แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
... เป็นเครื่องมือใช้ได้ทุกประเภท ปัญหาต่างๆ เป็นปัญญาได้เหมือนกับแสงเงินแสงทอง กระแสแห่งปัญญาความรู้สึกตัวนี้ มองเห็นทิศเห็นทาง พอรู้สึกตัวมันก็จบเท่านั้นแหละ ว่าแต่เราให้มันตรงอย่างนี้ อะไรที่มันไม่ใช่ความรู้ มาหาความรู้ให้มันตรงเข้ามา อิริยาบถช่วย รูปแบบกรรมฐานช่วย บัพพะต่างๆ ช่วย กายบัพพะในหลักสติปัฏฐาน เคลื่อนไหว สัมปชัญญะบัพพะรู้ตัว ลมหายใจบัพพะกำหนดลมได้ มีมาก เครื่องใช้เครื่องมือที่จะเอามาใช้ให้เกิดความรู้สึกตัว เอามาจากกายจากจิต มันคิดก็จิตบัพพะ เอาความคิดนั่นแหละมาเป็นภาวะที่รู้ มันหลงในความคิดก็เอาความคิดมาเป็นบัพพะที่รู้ มันหลงไปทางกายก็เอากายมาเป็นบัพพะที่รู้ มีได้ ความรู้ในกายมีได้ ความรู้ในความคิดมีได้ ความรู้ในความทุกข์ก็รู้ได้ ในความสุข ในความผิด ความถูก อะไรรู้ได้ทั้งนั้น
ความรู้สึกตัวนี่ อย่าไปจน อย่ายอมเสียก่อน ใช้อันนี้เสียก่อน ใช้กรรมฐานเสียก่อนให้รู้สึกตัวเสียก่อน ไม่จนนะ บางทีความง่วงก็จนต่อความง่วง ลืมความรู้สึกตัวไป ก็เนิ่นช้า เข้มแข็งสักหน่อย ไม่ใช่ไม่หลับไม่นอน ความรู้สึกตัวนี่ นั่งๆ เล่นๆ อะไรก็ได้ นอนพักผ่อนก็ได้ ท้าทายมันดูก็ได้ ไม่ใช่ทะนุถนอม ลุยๆ สักหน่อย เล่นๆ กับมันสักหน่อย สนุกสักหน่อย เป็นการสนุก สนุกหลงก็ดีนะ สนุกทุกข์ก็ดีนะ อาจจะหัวเราะยิ้มในความทุกข์ได้ ถ้าเรากลัวว่ามันทุกข์ทีไรก็ โอ๊ย! เศร้าๆ มันคิดทีไร เกิดราคะ เกิดตัณหา เกิดพยาบาททีไรก็เศร้าไป มันไม่ใช่ สนุก สนุกเห็น สนุกทำ ให้มันมา แม้แต่มันคิดอะไร คิดมากเครียด บางคนไม่ใช่นักปฏิบัติ คิดมากนั่นแหละมันจะรู้ธรรมะ ให้มันคิดลงไปเราจะได้รู้มัน ขี่คอมันในนั่นแหละ เหมือนเราวิ่งแข่งขันกับคนอื่น แต่เราจะขี่คอคนที่วิ่งนั่น เหมือนกับเป็นอย่างนั้นนะ มันจะวิ่งเร็วขนาดไหนก็ โอ๊ย! ขี่บนคอมันนั่นแหละ อันชีวิตของเราเหมือนอย่างนั่นแหละ สติขี่บนคอของความหลง ขี่บนคอแห่งความทุกข์ ขี่บนคอกับทุกอย่างที่มันเป็นอกุศลทั้งหลายนั่นแหละ มันเป็นไปได้ ว่าแต่เราให้ชำนิชำนาญ
แต่บางคนจนหน้าเศร้าสร้อยหงอยเหงา คุ้มร้ายคุ้มดี เป็นอย่างนั้นก็เลยกลายเป็นนิสัย กามสุขัลลิกานุโยโค สุขก็สุขไปเลย ทุกข์ก็ทุกข์ไปเลย ผิดก็ผิดไปเลยเรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก ไม่ใช่เป็นของพระอริยเจ้า อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ไม่ใช่เป็นของพระอริยเจ้า เป็นของปุถุชน เป็นของชาวบ้าน เป็นของต่ำ เมื่อเราได้มีมัชฌิมาปฏิปทาเห็นอย่างนี้นะ เป็นทางอันประเสริฐ เห็น มันอยู่ในดงของอริยสัจ 4 บุกเบิกไปเลย เมื่อเป็นเชื้อโรคก็เข้าถึงตัวเชื้อโรค ไม่ต้องพิสูจน์อะไรปฏิบัติธรรมนี้ รู้ถึงตัวโรค เป็นการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ค้นพบสำเร็จได้ในความหลงในความรู้ ถ้าเป็นโรคความหลงความโกรธ ความโกรธเป็นโรค ความทุกข์เป็นโรค ความเกิดแก่เจ็บตายเป็นโรค สติปัฏฐานเข้าถึงเชื้อโรครักษาได้ทำได้ ในหลงไม่หลงก็ได้ ในทุกข์ไม่ทุกข์ก็ได้ ในโกรธไม่โกรธก็ได้ ในอะไรที่มันมีปัญหาๆ เป็นปัญญาได้ทั้งนั้น ถ้าวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่จบไม่สิ้น แต่ว่าหลักพุทธศาสตร์ในกายในใจเรานี้ กรรมฐานเป็นวิชาที่ค้นให้จบได้ในชีวิตเรานี้ ความหลงก็จบลง ความทุกข์ ความโกรธ กิเลสตัณหาจบลงได้ มันโรคแบบนี้ รูปโรคนามโรค โรคของรูป อันนั้นจบไม่ได้ โรคของนามมันจบได้ ความโกรธความโลภความหลง
เราจึงอย่าปล่อยทิ้ง ใส่ใจเสียหน่อย ความหลงไม่ใช่ว่าจะเดินอยู่ มันหลง นั่งสร้างจังหวะอยู่ มันหลง ความรู้ก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างจังหวะอยู่ มันรู้ อาจจะนอนอยู่ก็รู้ได้ นั่งอยู่ก็รู้ได้ อยู่เฉยๆ ก็รู้ได้ นอกรูปแบบยิ่งดี เก็บตกยิ่งดี ซึ่งหน้ามันจะเป็นบทเรียน ก ไก่ ข ไข่ อนุบาล ถ้าทำเป็นแล้วก็เอาไปใช้ได้ทุกอย่างเหมาะแก่การงาน เหมาะแก่การกระทำ การใช้ชีวิต ถ้าเราพูดขนาดนี้เหมือนกับเราเรียนหนังสือ ถ้าเรียนจบแล้วไม่ต้องไปเรียนอีก อ่านออกเขียนได้รู้ความหมาย ไม่ใช่รู้ตัวหนังสือแต่รู้ความหมาย ภาวะที่รู้ตัวเองมันบอก เหมือนนั่งรถในถนนหนทางที่เป็นทางด่วน free way มันบอก ป้ายจราจรมันบอก ทำให้เราปฏิบัติตามตัวหนังสือ ใช้เวลาเหมาะสมตามกาลเทศะ รู้กาล มาใช้ชีวิตของเราให้ถูกกาล รู้เวลา รู้สถานที่ รู้แผนที่ เราใช้ถูกต้อง เหมือนคนขับรถ
คนปฏิบัติธรรมเมื่อเห็น เราก็มันบอกให้เราได้สะดวก นี่คือกามราคะ มันทำให้เราสะดวก นี่คือพยาบาท มันทำให้เราสะดวก นี่คือความง่วงเหงาหาวนอน มันทำให้เราสะดวก นี่คือความฟุ้งซ่าน มันทำให้เราสะดวก นี่คือความลังเลสงสัย มันทำให้เราสะดวก เหมือนป้ายจราจรทางหลวงทำให้เราได้ปฏิบัติถูกต้องกับสิ่งเหล่านั้น ถูกต้องมันก็มีอยู่ มันมีอยู่ ความถูกต้อง ความดับไม่เหลือ รู้แล้ว อริยสัจคือเหตุทำให้เกิดทุกข์มีอยู่ เราได้รู้แล้ว เราทำให้แจ้งแล้ว เราละได้แล้ว มันก็ไปพร้อมกันเสร็จ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นเวลาเรามีสติ ก็กลับมาหาสติในอริยสัจเลยทีเดียว รู้แล้ว ทำได้แล้ว หมดแล้ว มารู้แล้ว กลับมารู้สึกตัวนี้ มันก็รู้แล้วนะ ทำให้รู้แล้ว ผ่านได้แล้ว ดี๊ดีนะ กระตือรือร้น
มีนะ ใครๆ ก็มี กามราคะ พยาบาท ใครก็มี แต่ถ้าเราจะมาทำอะไร เราก็บอกให้แผ่เมตตาไปยังศัตรูคู่อริ แผ่ไม่ลง มีแต่แช่งชักหักกระดูก ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ บางทีนั่งปฏิบัติก็น้ำตาซึม คิดถึงคนที่ทำให้เราเป็นทุกข์ จะแผ่เมตตาในขณะนั้นไม่ได้ มันหักด้ามพร้าด้วยเข่า ขึ้นหน้าผา มันชัน มันยังเป็นอยู่ มันไม่เห็น ไม่ต้องไปแผ่เมตตาตอนนั้น มามีสตินี้ก่อน เอาไว้ก่อน มีสติก่อน จะแผ่เมตตาในขณะที่โกรธ มันไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ช่างหัวมันเถอะ มันว่าไม่ได้ มีแต่มันจะว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ ทำไมจึงทำกับเราอย่างนั้น ทำไมจึงทำกับเราอย่างนี้ ก็ปรุงแต่งให้ตัวเองหนักเข้าไปอีก ไปใช้ลักษณะความถูกไม่ถูกที่ ใช้ไม่ถูกที่ ไม่ถูกกาล ไม่ถูกเวลา มามีสติเสียก่อน อย่าไปแผ่เมตตาในขณะที่มันพยาบาท มีสติกลับมาเสียก่อน รู้เสียก่อน เดี๋ยวมันจะเป็นไปเอง ต่อไปมันก็จะมีเมตตากรุณาออกหน้าออกตา ถ้ามีสติแล้ว ง้ายง่าย ไม่มีอะไรชีวิตนี้ มีเมตตาเป็นใหญ่ การใช้ชีวิตนี้ คู่ของสติ มีสติก่อนมีเมตตา เป็นธรรมเกิดขึ้นมา แล้วก็วางได้ มันก็สะดวกเรื่อยไป สิ่งแวดล้อมทำให้สติสะดวกขึ้น
เหมือนเราจะปลูกจะฝังเมล็ดพืชเมล็ดผัก ทีแรกก็บุกเบิกไปก่อนให้มันเป็นลู่เป็นทางไปก่อน จากป่าหญ้าป่าพงพรวนไถให้มันโล่งมันเตียน พลิกหญ้าขึ้นกลบไว้ใต้ดิน เอาลงไปใต้ดิน มันก็เหมาะที่จะปลูกลงไป สติเป็นการบุกเบิกพื้นที่ขรุๆ ขระๆ เหมือนกับมันมีคลื่น ไม่สะดวก สะดุด พอมีสติก็ค่อยราบลงๆ แล้วธรรมก็เกิดขึ้น เหมาะแก่การปลูกแล้วตอนนั้น มีเมตตากรุณา มีการให้อภัย มีศีลมีธรรมเกิดขึ้น ถ้ามีสติก็เหมือนเมล็ดพืชงอกงาม ถ้าไปปลูกตรงที่มันรกรุงรัง มันก็ไม่งอกไม่งาม ทำอะไรลงไปก็ได้จะยุ่งจะยากไม่ปราบ กามราคะก็เกิดลุกขึ้นมา ไม่มีสติไหลไป มีความยินดีคล้อยตาม นันทิราคะพอใจ ไม่รู้จักสติ มันก็รก พยาบาทก็ไหลไป ไม่มีสติมันก็รก มันรก ความง่วงก็อ่อนลง ง่วงไปก็ไหลไป อ่อนลง ขวนขวายหาที่หลับที่นอน ก็รกอยู่นั่น มีสติมันปราบ เหมือนใบมีดแทรกเตอร์มันปราบลงๆ เสียก่อน
พยายามเปลี่ยนหลงเป็นรู้คือความเพียร ทำเรื่องภาวนาขยันรู้ ทำเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดี มาร้ายเป็นดี กามราคะเกิดขึ้นมาเป็นภาวะที่รู้ จะเป็นอย่างไร พยาบาทเกิดขึ้นมาเป็นภาวะที่รู้ ความง่วงเหงาหาวนอนเกิดขึ้นมาเป็นภาวะที่รู้ ความคิดลังเลสงสัยมาเป็นภาวะที่รู้ ความฟุ้งซ่านเหมือนคิดเหมือนไก่เขี่ยมาเป็นภาวะที่รู้ ยิ่งคิดมากยิ่งรู้มาก มันจะไปได้หรือ ไปไม่รอด ไม่จริง ความรู้สึกตัวมันจริง ผ่านไปตรงไหนเหยียบย่ำไป เป็นจักรแห่งธรรมในหลักอริยสัจ 4 ไปเลยล่ะ ทุกข์ รู้ นั่น มันทำแบบนี้ รู้แล้ว ผ่านได้แล้ว หลง รู้ ผ่านได้แล้ว ไปทางไหน ผ่านมาได้ความรู้ ผ่านมา ผ่านมา
เหมือนที่เราสวดพระสูตร “ทุกข์” รู้แล้ว “สมุทัย” แจ้งแล้ว “นิโรธ” พ้นมาแล้ว “มรรค” เจริญให้มาก ทำให้มาก รู้มาก มรรคคือดูให้เห็น คือเห็นมากๆๆ ในคราวเดียวกันเลยกับที่เราสร้างจังหวะประกอบความเพียรกรรมฐาน ไปในคราวเดียวกันเลย มาเป็นพวงเลย ไปเป็นพวง พ้นไปเป็นพวง กว่าจะมาถึงความรู้สึกตัวมันพ้นไปแล้ว แบกไป รู้ อะไรก็รู้ หลง รู้ หลง รู้ มันก็มีพลัง มีกรรมฐานนี้โดยเฉพาะสัมปชัญญะบัพพะกายบัพพะนี้ เพียงพอ เป็นเครื่องทุ่นแรงที่เพียงพอ มาใช้กับความหนักหนาสาโหดของกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดเพียงพอเลยทีเดียว จะทุกข์ขนาดไหน จะเป็นอย่างไร เพียงพอ ที่ว่าทุกข์ๆ นั่นนะ ถ้ามีสติแล้วมันเบาๆ แล้ว ถ้าให้ทุกข์เป็นทุกข์ มันหนัก หลงเป็นหลง มันหนัก หนักคืออะไร คือภาระ ยึด ไม่รู้ เป็นตัวเรา ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเด๊อ อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนักเน้อ อะไรก็เป็นตัวเป็นตนหมด มันไม่เบา มันผ่านไม่ได้ เหมือนมรรค เหมือนสติมันทำให้ลาด มันเห็นนี่ รู้นี่คือเห็น
ภาวะที่รู้นี่ เหมือนหน้ารอบ เรามาเรียกว่าสติ ที่จริงมันเป็นหน้ารอบ พระขีณาสพผู้มีสติเป็นวินัยมีหน้ารอบ รู้รอบ ไม่ใช่สตินะ จริงๆ เป็นหน้า เป็นดวงตาภายในที่มันหน้ารอบ มันเห็น เห็นมันลาดนะ ถ้าเป็นนี่ มันชัน เป็นหน้าผา เป็นฝั่ง ถ้าเห็นนี่ มันลาด มันลาดๆ ขึ้นง่าย ข้ามได้ง่าย ไม่ชน ไม่เป็นกำแพง ไม่เป็นสันกำแพงถ้าเห็น แต่ถ้าเป็นนี่ เป็นสันกำแพง ปีนได้ยาก ถ้าเห็นนี้ง่าย เรียบๆ ก้าวข้ามได้ ขึ้นง่าย เรียกว่าหน้ารอบ ทำให้มันง่ายสิ ทำให้ตัวยากทำไม เป็นสุขทำให้ตัวเองยาก เป็นทุกข์ทำให้ตัวเองยาก เป็นผู้ผิด เป็นผู้ถูก เป็นผู้ได้ เป็นผู้เสีย ทำให้ตัวเองยาก สร้างปัญหาให้ตัวเอง ถ้าเห็นนี้ทำให้ตัวเองง่ายสะดวก ถ้าเราสร้างปัญหาให้กับตัวเอง คนอื่นก็มีปัญหากับเราด้วย ถ้าเราข้ามไปได้สะดวก คนอื่นก็สะดวกไปกับเราด้วย
ถ้าเห็นนี้ รู้แล้ว เห็นแล้ว รู้แล้ว เรารู้ได้แล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา นิพพานเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในความหลง พ้นจากความหลงก็นิพพานไปแล้ว ความหลงนิพพานไปแล้ว นิพพานชิมลองไปแล้ว นิพพานน้อยๆ ไปแล้ว ในความทุกข์เห็นมันทุกข์ไม่เป็นผู้ทุกข์ ในความทุกข์นิพพานไปแล้ว นิพพานคือหมดไปแล้ว หมดไม่จริงก็หมดไป มาทีไรก็หมดไป หมดไป ไม่ใช่นิพพานคือตาย มันผ่านได้ ความหลงก็ผ่านได้ ความทุกข์ก็ผ่านได้ ความผิดก็ผ่านได้ ความถูกก็ผ่านได้ ความโกรธโลภหลงก็ผ่านได้ สะดวก ชีวิตสะดวก ทำให้เกิดความสะดวก อาศัยกรรมฐานเป็นเครื่องมือ หลบภัยก็ได้ สะดวกก็ได้ หมั่นฝึกฝนตนเอง แล้วก็ทำให้สนุกๆ สนุกหลง สนุกทุกข์ ก็เลยไม่เป็นเรื่องยุ่งยาก เหมือนกับมันสนุกทำงาน
งานเป็นเรื่องเล็ก ถ้าคนไม่เคยทำงาน งานมันก็เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าคนเคยทำงานก็เป็นเรื่องเล็ก อาบเหงื่อก็เหมือนอาบน้ำมนต์ สนุก ถ้ามันขี้เกียจแล้วเราทำอะไรก็ยาก เราจึงภาวนาขยัน ขยันรู้ มันก็จะขยันไปหลายอย่างนะ ขยันรู้ก็ขยันไปหลายอย่าง เกิดความดีไปหลายอย่างถ้าขยันรู้ คุณธรรมเกิดขึ้น เป็นมารดาของคุณธรรมทั้งหลาย เป็นกุศล เราหลงมาก เรารู้มาก ก็หลงนั่นแหละคืองานของเรา พอใจเถอะ ในความหลงน่ะ กระตือรือร้น ให้มันรู้ในความหลง สนุกไหม แม่ชีน้อย สนุกหลงไหม (หัวเราะ) พอใจในความรู้ มีหลัก หายใจเข้า มีโอกาส หายใจออก สนุกนะหายใจนี้ ถ้าจับมาศึกษาดีๆ หายใจออก อ้าว! ถ้าหายใจออกไม่เข้าอีกแล้ว ก็สนุกนะ ลองดูสิ ไม่ให้มันเข้าดูสิ สนุกนะ อย่าเป็นทุกข์นะ โอ! ดีๆ เอาไปเอามาไม่ต้องหาย มันหายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันเข้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถ้าตั้งใจแล้วละยาก ทิ้งไปเลย
การเอาทิ้งนี้มันดี การทะนุถนอมนี้ไม่ดีนะ รูปนี้ทิ้งเลย ความทุกข์ก็ทิ้งเลย ความสุขก็ทิ้งเลย อะไรที่มันนิดหน่อยทิ้งเลย มันทิ้งมันดีนะ ไม่เหมือนขยะ อันรูปอันนามนี้ทิ้งมันเลย ขยะอย่าไปทิ้งนะ ต้องทิ้งให้ถูกที่ อันนั้นจึงจะใช้ได้ อันรูปนาม รูปธรรม นามธรรมนี้ทิ้งเลย ทิ้งมันใช้ได้นะ ของที่ทิ้งนี้มันใช้ได้นะ รูปธรรม นามธรรม ถ้าไปยึดนะมันใช้ไม่ได้เลย แล้วเมื่อทิ้งไปแล้วมาใช้อีก โอ! มันดีกว่าเก่า ดีกว่าเก่า ถ้าเราถนอมมัน มีแต่มันจะโทรมลงไป เอามันทิ้งไป หายใจไม่ได้ก็ทิ้งไปเลยลมหายใจนี้ มันปวดก็ทิ้งไปเลย ไม่เป็นผู้ปวดเห็นมันปวดก็ทิ้งไปเลย เอาไปเอามามันก็ดีนะ ไม่มีอะไรทำให้เราเป็นทุกข์ได้ในรูปในนามนี้ ถ้าเราไม่ฝึก โอ๊ย! เจ้าทุกข์เจ้าโทษ อะไรก็เป็นทุกข์ เปราะบาง ความคิดก็เป็นทุกข์ เอาสิ่งภายนอกมาเป็นทุกข์ เอาสิ่งภายในมาเป็นทุกข์ มันก็จะอยู่รอดได้อย่างไร ไหวอย่างไร หนักอย่างนั้น อะไรก็เอาภายนอกมาเป็นทุกข์ มาเป็นสุข ในรูปในนามมาเป็นสุข มาเป็นทุกข์ มันก็สงสารรูป สงสารนาม ไม่ต้องเอามาเป็นสุข มาเป็นทุกข์ มีแต่เห็น มันเบาๆ อย่างนี้ เอาละ พูดให้ฟังเท่านี้ตอนเช้า