แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สาธยายงานพูดออกจากปากของเรา จิตใส่ใจตามเกิดความเห็นด้วยว่าสัมมาทิฐิเห็นตาม ไม่มีตรงไหนแยกได้สิ่งที่เราสาธยายไป แล้วก็มาฟังธรรมความเห็น มารับรู้รับเห็นด้วยกัน อย่ามอบให้แต่มีในตำรับตำรา เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ เรามีแนวร่วมที่จะรู้เห็นรับผิดชอบกับสิ่งที่เราได้สาธยายไป แล้วก็มาเห็นจริงๆ จังๆ กับตัวเราด้วย เห็นต่อหน้าต่อตาเราอยู่ ไม่ใช่เป็นอดีตที่ยาวนานมาถึง 2,000 กว่าปี มันเป็นเดี๋ยวนี้ กับชีวิตเราเดี๋ยวนี้
เรามาเจริญสติ มีสติ คือความรู้สึกความระลึกได้ สติเดี๋ยวนี้ อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ก็คืออยู่กับพระพุทธเจ้า อันเดียวกัน อยู่ใกล้กันนิดเดียว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นพระพุทธเจ้าคือผู้นั้นเห็นธรรม ต้องมีอย่างนี้ ไม่ใช่จะไปกราบไปไหว้พระพุทธเจ้า สมัยโน้นหรือทุกวันนี้ก็ไปกราบไปไหว้อะไรต่างๆ สังเวชนียสถาน พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ มอบให้องค์นั้นเป็นพระอริยะ มอบให้หลวงพ่อองค์นี้เป็นสุปฏิปันโน ไม่ใช่เลย มันเป็นเรื่องของเราทุกชีวิต เช่น เราสวดว่าผู้ใดเห็นธรรมน่ะ ผู้ใดเห็นธรรมคือผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทคือหนุนเนื่องกันที่มันเกิดอยู่ในเรา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็ไม่มี สิ่งนี้มีสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้มีสิ่งนี้ก็มี นี่คือของจริง คือธรรม มันอยู่ที่กายที่ใจของเรา
เมื่อเรามีสติมาดูมันก็ฉายให้เราอยู่ เมื่อรับรู้การแสดงของเราให้มันเห็นชัดเจน กายนี่เราก็เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะกาย กายของเรานี้กับกายของพระพุทธเจ้าก็คืออันเดียวกัน จะเป็นใครที่ไหนอยู่โลกไหนๆ ก็คือกาย โลกคือหมู่สัตว์ ความชราแก่เฒ่า ไม่ยั่งยืนเหมือนกันทุกชีวิต เป็นสุขเป็นทุกข์ก็เหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าเอากายมาเป็นสิ่งละความชั่ว มาเป็นสิ่งทำความดี มาเป็นสิ่งบรรลุธรรม แต่มนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายเอากายมาเป็นสุขเป็นทุกข์ มาทำชั่ว มาทำสร้างให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น มันก็จะต่างกันน่ะ จึงไม่เห็นว่ากาย สักแต่ว่ากาย เห็นคล้อยตามพระพุทธเจ้าดู ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันเป็นกายซื่อๆ มันร้อนก็มันร้อนซื่อๆ ของเขา มันปวดก็มันปวดซื่อๆ มันมีอะไรแสดงออกทางกายมากมาย มันเป็นของซื่อๆ ของธรรมชาติ เป็นอาการของเขา
แต่เราไปฉวยออกมาเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นชอบเป็นไม่ชอบ เป็นตัวเป็นตน ขัดแย้งตัวเอง ขัดแย้งคนอื่น เราขัดแย้งตัวเรา เอาตัวเรามาเป็นสุขเป็นทุกข์ มันไม่ใช่แบบพระพุทธเจ้า มันก็ไปคนละทาง เราจึงมาเห็นน่ะ เรารู้ผ่านตาเราอยู่เสมอ ตาคือความรู้สึกเนี่ยมันเป็นหน้ารอบ ไม่เหมือนตาเนื้อ ตาเนื้อมันไปทางเดียวเหมือนแสงไฟฉาย แต่ตาภายในคือสติเนี่ยมันเป็นหน้ารอบ มาทางไหนก็รู้ มาทางไม่มีรูปก็รู้ อย่างเวทนาเนี่ยมันเป็นสุขเป็นทุกข์ที่ไม่มีรูป มันเป็นสุขเป็นทุกข์เพราะไปหลงผิดเป็นตัวเป็นตนกับเวทนาว่าสุขว่าทุกข์คือเรา มันไม่ใช่รูป แม้แต่ความคิดเฉยๆ ก็มาเป็นสุขเป็นทุกข์ หลายชีวิตที่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะความคิด เป็นบัญญัติ เป็นสมมติขึ้นมา ในความสุขความทุกข์ก็มีอะไรที่เป็นขบวนการหลายอย่าง ความชอบ อุปาทาน ความหลง นิสัย อุปนิสัย จริตต่างๆ เข้าไปร่วม กลายเป็นภพเป็นชาติไป มันยากขนาดนั้นก็ยังพากันเดินไปกับลักษณะเช่นนั้นในชีวิตเรา รกรุงรัง ถ้ามันรู้ซื่อๆ สักว่ากายไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน เรา เขา เราก็ไม่ต้องยุ่งยากอะไร
หลวงพ่อเทียนเปรียบเทียบเหมือนกับปลิงกัดเรา เราเอามือไปดึงออก มันไม่ออก ดึงปากหนึ่ง มันดีดติดอีกปากหนึ่ง ดึงปากหนึ่ง มันก็ติดอีกปากหนึ่ง สมัยก่อนนี้คำว่าปลิงเนี่ยอยู่ในน้ำ ถ้าใครลงน้ำก็เจอทันที ทำนาก็มีปลิง ปลิงกัดเวลาดำนา ลุยน้ำ แต่ทุกวันนี้ไม่มีปลิงเพราะกรัมม็อกโซน เพราะปุ๋ยเคมีสารพิษต่างๆ หมดไป อีกสักหน่อยชีวิตเราก็หมดไป เพราะคนเราถ้ามันยุ่งๆ ยากๆ หลายอย่าง ถูกหลอกหลายอย่าง ทางตาก็หลอก ทางหูก็หลอก ข่าวสารข้อมูลต่างๆ สิ่งแวดล้อมที่มันให้ข้อมูลเราผิดๆ ไป แต่ว่าข้อมูลที่จริงๆ น่ะคือรู้ซื่อๆ เนี่ยเข้าไป เราเจริญสติคือความรู้ซื่อๆ เข้าไปเนี่ย หลวงพ่อเทียนเลยบอกว่าเอายาสูบใส่น้ำมันก๊าดบีบลงไปใส่ปากปลิง ไม่ต้องไปดึงมัน มันก็หลุดออกไปเลย อันตัวรู้ซื่อๆ เนี่ยเหมือนกับเอาออก อะไรที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์ออกจากกายจากใจเรา ก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่เหมือนกับการดึงปลิงออกจากกาย ไม่เหมือนไปสู้กับทุกข์เพราะอยากได้สุข มันยาก เพียงแต่เห็นซื่อๆ เข้าไปน่ะ มันก็มียาดีล่ะ ยาหม้อใหญ่อยู่ในเราเอง เราไม่ค่อยใช้กัน ไปใช้อุปาทานบ้าง ไปความเห็นบ้าง ไปเป็นนิสัยบ้าง จริตนิสัยต่างๆ สิ่งนี้เราชอบ สิ่งนี้เราไม่ชอบ สิ่งนี้ไม่ถูกใจเรา สิ่งนี้ถูกใจเรา เอาใจมาเป็นที่ถูก ให้ความชอบใจ ไม่ใช่ความชอบธรรม
หลายชีวิตก็มีนิสัยต่างกันน่ะ ชอบไม่ชอบต่างกัน ความชอบของเราอาจจะเป็นความไม่ชอบ(ของ)คนอื่น ความชอบของคนอื่น อาจจะไม่ชอบของเรา ความสุขของเราเป็นความทุกข์คนอื่น ความทุกข์คนอื่นเป็นความสุขของเรา มีอยู่มากในโลกนี้ เราจึงมารับรู้รับเห็นในตัวเรานี้ มันได้คำตอบ ให้เอากายเอาใจมาเป็นเครื่องหลุดพ้น อย่าเอากายเอาใจมาเป็นเครื่องอุปาทาน ยึด ยึดจนใจขาด ร้องไห้เสียใจ เขาบอกพระพุทธเจ้าบอกเราว่ามันก็เป็นเช่นนั้น ความชราแก่เฒ่า ความเฒ่าไม่ยั่งยืน ไม่มีใครป้องกันได้ มันเป็นใหญ่เฉพาะตน มันก็ไหลไปของมัน นั่งอยู่นี่มันก็ไหลไปๆ ไม่ยั่งยืน ไม่หยุดอยู่คงที่ เรียกว่ากาย หรือว่าไตรลักษณ์ หรือว่าวัฏฏะ มีเยอะแยะเลยที่เป็นคำสอน ที่เป็นการแสดงอยู่ในตัวเรา มีมากเหลือเกิน เรามามีสติอันเดียวเห็นหมดทุกอย่าง เห็นอะไรที่มันแสดงออกก็รู้แล้ว รู้ซื่อๆ อย่าไปทำให้มันไม่ถูกต้องการเจริญสติเนี่ย ของง่ายมันเป็นของยาก เหมือนของเบาเป็นของหนัก เช่น ไปสู้กับความคิด ไม่อยากให้มันคิด มันก็ยังคิดอยู่ ทำไมมันจึงคิด มันก็ยากไป ถ้าคิดซื่อๆ แล้ว มันไปบัญญัติสมมติ เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นชอบไม่ชอบเยอะแยะไปเลย เป็นตัวเป็นตนเป็นภพเป็นชาติ เขาแสดงออกอันใดก็มีร่วมไปกับเขา มีค่าไปกับเขา ไม่ใช่เวลานี้ที่มันแสดงต่อหน้าต่อตา มันก็แสดงมาแล้วเป็น 40-50 ปี ก็มี มันอะไรมันติดมันเปื้อนมาในกายในใจเรา มันก็แสดงออกไม่ใช่เป็นเฉพาะหน้า มันมีมา
เราจึงมารู้มันซะ ถ้ารู้ มันก็สิ้นเวรสิ้นกรรมไป เป็นจริตนิสัยได้ หรือว่าขอนิสัย ได้นิสัยจากพระพุทธเจ้า ได้นิสัยจากตัวรู้ซื่อๆ บอกว่าที่รู้ซื่อๆ ตัวนี้ มาช่วยกันรู้เห็นอย่างนี้ มาช่วยกัน อย่าให้เป็นเรื่องของคนใดคนหนึ่ง อย่าไปมอบให้พระพุทธเจ้า มอบให้หลวงพ่อ หลวงตา อาจารย์ พระสงฆ์ องค์เจ้าที่อื่นเลย เป็นเรื่องของเราแท้ๆ สิ่งที่เราสาธยายสิ่งที่เราสวด อันคำสอนน่ะมันเป็นเรื่องของเรา แม้แต่การตรัสรู้ นี่จะใกล้จะมาถึงแล้ววันวิสาขบูชา นั่นก็เป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของเราแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของส่วนตัวเป็นเรื่องของส่วนรวมทุกคนทุกชีวิต แล้วก็ไม่ต้องไปเข้าในรั้วมหาวิทยาลัยที่ใด มาอยู่กับตัวเรานี่ มารู้มาศึกษา พวกเราที่นี่จะเป็นเพื่อนเป็นมิตรได้จริงๆ น่ะ
มารู้ซื่อๆ เนี่ย ไม่ให้ค่าอะไร มันจะมีค่าอะไรในชีวิตเราอ่ะ ความรักก็มีค่า ความชังก็มีค่า ความสุขก็มีค่า ความทุกข์มีค่า ความผิดก็มีค่า ความถูกมีค่า ความหลงมีค่า ความไม่หลงก็มีค่า มันก็เลยแสดงเวทีของกายของใจเรา มันไปยึดมันไปแสดงในค่าต่างๆ แสดงถึงความหลง แสดงถึงความรู้ แสดงถึงความสุข แสดงถึงความทุกข์ ให้เขามาแสดง หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ ของรักกลายเป็นของชังก็ได้ ของชังกลายเป็นของรักก็ได้ ความชอบกลายเป็นความไม่ชอบ ความไม่ชอบกลายเป็นความชอบ ความพอใจ ความเสียใจ ความไม่พอใจ มันก็เป็นอุปาทาน เป็นภพ เป็นชาติ จึงมารู้ซื่อๆ โดยมีสติ เอาฐานไว้ ตั้งฐานไว้ ตั้งฐานคือภาวะรู้ เอากายมาจุ่มมาต่อกับความรู้อันนี้ ไม่ใช่คิดเหตุผล เหตุผลไม่ใช่สัจธรรม เอามาต่อจริงๆ ให้มันเคยชินกับความรู้ซื่อๆ
แต่ถ้ามันไม่รู้ซื่อๆ มันมีค่าอะไรทุกอย่าง อ้าวผิดแล้ว เออนี่ถูกแล้ว มันน่าจะผิด มันน่าจะถูก มันน่าจะรู้ มันทำไมยังหลง ทำไมยังหลง ไม่ใช่แบบนั้น การเจริญสติ ความหลงก็ซื่อๆ ความรู้ก็ซื่อๆ เนี่ย มันจะง่ายๆ ไปอย่างนี้การปฏิบัติธรรมน่ะ ไม่มีใครแสดงให้เราหรอกนอกจากเราเอง การบรรลุธรรมก็เป็นการบรรลุธรรมเรื่องนี้ ไม่ใช่ใครให้เรา บรรลุธรรมคือพ้นไปจากภาวะที่มันเคยเป็นเคยมี มันไม่มีค่าสำหรับเรา ความทุกข์ก็ไม่มีค่า ความสุขไม่มีค่า มันพ้นไปจากความสุขความทุกข์ มันก็ไม่มีค่าอะไร แต่ก่อนนี้มันมีค่า มันหอบหิ้วเราไปหาความสุข มันหอบหิ้วเราไปหนีทุกข์ หาความสุขความทุกข์ตามไป หาความทุกข์ความสุขก็มีบางที เช่น ทุกข์ใจหาทางออก โดดน้ำตาย กินยาตาย มันไม่ใช่ ในความทุกข์ก็มีความไม่ทุกข์ ในความเจ็บก็มีความไม่เจ็บ ในความแก่ก็มีความไม่แก่ ในความตายก็มีความไม่ตาย ไม่ต้องไปหนีมัน อย่างนี้
มันยากมั้ย จะต้องให้ใครมาช่วยเรา เรื่องที่เราไปคนเดียว ไม่มีบุคคลที่สอง เมื่อวานนี้ก็ไปเอาศพคนแก่ หมู่ญาติพี่น้องลูกหลานร้องห่มร้องไห้เสียใจเป็นทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความไม่สบายกายความไม่สบายใจเป็นทุกข์ มาเอามาเป็นทุกข์ เราร้องไห้เราเสียใจมันได้อะไร ความรักก็เป็นทุกข์ ความชังก็เป็นทุกข์ เราเป็นทุกข์เพราะคนดี เราเป็นทุกข์เพราะคนชั่ว
อย่างเมื่อไม่นานมานี้ มีสุภาพสตรี 2 คน มาหาหลวงตาที่นี่ คนหนึ่งก็เป็นทุกข์เพราะสามีตายไป อุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็ร้องไห้ เศร้าหมองก็มีเพื่อนพามา แล้วก็ว่าไม่ทุกข์ไม่ได้ สามีของหนูเป็นคนดี มีแต่ความดีของเขาอยู่ในหัวใจของหนู วางไม่ได้หรอก เพราะสามีของหนูเป็นคนดีมาก รักลูกรักเมีย ประกอบการงานอาชีพข้าราชการ เป็นหมอ เธอเป็นพยาบาล แล้วก็พูดให้ฟังพอเข้าใจ พอมีความเห็นได้หน้าตาก็ไม่เศร้าหมอง ยิ้มได้เป็นบางโอกาส ไม่อีกกี่วันก็พาเพื่อนมาอีก มาหาหลวงตา สุภาพสตรีคนนั้นเพื่อนที่มาก็สามีทิ้งไปมีหญิงอื่น ก็ทุกข์มา สามีเป็นคนดีก็ทุกข์ สามีเป็นคนไม่ดีก็ทุกข์ เหมือนกันตัวทุกข์คืออันเดียวกัน แล้วแต่ใครจะสมมติเอา ทำไมจึงหนีไป อุตส่าห์ลงเรี่ยวลงแรงตั้งหลักตั้งฐานตั้งบริษัทมาร่วมกัน แล้วทิ้งไปมีหญิงอื่น แล้วก็มาเป็นทุกข์ คิดอยากจะฆ่าตัวตายเพราะสามีหนีไปมีคนอื่น มันก็ทุกข์เหมือนกัน มันก็เป็นทุกข์ เอ้า สามีเป็นคนดีก็ทุกข์นาเธอคนเนี้ย สามีเป็นคนดีก็ทุกข์ เธอนี่สามีเป็นคนไม่ดีก็ทุกข์ ที่แท้มันคือทุกข์ มันไม่ใช่ เรา
ก็มารู้ว่า เออนี่ เป็นเช่นนี้เอง เอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งอื่น ถ้าสิ่งอื่นที่มันทำให้เราได้ เป็นของเรา เอาอันอื่นมายึดครองมันก็เป็นทุกข์แล้ว อย่าเอาชีวิตไปห้อยไปแขวนไว้กับสิ่งอื่น บางทีเอาไปแขวนไว้กับอันใดที่มันผุพัง อันใดที่มันหักง่ายๆ บางอย่างที่เอาไปแขวนไว้มันไม่ใช่หรอก มันคนอื่นอันอื่นไป มันก็พลาดได้ เราก็เจ็บปวด ชีวิตเราเราต้องเป็นตัวของเราเอง ไม่ใช่ไปห้อยไปแขวนไว้ ในโลกนี้ชีวิตของคนน่ะเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้กันเยอะ เพราะเอาไปห้อยไปแขวนไว้ แต่ความผิดความพลาดของตัวเองก็มีมากมาย แล้วไปอาศัยคนอื่นให้เหมือนเรา ไปเกณฑ์เขาให้เหมือนเรามันก็เป็นไปไม่ได้ ก็เป็นทุกข์ ก็พอที่จะเข้าใจ พากันยิ้มแย้มแจ่มใสไปด้วยกัน
เพราะฉะนั้นเนี่ย ถ้าเราไปถึงตรงนั้นแล้วมันมักไม่มีทางออก มันก็จนซะ เราจึงหาทางให้พบตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อย่ารอให้ถึงวันนั้น วันเกิดแก่เจ็บตายจึงจะไปแก้ไข มันแก้ไม่ได้ มันก็มืดแปดด้าน มาเหยียบทางไว้ มาเดินเอาไว้ ให้มันเป็นรอยบ้าง รอยสู่ความหลุดพ้น คือความรู้ซื่อๆ เอาไว้ เห็นอะไรก็เอาซื่อๆ เนี่ยเอาไว้ ให้เป็นรอยสักหน่อย เดี๋ยวมันไม่มีรอยเลย เหมือนกับทางเดินจงกรมมีแต่ใบตองมีแต่ขยะ ถ้าเราเดินไปเดินมาก็กลายเป็นรอยก็ได้ ขยะในหัวใจเรา สิ่งรุงรังพะรุงพะรังในหัวใจเรา ในกายเราติดเหล้าติดบุหรี่มันก็เห็นแต่รอยอันนี้ไม่มีรอยอะไร นั่งสร้างจังหวะ มันก็บุหรี่เอาฉายมาเป็นรอยแห่งบุหรี่ เหล้าก็ฉายออกมา บางทีไปสอนคนเลิกสูบบุหรี่ มันก็ใช้ไม่ได้แล้วชีวิตหลงทางแล้ว มานั่งสร้างจังหวะไปสอนเขาเป็นเพื่อนกันมา มานั่งสร้างจังหวะก็นั่งอยู่ สร้างจังหวะไปสร้างจังหวะมา มือคว้าไป คว้ามือเปล่า บางทีหันหน้าไปทางมือที่มันคว้าไป ก็เลยว่ารู้สึกไหมที่มือมันออกไปอย่างนั้น ไม่รู้ ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น นึกว่าจะคว้าไป เอาบุหรี่มาสูบว่ามันหิวก็แสดงอาการไปทางกาย มือคว้าไปหาบุหรี่ มันเคยติดนิสัยมา มันหิวก็เอาบุหรี่มาสูบ ไม่มีก็หา ทำงานอยู่ก็ต้องหนีจากงานไปหา บางทีไปกู้ กู้เงินมา ยังเคยได้ยินเลย ขึ้นรถไปหายืมเงินเพื่อน หายืมเงินสัก 10 บาทหนา เดี๋ยวไปถึงบ้านก็ได้ พอได้เงินมา 10 บาท ไปซื้อบุหรี่เลย บาทออกบาทที่จ่ายครั้งแรกซื้อบุหรี่เลย
เนี่ย มันไปอย่างนั้นมันก็รอยมันไป รอยแห่งความรัก รอยแห่งความชัง รอยแห่งความชอบ รอยแห่งความไม่ชอบ มันใช้เรา เรารับใช้มัน มันก็เลยติดไป เราจึงกลับมา เวลามันคิดไปหลงไป กลับมารู้มันทันที เอาไปเอามาก็เลิกได้ เราใช้ไม่เป็น แต่ก่อนว่ามันตัวรู้ตัวหลงมันอยู่ตรงไหนกัน ตัวที่มันหลงมันก็มีตัวรู้อยู่ เราก็ยังใช้มัน ใช้ตัวรู้ทุกโอกาสไปทุกกรณี นี่มันเป็นของใช้ได้นะที่เราทำน่ะ มันเป็นอกาลิกธรรม เป็นสิ่งที่ทำได้ปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นของทำไม่ได้เลย พระธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ดีมันก็ดี ทำชั่วมันก็ชั่ว ตัวหลงก็ได้หลง ตัวรู้ก็ได้รู้ สันทิฏฐิโก เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาปฏิบัติได้ด้วยตนเอง อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ให้ผลได้ไม่จำกัดกาลเลย ตอนเช้า ตอนเย็น ตอนไหนก็ได้ ถ้ามันหลงก็รู้ทันที มันทุกข์ก็รู้ทันที มันสุขก็รู้ทันที รู้ซื่อๆ เข้าไป เอหิปัสสิโก เอ้า ชวนมาดูๆ มาดูเรื่องนี้ต้องดู มาดูๆ โอปนยิโก น้อมเราเข้าไป ไปเป็นผู้รู้ เล็งเห็น เห็นมัน มันหลงที่ใดก็รู้ที่นั่น น้อมไป อย่าไปทำอันอื่น อย่าไปเอาเหตุเอาผล บางทีมันออกไปเอาเหตุเอาผล เอาตัวเองไปเป็นที่วัด เราชอบเราไม่ชอบ ยกมือสร้างจังหวะเราไม่ชอบ นั่งนิ่งๆ อย่างนี้เราชอบ เราชอบแบบนี้ นิสัยเราชอบนี่ เอ้า นิสัยอะไร นิสัยอุปาทาน เอามันรู้ซื่อๆ เนี่ย เคลื่อนไหวก็รู้ได้ ไม่เคลื่อนไหวก็รู้ได้นะ นั่งอยู่เฉยๆ ก็รู้ได้ ไม่ใช่ชอบไม่ชอบตามรูปแบบ เอาความรู้ซื่อๆ เข้าไปทุกรูปแบบเลย นี่คือน้อมมา ปัจจัตตังเว เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตนเองเฉพาะตน เดี๋ยวนี้ ปัจจัตตัง คือ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้ ไม่ใช่ชั่วโมงหน้า ไม่ใช่วินาทีหน้า เป็นวินาทีนี้ทันที ยกมือขึ้นก็รู้ทันที อะไรที่มันเคลื่อนไหวจากกายเฉยๆ รู้ทันที ปัจจัตตัง เห็นต่อหน้าต่อตา รู้ต่อหน้าต่อตา ให้ความซื่อๆ มันต่อหน้าต่อตา ไม่ให้ค่ามันเลย มันจะเก่งเหมือนกับว่า เอาก้อนเนื้อออกจากตับอ่อน ปวดท้องอย่างหนัก ก็รู้มันก็รู้ซื่อๆ มันไม่มีตัวมีตนเป็นผู้ปวด
มันซื่อๆ มานานแล้ว 40 กว่าปี มันซื่อๆ มานานแล้ว มันมีค่าอะไรมั้ย ปวดท้องก้อนเนื้อตับอ่อน หมอฉายเอกซเรย์ ก้อนเนื้อตับอ่อน แล้วหมอที่สำเร็จการผ่าตัดที่จุฬาฯ มายืนเข้าแถว เนี่ย หลวงพ่อ ผมเป็นแพทย์ผ่าตัดจบรุ่นเดียวกัน พวกผมเตรียมพร้อมว่าจะต้องผ่าตัด เอาฟิล์มเอกซเรย์มาให้ดู ก็เห็นก้อนเนื้อ ก็ชี้บอกมันอยู่ในตับอ่อน มันก็รู้ซื่อๆ เนี่ย ไปสุขไปทุกข์เหรอ ตรวจไม่มีโรค ดีใจ พอตรวจมีโรค เสียใจ บางทีพอหมอบอกก็เสียใจละ หมอก็เลยมียาของแพทย์ไม่ต้องบอก ก็เลยไม่ซื่อๆ ซะเพราะถ้าผู้บอก ผู้ถูกบอกก็ไม่มีตัวซื่อๆ มันก็เป็นสุขเป็นทุกข์ กลัวๆ กล้าๆ มันก็ลงโทษตัวเราไป ถ้าเรามารู้ซื่อๆ เอ๊า จะเป็นไงก็รู้แล้วว่าโลกคือหมู่สัตว์เนี่ย มันก็เป็นอย่างนั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ใช่เรา มันเกิดเฉยๆ มันแก่เฉยๆ มันเจ็บเฉยๆ มันตายเฉยๆ มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิต ของสรรพสัตว์ เราไม่เป็นสุขเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้ เรามารู้ซื่อๆ เข้าไป ไม่ใช่เป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่แสดงถึงความเจ็บ ไม่ให้แนวร่วมมัน ถ้าเราให้ค่ามันมาก มันก็เป็นค่ามาก เจ็บก็ตัวเราเจ็บ แก่ก็ตัวเราแก่ ตายก็คือเราตาย
เมื่อวานก็ร้องไห้เสียใจ คนอ่านประวัติก็ใส่อารมณ์เข้าไป คนฟังลูกเต้าลูกหลานก็คล้อยตามเสียใจร้องไห้กัน หลายอย่างที่ให้เกิดความน้อม น้อมไปหลงผิด อ้าว มันก็มีกำลังเยอะขึ้นมา เออพ่อเราตาย แม่เราตาย เรายังอยู่ เรายังต้องดำรงวงศ์ตระกูล เรายังไม่ตาย ชีวิตของเรามาจากพ่อจากแม่ ต้องมีกำลังเข้มแข็ง บุกหน้าเรื่อยไป ทำความดีเรื่อยไป ละความชั่วเรื่อยไป ก็เลยบอกว่าเออชีวิตของเรานี้ เออเรามีพระสงฆ์องค์เจ้าที่น้อมญาติโยมมาจากทุกทิศมาส่งถึงเชิงตะกอน พอจุดไฟเผาเขาก็กลับไป เหลือแต่อะไรจะพาไป คือบุญกับบาป ถ้าคนทำมีบุญ ความรู้ซื่อๆ บุญพาไปเป็นสุคติ ถ้ามีบาป ไม่ซื่อๆ ก็บาป บาปพาไปเป็นทุคติ เป็นของส่วนตัวแล้วบัดนี้ สองคนพาไปคือก็ไปรู้ซื่อๆ ความเป็นภพๆ ชาติๆ ก็พาไป ไม่ใช่ยังไม่ตายก็ไปแล้ว นั่งอยู่นี่ก็ไปแล้ว ไปอะไรไปสุขไปทุกข์ ไปชอบไปไม่ชอบ หลายภพหลายชาติเหลือเกิน เกิดดับๆ ในกายในใจเรานี่เอง
เราจึงมาให้มันสิ้นภพสิ้นชาติซะ กลัวมั้ย สิ้นภพสิ้นชาติคือสิ้นยังไง คือไม่มีค่า เป็นชีวิตล้วนๆ ไม่ให้เป็นโทษต่อตัวเราเอง ไม่เป็นโทษต่อคนอื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น มันก็เป็นผลประโยชน์กระทบไปในทางที่ดีไป เดี๋ยวนี้เรากระทบตัวเองก็เป็นกระทบคนอื่น เราหลงก็ไปทำคนอื่นให้หลง เราทุกข์ก็เป็นทำคนอื่นให้ทุกข์ เราเป็นคนชั่วก็เป็นทำคนอื่นให้เป็นคนชั่ว เมื่อวานนี้คณะสิ่งแวดล้อม ศิลปินทั้งหลาย นักเขียน เข้ามาเผยแพร่ภาพโลกให้คนได้รู้ว่าโลกมันมีปัญหาอะไร ความร้อนเพิ่มขึ้นเพราะเหตุใด ฟ้าฝนแห้งแล้งหรือท่วมไปเพราะเหตุใด พวกศิลปินที่เขามาสำรวจสิ่งที่มันพาให้เกิดความร้อน ความแห้งแล้งมันเกิดจากอะไร ไม่ใช่การพูดกัน มาเขียนเป็นภาพ เดี๋ยวนี้ที่นี่ก็ ก็ทำกิจกรรมอย่างนี้ เราไม่เคยตัดต้นไม้สักต้น เราก็ลำบาก เราไม่เคยเป็นคนชั่วเราก็ลำบาก คนอื่นชั่วมาก แต่เราไม่ทำชั่วคนเดียว มันไม่เพียงพอ จึงมาช่วยกัน
พระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้ารู้ดี รู้ชอบ ด้วยพระองค์เอง แล้วสอนคนอื่นให้รู้ตาม ถ้าไม่สอนก็เป็น “ปัจเจกพุทธ” สูญเปล่าไปเลย มีมากมายปัจเจกพุทธะ อันนี้พระพุทธเจ้าสัมมาสัมพุทโธ สอนคนอื่นรู้ตาม เรียกว่า “สัมมาสัมพุทธะ” ถ้าใครยังไม่สอนไม่บอกคนอื่นให้รู้ตาม เรียกว่า “พุทธะ” เฉยๆ มีมาก ฉะนั้น เราจึงอดไม่ได้ ต้องมาชวนกันมาตั้งสถานที่ขึ้นมา พอมีสัปปายะ มีเสนาสนะสัปปายะเพื่อการนี้ มีอาหารสัปปายะเพื่อการนี้ มีบุคคลสัปปายะบุคลากรในวัดเพื่อการนี้ มีธรรมาสัปปายะเพื่อให้คนมารู้เรื่องนี้ สัปปายะ 4 อย่างนี้ คิดว่าเพียงพอต่อที่นี่ พอใช้ได้ หลวงพ่อก็นั่งพูดอยู่นี่ พระอาจารย์ท่านก็พาสอนพาทำ ไม่ใช่เราบอกทิ้งไป รับผิดชอบ อาจารย์ผู้พาเราทำก็เหมือนกับแม่ไก่กกไข่ ถ้าไม่กกมันไม่ออกลูก เหมือนตีเหล็กถ้าไม่ร้อนมันตีไม่ได้ ต้องเผาให้มันร้อนจึงตีได้ แม่ไก่ถ้าไม่กกไข่ มันก็ไม่ออกลูก มันเน่าไป กรรมฐานแม่ไก่ทำหน้าที่ไหลลูก
ผู้ดูแลอธิการต่างๆ เจ้าอธิการเสนาสนะ เจ้าอธิการทหาร เจ้าอธิการคลัง เราก็มีคลัง มีสำนักงาน มีของใช้จ่าย ถ้าใครมาก็มารับที่นั่น ไม่ต้องแจ้งใคร ไม่ต้องบอกใคร เป็นของเรา บ้านเรา ที่ของเรา อยู่กี่วันกี่เดือนก็มา ไม่มีใครยุ่งยากเพราะเรา เพราะหัวใจของเราเนี่ย ให้อยากให้เป็นอย่างนี้ในประเทศไทย ในโลก ก็เช่นนี้ มันมีความคิดอย่างนี้ ก็ยากๆ จนๆ อยู่เนี่ย แต่ว่าคนที่นี่เนี่ยตั้งมาแล้ว 40 ปี ก็แค่นี้ ก็พออยู่กันได้ แล้วก็ไม่ชอบเลี่ยมระยิบระยับ ช่อฟ้าใบระกา ชอบธรรมดาๆ อาจารย์ตุ้มท่านเข้ามาทาสีดำๆ นั่งอย่างนี้ ไม่ปูพรม ไม่ปูอะไร พรมผืนหนึ่งหลายหมื่นบาทไม่ต้องมาปู กระดานพื้น กระดานพื้นศอกนึงน่ะ 54 บาท มันดีกว่าพรม เพราะพรมมันเป็นมลภาวะ มีขี้ฝุ่น เมื่อมีพรมเราก็ต้องซื้อเครื่องดูดฝุ่นมาอีก มีไฟฟ้าอีก อันนี้พวกเราก็ค่อยๆ ถูกัน พระอาจารย์ก็ถูกัน พวกเราก็ถูกันก็สะอาด