แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่คือวัดป่าสุคะโต ขอบคุณคณะพระภิกษุสงฆ์มีศรัทธาออกบวช ได้มาอยู่ร่วมกัน ทั้งเณรน้อย แม่ชี ตลอดทั้งอุบาสกอุบาสิกา สาธุชนทุกๆ ท่าน คำว่าวัดป่าสุคะโตนี่ก็มีความหมายนะ วัด คือให้ได้แบบได้แผน เหมือนกับเราก่อสร้างต้องวัดให้ได้แบบได้แผน ตั้งแต่ต้นถึงที่สุด คือ ยอดสูงสุด ต้องมีแบบมีแผนมีจักให้ได้เบื้องต้นเสียก่อน เหมือนเราสร้างบ้านสร้างเรือน ต้องให้ได้แบบ ถ้าแบบไม่ดีก็ไปไม่ได้ สุคะโต ไปดี ถ้ามีแบบก็ไปดีถึงที่สุด นี่คือวัดป่าสุคะโต เป็นภาษาบาลี เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาตั้งชื่อวัด เพื่อให้เป็นมงคลแก่ผู้มาอาศัย และก็อาศัยเอามาอ้างพวกเรา คำว่าวัดป่าสุคะโตหมายถึง แบบฉบับ ถ้าพูดถึงธรรมะก็หมายถึง ธรรมวินัย
พระพุทธเจ้าเคยตะโกนร้องเรียนเรียกร้อง จงมาดูที่เราสวด สาธยายพระสูตร ธรรมะ ศาสนธรรม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จงมาดู พระพุทธเจ้าก็เรียก ท่านจงมา ผู้ยังไม่มาขอให้มา ผู้ที่มาแล้วอยู่เป็นสุข ธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้ว เหมือนพวกเรามาจากทิศต่างๆ เปรียบเหมือนน้ำในห้วย ในหนอง ในคลอง ในบึง จากบ้านใดเมืองใด ธรรมวินัยเหมือนขวดเหมือนแก้ว ถ้าน้ำเอามาใส่ขวดเป็นอันเดียวกัน ไม่แตกต่างกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีอย่างนี้ พระธรรมวินัยเราตรัสไว้ดีแล้ว จงปฏิบัติตามธรรมวินัยนั้นเถิด จงปฏิบัติตามธรรมวินัยให้เป็นที่สิ้นทุกข์เถิด สองอย่าง ผู้ที่ยังไม่สิ้นทุกข์ต้องทำให้สิ้นทุกข์ ผู้ที่ยังมีทุกข์อยู่ต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยให้เป็นที่สิ้นทุกข์ ถ้าผู้ที่สิ้นทุกข์แล้ว จงปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัยนั้นเถิด ถ้าเท่านี้ไม่ถึงให้สิ้นทุกข์ ก็เขาพ้นทุกข์แล้ว เช่น พระอรหันต์
ก่อนที่จะสู่ธรรมวินัย เขาใช้ชีวิตเขาไม่ทุกข์แล้ว ฟังธรรม ก็มีอย่างนี้ ดีจริงๆ ธรรมเนี่ย อะไร อย่างที่เรามีสติเนี่ย ถ้าเรามีสติก็เป็นคนๆ เดียวกันเลย ไม่ต่างกัน ไม่ใช่เพศ ใช่วัย ใช่ลัทธิ ถ้ามีสติ อันเดียวกันเลย จะเป็นเพศใด ภาษาใด ก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่ถ้าหลงเหมือนน้ำที่อยู่ที่อื่น เป็นต่างๆ กันไป ถ้ามาอยู่ในธรรมวินัยอันเดียวกันเลย มันมีสติเป็นอันเดียวกันเลย อัศจรรย์ปานนี้นะ ธรรมวินัย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีจริงๆ ถ้าเราหลง ไม่ได้แบบ ไม่ได้วัด ได้แบบคือไม่หลง นั่นแหละวัดแล้ว มันทุกข์ไม่ได้แบบ ถ้าไม่ทุกข์ มันได้แบบดี อะไรก็ตามมันจึงมีผิดมีถูก
อย่างถ้าสาธยายพระสูตรนี่ สัมมาทิฐิคือความเห็นชอบเป็นอย่างใดเล่า เห็นทุกข์ ออกจากทุกข์ นั้นเห็นชอบ ได้แบบ เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ ได้แบบ หลวงตาถามนักปฏิบัติ เป็นอย่างไร ยากไหม เห็นมันเป็นผู้ยาก เห็นมันยาก หลงไหม เป็นผู้หลง เห็นมันหลง ทุกข์ไหม เป็นผู้ทุกข์ เห็นมันทุกข์ ได้แบบ ถ้าเห็นมัน มันได้แบบ ถ้าเป็น ไม่ได้แบบ แก้ได้ หัวเราะความทุกข์ได้ ถ้าเห็นน่ะ ถ้าเป็นน่ะ หัวไม่ออก หัวเราะไม่ออก ถ้าเห็นล่ะหัวเราะได้ มันคนละอันกับเรา เพราะเราเห็น ถ้าเราเป็นนั้น อันเดียวกันเลย เป็นตัวเป็นตนไปเลย ทำอย่างนี้นะ คำว่าแบบ ถ้าไม่เปลี่ยนให้ได้แบบ ก็ผิดตะพึดตะพือไป ถ้าเราไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลง เราก็เป็นทุกข์เป็นภัยต่อตัวเรา ถ้าเราไม่แก้ไข ถ้ามันทุกข์ ไม่เปลี่ยนเป็นไม่ทุกข์ ก็จะมีอย่างนั้นเป็นส่วนตัวของเรา เราก็เป็นคนเดียว คนทุกข์เป็นคนเดียว คนอื่นช่วยเราไม่ได้ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง เราถึงต้องเปลี่ยนแปลง เรียกว่าให้ได้แบบ เรียกว่าปฏิบัติ
นี้มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นของที่พิสูจน์ได้แบบนี้ ไม่ใช่ฝันๆ เลื่อนๆ ลอยๆ เป็นของพิสูจน์ได้ ธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่มานับถือทำเจดีย์ เอามาเป็นชีวิตเราเลย เอาเป็นการศึกษาไปเลย จะทำเป็นช่าง ก็ทำให้มันเป็น วัดให้เป็น ระดับน้ำทำไง ได้ฉากทำไง ต้องทำให้เป็น ถ้าทำไม่เป็นก็ทำไม่ได้ ทำแล้วก็ใช้ไม่ได้ พัง เสียหาย ชีวิตเราก็เหมือนกัน อย่าประมาท มันหลงก็อย่าประมาทนะ ถ้าจะเป็นช่างต้องกระโดดลงไปใส่ เป็นช่าง ช้างกับช่างไม่เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เป็นภาษาอีสานพูดไม่ค่อยชัด เป็นช้าง เป็นเสือ หลวงตาก็อยู่ที่นี่นะ อยู่ที่นี่เป็นภารโรง เป็นได้ๆ ซ่อมแซม ดูแล เป็นกรรมกร เป็นได้ รื้อส้วมได้ สร้างห้องน้ำได้ ตักน้ำให้คนมาใช้ห้องน้ำก็ได้ เป็นกรรมกร
สมัยนานมาแล้ว มีคนมาวัด ไม่มีไฟฟ้า เขาจะตื่นขึ้นมาแล้วก็ใช้น้ำสักหน่อย ห้องน้ำไม่มีน้ำ เราต้องตื่นก่อน ไปตักน้ำ หิ้ว รีบกันไป กลัวเขาจะตื่นมาเห็นเรา (หัวเราะ) รีบเดินจากศาลาไก่ ลงไปห้วย ไปหนอง แถ่ดๆ ลงไป ไปเจอวัวแม่ลูกอ่อน มันกำลังเดินมา เราก็ไม่เห็นมัน ไปก็ตรงผ่านตรงกลางพอดี ทางลูกจะวิ่งหาแม่ ทางแม่ก็จะวิ่งมาหาลูก เหมือนมันจะมาชนเรา เราก็สนุกเลย เรารีบเดินไป ตักน้ำใส่ห้องน้ำ เต็มหมด เราก็เฉย เขาตื่นขึ้นมาก็ใช้ห้องน้ำสบาย เป็นกรรมกรได้ เป็นอาจารย์ได้ บางทีก็นั่งสอนอะไร เราก็ต้องให้เป็น เพราะเราจะต้องเป็นทุกอย่าง ท้าทายกันได้
โบราณท่านว่า ต๊กกะเทิ่น ภาษาอีสานนะ ต๊กกะเทิ่นว่าได้เป็นเสือแล้ว ลายบ่ลายก็แต้มตื่น ใช่มั้ย ต้องแต้มให้เป็นเสือขึ้นมา ก็เป็นเสือ ถ้าเสือไม่มีลายก็ไม่ใช่เสือแล้ว บางครั้งก็เป็นช่าง ไม่ได้พูดให้ฟัง (หัวเราะ) ต้องออกแสดงความเป็นช่างให้ดู เป็นเสือลองดู ต้องสู้ สู้ทุกอย่าง ไม่ค่อยกลัว นี่คือแสดงฉากเหมือนพระเอก แต่เป็นพระเอกได้ต้องสู้ เป็นนางเอกได้ต้องสู้ ไม่มีใครจะเดินอยู่บนกองกุหลาบสบาย ต้องผ่าน ผ่านอะไร ผ่านหลง-ต้องสู้ ผ่านทุกข์-ต้องสู้ ผ่านความโกรธ-ต้องสู้ ผ่านความรัก อาลัยอาวรณ์-ต้องสู้ ชาติเสือต้องมีลาย ไม่ใช่กลัว ชาติช้างต้องต่อสู้ กรรมกร ภารโรง ดูแลรักษา รักษาเป็นภารโรงไว้ให้พวกเรา นานมาแล้ว จนมามีเพื่อน มางอกงามขึ้นมากๆ ช่วงอาจารย์ไพศาล อาจารย์ทรงศิลป์มาอยู่นี่
วัดนี้ แต่ก่อนน่ะ เต็มทีเหมือนกัน แต่เราสู้ เราเป็นเสือ ต้องอยู่ในดงในป่า ไม่หนีไปไหน เราก็ มันก็ผ่านมาได้จริง ประสาอะไรความหลง ไปทุกข์กลัวอะไร ความยากก็กลัวแล้วเหรอ ถ้ามันยากก็ไม่ทำ ถ้ามันง่ายก็จะทำ ไม่ใช่เสือ ไม่ใช่ชาติเสือ อะไรที่มันหนักไม่เอา เบาไม่สู้ มันก็ไม่ใช่ ใช้งานไม่ได้ชีวิตเรา ประสาอะไรกับความหลง ความโกรธ มันไม่ได้ขี่ช้างขี่ม้ามา เห็นมัน ดูดีๆ นะ มันได้ชีวิตชีวา ได้ปัญญา ผ่านหลง ผ่านทุกข์ มันเกิดจากอะไร เห็นช่องเห็นทางมัน สัมมาทิฐิ เห็นชอบ สิ่งใดเห็นทุกข์ นั่นแหละดีแล้ว จะได้รู้จักเรื่องของเขา เห็นเหตุให้เกิดทุกข์ นั่น เห็นหนทางออกทุกข์ มาพร้อมกัน เวลามันหลง ไม่หลง มาพร้อมกัน เหมือนน้ำกำลังนั่น เวลามันโกรธก็ไม่โกรธ ก็มีอยู่ เหมือนพูดแล้ววันก่อนๆ
พระพุทธเจ้าสิทธัตถะมองโจทย์แบบนี้จึงเป็นพระพุทธเจ้า จึงมีศาสนา เห็นคนเกิด เห็นคนแก่ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย จึงเป็นพระพุทธเจ้า จึงมีพระศาสนาเกิดขึ้นมา มันเป็นโจทก์ เราตกเป็นจำเลย เป็นจำเลยความหลงนานเท่าไหร่ เป็นจำเลยความทุกข์นานเท่าไหร่ เป็นจำเลยความโกรธนานเท่าไหร่ เป็นจำเลยความรักความชังนานเท่าไหร่ จะต้องเป็นอยู่อย่างนั้นหรือ ต้องรับเคราะห์รับกรรมหรือ เหมือนคนเป็นจำเลยถูกติดตะราง เราต้องเป็นอิสระ เรื่องนี้ไม่ใช่เกิดจากอะไร เกิดจากเราเองแท้ๆ เราจึงต้องเป็นชาติเสือสักหน่อย สู้สักหน่อย บางทีอารมณ์ความคิดก็กลัวแล้ว คิดขึ้นมาน้ำตาไหล คิดขึ้นมานอนไม่หลับ คิดขึ้นมากลืนข้าวไม่ลง นี่หรือชีวิตเรา
ไม่ใช่อย่างเจ้าตัวก็เอาตัวก็ไม่รอด ยังมีพ่อมีแม่มีลูกมีหลาน ภรรยาสามี พี่น้อง การงานต่างๆ เราก็เป็นนักธรรม ทีนี้เราเป็นหมอเป็นพยาบาล จริง ทำงาน ไม่มีใครนอนอยู่เฉยๆ ต้องมีความพร้อม ลุย เหยียบราบไปเลย ความยาก ความง่าย ความพอใจ ไม่พอใจ ไม่ต้องมีในโลกนี้ มันจะเรียบไป ถ้าเราสู้สักหน่อย เราจึงไม่มีวิธีอะไรหรอก มาเข้าสู่ธรรมวินัย มันเป็นจริง ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่เพ้อฝัน นะ เอากายเป็นตำรา เอาใจเป็นตำรา มีสติเข้าไป เห็นมันน่ะ ถ้าเห็นแล้วยิ้มหัวเราะความโกรธได้ ความทุกข์หัวเราะได้ เอ แค่นี้ก็ทุกข์หรือน่ะ มันจะเป็นพ่อคนได้ไง ขนาดนี้ก็ทุกข์ เป็นแม่คนได้ไง มันจะเป็นสามีภรรยาได้ไง แค่นี้ก็ทุกข์แล้ว ผิดแล้ว เอาความผิด เอาความถูก ตัดสิน เอาความโกรธ ความโลภ ความหลง ตัดสิน แยกกันทิ้งกันเพราะความโกรธ แค่นี้หรือชีวิตเรา ไม่มีค่าอะไร สัตว์เดรัจฉานไม่มี มีแต่คนน่ะ มันจึงต้องมีธรรมะ มีศาสนา มันมีสมอง มีปัญญา เข่นฆ่ากันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ สัตว์เดรัจฉานไม่มี มีแต่เขี้ยวแต่เล็บธรรมดา
มันจึงมีศาสนา มีรั้ว มีขอบ มีเขต อย่างเช่น ศีล เป็นรั้วล้อมไว้ ล้อมกายล้อมวาจา การพูดจาชอบเป็นอย่างไรเล่า พูดเท็จหรือไม่จริง พูดคำหยาบ ไม่น่าฟัง พูดส่อเสียดตีลิ่มให้แตกร้าวกัน พูดเพ้อเจ้อคือพูดยังไง เพ้อเจ้อคืออะไร แปลให้ฟังได้ไหม พูดเพ้อเจ้อคือพูดยังไง ใครตอบได้ยกมือขึ้นซิ (หัวเราะ) พูดเพ้อเจ้อ มาแต่ไส ชี้ มาแต่ข้างหลัง ชี้ไปไส ชี้ไปทางหน้า ไม่ได้ความเลย มาแต่ไส มาแต่วัด วัดป่าสุคะโต ฝนตกแฮงบ่ บ่ได้ปั้ม ไม่ได้ความ ฝนตกแรงไหมล่ะ บ่ได้ปั้ม เพ้อเจ้อ ไม่ได้ความอะไร ไม่มีประโยชน์ เนี่ยรั้วของเรา มีจริงๆ มันล้อมได้ ถ้าใครล้อมรั้วไม่ได้ เอาไปขังไว้ก่อน ติดคุกติดตะราง มันไม่มีขอบเขต เป็นอันตรายต่อผู้คน จึงมีคุกมีตะราง ขังคน มันเป็นอย่างนี้ จึงมีศีล มีสมาธิ ให้มั่นคงเสียหน่อย
จึงจำเป็นนะ ไม่ใช่เลื่อนลอย อ้อนวอน จะต้องเข้าสู่การปฏิบัติ อยากได้ความเป็นธรรมก็เข้าสู่ขบวนการแห่งความเป็นธรรม ถ้าเป็นโลกก็ตัวบทกฎหมาย ถ้าเป็นชีวิตก็คือความชอบ คิดชอบ พูดชอบ มันหลง-ไม่หลง เข้าสู่ขบวนการความเป็นธรรม มันทุกข์-ไม่ทุกข์ เข้าสู่ขบวนการ ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลง มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไข ใครจะทุกข์กับเรา ใครจะเจ็บกับเรา ใครจะตายกับเรา เราก็ตายคนเดียว ทุกข์คนเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้ เราจะอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่วันนี้วันเดียว พรุ่งนี้ก็มี เดือนหน้าก็มี ชาติหน้าก็มี แต่วันพรุ่งนี้มันจะดีต้องวันนี้ เดือนหน้ามันจะดีต้องวันนี้ ปีหน้ามันจะดีต้องวันนี้ ชาติหน้ามันจะดีต้องวันนี้ดี เป็นธรรมได้อย่างนี้
เราไปทำอะไร อ้อนวอนอะไร มีการกระทำให้เกิดขึ้นกับตัวเรา และเราเป็นโรค กินอะไรที่มันชอบเกิดโรค เราไม่เลิก ไม่เปลี่ยนแปลง ก็เกิดโรค มันเป็นเหตุที่เรากินของ ใช้ชีวิตผิดพลาด มันจึงเป็นทุกข์เป็นโรค บอกให้เลิกสูบบุหรี่ ไม่เลิก ท่านก็เป็นโรคของท่าน บอกให้เลิกกินเหล้า ไม่ยอมเลิก แค่นี้ก็ยอม ไม่สู้ จะเป็นชาติเสือได้ไง ต้องแต้มลายลงไป สู้ หยุด มันก็จะลำบากอยู่ประมาณสี่ห้าวัน เพราะมันมีนิโคตินอยู่ในเลือด ถ้าเลิก อดไปๆ นิโคตินก็หายไปๆ หมดไปจากลมหายใจ จากหนัก จากเบา มันออกได้ ไม่ใช่ชีวิตจริงๆ ต้องสู้อย่างนี้ ประสาอะไรความหลง มันไม่ได้ขี่ช้างขี่ม้ามา ประสาอะไรความทุกข์ มันไม่ได้ขี่ช้างขี่ม้ามา ประสาอะไรความโกรธ โกรธก็เกิดจากความคิดที่มันหลง ไปยอมทำไม ไม่ใช่เรื่องจะยอมง่ายๆ ถ้าเราเห็นดังนั้น มีแต่สู้เรื่อยไป
มันถูกจริงๆ เปลี่ยนหลงเป็นไม่หลง ถูกต้องที่สุด เปลี่ยนทุกข์เป็นไม่ทุกข์ ถูกต้องที่สุด เปลี่ยนโกรธเป็นไม่โกรธ ถูกต้องที่สุด มีความถูกต้อง ไม่ต้องไปถามใคร ถ้าเราทำอย่างนี้ เราก็เป็นคำตอบของเราเอง เป็นปัจจัตตัง ไม่มีคำถาม เราหลง ต้องไปถามใครไหม เปลี่ยนหลงเป็นรู้ เราต้องถามใครไหม ความหลงฉัน ฉันหมดหรือยัง ไม่เป็นคำถาม เป็นปัจจัตตังของเราเอง น่าจะขยัน เป็นกอบเป็นกำขึ้นมาจริง ๆ เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาจริงๆ นะ เอ้า เสียงก็ไม่มีแล้ว มีอะไร
อาจารย์นิกิก็เพิ่งมาจากญี่ปุ่น ไปญี่ปุ่นตั้งนาน อยู่นี่เกือบสามสิบปีแล้ว ญี่ปุ่น ตั้งแต่ไม่รู้อะไร ภาษาไทยพูดไม่ออก สามสิบปีก่อน ถือหนังสือเดินขึ้นเขามา หลวงตาอยู่คนเดียว เอาหนังสือ ไฮ่ ๆ ให้เราอ่านนะว่า คำเขียน นี่แหละ คำเขียน เขารู้จักคำเขียนได้ไง เขาเรียนปริญญาอยู่ที่จุฬาฯ เรียนพระพุทธศาสนา ว่าถ้าจะเรียนทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติ ต้องไปหาอาจารย์คำเขียน เค้าเลยเอามา และอยู่ด้วยกันมาถึงสามสิบปีแล้ว ทีนี้พูดภาษาไทยแล้วนะ เอ้า ไปทำไมอยู่นาน พูดอะไรสักหน่อย
อาจารย์นิกิ : ขอโอกาสหลวงพ่อ แล้วก็เจริญพรญาติโยม เมื่อวานก็พูดกันแล้ว อาตมาคิดว่า เมื่อวานก็บอกว่า คนที่เป็นโชคดี เป็นคนหนึ่งที่ได้พบกับหลวงพ่อคำเขียน ก็ได้มาอยู่ที่วัดป่าสุคะโต ปฏิบัติการเจริญสติเพื่อให้ดับทุกข์ อันนี้อาตมาก็ได้ประสบการณ์มาแล้ว ก็นี่แหละเป็นสติ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ช่วยเหลือตัวเอง ให้บรรเทาความทุกข์ แล้วก็ให้มีความสุขที่เกิดขึ้นมาจากจิตใจ ไม่ใช่ความสุขแค่ชั่วคราวจากด้านนอก รูป รส เสียง มีอะไรก็ได้ เราก็ได้รู้สึกความสุขก็ได้ แต่ว่าไม่ถาวร แต่ว่าความสุขที่เกิดจากข้างในนี้ ก็ถาวรได้
ยิ่งเราปฏิบัติ ชีวิตก็เป็นรายละเอียดขึ้น เมื่อก่อนนี้ก็หยาบ สิ่งอะไรกระทบกับหู หรือว่าตา จมูก ยิ่งกับใจ ก็ทุกข์ง่าย เกิดความโกรธก็ง่าย ความอยากก็ง่าย มันเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ว่าก็มีเป็นสติ ก็ป้องกันสิ่งอะไรต่างๆ กระทบกับกายกับใจ แล้วก็รู้สึกยอมรับได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องเกิดความทุกข์ ยิ่งสมัยนี้ก็ สิ่งอะไรต่างๆ เป็นสิ่งของก็ดี หรือว่าเป็นข้อมูลอะไรต่างๆ ก็กระทบกับใจเรากันมาก แล้วก็สมองของเรานี้ สมัยนี้ก็คงจะเป็นเคลื่อนไหวเร็ว อาจจะเร็วกว่า เพราะว่ามัน บรรยากาศ เป็นข้อมูลอะไรต่างๆ มีมาก จากโทรทัศน์ วิทยุ และอินเทอร์เน็ต แล้วก็กระทบประจำ มีโฆษณา ก็อยู่ที่ไหนก็มีโฆษณา เห็นแล้วก็ได้ยิน ก็รู้สึกว่าเหมือนกับว่า บรรยากาศทำให้เรา สมองของเราเคลื่อนกันมาก คิดว่าสมัยนี้สมองของเราคงจะเป็นเหมือนกับว่าเป็นรถที่มีกำลังมาก ก็เร็วสองร้อยสามร้อยกิโลต่อชั่วโมง แต่ก่อนนี้ก็ รถก็ ของสมองเรานี่ก็แล่นช้า เราก็เกาะกลุ่มพอที่จะได้ แม้ว่ามีสติน้อย แต่ว่าสมัยนี้ก็ ก็ต้องพัฒนา การเจริญสติ จะได้รู้เท่ารู้ทันได้
ที่เมื่อวานก็บอก ประเทศญี่ปุ่นมีคนฆ่าตัวตายสามหมื่นสี่หมื่นคนต่อปี วันนึงก็ร้อยคน ฆ่าตัวตายกัน สิบคนตาย เก้าสิบคนก็รอดบ้าง นี่ก็สิบสามปีก็ที่ผ่านมาก็เป็นขนาดนี้ แต่ว่าคนที่รถชนตายนี่ก็น้อยลงๆ นี้ก็ปีนึงก็สี่พันคน ตายสี่พันคนต่อปี ฆ่าตัวตายนี่มากกว่าหกเท่า เจ็ดเท่า นี่ก็แสดงว่าคนญี่ปุ่นสมัยนี้ก็ขับรถ ก็เก่งขึ้น อาจจะมีระเบียบมากขึ้น และก็มีฝีมือที่สอน ที่โรงเรียนสอนดี ก็ขับรถก็ไม่ค่อยรถชนกัน แต่ว่ายังไม่พอต่อการขับจิตใจก็ได้ ก็เลย มันก็ควบคุมได้ แต่ว่ามัน จิตใจ มันก็แรง ก็ตัดนิดหน่อย มีกระทบกระเทือน ก็รถชนกัน มันก็อุบัติเหตุใหญ่ขึ้น ตายได้
ก็คิดว่านี่ก็ไม่ใช่เป็นที่ญี่ปุ่นอย่างเดียว เหมือนจะเมืองไทยก็พัฒนาทางด้านวัตถุทางนึง มันก็มากขึ้นๆ เรื่อยๆ อาจจะเป็นอัตราของฆ่าตัวตายก็มากขึ้น คนที่เป็นโรคจิตเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็หลาย ที่ไหนๆ ก็เขียนไว้ว่าคลินิก ก็มีคนไปกัน ที่บริษัทที่ไหนมีคนที่มีปัญหาทางด้านจิตใจ ก็หยุดนานๆ ก็มี เพราะฉะนั้นสมัยนี้แหละ เราก็น่าจะฝึกหัดจิตใจไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางด้านจิตใจ ถ้าเราเหมารถนี่ก็รถชนกันได้ง่าย ถ้าเผลอไปนิดหน่อยก็ชนกันได้
นี่จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่รู้ เผลอไป ก็คิด คิดหนัก เครียด แล้วก็ค่อยๆ สร้างเรื่องใหญ่ขึ้นๆ ก็จะตายกันได้ จริงๆ แล้ว ถ้าเรารู้จักควบคุมจิตใจ เข้าใจจิตใจ แล้วก็มีสติรู้เท่ารู้ทัน มีปัญญา ทุกสิ่งอะไรเกิดขึ้น ด้านนอกก็ดี ด้านในก็ดี เอามาใช้เป็นประโยชน์ หลวงพ่อก็บอกบ่อยว่า หิวข้าว ก็ขอบคุณ ถ้าเราไม่หิว กินไม่ได้ ตายก็ได้ ก็กินข้าวก็เป็นธรรมชาติ หิวข้าวเป็นธรรมชาติ ก็น่าจะบอกขอบคุณ อันนี้ก็ใช่ จริง
เรามักจะรู้สึกว่า ถ้าเวทนาทุกข์ เราก็อยากหนี อยากทำลาย อยากทะเลาะ สู้ แต่ว่า เป็นวิธีการเจริญสตินี่ก็ไม่ได้เป็นการสู้ การหนี การเก็บกด หรือว่าทะเลาะกัน เอามาดู แล้วก็เอามาใช้เพื่อประโยชน์ต่อชีวิตกันได้ นี่ก็คิดว่าเป็นสิ่งที่เป็น ไม่มีการ violent ไม่ได้สู้ ไม่ได้ทะเลาะ เราเอาข้อมูลอะไรต่างๆ จากด้านในจากด้านนอกมาเป็นเพื่อน ให้ด้วยกัน มีกำลังใจ มีปัญญาให้เกิดขึ้นได้
แม้แต่เราลืมตัว เผลอตัวไปนิดนึง ก็โอกาสได้เห็นความนึกคิดก็ได้ หรือว่าความโกรธก็ได้ พอเราเผลอ ก็เป็นอย่างนี้ อาการมันก็เกิดขึ้น โกรธก็เกิดขึ้น อันนี้ก็ ถ้าเราเห็นมันชัดก็เป็นปัญญาได้ เราไม่ต้องว่าด่าตัวเองว่า ตัวเสียสติ ไม่มั่น ไม่สติ ไม่ได้อะไร ก็ไม่ต้องบอก ก็นี่แหละ เรารู้เห็นแล้วก็ อ้าว เป็นอย่างนี้ คนที่มีสติก็ไม่ได้ ความโกรธไม่ได้เกิดขึ้น แต่ว่า ลืมสติ เผลอไปนิดนึง ก็ อ้อ หงุดหงิด เกิดขึ้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ลืมสตินานๆ เรื่องก็ใหญ่ขึ้น โตขึ้น อ๋อ เป็นอย่างนี้ๆ ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี เราเข้าใจ แล้วเราก็ไม่ต้องเป็นห่วงมาก เพราะว่าเราก็รู้
แม้ว่าเผลอไป รู้สึกทุกข์แต่ว่าเราก็กลับมาได้ เรามีบ้านอยู่ เรารู้จักทางที่จะกลับบ้าน ถ้าไม่รู้ ก็ไปไหน ก็ไปเรื่อยๆ เป็นทาสของความคิดอะไรต่างๆ ถูกดูด ถูกดึงเอาไป แต่ว่าเรารู้จักทางที่จะกลับ แม้ว่าเราทุกข์ ไม่เป็นไร เราก็กลับมาได้ แค่เรามีสติ ยกมือสร้างจังหวะ เดินจงกรมซะ ก็กลับได้ แล้วก็ได้ประสบการณ์ เราเชื่อมั่นตัวเองมาก ยิ่งมาก เราไม่ต้องบอกว่าตัวเองนี่มีความเชื่อมั่นตัวเองน้อย ถ้าเราได้ประสบการณ์ยิ่งขึ้น ความมั่นใจตัวเองก็ขึ้นมายิ่งๆ ขึ้น เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นนี่คิดว่า พวกเราทุกคนนั่นแหละ คนที่โชคดีเกิดที่เมืองไทย ได้พบธรรมะที่ประเสริฐ และก็ได้สัมผัสคำสอนของหลวงพ่อคำเขียนก็ดี ของพระพุทธเจ้าก็ดี แล้วก็เอามาใช้ในชีวิตประจำวัน เราไม่ได้นั่งที่วัด เป็นเวลาเจริญสติหรือว่าปฏิบัติธรรม ถ้าเรารู้จัก แล้วก็เอามาใช้ที่บ้านที่ไหนก็ได้ ก็พอดี ก็กำลังจะเข้าพรรษานี้ก็ ทุกคนจะอธิษฐานดีว่า พรรษานี้ทำให้จิตใจของเรา บรรเทาความทุกข์ให้น้อยลงๆ ทุกข์น้อยลงแล้วก็เกิดความสุขที่แท้จริงให้มากขึ้น แล้วก็เผยแผ่สิ่งที่ดีๆ ของเรา มีเมตตากรุณาจิต อุเบกขา มุทิตาก็เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติของเรา ก็ขอให้ทุกๆ ท่าน นะครับ ได้ปฏิบัติให้ดี แล้วก็ได้เจริญพัฒนาจิตใจให้ยิ่งๆ มากขึ้นครับ ขอแค่นี้นะครับหลวงพ่อ