แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
กับการศึกษาการปฏิบัติธรรม เรามีงานมีการ เรามีกิจกรรมทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น กิจกรรมให้ชวนกันทำ ตีฆ้องตีระฆังบอกกัน แต่ว่าภาคปฏิบัติต้องทำเอาเอง แล้วก็เห็นเอาเอง แก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่ถูกในสิ่งที่ผิด สิ่งที่ถูกมันก็บอกอยู่ สิ่งที่ผิดมันก็บอกอยู่ ความเป็นทุกข์ ความเป็นสุข ความเป็น ความรู้ไม่รู้ มันก็บอกอยู่ ไม่มีปัญหาอะไรการปฏิบัติธรรม เวลาใดมันหลง มันก็บอกเราอยู่ เวลาใดมันไม่หลง มันก็บอกเราอยู่ ไม่ลี้ลับซับซ้อนอะไร เวลาใดมันง่วงหงาวหาวนอน มันก็บอกเราอยู่ เวลาใดมันจิตฟุ้งซ่าน มันก็บอกเราอยู่ เราจงพยายามดูแลตัวเองเอา
โดยเฉพาะหลักของเราก็มีอยู่ ฐานก็มีอยู่ ตั้งไว้ สติปัฏฐานกายานุปัสสนา มีสติตั้งไว้ที่กาย กับกายเราก็มีอยู่ เราอยากรู้เมื่อใด้ อิริยาบทสัมปชัญญะบรรพ สร้างขึ้นมา ประกอบขึ้นมา ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว หาไม่ยาก สร้างไม่ยาก เราก็ขยันตรงนี้เพียรตรงนี้ อิริยาบทไหนก็ตาม ความรู้สึกตัวลงได้ประกอบได้ ตั้งแต่ลมหายใจ กระพริบตา กลืนน้ำลาย คู้เหยียดเคลื่อนไหว เดินจงกรมหาได้ไม่ยาก เป็นอริยทรัพย์ภายใน ก้มหน้าก้มตาสร้างตัวรู้ตัวนี้ไว้ก่อน ให้มันเป็นฐาน เป็นที่ตั้ง เหมือนหลักทรัพย์ ฐานของเรามันก็มีหลักมีฐาน เรามีทรัพย์ภายนอก มีหลักฐานบ้านเรือน เรือกสวนไร่นา มันเป็นฐานที่เราจะต้องพึ่งพาอาศัย ในยามขัดสนในยามจำเป็น ทรัพย์ภายในเรานี้ก็มีที่ตั้ง มีฐานอยู่ อยู่กับเราตลอดเวลา
เวลาเราปฏิบัติ เราก็มีหลักฐานตัวนี้ ไม่ว่าสิ่งหนึ่งจะทำให้หลุดให้หลงไป เราก็กลับมาหาที่ตั้ง เวลานี้เวลาที่เรามาเจริญสติ ไม่ใช่เวลามาคิด มาสุข มาทุกข์ มาเอาผิด มาเอาถูก คนอื่นจะทำให้เราผิด คนอื่นจะทำให้เราถูก คนอื่นจะทำให้เราสุข เราทุกข์ ไปก่อน ลัดคิวไปก่อน อย่าไปมั่วสุขมั่วทุกข์กับตัวเองกับคนอื่น มาเจริญสติ มาเจริญสติ เนี่ย ทำเอา ทำเอา รู้เอาไว้ รู้เอาไว้ หัดให้มันเคยชิน ให้เป็นนิสัยง่ายที่จะรู้ต่อไป ทำใหม่ ๆ อาจจะง่ายที่จะหลง ความรู้สึกตัวคือทั้งหมดของชีวิตแล้ว รับผิดชอบตัวเองแล้ว อยู่ด้วยชอบแล้ว
เมื่อไรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพวกเธออยู่ด้วยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ นี่แหละความอยู่ด้วยชอบ คือรู้สึกตัว รู้สึกตัวอยู่เนี่ย ไม่ใช่อยู่สุคะโต ไม่ใช่อยู่ประเทศอินเดีย อยู่กับพระพุทธเจ้านั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง การอยู่ด้วยชอบคือมีความรู้สึกตัว ถ้าจะพูดก็รู้สึกตัวแล้วพูด ถ้าจะทำก็รู้สึกตัวแล้วทำ ถ้าจะคิดก็รู้สึกตัวแล้วคิด เอาคำพูดมาใช้ เอากายมาใช้ เอาใจมาใช้ อย่าให้มันใช้เรา เราใช้มันก่อนเถอะช่วงนี้ เป็นความคิดมันจะใช้เรามากกว่าอย่างอื่น ความร้อน ความหนาว ความหิวมันใช้เราเป็นครั้งเป็นคราว ถ้าหิวก็ไปกินข้าว ถ้าร้อนก็ไปอาบน้ำ ถ้าหนาวก็ห่มผ้า แต่ว่าความคิดนี่มันใช้เราเก่งที่สุด มันพยายามที่จะหาโอกาส แม้แต่นอนก็ยังฝันเพ้ไป ก็ยังมาฝึกหัดเพื่อให้เป็นใหญ่ในชีวิต
ความรู้สึกตัวมันเป็นใหญ่ในชีวิต ที่จะใช้ชีวิต ไม่มีอะไรใช้เลยมัน ทั้งหมดคือความรู้สึกตัวน่ะ พอเราเห็น เห็นอะไรทุกอย่าง ทำใหม่ๆ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายกับใจ จะโชว์ให้เราเห็นอยู่ทุกเรื่องทุกราว ในกายในใจ ในกายก็มีเยอะแยะที่เป็นทุกข์ที่เป็นสุข ในจิตใจก็มีเยอะแยะที่เป็นทุกข์ที่เป็นสุข ก็อย่าไปติดสุข ก็อย่าไปติดทุกข์ ความสุข ความทุกข์น่ะมันเป็นสังขารอยู่ ความไม่สุขความไม่ทุกข์ ที่มันอยู่กลางๆ ก็ยังเป็นสังขารอยู่ อย่าไว้ใจ ถ้าไม่มีสติ ถ้าไม่มีสติมันแปรเปลี่ยนได้ ในความทุกข์มันก็มีความสุข ในความสุขมันก็มีความทุกข์ พอมีสติความสุขความทุกข์ไม่ใหญ่ เราก็เห็นมันเฉยๆ ความรู้สึกตัวนี่จะเป็นใหญ่กว่าน่ะ เรียกว่าสติอินทรีย์ ไม่ใช่ตา ไม่ใช่หู ไม่ใช่จมูก ไม่ใช่ลิ้น ใช่กายเป็นใหญ่ ใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ว่าเมื่อสติอินทรีย์ใหญ่แล้ว เอาตา เอากาย เอาใจ เอาหู เอาจมูก ลิ้น มาใช้ตามความเหมาะสม
เราเพียรพยายามสร้างตัวนี้ขึ้นมา เรามันมีอะไรที่ทำให้หลงอยู่ ก็รู้มันซะ อย่าพลัดไปกับมัน เปลี่ยนมันซะ เวลามันหลง เปลี่ยนเป็นตัวรู้เสียก่อนเถอะ มันจะเป็นสุข เป็นทุกข์ ก็เปลี่ยนเป็นตัวรู้เสียก่อนเถอะ อย่าด่วนไปรับเอาสุข อย่าด่วนไปรับเอาทุกข์ รู้สึกตัวเอาไว้ก่อน นี่คือปฏิบัติ เอามาเป็นตัวรู้ทั้งหมดเลย เรื่องของกายของใจนี้ ไม่มีอะไรเสียหายหรอก ถ้าเราทำเป็น
หลักของภาวนาเปลี่ยนร้ายเป็นดีได้ทั้งนั้น สมกับชื่อเป็นภาวนา เป็นวิชาที่ครอบจักรวาล เพราะว่ามันเปลี่ยนได้จริง ๆ มันทุกข์ก็เปลี่ยนไม่ทุกข์ มันสุขก็เปลี่ยนไม่สุข มันหลงก็เปลี่ยนไม่หลง ความรู้สึกตัว แล้วค่อยไปตามสภาวะธรรมของเขา โดยไม่ต้องโง่หลงงมงาย ความรู้สึกตัวนี่เป็นชีวิตจริง ๆ เป็นชีวิตที่เราใช้ได้ เราใช้มันได้ สำเร็จประโยชน์ ความหลงไม่ใช่ชีวิต ความสุขความทุกข์ไม่ใช่ชีวิต ความรู้สึกตัวนี่ต่างหากเป็นชีวิตของเรา ฝึกให้มาก เจริญให้มาก มันหลงเพื่อให้เราศึกษา มันสุขมันทุกข์เพื่อให้เราศึกษา
เรียกว่าสิกขา เป็นชีวิต สิกขาและธรรม เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของเราทั้งหลาย ย่อยออก ไม่ให้เป็นดุ้นเป็นก้อน จึงจะเป็นชีวิตจริง ๆ ถ้าเราไม่ศึกษา ไม่มีไตรสิกขา มันก็เป็นดุ้นเป็นก้อน เป็นตัวเป็นตนอยู่ในทุกเรื่องทุกราว ถ้าเราศึกษาสิกขาแล้ว ก็จะหลงกลายเป็นศีล เป็นสมาธิ กลายเป็นปัญญา ศีลกำจัดทุกข์ สมาธิกำจัดทุกข์ ปัญญากำจัดทุกข์ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นตั้งอยู่ ถ้าไม่มีทุกข์ก็มันไม่มีอะไรที่ตั้งเลยต่อไปน่ะ มันด้วนพอสมควรอยู่ ถ้าจะเปรียบ เหมือนเราไปไหนก็ไม่ต้องไปเข้าคิว วิเศษ วิเศษ วิเศษ คือ วิปัสสนากรรมฐาน วิเศษในชีวิต เป็นโอกาสวิเศษทุกเรื่องทุกราว ไม่ข้อง ไม่ติด ไม่เข้าคิว ไม่เข้ารอก เป็นชีวิตที่เป็นอิสระที่สุด
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เราใช้สิทธิ์ของเรา เราใช้สิทธิ์ เราใช้หน้าที่ของเรา ใช้ความเป็นธรรมที่มีอยู่ในเรา ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมา สร้างขึ้นมาประกอบขึ้นมา ไม่ใช่มัวแต่เอ้อยู่ ไม่ใช่ เอาทันทีเลย อยู่ที่ไหนก็รู้ได้ทันที หรือว่าการเก็บอารมณ์ บางทีพวกที่มาทำวัตร ไม่ได้เก็บอารมณ์ ไม่ใช่ พวกที่ปฏิบัติ พวกที่ปฏิบัติอยู่ในกลด อยู่ในกุฏิ อยู่ในกระต๊อบ ไม่มาฉัน ไม่มาทำวัตรนั่น เป็นผู้ที่เก็บอารมณ์ ก็ไม่ใช่ เรียกว่าเป็นกรณีพิเศษ ที่เขาคิดจะทำขึ้นมา เราเก็บอารมณ์ ก็คือรู้สึกตัวนั่นแหละ ถ้าไม่เก็บอารมณ์ คือไม่ปล่อย ทิ้งๆ ขว้างๆ ลำดับลำนำ
ผู้ที่อยู่ไม่มาทำวัตร ก็คิดเป็นสุขเป็นทุกข์เป็น ผู้ที่มาทำวัตรก็คิดเป็นหลงเป็นสุข เป็นทุกข์เป็น เราก็เปลี่ยนมันอยู่ตรงนั้นแหละ เรียกว่าเก็บอารมณ์ คือเก็บเอาความรู้สึกตัว ให้มันมีให้มันมากขึ้นมา จนเป็นมหารูปเป็นมหาสติ เราก็สร้างเอาก็ได้ ประกอบเอาก็ได้ เรามีวัสดุอุปกรณ์ สร้างขึ้นมา มันหลงก็ดี จะได้รู้ มันสุขก็ดี จะได้รู้ มันทุกข์ก็ดี จะได้รู้ อะไรที่ไม่ใช่สติ นั่นแหละมันตรงกันข้ามพอดี สติสัมปชัญญะเป็นหลัก มีกายเป็นฐาน แม้แต่จิตใจ แม้แต่บำเพ็ญทางจิต ก็คือจิตนี่แหละ ที่มันหลงตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งสุดท้าย เรียกว่าบำเพ็ญทางจิต เช่นเรากำหนดกายเคลื่อนไหว มีสติอยู่ ก็ถือว่าบำเพ็ญทางจิต เราเห็นแล้ว เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม
เมื่อสิ่งเหล่านั้นมันเกิดขึ้นมากับเวทนา เวทนาอาจจะชำนิชำนาญแล้ว เข้าใจเรื่องอารมณ์เบื้องต้น รู้จักรูป รู้จักนาม พอเวทนามันเกิดขึ้น เราเรียกว่าเป็นอาการ วับ ๆ แวมๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ยิ่งใหญ่ เพราะเราเห็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นธรรมที่เป็นความรู้ ความไม่รู้ เป็นกุศลเป็นอกุศล ก็เรื่องเก่า เรื่องเก่าไม่มากไม่เป็นภาระ ได้หลักได้ฐาน เห็นรูป เห็นนาม มาบำเพ็ญทางจิต มาบำเพ็ญทางจิตก็ใช่ว่าไปนั่งคอยดูความคิดตัวเอง เมื่อไรมันจะคิด เมื่อไรมันจะคิด ไม่ใช่อย่างนั้น การบำเพ็ญทางจิต ก็คือมามีสตินี่แหละ สติเหมือนเดิม แต่มันตรงกัน ตรงกันความรู้สึกตัวตรงกับจิตพอดี เพราะจิตมันเป็นคู่แข่ง ความคิดที่เกิดกับจิต ความหลง ความสุข ความทุกข์ ที่มันเกิดกับจิต มันจะเป็นคู่แข่งของสติ ส่วนกาย ส่วนเวทนา ส่วนธรรม ที่มันเป็นอาการต่าง ๆ มันแข่งไม่ได้แล้ว เอาไว้หลังแล้ว เหมือนนักกีฬาเขาไปแข่งขันกัน เอาไว้หลังแล้ว คู่แข่งจริง ๆ ต้องเป็นรอบสุดท้าย รอบสุดท้ายของชีวิตเรา คือบำเพ็ญทางจิต ชนะก็ชนะตรงนี้แหละ จึงเรียกว่าบำเพ็ญทางจิต มีสติดูจิต มีจิตดูจิต เนี่ยหลวงพ่อเทียนพูดอย่างนี้ เป็นคำพูด แต่ว่าเป็นการกระทำเป็นเรื่องของเรา
มีสตินี่มันก็จิตมันนั่นแหละเป็นรูปเป็นกายนั่นแหละ เป็นจิตนั่นแหละเป็นรูปเป็นนามนั่นแหละ ทั้งหมดแล้ว ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัว ทั้งหมดของชีวิต ทั้งหมดของการบำเพ็ญทางจิตแล้ว ถ้ารู้สึกตัวก็พัฒนากาย พัฒนาจิตแล้ว ไม่สิ้นเปลืองพลังงานไปทางอื่น ความรู้สึกตัวคือเรื่องของกายเรื่องของใจ เรื่องของรูป เรื่องของนาม พัฒนาทั้งสองอย่าง พอมันหลงก็พัฒนาเป็นไม่หลง ได้ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ไปจ้อง ไปมองหาความคิดเมื่อไรมันจะคิด ทำไมมันจึงคิด ไม่ใช่ สร้างสติตะพึดตะพือไป สติตัวนี้ก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็เป็นพละ เป็นกำลังไปเรื่อย ๆ เข้มแข็งไปเรื่อย ๆ จนเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ศีลก็ปกติแล้ว คนมีสติก็คือปกติแล้ว
สตินี่แหละทำให้ปกติ เหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบ ไม่สะเทือนเพราะลมฉันใด คนมีความปกติไม่สะเทือนเพราะนินทาสรรเสริญน่ะ มันหนักแน่น การใส่ใจที่จะรู้สึกอยู่เสมอ ไม่ทอดธุระ เกาะกันไว้เป็นโซ่ยาวออกไป การใส่ใจที่จะรู้สึกตัว ใส่ใจที่จะรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็ประกอบสัมผัสได้จริง ๆ อยู่กับกายอยู่กับอะไรก็ได้ รู้สึกตัวทุกเรื่องทุกราวแหละ เรียกว่าสมาธิแล้ว ชัดเจนแล้วเฉพาะเรื่องเฉพาะราว ไม่สับสน สมาธิคือเฉพาะเรื่อง ชัดเจนแม่นยำ ดูกายก็รู้กาย จะใช้ใจก็ใช้ใจ จะใช้ตาก็ใช้ตา จะใช้หูก็ใช้หู เฉพาะเรื่อง ไม่ปนเปกัน เรียกว่าสมาธิชัดเจนแม่นยำ
เหมือนกับเราเป็นเจ้าระเบียบ จัดสิ่งจัดของเครื่องใช้ไม้สอย เราอยู่กรุงเทพ ก็จะบอกคนที่อยู่บ้าน เอาอันนั้นอยู่ตรงนั้น ใช้ไม่ได้ ชัดเจน เห็นกายตามความเป็นจริง เห็นศีล เห็นสมาธิ เห็นปัญญา เห็นรูป เห็นนาม เห็นบาป เห็นบุญ ไม่หลงในบุญ ไม่หลงในบาป ผ่านมาแล้วนั่นแหละ มีปัญญาก็รอบรู้ รอบรู้ รู้รอบอยู่เสมอ ไม่ไปทางเดียว เรามีหลายอย่างในรูปในนาม อะไรที่มันเกิดรูป เกิดถูก เกิดผิด เกิดสุข เกิดทุกข์ ในรูปในนาม รอบรู้เป็นความรู้สึกตัว ถ้าเป็นคำพูดก็ รู้แล้ว รู้แล้ว ว่าอย่างนี้ คำว่ารู้แล้วมันก็ถูกต้องทั้งหมดแล้ว นั่นแหละวิปัสสนาคือรู้แล้ว ถ้ารู้แล้วก็พ้นแล้ว เราจึงฝึกหัดให้มันเป็น คำว่ารู้แล้วไม่ใช่คำพูด เป็นณาณ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นพลังของปัญญา ที่สุดคือปัญญา ปัญญาสมาธิศีล ศีลสมาธิปัญญา มันรอบน่ะ สนับสนุนกัน เหมือนจักร เหมือนกงจักร
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร มันหมุนไปในกลุ่มของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ของสติเนี่ย มันเหยียบไป ความโง่หลงงมงาย ความสุข ความทุกข์ ความโกรธ ความโลภ ความหลง มันเหยียบย่ำไปจนแหลกแล้ว กลายเป็นปุ๋ยไปเลย เหมือนพวกเราไถหญ้าคา ปลูกป่า แต่ก่อนเป็นป่าเป็นพงเป็นดง ก็ถูกเหยียบย่ำลงไป พลิกลงไป เปลี่ยนลงไป กลายเป็นปุ๋ย หญ้าคาเป็นตันๆ มารวมกัน ความรู้สึกตัว ตัวนี้เป็นประโยชน์ ได้ประโยชน์จากความหลง ความผิดที่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้น พ้นอะไร ก็พ้นจากทุกข์ที่มันมี พ้นจากปัญหา พ้นจากภาระ นั่นแหละ นั่นแหละ เป็นที่เกณฑ์ชี้วัดให้เรา สุขใครจะไม่รู้ ทุกข์ใครจะไม่รู้ ความหลงใครจะไม่รู้ ความโลภ ความโกรธ ใครจะไม่รู้ ความง่วงหงาวหาวนอน ใครจะไม่รู้ รู้มาแล้วทั้งนั้น ไม่ต้องมาบอก ไม่ต้องมาอธิบาย ไม่ต้องอธิบายให้ฟัง รู้แล้วน่ะก็มาทางนั้นจริง ๆ เราเดินก็เดินทางเดียวกัน คนที่ผ่านก็ผ่านไปทางเดียวกัน คนที่พ้นสิ่งนั้นก็พ้นเหมือนกัน เรียกว่าปฏิบัติธรรม
ทางอันเอกหมายเลขหนึ่ง เดินคนเดียว ไปที่เดียว ไปถึงจุดหมายปลายทางอันเดียวกัน ไปสู่ที่เดียวกัน ของจริงต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะอันนั้นเป็นพุทธ อันนั้นเป็นคริสต์ อันนั้นเป็นอิสลาม ไม่ใช่ มันเป็นสมมุติบัญญัติ จะเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลาม เป็นฮินดู ก็คือรูปกับนาม ในรูปในนามก็มีเหมือนกันนั่นแหละ เหมือนกัน มีสุข มีทุกข์ มีร้อน มีหนาว มีเวทนา มีหิว มีโลภ มีโกรธ มีหลง ศาสนาก็คือตัวรูปตัวนาม ตัวหมู่นี้มันไม่จะไปทั่วโลก แต่มันไม่มีทุกข์ นั่นแหละตัวศาสนาจริง ๆ คือพ้นจากสิ่งเหล่านี้ ถ้ายังโกรธอยู่ ถ้าพูดภาษาธรรมะน่ะ เรียกว่าไม่มีศาสนา แต่แม้จะว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ก็ว่าแต่ปากเฉย ๆ ภายในลึกซึ้งไม่มี เป็นภาษานกแก้วนกขุนทองไป
แต่ตัวศึกษาจริง ๆ มันมี ไม่ต้องว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ก็ได้ มันก็เห็นแจ้ง คนมีศาสนา คือคนที่ไม่มีทุกข์ ไม่หลง ไม่โกรธ เมื่อไม่ทุกข์ ไม่หลง ไม่โกรธ ไม่วิตกกังวล ไม่เศร้าหมอง เป็นชีวิตที่มั่นคง เป็นการพึ่งได้ คนอื่นก็พึ่งได้ สิ่งอื่นก็พึ่งได้ ถ้ายังมีความทุกข์ ความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้น่ะ จึงมาสร้างมาปฏิบัติให้มันมีตั้งแต่วันนี้เวลานี้ เพราะสิ่งที่ทำให้เราหลงในตัวเราก็มีมากเหลือเกิน ให้พ้นซะ ทำให้หลุด ทำให้พ้นซะ มันก็รีบด่วนอยู่หรอก การปฏิบัติธรรมน่ะ ได้ดั่งใจอยู่ สมปรารถนาอยู่ เรียกว่า มนุษย์สมบัติอยู่ ใช้ได้จริง ๆ มันหลงก็เปลี่ยนเป็นตัวรู้ได้จริง ๆ มันทุกข์ก็เปลี่ยนเป็นตัวไม่ทุกข์ได้จริง ๆ มันโกรธก็เปลี่ยนเป็นตัวไม่โกรธได้จริง ๆ แล้วก็เปลี่ยนได้ตัวเองจริง ๆ สิ่งที่เราเปลี่ยนก็ได้ทันที ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เป็นปัจจุบัน ใช่ไหม เวลาเราหลงเนี่ย รู้จริง ๆ เป็นปัจจุบันจริง ๆ ไม่ใช่วันนี้หลง พรุ่งนี้ค่อยรู้ก็ได้หรอก อันนั้นไม่ใช่ ความทุกข์ไม่ใช่เอ้อวันนี้ทุกข์ไปก่อน จะเป็นสุขต้องเป็นทุกข์ลงทุนก่อน คนก็ว่ากันไป เป็นคำพูดที่ไพเราะ
ที่จริงเอาจริง ๆ ภาคปฏิบัติน่ะ มันเป็นบทเรียนเฉย ๆ พอมันทุกข์ก็ไม่ทุกข์ทันทีน่ะ เมื่อมันหลงก็ไม่หลงทันที เมื่อมันโกรธก็ไม่โกรธทันที นี่ให้ได้อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติ เรียกว่าพุทธศาสนา ถ้ามีบุญก็มีบุญได้จริง ๆ ใจดีเดี๋ยวนี้น่ะ ถ้ามีบาปก็ละได้จริง ๆ ความโกรธเมื่อกี้นี้หยุดทันที หยุดได้แล้วจริง ๆ นี่แหละ ถ้าเป็นประตูสวรรค์ก็เปิดได้ เข้าไปสวรรค์ มันปิดอยู่คืออะไร ความปิดของสวรรค์คือความหลง มันปิดประตูสวรรค์ความหลง พอสร้างความรู้สึกตัวก็เปิดแล้วน่ะ ไม่หลงแล้ว ถ้าจะปิดประตูนรกก็ปิดได้ทันที ความหลงมันเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเรามีความรู้สึกตัว เอาอย่างนี้ไปก่อน เห็นกับหูกับตาอย่างนี้ไปก่อน ทำได้กับมือ กับกาย กับใจ เราอย่างนี้ไปก่อน มันจึงจะเป็นของจริง ที่เป็น
ปัจจัตตัง ถ้าไม่ทำกับมือ เห็นกับหูกับตา ทำได้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เป็นปัจจัตตัง ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นปัจจัตตัง ไม่ใช่ชาตินี้ต้องสร้างบารมี ชาติหน้าจึงค่อยจะบรรลุธรรม ไม่ใช่ บรรลุธรรมเดี๋ยวนี้ เอาบัดนั้นแหละ มันหลงก็รู้เดี๋ยวนี้ บรรลุธรรมแล้ว มันโกรธก็เปลี่ยนความโกรธเดี๋ยวนี้ บรรลุธรรมแล้ว พ้นจากความหลง พ้นจากความโกรธ มีความรู้สึกตัวแล้วนั่นแหละ ของจริงต้องเป็นอย่างนี้ อันเดียวกัน ของจริงต้องเป็นอันเดียวกัน
เหมือนหลวงพ่อเทียนพูด ใครพูดก็ตามถ้าเป็นของจริง ต้องเป็นอันเดียวกัน เป็นความรู้สึกตัวเนี่ย ถ้าเรามีความรู้สึกตัว ก็เป็นคนคนเดียวกัน เป็นคติอันเดียวกัน ถ้าเป็นความหลงจึงเป็นคนละคน หลงคนละวาระ หลงคนละเรื่องเนี่ยก็มีเหมือนกัน แต่ใครจะหลงอย่างไรก็ตาม ก็รู้สึกตัวก็อันเดียวกันทันที นี่คือตัวปฏิบัติ ผู้มาปฏิบัติก็จงมั่นใจ ผู้พูดก็ยืนหยัดมั่นใจ ผู้สอนก็มั่นใจ คำสอนที่เราสอน ที่เราพูดกันก็เป็นพุทธศาสนา เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ทรงเห็นแจ้งมาแล้ว
เมื่อเรามาทำดู มาทำดู ก็เป็นจริงอย่างที่คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า พุทโธเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนั่นแหละ เป็นจริง หลงว่าได้รู้ได้จริง ๆ น่ะ ต่างกันอยู่ ความหลงกับความรู้เลือกได้ น่ะไปอย่างนี้พวกเราปฏิบัติธรรม ไม่ใช่มาอ้อนวอนเอาดีจากใคร ถ้าจะเอาดีก็เอาดีเอง ทำตามเอง ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเราที่นำมาสอนกันอยู่นี่ ก็เอามาจากพระพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบ เรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นคุณธรรมที่มีอยู่กับทุกชีวิต ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่โน่นที่นี่ ไม่ใช่ แล้วดีจากอาจารย์องค์นั้น หลวงพ่อองค์นี้ อันนั้นมันเนินช้า ไปกราบอาจารย์องค์นั้น ไปกราบหลวงพ่อองค์นี้ อาจารย์ของฉัน นั่นไม่ใช่ เอาดีจากการกระทำของตัวเอง ถ้ามีเมตตาก็มีเมตตาซะ ถ้ามีอดทนก็มีอดทนไว้ ถ้ามีสติก็มีสติ ถ้ามีศีลก็มีเอาเอง มีสมาธิมีปัญญา อย่าไปพึ่งใคร การปฏิบัติธรรมต้องพึ่งตนเอง ต้องแก้ไขตนเอง ต้องมีสติ นี่คือคำสอนที่เป็นจริง กำมือเดียว กำมือเดียว
ต้องมั่นใจอย่างนี้การปฏิบัติธรรม แล้วเมื่อมั่นใจอย่างนี้ก็กระตือรือร้นมาก ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ๆ อย่างนี้เราเป็นภาระต่อกันมาก เราเบียดเบียนตัวเอง ก็คนอื่นก็เดือดร้อน เราเบียดเบียนคนอื่น ก็คนอื่นก็เดือดร้อน อย่างโจรภาคใต้ผู้ก่อเรื่องก่อราว เขาก็เบียดเบียนคนอื่น ก็เดือดร้อนถึงพวกเรา พวกเราก็ต้องจะไปช่วยกัน คิดจะไปช่วยกัน อยากจะไปเยี่ยมพระภาคใต้ เราก็มีเพื่อนที่นั่นด้วยน่ะ ตอนนี้เจ้าคุณสมเด็จพุฒาจารย์ฯ ก็ไปที่โน้นแล้ว ผู้ปฏิบัติแทนสมเด็จพระสังฆราช มันก็เดือดร้อนกัน นี่ปฏิบัติธรรม ตั้งต้นจากตัวเรานี่แหละ ให้มั่นใจ ให้มั่นใจ จะอยู่แห่งหนตำบลไหนก็อยู่กับตัวเรา เราอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่อยู่ด้วยกันหรอก อยู่กับตัวเอง เราหลงก็หลวงพ่อก็ช่วยไม่ได้ ท่านต้องช่วยตนเองไม่ให้หลง ใครจะเก็บอารมณ์ ใครจะไม่เก็บอารมณ์เหมือนกันน่ะ ดูแลตัวเอง ก็ว่าแต่ฟังเอาไว้ เนี่ยบอกไว้อย่างนี้ ให้รู้สึกตัว ให้รู้สึกตัว แล้วก็ทำได้ด้วย ในการเวลาสร้างความรู้สึก มันก็มีความหลงเกิดขึ้นบ้าง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าไปสะดุด ปล่อยให้มันเรียบไปเลย ความหลงทำให้เราเรียบน่ะ เอาดี ๆ แล้วน่ะ ไม่ใช่ทำให้เป็นคลื่นน่ะ ความหลงทำให้เราเรียบ
เราสร้างความรู้สึกตัวมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดความเรียบ เหมือนเขาสร้างรถอะไร รถวิบากรถอะไร ที่ลุยขี้โคลนขี้ตมน่ะ ไม่หยุดหรอก มันลดการตุ้ม มี 2 เพลา ขึ้นเขาขึ้นอะไรก็ได้ มันทำให้เข้มแข็ง ความอ่อนแอทำให้เกิดความเข้มแข็ง ในชีวิตเราก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็พูดให้กันฟังทุกเช้าทุกเย็น พวกเราก็มีเพื่อนมีมิตรน่ะ อุ่นใจ