แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พูดให้ฟังทำให้ดู อยู่ให้เห็น เรียกว่า “กัลยาณมิตร”ก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจพวกเราน่ะเกิดสุดท้ายภายหลังสามพันสี่พันปียังได้มรดกคนโบร่ำโบราณมา อย่างน้อยไว้สวด เอาคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในพุทธวจน มาสาธยายเข้าถึงกาย วาจา ใจของเราได้ น่าอนุโมทนาพระอานนท์ เป็นพหูสูต ยิ่งใหญ่ สามารถจำสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมด พระมหากัสสปะเถระก็ช่างเฉลียวฉลาด ได้สังคยานาคำสอนพระพุทธเจ้าไว้ ได้นิมนต์พระที่รู้ที่เห็นที่ได้ยินการแสดงธรรมออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า สั่งสอนที่ใดบ้าง เรียกว่า พระสูตรต่าง ๆ ก็มีหลายรูปแต่ว่าอานนท์น่ะเก่งกว่า จำแม่นได้ดี เพราะพระพุทธเจ้า เลือกพุทธอุปัฏฐาก พระสงฆ์เสนอให้มีพระอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ทั้งปวงก็เสนอพระอานนท์เป็นผู้ที่อุปัฏฐาก ตกลงมีมติให้อานนท์ผู้ติดตามพระพุทธเจ้าคอยดูแล อานนท์ก็ขอพรจากพระพุทธเจ้า เลยว่า “ถ้าจะให้เป็นผู้ที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ขอพรจากพระองค์” หลายข้อเนี่ยอย่างน้อยก็บอกว่า “ถ้าพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมที่ใด ให้ข้าพระพุทธเจ้าติดตามไปด้วย” พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “เธอประสงค์อะไร” “หมายความว่าถ้าผู้อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ เมื่อมีผู้ถามว่าพระองค์สอนธรรมอะไรที่ไหน ถ้าบอกไม่ได้ก็เขาจะติฉินนินทาเอา เหลือแต่เป็นพุทธอุปัฏฐากไม่รู้ไม่ชี้อะไรเลย” พระพุทธเจ้าก็ “เอา สาธุ” พระสงฆ์ทั้งปวงก็ “สาธุ” บอกว่าอีกข้อหนึ่งว่า “ถ้าการติดตามพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธองค์แล้ว ขออย่าได้ประทาน จีวร บาตร บิณฑบาตที่เป็นของประณีตแก่ข้าพระพุทธเจ้าเลย” พระพุทธเจ้าก็ถามว่า “ทำไมถึงขออย่างนี้” “คนเขาจะติฉินนินทาว่า เป็นผู้อุปัฏฐากเพื่อรับจ้างเอาของลาภสักการะจากพระองค์”พระสงฆ์ทั้งปวงก็ “สาธุ” พระพุทธเจ้าก็ “สาธุ” ขออย่าให้จีวรอะไรทั้งหมดไปทั้งนั้นแหละ อะไรจำไม่ตั้ง 10 กว่าข้อ(หัวเราะ) ไปดูเอานะในตำรา
อย่างน้อยพระสูตรที่เรามาสวดทำวัตรเนี่ย เวลาพระมหากัสสปะทำสังคยานาครั้งแรก มีพระสงฆ์อุปกาชีวก บวชเมื่อแก่เหมือนพวกเราน่ะ หลวงพ่อกลมเนอะ จ้วงจาบพระธรรมวินัยสมัยนั้นน่ะ พระพุทธองค์ปรินิพพานที่กุสินารา หมู่พระมหากัสสปะอยู่ไกล มาไม่ทัน จึงมีเรื่องว่าถวายพระเพลิงไม่ลุกไม่ติด ต้องรอพระมหากัสสปะมาถึงก่อน พระมหากัสสปะก็พาหมู่สงฆ์มา สุภัททปริพาชก บวชเมื่อแก่ เดินสวนทางมา ถามว่า “ท่านมาจากไหน” “มาจากกุสินารา โอ้..ได้ทราบว่าพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้วใช่หรือ” “ก็ใช่” ภิกษุทั้งหลายก็ผู้เป็นปุถุชนก็ร้องห่มร้องไห้เสียใจ ยังวางไม่ได้ ส่วนพระมหากัสสปะก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ห้ามพระทั้งหลายทำใจ ๆ ภิกษุปริพาชกองค์นั้น ก็เลยพูดขึ้นว่า “ท่านจะไปร้องไห้ทำไม ดีแล้วพอพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จะไม่มีใครดุใครด่าเราอีก เราจะอยู่อย่างสบาย ใช่ไหม จะไม่มีใครมาดุมาด่าเตือนนู่นเตือนนี่ รำคาญเหลือเกินเมื่อพระองค์ยังอยู่ พระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ดี” พระมหากัสสปะ ก็ตบอกตัวเอง โอย.. เศร้าใจ ปรินิพพานยังไม่ถึงเจ็ดวัน ก็มีเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาในหมู่สงฆ์ ก็คิดขึ้นว่า โอ..ทำไงหนอ ธรรมวินัยคำสอนพระพุทธเจ้านี่ เห็นไปคนละทิศละทางแล้ว คำสอนเนี่ย อย่างที่เราสวดเมื่อกี้เนี่ย นิคฺคยฺหนิคฺคยุหาหํ อานนฺท วกฺขามิ ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ “เราจะชี้โทษแล้วชี้โทษอีกไม่มีหยุด เราจะขนาบแล้วขนาบอีกไม่มีหยุด อานนท์เอ๋ย ผู้ใดมีแก่นสารมรรคผลนิพพานจึงทนอยู่ได้” นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ นิคฺคยฺหวาที เมธาวี ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช “เมื่อเธอคบบุคคลที่เป็นเช่นนั้นย่อมมีแต่ดีฝ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย” พระพุทธเจ้าพูดกับอานนท์ อานนท์ก็จำมา ทำให้เราสวดเมื่อกี้นี้ใช่ไหม นี่ขนาบแล้วขนาบอีก บางองค์ไม่ชอบใช่ไหม จู้จี้จุกจิกเกินไปหลวงพ่อกลมเนี่ยนะ เวลาเทศน์อย่า อย่าว่าไวเกินไปเด้อ อย่าเหมือนกับบ่น อย่าเหมือนกับด่าเขา เขาจะหาว่าเราด่าเขา ผมก็เหมือนกัน เพราะผมเวลาเทศน์น่ะ มันไหลออกมา พูดให้มันไม่ทันนะ บางทีพูดไวเกินไป ไม่เอาเลย หลวงตาคำเขียนพูดเนี่ย มั่วไปเลย(หัวเราะ) บางทีมันพูดให้มันไม่ทัน มันไหลออกมามาก เหมือนน้ำ มันอั้นไว้ มันเปิดไม่ทัน มันท่วมไปเลยบางที รัวไปเลย
เหมือนน้ำท่วมวัดสุคะโต เราปี 50(พ.ศ.2550) น่ะ หลากไปเลย ท่วมข้าวของโรงทาน เสียหายหมด(หัวเราะ) ตอนนี้พวกเรานอนหลับสบาย เวลาฝนตกเนอะ แต่ก่อนนี้เวลาฝนตกทีไรเนี่ย โอย..โรงทานเป็นไงหนอ หลวงพ่อก็นอนคิด ป่านนี้คงจะท่วมหมดแล้ว พวกเราแม่ชี ผู้อุบาสิกาทั้งหลายต้องกุลีกุจอเก็บข้าวของเป็นวัน ๆ เลย ข้าวสารเป็นสิบกระสอบ น้ำท่วมหมดเลย ต้องไปแจกจ่ายชาวบ้าน มันท่วมไป อันนี้ก็เหมือนกัน
การพูดธรรมะ พูดบ่อย ๆ ใช้เสียงไม่สุภาพ ฟังเสียงตัวเอง จังหวะจะโคนลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดตอน แสดงธรรมไปตามลำดับขององค์ธรรมกถึก ไม่มีอคติใด ๆ เป็นกลาง อันนี้คือแสดงธรรม เพราะนั้น พระสุภัททะปริพาชก ฟังไม่เข้าใจ หาว่าพระพุทธเจ้าด่าก็มี ชี้โทษ ขนาบไม่ชอบก็เลยพูดคำนี้ออกมาได้ มหากัสสปะ โอ..ก็ไม่ได้แล้ว ธรรมวินัยของเรานี่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เห็นแตกแคบไปอย่างนี้ จะทำยังไงหนอ,จะอยู่ได้หรือ, สัจธรรมคำสอน
เมื่อถวายพระเพลิงแล้ว ประชุมสงฆ์ทันที ไปทำสังคยานา ร้อยกรองขึ้นมา ขาดไม่ได้คือ พระอานนท์ พระอานนท์ยังไม่เป็นพระอรหันต์เลย ผู้ที่ทำสังคยานานี้ พระสงฆ์สมัยนั้น พระมหากัสสปะเป็นประมุข เป็นประธานสงฆ์ เป็นพระเถระ ขาดไม่ได้คือพระอานนท์ เพราะพระอานนท์จำได้ แต่ว่ายังไม่เป็นพระเสขบุคคล อเสขบุคคล แต่ไม่เป็นพระอรหันต์ เข้าสังคยานาไม่ได้ ไม่จัดเจน พระสงฆ์ทั้งปวง ก็เลยให้อานนท์ปฏิบัติธรรมให้เป็นพระอรหันต์ก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นทำสังขยานาไม่ได้ แต่ขาดไม่ได้
พระอานนท์ก็ถูกสงฆ์สั่งให้ทำงานกรรมฐานขึ้นมา อานนท์ก็เอาแล้วบ๊าดนี้ เป็นพระอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ยังไม่เป็นพระอรหันต์กับเขาเลย ตอนที่ปรินิพพานไปใหม่ ๆ นะ พุทธองค์ปรินิพพานไปใหม่ ๆ นะ ร้องไห้นะอานนท์อ่ะ อยู่เชตวันเนี่ย บางทีญาติโยมสงสาร ๆ เห็นอานนท์ เวลาบ่ายสาม บ่ายสี่ ไปอยู่คันธกุฏีของพระพุทธเจ้า ไปเช็ดไปถูไปอุปัฏฐาก ปูอาสนะ ไปบูชาไปกราบ ไปไหว้ ตักน้ำจากบ่อขึ้นไปให้พระพุทธเจ้าสรงทุกวัน อานนท์ ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วก็ไปอยู่ที่นั่น ทำเหมือนเดิม ตักน้ำขึ้นไป ข้าแต่พระองค์อยู่เจริญ นิมนต์มาสรงน้ำ พูดอยู่คนเดียวเหมือนบ้าใช่ไหม (หัวเราะ) เหมือนบ้าเลยนะ แล้วชาวบ้านแถวเชตวัน สาวัตถีมาเห็น เดินทางมา โอย..น่าสงสารพระอานนท์ ร้องไห้ทุกวัน เพราะอานนท์ ก็เป็นลูกของน้องชายสุทโธทนะเหมือนกับลูกพี่ลูกน้องกัน สุทโธทนะ สุกโกทนะ อมิโตทนะ เออ พระอานนท์ก็ถูกเพื่อนบังคับให้กรรมฐานบ่อย ๆ หนึ่งวัน สองวัน คนมีความรู้นะ อานนท์เนี่ย พระสูตรต่าง ๆ จำได้หมดเลยพระสงฆ์ทั้งปวงก็มาถาม พระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นไงอานนท์ ห๊า อานนท์ก็ อ่อ คนมีปัญญา คนมีความรู้หนา เหมือนพวกเรามีความรู้มาเนี่ย ไม่ใช่โง่ที่ไหน ปัญญาชนทั้งนั้น เป็นผู้ใหญ่ไม่เหมือนอนุบาลน่ะ ต่อยอดไปเลย พระอานนท์ก็ ออ อ๋อ รออีกสักหน่อย รออีกสักหน่อย มันจึงมั่นใจเหมือนเราทำงานใกล้จะเสร็จแล้วเนี่ย
เหมือนหลวงตาล้อมกำแพงเนี่ย โผล่ไปโอ้ใกล้จะเสร็จแล้ว อู้ย.. ใกล้จะเสร็จแล้ว เอาอีกสักหน่อยก็เสร็จแล้ว พอดีอาจารย์ตุ้มมาช่วย เสร็จเลยทันที อ่า.. กำหนดได้ เหมือนเราทำนาเกี่ยวข้าวปักดำนา มีคนถามว่าใกล้จะเสร็จหรือยัง อ้าว อีกสองพันเสร็จ มันกำหนดได้ อานนท์ก็พูดออกมาเลยว่าใกล้แล้ว ๆ เมื่อมันใกล้เท่าไรก็เร่งเข้าไป เร่งงานเข้าไป หลวงตาไถนาก็เร่งงานจนตีน้องชาย มันไม่เร่งด้วย มันไม่เลี้ยงควายให้ น้องชายเนี่ยเอาควายไปกินหญ้า ตบหัวน้องชายล้มลงไปเลย โอ้ย..เสียใจเท่าทุกวันนี้ ในที่สุดพระสงฆ์ก็มาถาม เหมือนพวกเราถามกันน่ะ เวลาปฏิบัติเป็นยังไง บางครั้งก็ เอ่อ ดี บางครั้งก็ โอ้...ง่วงนอน บางคนก็ว่าคิดมากก็มาสอนกันแบบนี้ เป็นเพื่อนกัน
จนว่าอานนท์เห็นกระแสแห่งพระนิพพาน ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน เอาล่ะ ไม่หลับไม่นอนเลย จนแสงเงินแสงทองขึ้น โอย..เราทำความเพียรน่ะไม่ได้นอนเลยของีบสักหน่อยก่อนน๊า.. พอมีสติ เหอ จะนอนหรือ อ้าว งีบสักหน่อยพักผ่อนสักหน่อย แต่ว่าใจมันไม่ ไม่ขี้เกียจนะ เอนหลังลง หัวยังไม่ถึงหมอนเลย บรรลุธรรมทันที เนี่ยคนมีปัญญานะ
พระอานนท์ได้มรรคผลนิพพานอยู่ในอิริยาบทใด บางทีมีคำถามในเวลาเราเรียนนักธรรมนะ ปัญหามาถามพวกเราเป็นนักเรียน พระอานนท์ได้นิพพานอยู่ในอิริยาบทใด บางทีพระพุทธเจ้าถึงปรินิพพานได้ในอิริยาบทอิริยาบทนั่งอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ กับรูปนี่รูปปรินิพพาน รูปอะไรต่าง ๆ รูปพระพุทธเจ้านี่ แสดงถึงปางต่าง ๆ ลักษณะต่าง ๆ อันนั้นก็อยู่ แล้วจะตอบว่าไง อานนท์ได้นิพพานอยู่ในอิริยาบทใด ยังไม่ได้นอนเลย จะว่าอิริยาบทนอนได้หรือ หัวไม่ถึงหมอนเลย จะว่าอิริยาบทนั่งได้หรือ เอนตัวลงไปแล้ว ฉะนั้นอานนท์น่ะ ได้มรรคผลนิพพานไม่มีอิริยาบทใดเลย พระโสณโกฬิวิสะอยู่ในอิริยาบทเดินจงกรม หลายรูป เพราะฉะนั้นนี่ นี่เรื่องเป็นมาเนี่ย อานนท์ก็เข้าประชุมสังคยานาได้เลย เวลาพระมหากัสสปะเป็นประธาน ถามพระพุทธเจ้าแสดงที่นั่นเรื่องอะไร ว่าอะไร มีใครเข้าใจบรรลุธรรมบ้าง พระอานนท์ตอบได้หมดเลย ตอบได้หมดเลย ฉับ ๆ ๆ ๆ ๆ อุบาลีบ้าง อนุรุทธะบ้าง โมคคัลลา บ้าง สารีบุตร บ้าง โสณโกฬิวิสะ บ้าง จึงจำได้หมดแหละ จึงเป็นพหูสูตรเรื่องนี้ อานนท์น่ะ แม่นจริง ๆ เราจึงมาสวดกันทุกวันนี้ มันวิเศษจริง ๆ เนี่ย
การสวดมนต์ไหว้พระ ทำอะไรต่าง ๆ พระสูตรต่าง ๆ แปดหมื่นสี่พันเรื่อง อยู่ในหนังสือ ถ้าเป็นบาลี45 เล่ม ถ้าเป็นภาษาไทยก็ 80 เล่ม คนโบราณน่ะ ขนาดไหน เราจะว่าเราดีอะไร ห๊า..เป็นผงธุลีเล็กน้อย...อยู่ในฝ่าพระบาทของเหล่าพระอรหันต์สมัยก่อน เราอยู่ใช้นี่ก็ว่าเราดีแล้วนะ หมดเลย หมดสภาพเลยเรา จึงไม่ ไม่มีทิฐิมานะใด ๆ น้อมไว้ในใจเสมอ นั่นคือภาพความรู้สึกของเราน่ะ ก็เรามาสวดทุกวันนี้มีแต่ของถูกต้อง เป็นสูตรสำเร็จไม่มีใครตัดออกได้ ไม่เหมือนธรรมนูญของไทย รัฐธรรมนูญของไทยฉีกทิ้งเรื่อยเขียนใหม่เรื่อย สมมติบัญญัติตามสถานการณ์ของคนหมู่มาก ตอนนี้ก็ทะเลาะกันเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะอะไร เพราะสมองของคนไม่เหมือนกัน แต่ว่าไม่ใช่สัจธรรม
สัจธรรมของพระพุทธเจ้าน่ะ โอย... แน่นอนที่สุดเลย รูปไม่เที่ยง เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมากมีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ถูกไหม เราเคยมีตัวมีตนอยู่ในความไม่เที่ยงนี้กี่ครั้งกี่หน เป็นทุกข์เพราะความไม่เที่ยง เป็นสุขเพราะความไม่เที่ยง มีไหมเรานั่งอยู่เนี่ย มีไหม ไม่มี มันยกเมฆขึ้นมา ทำไมเราหลง,ไปเฉย ๆ เนี่ย มันขนาดนี้ คำสอนเนี่ย เราจึงมีมรดกแล้วอันเป็นคำสอนเนี่ย ศาสนธรรมเนี่ยแน่นอนที่สุด
ศาสนพิธี โดยเฉพาะศาสนพิธีเนี่ย มาบรรจุทีหลัง จะมาประมาณ 2590(ตัวเลขอาจคลาดเคลื่อน) , 80-90 (พ.ศ) เนี่ย มาบรรจุศาสนพิธีลงไปในการศึกษา เป็นหลักสูตรของการศึกษาของสงฆ์ไทย โต๊ะหมู่บูชาก็มีประมาณนี้ 2490 (พ.ศ) เนี่ย สร้างโต๊ะหมู่บูชาขึ้นมา ศาสนาพิธี พิธีกราบไหว้ การอาราธนาศีลอาราธนาธรรม บรรจุลงไปให้เป็นรูปแบบอันเดียวกัน ศาสนวัตถุต่างกัน ต่างกันเช่น พระพุทธรูปปางเชียงแสน อย่างพระพุทธรูปที่อยู่เนี่ยประทับอยู่วัดเราเนี่ย เรียกปางเชียงแสน ปางสุโขทัยต้น ๆ ปางอยุธยา ปางรัตนโกสินทร์ ต่างกัน ในลักษณะของปางนี้เรียกว่า “มารวิชัย” ถ้าสมัยรัตนโกสินทร์ เรียกว่า สมัยหนึ่งอีกต่างหาก มีรูปแบบต่างหาก ฝีมือของสงฆ์ไทยสมัยโบราณ ศาสนวัตถุ ที่เป็นอดีตศาลา ไปดูได้ รอยมือของคนโบราณเป็นหลายพันปี อย่างถ้ำอชันต้า เป็นของพุทธศาสนา พระสงฆ์ไทยฝ่ายพุทธศาสนาอินเดีย พากันทำขึ้นมา
แล้วสงฆ์สมัยนั้นก็แยกออกเป็น 2 นิกาย เรียกว่าเถรวาทกับมหายาน มหายานเป็นพระกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมสังคยานาด้วย ก็เลยมาไม่ทัน ภิกษุสงฆ์อีกหมู่ที่ทำการสังคยานานั้นก็บอกกล่าวให้ฟัง เออ จะเอาก็ได้ จะไม่เอาก็ได้ ก็เลยแตกกันออกเป็น2นิกาย เรียกว่า มหายาน มหายานนี่ก็ยังจับต้องกายหญิง จับอะไรอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน นั่งฉันด้วยกันได้ กินข้าวมื้อเย็นได้ (หัวเราะ) มหายาน
แต่ว่าเขาก็เขาดีนะเก่งนะอย่างเขาสร้าง สร้างอ่า บุโรพุทโธเนี่ย อินโดนีเซีย ไปดูดิ มหายานทั้งนั้น เข้มแข็ง เขาเก่งจริง ๆ น่ะ ภิกษุณีนี่ หลวงตาก็ไปอยู่ไต้หวัน(สังฆะไต้หวัน) อยู่กับ นิวยอร์ก(นครนิวยอร์ก) อยู่กับภิกษุณีฝ่ายมหายาน พระสงฆ์เขาก็เก่งนะ เวลาวันเสาร์วันอาทิตย์นี่ ทุกคนนี่ พระสงฆ์ทุกรูป ภิกษุณีทุกรูปนี่ไม่ใช่เดินธรรมดา วิ่งเอา ต้อนรับญาติโยม ญาติโยมเขาก็เก่งบริการดูแลวัดวาอารามเก่ง เวลาพระอายุ80ปี อย่างหลวงตา กับหลวงพ่อกลม น่ะ เขาปลดเกษียณให้ ไม่ให้เป็นผู้นำ เขาสร้างบ้านให้อยู่ มีคนดูแลอุปัฏฐาก หลวงตาเจ้าอาวาสที่หลวงตาไปอยู่ด้วยน่ะอายุ 80 ปี เวลาสอนพระสูตรต่าง ๆ เขายังให้มาสอนอยู่เป็นครั้งเป็นคราว ก็มีอุบาสิกาเป็นผู้อุปัฏฐาก มีรถคันหนึ่งประจำตำแหน่งให้ ขับรถพามา เวลาลงจากรถ อุบาสิกาก็จับปีกมา มาขึ้นนั่ง(หัวเราะ) ถ้าเป็นเรานี่ไหวไหม เถรวาทน่ะไม่ได้ แต่มหายานเขาทำได้ หอบปีกกันมา ทำอาหารการฉัน ดูแล ชาววัดเขา คณะกรรมวัดน่ะ สร้างบ้านให้คนมีอายุอย่างโยมที่มาอยู่ด้วยกันน่ะ ให้มาอยู่นี่ มี80หลัง บ้านคนแก่ อุบาสกอยู่บนที่นึง อุบาสิกาอยู่ตรงนึง แต่ว่าพระหลวงตาที่ปลดเกษียณไปก็อยู่ในบ้านอยู่ เขาดูแลดี วัดวาอารามบริหารการวัดเนี่ย ญาติโยมทั้งนั้น เวลาวันเสาร์อาทิตย์เอาขนหนังสือมาตั้วไว้ กองไว้ คนมาวัด พระสงฆ์ ภิกษุณี เลี้ยงอาหารญาติโยม โต๊ะอาหารนี่เรียบร้อย ภิกษุณีจะมีน้ำยาเช็ดโต๊ะ กระดาษทิชชูถืออยู่ในมือตลอด เวลาญาติโยมมาฉันข้าวเสร็จ กินข้าวเสร็จ ภิกษุณีพระสงฆ์ ก็รีบเก็บกวาด เอาผ้าน้ำยาล้างโต๊ะ เช็ด ๆ ๆ ๆ เอาไปทิ้งใส่ถังขยะ เจ็ดวันนี่ได้รถหนึ่งถังขยะ ชามเขาก็เป็นกระดาษใช่ไหม ช้อนก็เป็นกระดาษ มีดก็เป็นกระดาษ เช็ดกินแล้วทิ้งเลย ไม้ตะเกียบก็เป็นกินแล้วทิ้งเลย หลวงตาไปอยู่กับอาจารย์ไพศาล เนี่ย อาจารย์ไพศาลเนี่ยทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาซื้อถ้วยมากินข้าว กินแล้วล้างไว้ ทิ้งไม่เป็นเหมือนเขา อันนี้ฝ่ายมหายาน เขาเก่งการทำงานทำการ ภิกษุณีเนี่ยไปอยู่ไต้หวันหลวงตาเคยไป หาบหามปูนขึ้นเขา เทปูนคอนกรีต ทำงานทำการ เพราะฉะนั้นเขาจึงสร้างบุโรพุทโธ อชันต้า เอลโรล่า ของฝ่ายนิกายชีเปลือก เขาแข่งขันกับพระพุทธเจ้าฝ่ายพุทธของเรา
เพราะฉะนั้นนี่ ก็พระสูตรต่าง ๆ เป็นศาสนธรรมแน่นอนที่สุด ศาสนพิธี อันนี้ทีหลัง ศาสนบุคคลคือพระสงฆ์ พวกเราก็ถือเป็นรูปแบบเดิม เรียกว่าฝ่ายเถรวาท แบบของพระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะให้นุ่งให้ห่มผ้าอย่างนี้ ส่วนมหายานไม่ใช่แบบนี้ ใส่กางเกงใช่ไหม ใส่เสื้อแขนยาว ๆ เวลากินข้าวนี่ ฉันข้าวด้วยกันกับหลวงตานี่ ถ้าจะเอามือไปตักอะไรนี่ แขนเสื้อมันหย่อนลงไปใส่อาหารแล้วก็เนี่ย มันก็ไม่ดี เขาต้องจับแขนเสื้อไว้ พวกเราไม่ต้องจับแขนเสื้อไว้ ของเราไม่ต้อง ตัก จับแขนเสื้อไว้ ของเขาแขนเสื้อไว้ เวลาไปกินก็ปล่อยไปรุ่มร่าม ก็ดีเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นนี้ต่างกันในลักษณะ แต่ศาสนธรรมเหมือนกันหมดเลย ศาสนาไหน ลัทธิใด เพศใด วัยใด มีสติสัมปชัญญะ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยงเหมือนกัน สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน สิ่งไหนไม่ใช่ตัวตน สิ่งนั้นไม่ควรยึดมั่นถือมั่น สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ มันมีให้เราวาง ไม่ใช่ให้เรายึดสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตใจนี่ มีแต่ให้วาง วาง
อันเกิดกับกายก็ถือไว้บ้าง ถือร่มไปทำวัตรสวดมนต์ ถือไฟฉาย ถือช้อน ถือบาตร ถือจีวร บาตรต้องวางในที่ไม่ตก มีพนักวางในที่ไม่ตกไม่กลิ้ง วินัยห้ามอย่างนั้น จีวรก็อย่าปราศจากจีวรแม้คืนหนึ่งไม่ได้ เวลาฉันอย่าให้มันหก อย่างหลวงพ่อกลมพาสวด เราจะไม่ฉันเพื่อความเพลิดเพลินเพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่ให้หกให้หล่น เราจะไม่โปรยเมล็ดข้าวตกลงในที่บาตรหรือที่นั้น ๆ เราจะไม่ฉันพรางสะบัดมือพลาง เราจะไม่ฉันดังจั๊บ ๆ เราจะไม่ฉันดูดจุ๊บ ๆ เราจะไม่ฉันเลียลิ้น เราจะไม่ฉันเลียริมฝีปาก เราจะไม่ฉันคำข้าวให้ใหญ่นัก เราฉันอยู่เราจะไม่พูด เราจะไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ อันนี้ต้องถือไว้กายต้องถือไว้ แต่ว่าใจถือไม่ได้นะ เอาให้แน่นอน เวลาฉันจะฉันหกไหมเนี่ย
สมัยไปตั้งวัดโมกข์ใหม่ ๆ ไปกินข้าวในมุ้งนะ แมลงวันเยอะ ขอพูดนะ ขอพูดสักหน่อยนึง เวลาฉันข้าวต้องกางมุ้ง เพราะวัดโมกข์เป็นที่ทิ้งขยะของเมืองขอนแก่น กองเหมือนภูเขา มีหลวงตาองค์หนึ่ง หลวงตาองค์นี้ หลวงตาองค์หนึ่ง หลวงตาเพียร นั่งฉันข้าวด้วยกัน หลวงตาองค์หนึ่งฉันข้าว จิ้มน้ำพริกราดมาเลย จิ้มทีไรก็ราดมาเลย ต้องเอาผ้าปูตักไว้อย่างนี้ เพื่อไม่ให้น้ำราดจีวร เอาผ้าปูตักเป็นคราบอะไร น้ำแกงเต็มไปหมดเลย หลวงปู่เทียนก็ จับมือ เอาอย่างนี้หลวงพ่อ จับมือมาจิ้ม หงายขึ้นแล้วเอาไปใส่ปาก เนี่ยอย่าให้มันหก เอาจับอีก จับคำข้าว จิ้มน้ำพริกหงายอย่างนี้ขึ้นมา หลวงตาองค์นั้นพอฉันข้าวเสร็จก็นั่งร้องไห้ โอ้ย..อะไรหนอ หลวงพ่อโกรธหรือเปล่าหนอ หลวงพ่อเทียนพาทำอย่างนั้นสอนอย่างเนี่ยโกรธไหมหนอ เราก็ไปถามดู เป็นไงหลวงพ่อ เป็นหยั่งไห้ โอย เกิดมาจนอายุหกเจ็ดสิบปี บ่มีผู้สอน คักสอนแนคิดอย่างซี้ กินข้าวบ่เป็น แห่เรี่ยราด หลวงพ่อเทียนละสอน โอย..ดีใจหลาย นี่ ตั้งแต่บัดนั้นมา กินข้าวด้วยกันไม่หกเลย เรียบร้อย นี่ เราจะขนาบแล้วขนาบอีก ผู้ใดชี้โทษ ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก คือผู้นั้นชี้ขุมทรัพย์ให้เรา กินข้าวก็ไม่หกเหมือนเก่า นั่นระเบียบวินัยต้องถือให้ดี ๆ เรื่องกายเรื่องใจเนี่ย เรื่องใจ เรื่องใจต้องวาง เนี่ยคือของจริงแท้ ๆ
ทำวัตรแปลไปเนี่ย อาจารย์พุทธทาสเป็นคนแรกในประเทศไทย แปลหนังสือออกมาที่ทำให้เราทำวัตรหนา มีสองรูป อาจารย์มหาธนิต เปรียญ 9 ประโยค อาจารย์พุทธทาส เปรียญ 3 ประโยค แปลออกมาพร้อม ๆ กัน หนังสือทำวัตรสวดมนต์เนี่ย เดี๋ยวนี้อาจารย์มหาธนิต ก็มรณภาพไปแล้ว อาจารย์พุทธทาส ก็มรณภาพไปแล้ว ไม่มีใครใช้ของอาจารย์มหาธนิตเลย มาใช้เล่มนี้ทั่วประเทศเลย สู้เปรียญ3 ไม่ได้เลย อันนี้นี่ก็ปัญญา
นักปราชญ์นั่งอยู่นั่น ท่านพุทธทาสนั้น(ชี้ไปที่รูปภาพ) เป็นอาจารย์ของพวกเรา หลวงตาเคยไปอยู่กับท่าน ไปเจาะภูเขาว่าจะทำอุโมงค์ ยังไม่เสร็จเลย ไปดูทุกวันนี้ก็ยัง ก็ไม่มีใครทำต่อ สู้พระสมัยโบราณไม่ได้ ถ้ำอชันต้า เนี่ย โอย..เจาะภูเขา ได้กุฏิ ศาลาหลังขนาดนี้ 9 หลัง 2 ชั้นก็มี วันที่ 5 มกรา 52(2552) อย่าไปขี้เกียจเสีย นี่ฝนตกลงมาพร่ำ ๆ ก็ว่าจะขอต้นไม้อาจารย์ตุ้มไปปลูก เขื่อนฝายน้ำล้นท่ามะไฟหวานสักเล็กน้อย เป็นกิจกรรมของพวกเรา ที่นี่ก็จะปลูก อาจารย์ตุ้มจะปลูกที่ไหน ต้นไม้ ดี๊ ดี ที่เอามานั่น ช่วยกันปลูกนะ วันเข้าพรรษา(หัวเราะ) ให้ได้คนละ 10 ต้น ปลูกป่าให้แผ่นดิน คืนน้ำให้ปลา คืนป่าให้แผ่นดิน ช่วยกันนะ อาจารย์ตุ้มหาต้นไม้เอาไว้แล้ว ฉะนั้นเราก็มีกิจกรรมร่วมกัน ปฏิบัติร่วมกัน ปล่อยวางร่วมกัน ทำความดีช่วยกัน
เราก็มีสิ่งที่ทำได้นะ มือก็พนมได้ ทำความดี มือก็ทำงานทำการ มาสร้างกุฏิก็ทำได้ ขาก็ยืนได้ แขนก็ยืนได้ แบกได้ จับได้ วางได้ ยกได้ อู้ย... มนุษย์สมบัติจริง ๆ นะ กายก็ดี ใช้ได้ ใจก็ดี ใช้ได้ ถ้าแต่โกรธนี้ใช้ไม่ได้นะ ความโกรธใช้ไม่ได้เลย ไปฆ่าไปตีกัน ไม่ได้ เอาระเบิดไปทำลายกัน เอาปืนไปยิงกัน เอามีดไปฟันกัน ไม่ถูกต้อง ต้องให้อภัย ใจให้อภัย อย่าถือโทษโกรธกัน อย่าทะเลาะวิวาทกัน อย่าขัดเคืองกัน สงสารพระพุทธเจ้า สงสารธรรมวินัย อย่าทะเลาะวิวาทกัน เว้นจากการทะเลาะวิวาทกัน เว้นจากการอิจฉาเบียดเบียนกัน อะไรก็ไม่ต้องเบียดเบียนในโลกนี้ เม็ดดิน เม็ดทราย ต้นไม้ มด แมลง อย่าเบียดเบียนกัน อยู่ด้วยกัน อย่าทำอะไรที่เป็นการกระทบกระเทือนให้เป็นทุกข์ต่อตัวเองและคนอื่น ช่วยกันเว้นความชั่ว ทำความดีให้มาก มันขาดแคลนเดี๋ยวนี้ วิธีทำความดี สุดยอดแล้วพวกเรานี้
ธรรมวินัย พระสูตร สติปัฏฐานสูตรเนี่ย พระอานนท์จำมา มาเขียนลงไว้ในพระไตรปิฎก ดีเหลือเกิน เรามาได้บนโลกนี้ ดีจริง ๆ นะ ในเรื่องของคำสอนเนี่ย แต่หนังสือส่วนมากนี่ หนังสือที่ร้อยกรองขึ้นมาเป็นหนังสือศึกษามหาเปรียญ ศึกษานักธรรมชั้นตรี โท เอก เป็นของพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นผู้ร้อยกรองขึ้นมา แต่ก่อนมันกระจายกันอยู่ในตำราพระไตรปิฎก พระมหาสมณเจ้า นี่เอามาเป็นสูตรการศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ เป็นการต้น ๆ สมัยตอนต้น นักธรรมตรีก็ไม่มี นักธรรมโทก็ไม่มี นักธรรมเอกก็ไม่มี เปรียญสอง เปรียญสาม เปรียญสี่ เปรียญห้าไม่มี พระมหาสมณเจ้าร้อยกรองมา มาทำเป็นหลักสูตรให้เรียน เป็นต้นตำรา ต้นของการร้อยกรองออกมาเป็นหลักสูตรให้เรียน จนเรามีความรู้ หลวงตามีความรู้ก็ได้เรียนนี้แหละ ถ้าไปค้นคว้าหนังสือพระไตรปิฎก หาไม่เจอ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีแล้วอยู่ในคอมพิวเตอร์ จะกดพระสูตรอันใด กดออกมา เป็นรูปมาให้เราอ่านได้เลย อ้า เจ้าคุณธรรมปิฎกบรรจุใส่คอมพิวเตอร์ หาสะดวกแล้ว พระมหาสมณเจ้าเป็นผู้ร้อยกรองให้เป็นหนังสือเรียน ตำราเรียน
ในประเทศไทยเรามี 2 นิกาย มหานิกายกับยุติกนิกาย ยุติกนิกายเกิดทีหลัง ในรัชสมัยรัชการที่4 มหานิกายเกิดมาก่อน ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ยุติกนิกายเกิดทีหลัง เพราะสมเด็จพระมหาสมณเจ้านี่เป็นยุติกนิกาย ท่านมีปัญญาสามารถคัดออกมาเป็นคำสอนเป็นหนังสือเรียนให้เป็นหมวด หมวดหนึ่ง หมวดสอง หมวดสาม หมวดสี่
หมวดสองเนี่ยเราเรียนอยู่ สติคือรำลึก ธรรมมีอุปการะมากสองอย่าง หนึ่งสติ ความระลึกได้ สองสัมปชัญญะ ความรู้ตัว นี่มีสองข้อเป็นหมวด ธรรมอันทำให้งามสองอย่าง ขันติ ความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม บุคคลหายากสองอย่าง บุพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน กตัญญู บุคคลผู้ตอบแทน อันนี้หมวดสอง หมวดสาม หมวดสี่ หมวดห้า หมวดหก หมวดสิบ นักธรรมตรีเรียกว่า “ธรรมวิภาค ปริเฉทที่1” นักธรรมโทเรียกว่า “ธรรมวิภาค ปริเฉทที่2” นักธรรมเอกเรียกว่า “ธรรมวิจารณ์” ธรรมวิจารณ์ชั้นสูงเรื่องมรรคผลนิพพานไปเลย
หลวงตาก็เรียนจบพระสูตร ค้นคว้าออกมาจากพระมหาสมณเจ้า จึงเป็นของมหามกุฎหมดเลย มหานิกายต้องไปซื้อหนังสือเรียกจากมหามกุฎ มหาวิทยาลัยสองแห่ง มหามกุฎอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารเป็นยุติกนิกาย มหาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นของมหานิกาย อยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ นี่ก็แตกไปเป็นสาขา เป็นวิทยาเขตทั่วจังหวัด ทั่วประเทศไทย
การศึกษาของมหาวิทยาลัยของสงฆ์ไทยเวลานี้ เพราะฉะนั้นของมกุฎเขามีหนังสือเยอะแยะ ร่ำรวย ขาย เราไปซื้อหนังสือเรียนที่นั่น เดียวนี่ก็จะเปลี่ยนหนังสือเรียนใหม่ก็ไม่ได้ อย่างอาจารย์ธรรมปิฎก เจ้าคุณธรรมปิฎกอาจจะไม่ตั้งชื่อว่า “นวโกวาท” จะชื่อว่า “ธรรมนูญของชีวิต” ก็ยังไม่เป็นหลักสูตรได้ ยังร่างไม่ได้อยู่การศึกษา อาจารย์ไพศาลไปดูการศึกษาของพม่า เขาศึกษายังไง สงฆ์ไทยที่นั่น เข้มแข็งมาก เพราะฉะนั้นนี่ก็คือของพวกเราทิ้งมรดกของธรรมะ มีหนังสือตำรับตำรามีคำสอนแน่นอน จนมาถึงทุกวันนี้ มีคำสอน ยังเอามาสอนกันได้ผลอยู่ วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนาธุระ คันถธุระก็มี เรียนกันสูง ๆ เป็นด๊อกเตอร์ก็มี ทำงานทำการได้
พวกเราก็เรียนวิปัสสนาธุระ เรียนกรรมฐานแล้วไปช่วยคนก็ได้เหมือนกัน อาจจะไม่มีความรู้หรือวุฒิบัตรอะไร ปัญญาอะไร แต่มีความรู้เรื่องกายเรื่องใจ เอามาทำดีเอาละความชั่วได้ ความรู้อะไรที่ไหนก็ตาม ต้องมาช่วยกันทำความดี ต้องช่วยกันละความชั่ว
ความดีของเรามีอยู่ที่ไหนต้องไปช่วยความดีให้เกิดขึ้นทั่วแผ่นดิน คำพูดอยู่ที่ไหนต้องไปช่วยกันทำความดี กายอยู่ที่ไหนต้องไปช่วยกันทำความดี มีจิตมีใจ ก็มีเมตตาธิคุณล้นเหลือไม่มีขอบเขต รักแม้กระทั่งเม็ดหินเม็ดทรายให้ปานนั้นนะ โลกทุกวันนี้มันร้อน เราจึงมาช่วยกัน ๆ อะไรที่มันดีก็ช่วยกัน
เวลานี้วัดป่าสุคะโต หลวงตาก็สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไร มีแต่เพื่อนดี ๆ ญาติโยมดี ๆ มาช่วยกันปฏิบัติธรรม นี่วันนี้ก็พูดให้ฟังน๊า.. ไม่ใช่เล่าธรรมะนะเนี่ย ให้มั่นใจเถิด พระสูตรที่เราทำอยู่นี้ มาตั้งแต่นู้น... สามพันปีแล้ว ไม่ใช่ของใหม่อะไร ของเก่า ๆ ยกมือสร้างจังหวะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า การคู้แขนเข้ามีสติ การเหยียดแขนออกมีสติ นี่เรามาเจตนาสร้างจริง ๆ นี่ มันทันเวลา วินาทีหนึ่งรู้ทีหนึ่ง เอาแบบนี้แหละ เรียกว่าเสริมพลังเข้าไป