แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
มาฟังธรรมกันเน้อ หลวงตาก็อยากออกจากสอนนะ เป็นไรหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ มีอาจารย์หลายรูปที่สอนได้ ช่วยกันได้ อย่างหลวงตาไปกรุงเทพฯ ไปอริยธรรม มีญาติโยมมาแซวอาจารย์ทรงศิลป์ ลูกศิษย์ของท่านมาฟ้องหลวงตา ยอดเยี่ยมที่สุดเลยหลวงตา อาจารย์ทรงศิลป์ สอนธรรมะได้ดีมากคนเข้าใจ เลยเหมือนจีน หลวงตาก็เชียร์อาจารย์โน้สให้เป็นผู้นำทุกกรณี ก็เก่งเหมือนกันน่ะ มีหลายรูปหลายองค์ที่อยู่ที่นี่ พร้อมทั้งแม่ชีด้วยนะใช่ไหม ช่วยกันบ้าง
หลวงตานี่อดไม่ได้ มันดีดขึ้นมาเลย ไม่พูดไม่จาอะไรเลยไม่ได้ ต้องบอกความลึกความจริงแก่ผู้คน เหมือนกับมีชีวิตชีวาขึ้นมา ที่บวชมานี่ ไม่เพื่ออะไร เพื่อการนี้โดยตรง แล้วก็มีเพื่อนมีมิตรก็ยิ่งดีใหญ่ เหมือนพวกเราน่ะ เดินตามรอยยุคลบาทไปด้วยกัน ทั้งพระสงฆ์ แม่ชี ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รอยพระพุทธเจ้าไปดีแน่นอนเลยล่ะ พระองค์ผ่านตรงไหน เราก็ผ่านเหมือนกัน แล้วเราไปอยู่ที่นี่ ไปทางไหน ก็ไปด้วยกัน ก็ผ่านเหมือนกันหมด ข้ามสงสาร วัฏสงสารเหมือนกัน เคยทุกข์ เคยหลง เคยโกรธ เคยวิตกกังวลเศร้าหมอง เคยรัก เคยเกลียดชัง เคยผิด เคยถูก เหมือนกันหมด ไม่ต่างอะไรกันเลย เสียใจเพราะความรัก ดีใจเพราะความรัก เป็นทุกข์เพราะความรัก เป็นโศกเพราะความรัก เหมือนกันหมด ต้องมีเหมือนกันทุกคน วัฏสงสารเป็นอย่างนี้
เราถึงให้เสมือนกับเดินไปด้วยกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน แม้เราอยู่ที่นี่ ไม่ค่อยเห็นกัน ก็เหมือนกับไปด้วยกันจริงๆ เรานอนอยู่ก็เหมือนกับเราไปด้วยกัน เรานั่งอยู่ที่นี่ แม่ชีอยู่ที่นั่น พระอาจารย์อยู่ที่นี่ โยมอยู่ที่โน่น อุ่นใจ เพื่อนเดินทาง ดึงกันไป บอกกันไป โดยเฉพาะหน้าที่ของพระสงฆ์น่ะ ทำหน้าที่เหมือนพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์มีหน้าที่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พระองค์สอนผู้อื่นให้รู้ตาม พระสงฆ์คือหมู่ชนผู้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ออกบวช ทำธรรมวินัย สอนคนอื่นให้รู้ตาม เหมือนกัน ถ้าพระสงฆ์รูปใด ไม่สั่งไม่สอนน่ะ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นสงฆ์ ก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้ได้ อะไรเล็กน้อยก็ทำไป เราปฏิบัติได้อย่างไง ก็สอนคนอย่างนั้น เราเคยมีความหลง เรามีความโลภ ก็สอน ให้เขาเปลี่ยนหลงเป็นรู้ ถ้ามีน้อยก็สอนน้อยๆ ไป ถ้าไม่สอนเสียเลย ก็เหมือนไม่มีประโยชน์อะไร เรียกว่าเป็นปัจเจกพุทธะ ตายทิ้งไปเปล่าๆ ตรัสรู้เฉพาะตัวเอง ไม่มีประโยชน์
ในโลกทุกวันนี้ อดีตก็ดี อนาคตก็ดี ปัจจุบันก็ดี มันก็เห็นกับหูกับตาเราอยู่แล้ว อะไรที่มันไม่ถูกไม่ชอบ เราก็เห็นกันอยู่ ในตัวเราก็เห็น ในโลกก็เห็น ที่ว่า อธิปไตย อัตตาธิปไตย มองตนก็เห็น แล้วก็อธิปไตย มองโลกก็เห็น ธรรมมาธิปไตย เพื่อทำจุดหมายปลายทางของชีวิตของคนเรานี่ เพื่อธรรมจริงๆ ถ้าไม่เพื่อธรรมแล้วไม่มีประโยชน์ น่าเสียดายที่เราเกิดมาเนี่ย จึงกระตือรือร้นมาก ให้ช่วยกันเถอะ ถ้ามีบรรยากาศ ได้ยินตอนเช้า ตีฆ้องก็ให้มาทำวัตร ก็ชื่นใจ ตอนเย็นเสียงฆ้องมาทำวัตร ก็ชื่นใจ คนมา เดินกันมา เป็นฝักเป็นฝ่าย ใส่ใจกันนะ ชื่นใจ เป็นเลนส์ เป็นตาที่ถ่ายให้กับชีวิตของพวกเรา
หลวงตาไปอยู่เมืองจีน พอตีสามก็ได้ยินเสียงเกราะ ตีดังก๊องๆๆๆ มหายานเขาเย็นนะ สมหญิง เสียงเกราะตีดังก๊องๆๆๆ คนตีก็เขาเดินไวนะ แต่วัดเขาไม่เหมือนวัดเรา มันไม่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนที่นี่ ป่าไม้ก็ไม่มี เดินแต่คอนกรีตในบริเวณวัด ตีไปก็ตีทางนั้น ตีไปที่นี่ ตีไปเดินไป วับๆๆ ไป ถ้าเราเป็นเช่นนั้นบ้างก็ดีนะ ตี 3 ครึ่งก็ตี ทางทิศตะวันออก ตีมาซะ ก๊องๆ มา (หัวเราะ) ขณะที่ฝนตก ตีมาซะ ก๊องๆ มา โอ๊ย จะมีความสุขมากเลยนะ นอนฟังอยู่ก็มีความสุขนะ ผู้ประมาทจะได้ไม่ประมาท ได้ยินเสียงเกราะตีก๊องๆ มา ผู้หลับอยู่จะได้ตื่นขึ้นมา ให้เป็นบุญนะ การบอกทางเนี่ย บอกทางชี้เวลา นักขัตตัง ปฏิมาเนนตัง อัตโถ พาลัง อุปัจจคา การนี้ทำอะไรอยู่ เหมือนกับบอก
แม้แต่บวชพระสงฆ์ใหม่ๆ เรียกมาบอกอนุศาสน์ เมื่อมาเป็นนักบวชแล้ว ต้องบอกอนุศาสน์ทันทีเลย ตาวาเทวา นิกขัตตัง ปฏิมาอันตัง อัตโถ ปัจจักฆา ตาวาเทวา รู้จักดาว รู้จักเดือน รู้จักเวลา ดึกใด ยามใด ข้างขึ้น ข้างแรม จะไปไหน ไปสอนใคร บิณฑบาตทางไหน จะพอได้อยู่ได้กิน จะไปบอกใคร จะช่วยใคร ใครน่าจะช่วยก่อนหมู่ ตาวาเทวา ชิยะมิตตัง อะติธิปปัง ภิวาสะวะโส อะติทิพโพจัดตารานิยะจานิ ดูรูป ดูคน ดูทิศ ดูทาง ดูกาลเวลา ให้รู้จัก ไม่ใช่หลับใหล แล้วรู้จักใครด้วย พระพุทธเจ้าจะมองเห็นชาวบ้าน มองอุปนิสัยของคน ที่อยู่ชาวบ้าน ที่เป็นอย่างไร ตาวาเทวา ชิยะมิตตัง อะติธิปปัง จัตตาโร อิทธิโป จิตของใครเป็นยังไง สังเกตกิริยามารยาทดู แล้วจะไปบอกเขา ไปโปรด ไปบิณฑบาต ไปโปรดสัตว์ ตามเวลาที่กำหนด
บางอย่างถ้าไม่เข้มแข็งในจิตวิญญาณของเรา แล้วเราก็เอาอย่างด้วย เอาอย่างผู้นำ มีผู้นำ มีผู้ตามด้วย หัดเป็นผู้นำ เสนอตัวเราบ้าง อย่าไปเป็นเสนาวัชชิกา ตามแต่คนเดินเสมอไป เสนอตัวเราบ้าง ปรารภตนบ้าง เราจะแค่นี้หรือชีวิตเรา ถีบตัวขึ้นมา ปลุกตัวขึ้นมา อะไรยังไม่รู้พยายามให้รู้ อะไรยังไม่เข้าใจ พยายามให้เข้าใจ อะไรยังไม่แจ้ง พยายามให้แจ้ง อะไรยังไม่หลุดพ้น พยายามให้หลุดพ้น เราคนหนึ่ง คิดอย่างนี้ ถ้ามองถึงครอบครัวพี่น้องเรา เราก็มีอยู่จริง มีพ่อมีแม่ ลูกของแม่ก็นี่ เราคนหนึ่ง ลูกของพ่อก็นี่ เราคนหนึ่ง เสนออย่างนี้ แต่ต้องเป็นชีวิตคนหนึ่งของตระกูลนี้ ยิ่งเรานั้นมีผัวมีเมีย เราคนหนึ่งจะต้องเป็นคนดีของเมีย เป็นคนดีของผัว เป็นคนดีของพ่อของแม่ เป็นคนดีของพี่ของน้อง เสนอขึ้นมา มีกำลังใจ มันจะประมาทไม่ได้ เมื่อเขาประมาท เราก็ไม่ประมาท เพราะเราเสนอตัวเราแล้ว ตกหมู่แร้งไม่เป็นแร้ง ตกหมู่กาไม่เป็นกา มั่นคงเสมอ ขีดเส้นเอาไว้ ถ้าไม่ขีดเส้นให้ตัวเองเสียเลยนี่มันก็มืดแปดด้าน ไม่รู้จะไปทางไหน แล้วก็มองเห็นกัน
อยู่นี่ คำสอนก็มี พระสงฆ์ก็มี ตัวบุคคลก็มี สถานที่ก็มี ให้รู้เอาไว้ ถ้าไม่ทำอะไรแล้ว ก็คิดไปก่อนก็ดีนะ มันจะได้ถึงศีลถึงธรรมตอนใจจะขาดก็ได้ ถ้าคิดถึงน่ะ ถ้าคิดไว้ เรายังไม่ไป ไปไม่ได้ เป็นภาระ เป็นธุระอยู่ แต่เราคิดไว้ มันก็จะไป ถึงคราวจำเป็นก็ ถึงจนมาจะ มันก็หาทางออกได้ งั้นโบราณท่านว่า ถึงคราวยากจน เอาดอกหญ้ามาแซมผมก็ยังสวยได้ นี่ล่ะไม่มีอะไรมากมาย เพียงคิดถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คิดถึงคำสอนก็ยังจะดี ถ้าเราไม่ได้ขีดเส้นไว้เลย คิดถึงแต่บาปกรรมที่ตัวเองทำมา สลด กระทบกระเทือนจิตใจเศร้าหมอง คิดถึงความโกรธ เอาความโกรธมาลงโทษตัวเอง คิดถึงความรัก เอาความรักมาลงโทษตัวเอง เห็นความเกลียดชังอะไรต่างๆ มาลงโทษตัวเอง คิดให้ตัวเองจนร้องไห้เสียใจเป็นทุกข์
ไม่ใช่เลย มันไม่มีอย่างนั้น มันไม่มืดอย่างนั้นเสมอไป คิดของเราเนี่ย มันไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป มีทางอยู่ ยิ่งถ้าเรามาฝึกสติเนี่ย แม้มีสติเล็กน้อย น้อยๆ มีความโกรธมาก มีความทุกข์มาก ลองมองดู แม้มันมีแสงริบหรี่ ก็ให้แหวกออกมาซะหน่อย นั่นแหละคือทาง ไม่ใช่มืดอยู่เช่นนั้น แสงริบหรี่ เหมือนในบ้าน ในประเทศที่เขาเจริญ ในบ้านเขาจะมีติดไฟ แดงแพ้บ ๆๆๆๆ เป็นทางไป ไฟนี้ไม่มีดับ ไม่เหมือนไฟฟ้าเรา หลวงตาไปอยู่สหรัฐฯ นี่ จะมีที่ทุกๆ แห่ง ในบ้าน ในตึกเขา จะมีไฟน้อยๆ เท่าหิ่งห้อย แว้บๆๆๆ เส้นละทางไปนะ หิ่งห้อยน้อยๆ ทางไป ตามไปเถอะ มันจะมีทางออก ถ้ามันแว้บอยู่ทางไหน ให้ไปทางนั้น ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรต่างๆ ความโกรธที่มันเป็นทุกข์ มันมืดทั้งนั้น แต่มีสตินิดหน่อยก็ได้นะ แหวกมันมา แหวกไปๆๆ จะพบทาง ในความหลง ในความมืด จะมีความไม่มืด
ถ้าเราจะมาสร้างสติเนี่ย มันจะดี เพื่ออะไร จะมาสร้างสติ เพื่อป้องกันอนาคต เราจะมาสร้างสติ เพื่อแยกความผิดพลาดที่ได้ชีวิตมา ใครก็ผิดพลาด ถ้าเรามีสติก็แค่ความผิดพลาด ความลำบากในการใช้ชีวิตมาในวันก่อนๆ ถ้าเรามีสติเดี๋ยวนี้ แล้วเป็นการป้องกันในอนาคตต่อไปด้วย มีประโยชน์ เราจะไม่ให้ความประมาท ความรู้ ความหลงเนี่ย พยายาม แล้วทำไงจะช่วยกันได้ หาวิธีให้ได้ คิดแต่ช่วยคนอื่น อะไรที่บอก ช่วยไม่ช่วยคนก็ช่วย อะไรที่เป็นสิ่งที่ทำให้คนสะดวกสบาย ไม่ใช่ไปช่วยโดยตรง ช่วยโดยอ้อมก็ได้ ผู้ทำ ผู้หุงข้าวก็หุงข้าวไป ผู้ผ่าฟืนก็ผ่าฟืนไป ผู้เก็บผักก็เก็บผักไป ผู้ปฏิบัติก็ปฏิบัติไป อย่าเรียกร้องกัน ให้โอกาสกัน คิดจะช่วยกัน ไม่ใช่คนนั้นไม่ทำ คนนี้ทำ ก็ทำคนเดียวลำบาก ไม่ใช่แบบนั้น
มันสนุก ทำงาน เป็นสุข หลวงตายังนอนอยู่นี่ ยังคิดว่า เออ น้ำภูเขาทองไม่ไหล (หัวเราะ) อยากไปซื้อซับเมอร์ส (ปั๊มบาดาล) คุณหมอบรรจบว่า ไม่ต้องไป ให้คนอื่นไปแทนแล้ว พักผ่อนแล้ว ก็เลยเชื่อฟัง ว่าจะไปแล้วเมื่อวานนี้ คิดนะ ไปกับแม่ชี นั่งอยู่นี่ ยังจะคิดอยากไป นู่นภูเขาทองไปเห็นน้ำไม่ไหล น้ำบ่อนั้นเป็นน้ำดื่มของชุมชน ชาวบ้านมี 4 หมู่บ้าน มาเอาไปดื่ม บางทีมาจากทางอื่นบ้าง เห็นคนมาเอาน้ำดื่ม ก็มีความสุขนะ ก็เกิดจากผลงานของเรานี่ บาดาลเราเจาะเอง หนึ่งแสนบาท และก็สูบน้ำเอง ให้โยมมาเปิดก๊อกใช้เองนะ ตอนนั้นกลับมาจากเมืองจีนมา มาดูแล้วไม่มีน้ำ ถามแล้วว่าไม่ไหลมา 4 วันแล้ว โธ่ เราก็เสียท่าเลย ทำไมถึงพากันปล่อยอย่างนี้ บอกว่า บอกกำนันมาซ่อมแล้ว บอกเขาทำไม ทำไมไม่ซ่อมเอง อะไรก็บอกกำนัน เราไม่เคยบอกใคร ทำนั่นให้ด้วย ทำนี่ให้ด้วย ไม่เคยบอกใคร เสนอตัวเองเข้าไปเลย อาจจะไปวันนี้นะ ไปดูน้ำสักหน่อย ให้น้ำมันไหล เพื่อคนจะได้ใช้สะดวกสบาย แล้วเขาไม่ปฏิบัติธรรม ก็ช่างหัวมัน ช่วยทางอื่น (หัวเราะ) เพื่อให้เขาได้สะดวกสบาย แล้วก็ได้มีอะไรที่ ที่เป็นตราประทับ
เคยได้คิดอย่างนี้นะ ตอนเราจะตาย ใจจะขาด หายใจไม่ได้ นะ เราก็อืมม์ ไม่หายใจหัวมันละ อยู่เฉยๆ นี่ล่ะ เลยคิด ลองคิดดูซิล่ะ อะไรล่ะ ไม่เคยทำบาปทำกรรมกับใคร ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เคยทำบาปทำกรรม ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน สบ๊าย สบาย ไม่มีความเกลียดชังผู้ใด ไม่มีอิจฉาพยาบาทผู้ใด มีแต่คิดจะช่วยคนอยู่เสมอนะ มันเลยสบายๆ แล้วเลยบอกตัวเองว่า เอ้า งั้นสบายอยู่นี่ มันก็ไม่มีอะไรอยู่เนี่ย แล้วอยู่ตรงไม่มีอะไรเนี่ย อยู่นี่แหละ ไม่มีอะไรๆๆ ถ้างั้นให้ผู้เขาใส่ยาสลบหรือเปล่า ตายไปเลย ไม่รู้เลย มันมีความ มันมีเลนส์นะ มีตานะ ประทับไว้ในหัวใจของเรา เรามีสติเดี๋ยวนี้ มันจะไม่ลืม เหมือนกับไฟริบหรี่น้อยๆ น่ะ แป๊บๆๆๆ ตามไปเถอะ จะพบทางออก อย่าไปยอมอยู่ในความมืด ความโกรธคือความมืด ความทุกข์คือความมืด มันไม่มืดอย่างนั้น มันมีทางอยู่ ออกไปซักหน่อย ช่วยซักหน่อย อย่ายอม อย่าจำนน พยายามอย่าไปยอมจำนนต่อบาปกรรม หัดให้มีความแข็งแกร่งในตอนที่มันอ่อนแอนะ
เวลามันหลงนี่ โอกาสรู้นี่มันจริงตรงนี้นะ เวลามันโกรธโอกาสรู้ขึ้นมามันจริงตรงนี้ เวลามันทุกข์ รู้ขึ้นมา มันจริงตรงนี้ชีวิตเรา ไม่ใช่โกรธแล้วไปด่ากัน มันขี้ริ้วขี้เหร่ไปอีก ยิ่งอ่อนแอไปเลย แล้วมันทุกข์นะ มันร้องไห้ โอ๊ย อ่อนแอไปเลย ถ้าไม่เข้มแข็งตอนที่มันอ่อน จะใช้อะไร ถ้าไม่แก้ตรงที่มันผิดนะ
หลวงตาอ่านหนังสือพิมพ์ บริษัท โตโยต้า ทั่วโลก เรียกรถโตโยต้าคืนหลายล้านคัน มันมีจุดอ่อน เขาจะไปแก้ให้ แล้วมีคนเกิดอุบัติเหตุ เครื่องรถไม่เร่ง มันเร่งไปเอง เครื่องรถไม่วิ่งไป มันดับทันทีนี่ มีอะไรติดขัดทำให้เกิดอุบัติเหตุ บริษัทต้องรับผิดชอบ เรียกรถโตโยต้ากลับคืนไป บริษัทจะซ่อมให้
เราเรียกความไม่ดีของเรานะ ซ่อมตรงนั้นเลย มีไหม มีที่ซ่อมไหม มีรอยไหม มีรอยไหม รอยรักมีไหม รอยเสียใจ รอยสุข รอยทุกข์ มีไหม หลวงตามีรอยเยอะนะ (หัวเราะ) มีรอยเยอะนะ มาซ่อมซะจน อู่ซ่อมเนี่ยรู้สึกตัว เวลามันหลงไป รู้สึกตัว ซ่อมแล้ว เวลามันทุกข์รู้สึกตัว ซ่อมแล้ว เวลามันโกรธรู้สึกตัว ซ่อมแล้ว เวลามันหลงไป รู้สึกตัว ซ่อมแล้ว ซ่อมแล้ว ซ่อมแล้ว รู้สึกมันแล้วนะ ดีกว่าเก่านะ เปลี่ยนหลงเป็นรู้ ดี๊ดีนะ เปลี่ยนโกรธเป็นรู้ ดี๊ดีนะ เปลี่ยนชั่วเปลี่ยนร้ายเป็นดีนี่ อย่างนี้มันชอบที่สุดเลย เป็นการชอบธรรมที่สุด อยู่โดยชอบที่สุด โลกนี้เราอยู่ตรงนี้ อยู่โดยชอบ ไม่เบียดเบียนใคร จริง เข้าใจเขาหรอก ที่มาใช้สุคะโต ทั้งพระสงฆ์ ทั้งแม่ชี หนุ่มๆ สาวๆ คนเฒ่า คนแก่ เป็นบรรยากาศที่ดี และก็อยากให้ได้ยิน ได้ฟังเอาไว้
เวลามันโกรธ ไม่โกรธก็ได้ เวลามันทุกข์ ไม่ทุกข์ก็ได้ เวลามันหลง ไม่หลงก็ได้ มันเปลี่ยนเอาใครเอาเราเปลี่ยนแทนกันไม่ได้ ตัวใครตัวมันตรงนี้ ไม่เหมือนอันอื่น ปฏิบัติด้วยตนเอง ทำเอาเองจริงๆ ของใครของมัน อย่าอ่อนแอ เหมือนกับโบราณท่านพูดว่า อะไรล่ะ รักธรรมต้องแกล้วกล้า รักความดี รักความถูกต้อง ต้องแกล้วกล้า เก่งกล้า เรามีกลัวช่างหัวมัน ข้าศึกรุมโรมฉัน ยิ่งเก่งกล้าสลายไกล ชนะเป็นจุดหมาย ความตายไม่มีค่าอะไร กระโจนเข้าใส่สิ่งกักขัง ความรัก ความชัง กักขังเราไม่ได้ คนแก่กล้ามหาพลัง กระโดดถึงสุดยอดโกฏิมงกุฎธรรมด้วยหทัย คือถึง ถึงอะไร มงกุฎธรรม ด้วยหทัย หัวใจ ถึง ถึงอะไร ถึงความไม่เป็นอะไรๆ นั้นนะ สุดยอดมงกุฎธรรม หทัย ถึงความไม่เป็นอะไร มงกุฎธรรมที่สูงสุด ทำไมเราจึงไปรัก ไปเกลียดชัง ไปสุข ไปทุกข์ ไปดีใจ เสียใจ วิตกกังวลสมองทำไม มันไม่เป็นอะไร มงกุฎธรรม
สิ่งเหล่านี้ทำไมเราเข้มแข็ง ทำให้เรากระโดด มันหลงไป กระโดดออกไป ถลาไกลออกไป ความหลงทำให้กระโดดไกลนะ งั้นเราตื่นอยู่ ทำให้เกิดธรรมชาติ โดดออกมา ตกบันได พลอยกระโจนไป ไม่ใช่ปล่อยให้หัวร้างข้าง แขนหักขาหัก ยิ่งมันหลงยิ่งถลาไกล กลัวอะไร เวลามีกลัว ช่างหัวมัน ไม่มีอะไร ช่างหัวมัน ไม่เป็นไร เขานินทาไม่เป็นไร เขาสรรเสริญไม่เป็นไร เขานินทาเรา เราพยายามที่จะรู้ตัวเอง ไม่รู้ไม่ชี้อะไร แล้วเราพยายามจะแนะนำเขา ถ้าเขาสรรเสริญเรา เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเขายกย่องเรา เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเขาไม่รู้อะไรเลย เราพยายามที่จะให้เขารู้เรื่องนั้น ไม่เสียหาย ยิ่งถลาไกล ปัญหายิ่งมีปัญญา ได้ยินไหม มันมีทางแบบนี้นะ
ชีวิตของเรา มันเป็นมนุษย์ มันเป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์มันเปลี่ยนร้ายเป็นดีได้ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน สอนเท่าไหร่ก็ไม่ได้สัตว์ ได้ก็แค่เล็กๆ น้อยๆ แต่มนุษย์นี่มันสอนได้ วันที่หลวงตาพูดเมื่อวันก่อนนะ มนุษย์ต้องไปทางสงฆ์ มันหลงไปทางกรรม หลงเป็นหลงไปทางกรรม มนุษย์ไปทางสงฆ์เลย ทวนไว้ ทวนกระแส หลงเป็นรู้ เรียกว่า ทวนกระแส ทุกข์เป็นรู้ทวนกระแส ทุกข์เป็นโลก ไม่ทุกข์เป็นเหนือโลก โลกุตระ โลกิยะ โลกุตระ มันมีอยู่โลก โลกมีสองโลก โลกุตระ โลกิยะ โลกอันหนึ่งก็โลก อะไร ตามภาษาอภิธรรม ไม่รู้จำไม่ได้ แต่ไม่ต้องไปอันนั้นล่ะ อยู่ในหัวใจเรานี่แหละ
เราก็เคยสัมผัสกับโลก ให้มันเหนือโลก เจริญสติ พระพุทธเจ้าก็บอกแล้ว จงมีสติ ถอนความพอใจ และความไม่พอใจในโลกเสียได้ ความพอใจ ความไม่พอใจ เป็นรสของโลก ถอนออกมาซะ มีสติแล้วแลอยู่ อะไรที่มันเกิด พอใจไม่พอใจถอนออกมา อย่าไปสยบอยู่กับมัน มีไหม ถ้าพอใจมีไหม ไม่พอใจมีไหม พอใจก็หัวเราะ ไม่พอใจก็ร้องไห้ ถอนออกมา มันเป็นรสของโลก เป็นรสของโลก ต้องออกมาจากโลก มาดูโลก ตัวทั้งหลายจงมาดูโลกนี้ อันวิจิตรตระการดุจราชรถที่คนหลง คนเขาก็ไม่รู้ เขาหมกอยู่ เขาไม่รู้เขาจะมีสุข เขาไม่รู้จะมีทุกข์ ถอนออกมา หัดตน สอนตน มีสตินี่แหละ เป็นกุญแจดอกเอก เปลี่ยนไดทุกกรณี ได้สติเป็นสากล
ว่าจะให้อาจารย์ทรงศิลป์ ทำรูปสติ เอ้ย ทำรูปกุญแจไว้สักดอกหนึ่งที่สวนธรรม ลิเลยะกะ สวนธรรมลิเลยะกะ รู้จักไหม ทำเป็นกุญแจ สติ เป็นรูปกุญแจ (หัวเราะ) สวนธรรมลิเลยะกะ ลิเลยะกะมาจากไหน ใครรู้ ลิเลยะกะมาจากอะไร แม่ชีถามหลวงตาว่า ชิตังเม มาจากอะไร ลิเลยะกะมาจากไหน ถ้าไม่รู้ก็ลองถามสิ ไม่รู้สิ่งใดควรแต่ถามท่านผู้รู้ (หัวเราะ) นี่คือนักศึกษาอย่าไปยอมจน เรามีมิตร มีเพื่อนอยู่ ลิเลยะกะ หมายถึง ช้าง จำไว้เน้อ ช้างตัวนั้นชื่อ ลิเลยะกะ อยู่ที่ไหนล่ะ เกี่ยวกับช้างตัวนี้เมื่อไหร่ แม่ชีน้อยยังซื้อ เช่าพระพุทธรูปปางลิเลยะกะมาให้ อยู่ที่ไหนล่ะ นี่แหละช้างตัวนี้ ลิเลยะกะ หมาเห่าไม่หวั่นไหว ไม่มีใครดูแลพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ทะเลาะกัน แต่ช้างตัวนี้มาช่วยพระพุทธเจ้า กับลิงตัวหนึ่งในป่า ป่าลิเลยะกะ คือ ป่าช้างตัวนี้ ชื่อลิเลยะกะ จึงอุปไมยอุปมาหลายอย่างเกี่ยวกับช้างนะ
สติปัฏฐาน 4 เหมือนรอยเท้าของช้าง รอยเท้าสัตว์อื่นน้อยกว่าเล็กกว่ารอยเท้าของช้าง รอยเท้าสัตว์อื่นเอามารวมลงที่รอยเท้าของช้างได้ทุกสัตว์ทุกประเภท เพราะรอยเท้าของช้างมันใหญ่กว่ารอยเท้าสัตว์อื่น ในคำสอนพระพุทธเจ้านี้มารวมลงที่ สติปัฏฐาน 4 คือความไม่ประมาทเนี่ย เป็นที่รวมของคำสอนทั้งหมด สติปัฏฐาน 4 อยู่ที่ไหน ไปอ่านตำราพระสูตรหรือ ไม่ใช่ สมัยพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่เคยอ่านตำราเลย เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา เอาสติตอนนี้เป็นนักศึกษา คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก เนี่ย ใครมีแขนอยู่ที่นี่ (หัวเราะ) โยมมีบ่ ลำปลายมาศมีแขนไหม ยกแขนขวาขึ้นมาซิ แขนขวานะ กำดู กำดู กำมือดู รู้สึกตัวไหม เออเนี่ย แขน กำรู้ เหยียดรู้ กำรู้ เหยียดรู้ เนี่ย นี่พระพุทธเจ้าบอก แต่นี่มันตำรา นี่มันคู้แขนเข้ารู้สึก เหยียดแขนออกรู้สึก เนี่ย นี่แหละสติปัฏฐาน 4 รอยเท้าของช้าง ถือว่าทั้งหมดแล้ว
ถ้าท่านรู้อยู่ที่กายของเรา เวลาใจมันคิด ไปรู้ เนี่ยมันก็มีแค่นี้ ปัญหาเกิดจากสองอย่างนี้ คือกาย คือใจ มันไม่มาก ถ้าเรารู้มันก็ มันก็ไม่ไปไหน แก้ก็แก้ตรงนี้ หมดปัญหาก็หมดตรงนี้ อย่าไปโทษคนอื่น เขาด่า เขาว่าเรา อย่าไปโทษเขา เขาไม่รู้เขาถึงพูด ถ้าเขารู้เขาไม่พูด น่าสงสารเขา เขาพูดไม่ถูก ถ้าเขาด่าเรา เราทำผิดเหมือนเขาด่า ขอบคุณเขา อย่าไปโกรธเขา อะไรหรอ สติปัฏฐาน 4 แก้ตรงนี้ แก้ตรงนี้ ได้ยินบ่
จบเท่านี้ กราบพระพร้อมกัน