แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ทำงานทางกาย สำเร็จได้ทางใจ เพราะทำด้วยมือ แต่การทำงานทางศาสนา การประกาศศาสนา ทำงานทางวาจาทางปาก มันก็ทำให้กันไม่ได้ ไม่สำเร็จด้วยมือ เช่น เราจะปลูกป่า เราปลูกด้วยมือของเรา กี่ชั่วโมง แล้วแต่กำลังของเรา ปลูกที่ไหนก็ได้ที่นั่น ปลูกหนึ่งต้นก็ได้หนึ่งต้น เรารดน้ำ เมื่อถูกน้ำต้นไม้ก็งามขึ้นมา สร้างวัด สร้างศาลากุฎิ ตั้งเสาก็ได้ต้นเสา ติดคานติดขื่อ ก็ติดขื่อขึ้นไป ติดหลังคามุงหลังคา ปูพื้น ตีฝา ติดประตูหน้าต่าง ก็สำเร็จไปเป็นอันเป็นอันไป จนสำเร็จจนสำเร็จ ใช้ได้ ๆ แบบนี้คือทำงานทางกาย สำเร็จไปมาก
แต่ว่าทำงานทางสอนทางศาสนานี่ บอกให้มีสติ ก็ทำให้กันไม่ได้ คนที่ถูกบอกก็ทำเอาเอง มือที่สอง ผู้หนึ่งบอก ผู้หนึ่งทำ มันไม่ใช่อยู่กับตัวเรา เวลามันหลงให้รู้ก็บอก คนที่หลงไม่ได้เปลี่ยนเป็นรู้ก็ไม่สำเร็จ แล้วก็คนที่หลงก็ไม่เปลี่ยนให้รู้ คนที่ทุกข์ไม่เปลี่ยนให้ไม่ทุกข์ มันก็ทำให้กันไม่ได้ ถ้ามันก็เปลี่ยนได้อยู่ แต่คนที่บอกไม่เปลี่ยนให้ แล้วก็ไม่สำเร็จ อันนี้ทางวาจา แม้แต่ปูนอายุแก่มาแล้วนี่ ทำงานทางวาจาสำเร็จได้ช้า บางโอกาสก็ไม่กล้าบอก เกรงทำไม่ได้ให้คนอื่นทำ เกรงใจ บอกหนึ่งครั้งสองครั้ง ถ้าคนที่ถูกบอกไม่ทำ มันก็ไม่สำเร็จ เสียวัน เสียเดือน เสียปีไป เสียเวลา
เสียเวลานี้ เที่ยวไปวัดภูเขาทองบอกให้พระรดน้ำต้นไม้ให้ แต่กลับไปดูวันสองวันกลับไปก็ไม่มีใครรดให้นี่ มันก็ไม่สำเร็จ ต้นไม้ก็ไม่งาม บางต้นก็ต้องตายไป ต้นไม้เพาะใหม่ ต้นกล้าใหม่ โครงการ30ปีข้างหน้า เพาะต้น พยูง เลี้ยงต้นพยูง ลงทุนซื้อต้นไม้มา ซื้อกระถางมา ซื้อปุ๋ยไปใส่ เปลี่ยนถุงยางเป็นกระถาง กะว่าจะเพาะไว้เลี้ยงไว้สักสามปีให้มันสูงเพียงหัวนี่ ก็รดทุกวัน สูงได้ แล้วจึงจะได้นำไปปลูก ปลูกอีกสามสิบปี ต้นพยูงที่ปลูกก็จะต้นเท่าต้นเสานี่ แล้วขายต้นละห้าหมื่นบาท คิดอย่างนี้ (หัวเราะ) แล้วก็ไม่โต คิดว่าอีกสามสิบปี วัดป่าสุคะโตจะมีเงินร้อยล้านบาท(หัวเราะ) อันนี้คิด โครงการสามสิบปีหลวงพ่อตายไปแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังก็อาจจะพอมีเงินมีทอง ทำดีไว้เพื่อลูก ทำถูกไว้เพื่อหลาน นี่ทำด้วยวาจา บางทีใช้มาก เขาก็จะหาว่าร่ำรี้ร่ำไร
หากผู้เฒ่า หลวงพ่อผู้เฒ่าร่ำรี้ร่ำไร เขาโกรธเขาเกลียดก็มีนะ ยิ่งไม่ได้เต็มที่ การบอกธรรม สอนธรรมก็เช่นเดียวกัน ร่ำรี้ร่ำไรอยู่นี่แหละ งมๆซาวๆอยู่นี่ บอกให้มีสติไปในกายนี่เป็นประจำ โดยรูปแบบ สอนให้ทีเดียวก็ทำเป็นแล้ว เราก็มีสติดูกายเคลื่อนไหว เห็นใจที่มันคิด ตรงนี้ มันก็ดีมีบทเรียน มีงานของผู้ที่ปฏิบัติธรรม ได้มีการกระทำเกิดขึ้นตรงนี้ หรือว่ากรรมฐานคือการกระทำ ทำไปในกายทำไปทำใจ บางทีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นที่กาย สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นที่ใจ ก็จะได้เปลี่ยนเป็นรู้ อย่างนี้ จึงเป็นงานเป็นการที่เป็นงานศักดิ์สิทธิ์กว่าทำอันอื่น ทำได้ก็เป็นสมบัติของผู้ทำเอง ถ้าเป็นทรัพย์ก็เป็นอริยทรัพย์ มันเหมือนปลูกต้นพยูงต้นไม้ สร้างบ้านสร้างเรือน มันไม่จีรังยั่งยืนเป็นทรัพย์ภายนอก ผุพังไปไม่กี่ปีกี่เดือน แต่ก็ไม่ใช่ของส่วนตัวเราเอง เป็นของคนอื่น เปลี่ยนกันใช้
นี่อย่างหลวงตาก็เกิดมานานพอสมควร สร้างบ้านหลังใหญ่ ตั้งแต่สมัยเป็นหนุ่ม สับซาว(บุกเบิก) ที่นาที่สวน จนได้มีต้นไม้ทำอยู่ทำกินได้ แต่ทุกวันนี้เป็นของคนอื่นไปแล้ว ทีแรกก็มีแม่อยู่ แม่ก็เสียไป แม่เสียไปก็มีน้องสาว น้องสาวก็มีลูก ลูกของเขาก็เป็นลูกผู้หญิง เขาก็มีสามี มีลูกเขย และน้องสาวของหลวงตานี่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแล้ว มอบให้ลูกเขยของเขา ลูกเขยของเขาก็เป็นหลานเขยของเรา เวลาเราไปบ้านก็ไม่กล้าไปดูที่เคยอยู่ แต่ก่อนแม่ยังอยู่ก็ไปทุกที่ ไปดูที่นอน ไปดูที่เคยอยู่เคยกิน เดี๋ยวนี้ก็ไปไม่ค่อยได้ ไม่กล้าไปด้วยซ้ำไป กลัวหลานเขยเขาจะรังเกียจ หาว่าหลวงตามาวนเวียนอะไรอยู่ที่นี่ ก็เลยไม่กล้าไป อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ของเราแน่นอนแล้ว เขาโอนเป็นชื่อของเขาไปแล้ว นาก็เหมือนกัน แต่ก่อนถึงว่าของเรามันไม่ใช่ ไม่เหมือนกับอริยทรัพย์ภายใน อริยทรัพย์ภายในนี่ ได้ของตัวเองแท้ๆเนี่ย ได้ความรู้สึกตัว ได้ความไม่ทุกข์เกิดขึ้นจากความทุกข์ ได้ความไม่หลงเกิดขึ้นจากความหลง ได้ความถูกต้องเกิดขึ้นจากความผิดที่เคยผิดมา มันไม่ผิดอีกแล้วอย่างนี้
ใช้จนตาย ใช้ไปได้ทุกวัน มีให้ใช้ทุกวัน ตาเห็นรูปก็ไม่หลง หูได้ยินเสียงก็ไม่หลง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส จิตใจมันคิดก็ไม่หลง แต่ก่อนนี้หลงไป แล้วก็มีสมมุติบัญญัติว่าดีว่าไม่ดี ว่าชอบว่าไม่ชอบกันไปโน่น เฉลยก่อนน่ะ กายเห็นรูปก็ไปโน่น หูได้ยินเสียงก็ไปโน่น วิ่งไปไกล วิ่งพาไปไกล บางทีเกิดกิเลสตัณหาราคะเกิดโกรธโลภเกิดทุกข์เกิดหลง แล้วก็สิ่งต่าง ๆ บัดนี้มันไม่ไป มันฉลาด มันรู้สึกตัว เนี่ยได้เห็นตัวเองเป็นตัวเอง เห็นกายเห็นใจก็เห็นเป็นรูปเป็นนาม เป็นรูปธรรมนามธรรม รูปมันก็บอกถึงรูปว่ามันคืออะไร นามก็บอกถึงนาม เป็นวัตถุอาการอันหนึ่ง ตาก็เป็นวัตถุอันหนึ่งที่มันเห็นก็มองไปก็เห็นเป็นรูป อันนี้เป็นวัตถุอาการที่เกิดขึ้นกับรูปกับนาม และไม่ใช่อะไรที่ไหน แล้วเราไปสมมุติเอา บัญญัติเอา
สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราได้สัมผัส เลยทำให้เกิดอาการต่าง ๆขึ้นมา เรียกว่าอาการ ความโกรธก็เป็นอาการ ความทุกข์เป็นอาการ แต่เรานึกว่าเราโกรธเราทุกข์ แต่ก่อนจิตใจมันดีอยู่ แต่ว่าเวลามันโกรธก็ว่าใจน่ะคือใจเราโกรธ เราโกรธ เราโกรธ ทำตามความโกรธก็เสียเปรียบความโกรธความทุกข์ นี่ ก็เป็นอย่างนี้ และก็พึ่งตัวเองก็ไม่ได้ มีใจก็พึ่งใจไม่ค่อยได้ กลางคืนว่าฝัน กลางวันว่าคิด ไหลเรื่อย ก็เลยไม่ได้ใช้ใจตามความเป็นจริง อาศัยไม่ได้ เวลามาฝึกใหม่ๆไม่อย่าคิดมันก็คิด เคยคิดอะไรมาก็คิดไปทางนั้น คนมีลูกก็คิดถึงลูก คนมีเมียก็คิดถึงเมีย มันมีอะไรก็คิดเรื่องที่มันเคยชินมา มันเคยไหลมา ก็เลยสอนมันเนี่ย เดี๋ยวนี้มันเป็นส่วนตัว ๆ ไม่มีถูกแบ่ง แต่ก่อนความรักแบ่งไป ความชังแบ่งไป ความสุขความทุกข์ความโกรธโลภหลงกิเลสตัณหาแบ่งไปใช้ บัดนี้ไม่ได้ใช้แล้ว สิ่งเหล่านั้นนะ ไม่จำเป็นเลย มีชีวิตเป็นอิสระอย่างเนี่ย
อันนี้เรียกว่าสมบัติของเราแท้ๆ จึงจำเป็นที่สุดชีวิตนี้มันต้องได้อย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็เสียชาติจริง ๆนะ เสียเวลาจริง ๆ วันหนึ่งเสียไปเท่าไหร่ เวลามีให้ใช้เวลานี้แต่เราไม่ได้ใช้ ให้กาลเวลากลืนกินชีวิตไปกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ ดึงไปพาไป เหล่านี้ขนหัวลุกนะ จึงอย่างจะบอกจะสอนอย่างเดียว ตามหลักพุทธศาสนา พุทธศาสนา ศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยคนเรื่องนี้
ถ้าไม่มีศาสนามันก็เป็นสัตว์ไปก็ได้คนเนี่ย “มนุสสติรัจฉาโน” หน้าตาเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นสัตว์ก็มีนะ ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้ตัวเองเดือดร้อน วัตถุอื่นเดือดร้อน เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ ผลาญทุกอย่าง เลยได้เกิดกองทัพ เกิดทุกข์ เกิดตะราง เกิดศาสตราอาวุธขึ้นมา เกิดตัวบทกฎหมายขึ้นมา เพื่อให้คนได้ปฏิบัติตาม มันก็เอาไม่อยู่ เพราะมันไม่มีศาสนา
ศาสนาเจริญ คือคนเราเป็นคนดี ละความชั่วได้แล้ว ทำความดีได้แล้ว ไม่ใช่ศาสนาเป็นสิ่งอ้อนวอน เอามาทำลงไปจริง ๆ ที่กายที่ใจนี่ เรามีโอกาสอย่างนี้ เราก็ทำเรื่องนี้กัน แต่ชักช้ามาก ไม่ค่อยทันใจ แต่ยังไม่ท้อถอยนะ ความจริงต้องเป็นความจริงอยู่เสมอ ท้าทายให้มาพิสูจน์ดู ว่าจะเปลี่ยนให้ตามที่บอก เปลี่ยนร้ายเป็นดีหรือว่าปฏิบัติ ขยันรู้ หรือว่าภาวนา ขยันรู้เนี่ยคือภาวนา ภาวิตา พหุลีกะตา สังวัตตันติ นี่ ขยันรู้ขยันรู้ จนมันมากขึ้นมากรู้ๆ มันก็มีสองอย่าง คือ ความรู้ความหลง ถ้าความรู้มากความหลงก็น้อย เหมือนแสงสว่างมากความมืดก็ลดมาก แสงสว่างนีออนก็สว่างได้มาก แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก็รู้แจ้งโลก
สติก็เหมือนกัน แสงสว่างมาก เรียกว่า วิปัสสนา รู้แจ้ง หมดเกลี้ยงเลย สิ่งที่มีอยู่ในกายในใจในรูปในนามนี่ ไม่มีที่ปิดบังอำพราง ไม่มีที่ลับเลย เปิดออกมาให้เห็น ให้เห็นของเท็จของจริงมันก็ ของไม่จริงมันก็ไม่เอา ทิ้งไป เช่นความหลงไม่จริง ความไม่หลงมันจริง ทำไมจะไม่ทิ้งได้ สัมผัสดูแล้ว หลายวัน ถูกความหลงหลอกให้หลง เราก็มีความรู้ใช้มากขึ้นมากขึ้น ทำกันมากขึ้น ความหลงมากขึ้น ความรู้ก็มากขึ้น มากแข่งขัน คู่แข่งขันกัน ผลที่สุดของจริงย่อมเพี้ยนไปไม่ได้ ของจริงต้องอยู่เสมอ จริงอยู่เสมอ มันบอกอย่างงี้ก็ ไม่มีใครสอนตรงนี้ เราได้สัมผัสเอาเอง อยากให้มันหลงจะได้เปลี่ยนมันให้มันสมน้ำหน้าความหลง อยากให้มันทุกข์จะได้เปลี่ยนมันให้มันสมน้ำหน้าความทุกข์ มันสำเร็จจริง ๆ ตรงนี้ได้เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์น่ะ มันเป็นชัยชนะตัวเองจริง ๆนี่
แต่บางคนทุกข์เราไปหน้าบูดหน้าบึ้งไปเสียเวลา น่าเสียดายตรงนี้ น่าจะเปลี่ยนใช้สักหน่อยตรงนี้นะ ตรงที่มันผิดไม่เปลี่ยนเนี่ย มันเปลี่ยนได้อยู่ มันทุกข์มันก็เปลี่ยนได้อยู่ มีโอกาสแล้ว เวลาเราศึกษาเราปฏิบัติไปจะเห็นสิ่งเหล่านี้ ให้เห็นอยู่ตลอด ที่ว่าทางผ่านของอารมณ์ การใช้อารมณ์คือเปลี่ยนร้ายให้เป็นดีเนี่ย เห็นทุกคนแหละ บางทีก็ด่านแรก ที่ทำให้เห็นก็ “นิวรณธรรม” ความง่วงเหงาหาวนอนมีกันทุกคน ความลังเลสงสัยเกิดขึ้นมาได้ อะไร ๆ หาคำตอบโดยความคิด บางทีก็ด้วยเหตุด้วยผล มันไม่ใช่อย่างนั้น ความคิดฟุ้งซ่าน ไม่อยากคิดมันก็คิด กามราคะ เคยมีกามมีตัณหามันก็ไหลไป ปฏิฆะ มานะทิฐิ ยึดมั่นถือมั่น มันก็ยังมีตัวมีตนกับทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมา เอามาเป็นตัวเป็นตนหมดเนี่ย เป็นทางผ่าน เป็นด่านทางผ่าน กักขังไม่ให้ไป
ถ้าความง่วงเกิดขึ้นก็ให้ง่วงไปเลย หาวนอนหลับ หาวอ้าปาก หลับตาอ่อนแอไปเลย ความง่วงเกิดขึ้น อ่อนแอ ยกมือไม่ขึ้น ตั้งตัวไม่ขึ้น หลังขดหลังงอ หน้าหมุบหน้าบวมไปเลย นี่แหละว่า มันก็ พอสมควร ถ้าเราไม่เข้มแข็งมีสติ ความคิดลังเลสงสัยพวกนี้ ความพยาบาทพวกนี้ อาจจะเกิดขึ้นมาได้ คิดถึงผู้ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ก็คิดถึง ยังไม่วาย ยังไม่วางเป็น คิดทีไรก็เป็นทุกข์ตัวเอง ก็ยังเอามาคิดอยู่ คิดก็คิดแบบกัดตอดตัวเองให้เจ็บปวด ความสุขของชีวิตอยู่กับความคิดนิดเดียวนี่เอง เราไม่รู้มัน โทษภัยของทุกชีวิตก็คือความคิดเหมือนกัน หรือว่า สัมมาทิฐิ คิดถูก มิจฉาทิฐิ คิดผิด เนี่ยไปคนละทาง จึงเรียกว่า ความสุขของชีวิตอยู่กับความคิดนิดเดียว เปลี่ยนให้เป็นแล้วก็ใช้ได้
พิษภัยของชีวิตก็คือความคิดนิดเดียว ปล่อยให้น้ำตาไหล เกิดจากความคิด เส้นผมบังภูเขา ตื่นดูนี่ ตื่นจริง ๆนะเนี่ย เห็นความคิดเนี่ย โถ..แต่ก่อนก็เฉยไปกับมันนะ พอมาเห็นเข้าจริง ๆมันจ๊ะเอ๋กันเนี่ย ก็เลยประกาศเลยทีเดียวว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป ว่าสุขว่าทุกข์เกิดจากความคิด หยุดกันเสียแล้วบัดนี้ หยุดแล้ว ไม่มีอีกต่อไปแล้วชาติทั้งชาตินี้ ได้ออกมาจากจิตใจแบบนี้ ประกาศตัวเองอย่างนี้ ว่าประกาศตัวเองเนี่ยก็รู้แจ้ง เปลี่ยนแปลงชีวิตจิตใจได้จริง ๆ ตรงนี้น่ะ ทำไป
ทำไป มันเห็นความคิดเนี่ย แต่ก่อนก็คิดเหมือนกัน แต่มันมีสติมีโอกาสเต็มที่ มันก็ได้เปลี่ยนกันได้จริง ๆนี่ ทันมันนี่รู้เท่ารู้ทันมันนี่ มันทำอะไรไม่ได้ละบัดนี้ เราก็ยิ่งใหญ่ ความเป็นธรรมเกิดขึ้น ความไม่เป็นธรรมก็สู้ไม่ได้ ธรรมย่อมชนะอธรรมอยู่เสมอ เห็นกับตัวเองอย่างนี้ เป็นทรัพย์ อริยทรัพย์ภายในของเรา
หนึ่งล่ะ ไม่เสียชาติละบัดนี้ มีจิตมีใจก็ไม่เอามาเป็นความสุขความคิด ความสุขความทุกข์แล้ว จึงมีแต่บอก สอนให้ได้ยินได้ฟังไว้เฉยๆ เห็นทางไปเฉยๆ ว่าไปอย่างนี้แหละ เห็นอะไรที่มันทางผ่านจนรู้แจ้ง เพราะมันเดินผ่านมาแท้ๆ ผ่านมาได้แท้ๆ ตรงนั้นเป็นอย่างนั้น ตรงนี้เป็นอย่างนี้ ผ่านมาแท้ๆ ทำไมจะบอกกันไม่ได้ เหมือนกันน่ะ ทุกคนก็เหมือนกันอยู่ เหมือนเราชำนาญทาง ชำนาญทางนี้ มีผู้มาถาม หน่วยงานของศาสนาเขาสอบถาม ชำนาญในทางไหน นี่เป็นนักบวชนี่ ก็เขียนลงไปว่า ชำนาญในกรรมฐาน ภาวนา เขียนเลย ไม่ต้องกลัว ไม่ได้พาผู้ใดหลงทิศหลงทาง เราสอนอยู่นี่ล่ะ สละชีวิตเพื่อมาบวชเพื่อการนี้ ไม่ได้บวชเพื่อการอื่น ขอมีชีวิตอยู่เพื่อการนี้โดยตรง จนเฒ่าจนแก่แล้ว ก็จะอยู่ต่อไป เห็นว่ามันใช้ไม่ได้มั่งล่ะ ขันธ์ห้าพังทลายเมื่อไหร่ก็ทิ้งเมื่อนั้นก็ไป หยุดเมื่อนั้นละ เพราะว่าของจริงนี่มันทิ้งไม่ได้ มันยังมั่นใจอยู่เสมอ มีคนมีอยู่เมื่อใดก็จะสอนคนเนี่ย ถ้าคนไม่มีก็จะไปหา คนอยู่ที่ไหนก็จะไปที่นั่น
ขอบคุณที่พวกท่านทั้งหลายมาใช้ มาปฏิบัติธรรมเนี่ย รู้สึกว่าขอบคุณมาก พอที่จะได้มีหลักมีที่พึ่ง มีงานทำ แต่เดี๋ยวนี้ก็แรงก็น้อยถอยลงมา บางทีก็ทำไม่ค่อยไหว เสียงก็ไม่ค่อยจะมี หูก็หนวก ไม่ค่อยสะดวกในการสอน ไม่เต็มที่ อยากไปสอบอารมณ์นักปฏิบัติ ไปเยี่ยม ถามแต่ละวัน แต่เวลาไปถาม เขาพูดก็ไม่ค่อยได้ยิน เลยขาดตกบกพร่องในงานชิ้นนี้ไป การสอนธรรมะนี่ต้องได้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน และก็ไปบอกไปเทศน์ เวลาเทศน์ตอนเช้าตอนเย็นก็เอาข้อมูลนี้มาแสดง ได้ข้อมูลจากผู้ปฏิบัติ สี่คนห้าคนก็ได้เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจัตตัง แต่ละวันไป ก็หวังว่าจะเข้าใจ
เวลานี้ก็สุ่มเอา ไม่ได้ข้อมูลอะไรหรอก แต่ว่ารู้จักทิศทางไปนี่ล่ะก็ไปกันเลย บุกทางไปเลย serveyไปเลย ขีดเส้นนี้ผู้ที่เดินตามไปเลย ถ้าผู้ทำ ๆ ตามคำบอกนี้ ก็ไม่ต้องสอนอะไรกันมาก ตัวเขาจะสอนตัวเขาเอง ผิดก็เขาก็จะสอนเขาให้ถูก ทุกข์เขาก็สอนเขาไม่ให้ทุกข์ไปเอง เราปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน หลวงพ่อเทียนก็ไม่ค่อยได้ยุ่งได้ยากด้วย ทำเอาเอง ผิดก็ผิดอยู่นั่นน่ะ สู้ไปเรื่อยไป ทุกข์ก็ทุกข์อยู่นั่นน่ะ สู้ ไม่ได้ขวางทางไม่ได้ท้อถอย เพราะมันเต็มไปด้วยศรัทธา เป็นความมั่นคง
สมัยเป็นนักปฏิบัติใหม่ๆ ศรัทธาพามาจริง ๆ ศรัทธาพาทำ ไม่ใช่คิดพาทำ ศรัทธาพาทำ ความเพียรพาทำ สติพาทำ สมาธิพาทำ ปัญญาพาทำ ยิ่งเราทำในเรื่องที่สาระ เป็นประโยชน์ มีกายก็มีกายจริง ๆ มีใจก็มีใจจริง ๆ ปัญหาเกิดขึ้นที่กายที่ใจจริง ๆ ก็ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นที่กายจริง ๆเนี่ย แล้วมีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้ ไม่ใช่โง่ ไม่ใช่ถูกหลอก ก็มีศรัทธาว่ามันเปลี่ยนได้ มันทำได้ มีแบบอย่าง พระพุทธเจ้า มีอยู่จริง พระอรหันต์มีจริง ครูบาอาจารย์ก็มีจริง หลวงพ่อเทียนก็อยู่นี่ นับถอยหลังไปสองพันหกร้อยปีก็มีจริง นับถอยหลังไปร้อยปีก็มีจริง นับปัจจุบันก็มีจริง ครูบาอาจารย์ก็หลวงพ่อเทียนเคยพาทำวัตร เทศนาให้ฟังทุกวันตอนเช้าตอนเย็น เนี่ยได้จริง ได้เห็นจริง ได้สัมผัสจริง จากคำพูด จากบอก จากรูปจากตัวจริง แต่ก็สอนต้องทำให้ดู ต้องพูดให้ฟัง ต้องอยู่ให้เห็น
เราก็เห็นอยู่จริงเนี่ย มันก็ไม่ใช่โง่อะไร งมๆ ซาวๆไม่ใช่อย่างนั้น แล้วก็ทำตามที่ท่านบอก มันก็ทำได้ มันก็มีประโยชน์จริง ๆอย่างเนี่ย ได้เล็กได้น้อยไปเนี่ย รู้จักเปลี่ยน มันหลงได้เปลี่ยนเป็นรู้ขึ้นมา ก็ประกอบกับความเพียรเคลื่อนไหวมือ สติรู้ผู้รู้เคลื่อนไหวเนี่ย มันใช้ได้ อาศัยการเคลื่อนไหวเพื่อกระตุ้นความรู้สึกตัวมันมีมากมีแรงขึ้นมา ที่ตั้งของการกระทำ เหมือนเรายืนในที่ดีเราฟันไม้ มันก็มีแรงฟัน ความหลงมันก็มีแรง ความรู้ฟันแป๊ปเดียวมันก็หยุดไปแล้ว ได้ความรู้ขึ้นมาแล้วนี่ เอาละ เท่านี้ก็พอแล้วเนาะวันนี้เนาะ สมควรแก่เวลา กราบพระพร้อมกัน