็บไม่ได้เป็นผู้เจ็บ เห็นการตายไม่ได้เป็นผู้ตาย เรียกว่าเหนือโลก อยู่เหนือโลกได้ในชีวิตของเรานี้มันประเสริฐตรงนี้เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐประเสริฐตรงนี้ ถ้าไม่มีตรงนี้มันจะเป็นอาภัพกว่าสัตว์อื่นเขา เป็นสัตว์ที่อาภัพที่สุดบอบบางที่สุด ยุงตัวเล็กกัดก็เจ็บ ไก่เห็นไหมยุงกัดเขาไม่ได้นะไก่ เวลานอนก็ม้วนหัวเข้าไปในปีกเขา ฝนตกก็ตกลงไป ยุงก็บินลงไปมันกัดไม่ได้ แต่คนเรานี้อาศัยสิ่งอื่นต้องสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างมุ้งสร้างอะไรป้องกันเอาไว้ ลำบากนะ ถ้าไม่มีตรงนี้มันประเสริฐตรงไหนจะเป็นสัตว์ที่ทุกข์ที่สุดกว่าสัตว์อื่นได้ มีความโกรธความโลภความหลงกว่าสัตว์อื่น มีกิเลสตัณหามากกว่าสัตว์อื่นด้วย ถ้าเราไม่มีคุณธรรมเกิดกับเราแล้ว อะไรไม่มีค่า ชีวิตเรา โกรธจนตายทุกข์จนตายหลงจนตาย ตรงไหนมันคือชีวิตที่เราอาศัยได้ เรามีใจเราพึ่งใจได้ไหมหรือว่าคุ้มร้ายคุ้มดีใจของเราเนี่ย ถึงโอกาสนอนไม่หลับก็นอนไม่หลับพาให้หมกมุ่นครุ่นคิดไป กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว แล้วมันดีตรงไหนล่ะ เราจึงต้องศึกษากันประมาทไม่ได้
ขอให้ที่นี่เป็นเพื่อนทุกคน มาอยู่ได้มีสิทธิ100เปอร์เซนต์ ไม่ต้องขออนุญาตจากใคร 500 ไร่ก็มีความเป็นอยู่ได้ไม่ฝืดเคืองเกินไป ไม่ฟุ่มเฟือยเกินไป มีอะไรก็แบ่งกันอยู่กันกินไป ไม่ใช่คนหนึ่งสุข คนหนึ่งทุกข์ไม่ใช่ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตที่นี่มีอะไรก็บอกกัน เราไม่ทิ้งกัน ผู้ที่ยังไม่มา ขอให้มา เราคิดอย่างนี้ มาแล้วอยู่เป็นสุขไม่มีใครเบียดเบียนกัน มีอิสระ ถ้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามา ก็มานอนไม่มีใครว่า ถึงเวลากินก็ไปกินที่ศาลาหน้าโรงทาน กินแล้วก็มานอนไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นทุกข์ซ้ำลงมา มาพักก่อนก็ได้ มีเรี่ยวมีแรงเมื่อไหร่จึงค่อยปฏิบัติไม่มีใครไล่กันหนี ที่ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เอาไหม(หัวเราะ) มีอย่างนี้หนา แล้วมีความพอใจมากอยู่ที่นี่ แต่เราพอใจแบบมิตรแบบเพื่อนกัน ขอเป็นมิตรเป็นเพื่อนทุกคน
นี่คือสุคะโต สุคะโตไปดีมาดี ไม่มีใครเบียดเบียนกัน จึงได้ชื่อว่าสุคะโต ใช่ไหม(หัวเราะ) ถ้าใครยังเบียดเบียนตัวเองอยู่ไม่ชื่อว่าอยู่สุคะโต นะ ยังกินเหล้าอยู่ยังสูบบุหรี่ไม่ชื่อว่าอยู่สุคะโตนะ สุคะโตต้องไปดีไม่เบียดเบียนตนไม่เบียดเบียนคนอื่น ไปไหนก็ต้องไปทำความดี มันก็อยู่ที่เรานี้ ความชั่วก็อยู่ที่เรานี้ ให้เอาชนะตัวเอง เอาชนะความชั่วด้วยความดี อย่างเนีย สอนตัวเองให้มาก คนอื่นสอนเราไม่ได้ เรานี่แหละเห็นตัวเราเองอยู่ คนอื่นไม่เห็น เราเห็นตัวเราไม่มีคำถาม เราหลงหรือเปล่า ความหลงเกิดจากเราเอง ความไม่หลงเราก็แก้เอาเอง เวลามันหลงเปลี่ยนหลงเป็นรู้เอง ให้มันชำนาญตรงนี้ ต่อไปๆมันจะชำนาญ มันจะทำเป็น ทีแรกก็เหมือนกับว่าๆ เราหลงเปลี่ยนเอา ต่อไปไม่ได้เปลี่ยนเลย มันหลงทีไรก็รู้ทีนั้นทันที ทันทีเลย มันเป็นทำให้มันเป็น ถ้ามีความรู้แล้วได้ที่ได้ทางเป็นปกติ
บ้านของชีวิตคือปกติ ไม่ใช่บ้านเรือนหลังคามุงนะ ชีวิตเราอยู่บ้าน อยู่ในความปกติ ถ้าเป็นไม่ปกติกลางคืนเป็นควันกลางวันเป็นเปลว กลางคืนว่าฝันกลางวันมาคิด เรียกว่าเป็นคนอาภัพไม่มีบ้านอยู่ ฝันไปนอนคิดไป ทำไปคิดไป ติดอะไรมาเป็นทุกข์เรื่องใดเป็นสุขเรื่องใดมาไหลไป ไหลอยู่ คันทาเลไหลไป สันตติเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วไหลไป ไม่อยากคิดมันก็คิด ไม่อยากทุกข์มันก็ทุกข์ มันเคยชินความทุกข์ ไม่เคยชินความคิด มันไม่เคยหยุด แล้วก็มีสติลงไป มีสติลงไป รู้ทีหนึ่ง มาคิดทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง คิดทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง คิดสองครั้งรู้สองครั้ง คิดร้อยครั้งรู้ร้อยครั้ง คิดพันครั้งรู้พันครั้ง มันจะไปไหน มันไม่จริงน่ะความคิด ความรู้สึกตัวมันจริงกว่า เรามาฝึกตรงนี้กัน ไม่มีใครเห็นเราเท่ากับตัวเรา หัวเราะมัน หัวเราะความทุกข์ หัวเราะความสุข หัวเราะความหลง หัวเราะความโกรธได้ เห็นมันโกรธไม่ใช่เป็นผู้โกรธ เห็นมันทุกข์ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์มันคนละอันกัน มีโอกาสหัวเราะได้และก็ง่ายๆ ถ้าเป็นผู้ทุกข์มันยาก เป็นผู้หลงก็ยากเป็นผู้โกรธก็ยาก ให้เห็นอย่าเป็น ให้เห็นอย่าเป็น ทำได้ไหม เห็นอย่าเป็น ถ้าเป็นแล้วมันออกยาก ถ้าเห็นน่ะมันง่าย
เหมือนเราเห็นงูเนี่ย เราเห็นงูจะให้งูกัดเหรอ คนที่ปลอดภัยก็เพราะมันเห็น เห็นตาใน ตาในของเราน่ะ มันมีสองตา ตาเนื้อตาใน หน้าก็มีสองหน้า หน้าเนื้อหน้าใน วางใจให้เป็นเรียกว่า “หน้าใน” มันมีที่วาง หน้าเนื้ออาจจะหลอกกันได้ทาแป้งแต่งตัว หน้าในมันเห็นเราเองมันงามเองงามลึกนะหน้าในนี้ มันงามไม่มีแก่มีเฒ่าหน้าในนี้ไม่มีแก่มีเฒ่ามีเจ็บมีตาย เป็นของที่มั่นคง มันมองอยู่เป็นที่เป็นทาง ปกติไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด ไม่หวั่นไหวสิ่งใด มาตรฐาน “หน้าใน” นี้ เห็นกายในกาย กายในกาย จิตในจิต เวทนาในเวทนา มันมีอันหนึ่งที่ซ้อนขึ้นมา
มีกายยังไม่พอมีกายที่เป็นตัวเป็นตนเข้าไปอีก มีตัวมีตนอยู่ที่กายมากมายเป็นภพเป็นชาติอยู่ที่นั่น เกิดแก่เจ็บตายที่นั่น มีชาติมีภพอยู่ในเวทนา สุขทุกข์อยู่ที่นั่นเกิดแก่เจ็บตายอยู่ที่นั่น มีภพมีชาติอยู่ในความคิดอยู่ที่นั่นหลายภพหลายชาติในความคิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ที่นั่น มีภพมีชาติอยู่ในธรรม อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจเป็นทุกข์เป็นโทษเป็นเกิดแก่เจ็บตายอยู่นั้น ถึงว่ากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าเป็นธรรมชาติเฉยไม่เป็นไร ยุงกัดมันเจ็บ ไม่ได้กินข้าวมันก็หิว ตากแดดก็ร้อน ฝนตกก็เปียกก็หนาวมันเป็นธรรมชาติ นั่นไม่ใช่ชาติมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นสัญญาณภัยของรูป มันเป็นธรรมชาติของรูป มันเป็นอาการของรูปไม่ใช่ภพชาติ ภพชาติมันเป็นอีกนัยอยู่ที่นั่น มันเป็นนัยในภพในชาตินั้น ในความสุขก็มีการเกิดแก่เจ็บตาย สุขกี่ครั้งกี่หน ทุกข์กี่ครั้งกี่หน ในความทุกข์ก็มีภพมีชาติอยู่ในนั้น ในกายในเวทนาในจิตเหมือนกันหมด เราจะมาเห็นมันซะ เห็นแล้วไม่เป็นนี่ว่าสิ้นภพสิ้นชาติไป สิ้นภพ สิ้นชาติไป ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจอื่นต้องทำไม่มีอีกแล้ว พระพุทธเจ้าได้อุทานออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เจ้าจะมาทำอะไรให้เราไม่ได้อีกต่อไป จิตของเราถึงสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนจิตปรุงแต่ง ปรุงให้โกรธ ปรุงให้โลภให้หลง ปรุงให้รักให้ชัง ปรุงให้สุขให้ทุกข์ บัดนี้เจ้าจะมาปรุงให้เราไม่ได้อีกต่อไป จิตของเราถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหาคือถึงนิพพาน